The power of an authentic movement lies in the fact that
it originates in naming and claiming one's identity and integrity
-- rather than accusing one's "enemies" of lacking the same.
- Parker J. Palmer, The Courage to Teach
Group Blog
 
All blogs
 
อย่าเอาตัวเองไปขวาง

ก่อนอื่นต้องสืบประวัติก่อน บล็อคนี้มาจากบล็อคนี้ของคุณม้าม
//www.bloggang.com/viewblog.php?id=mymaam&date=19-11-2009&group=2&gblog=121

คุณม้ามเล่าเรื่อง "คุรุวิพากษ์คุรุ" ของโอโช ตอนที่พูดเกี่ยวกับคาลิล ยิบราน โอโชบอกว่าปรัชญาชีวิตเป็นสุดยอด งานที่เหลือของยิบรานเป็นขยะ (โอโชคะ ซาดิสม์มากค่ะ) จขบ.ก็อืม (และเอ่อ) เพิ่งได้มีโอกาสอ่านเล่มนี้จริง ๆ วันก่อนนี้เอง

ถ้าอธิบายตามโอโช ปรัชญาชีวิตนั้นเขียนโดยปราศจากอัตตา ว่าอีกอย่างคือเพราะมันเป็นงานชิ้นแรก ยิบรานเลยไม่มีอะไรค้ำคอ ไม่มีภาพอะไรให้รักษา ไม่มีอะไรให้เสีย จักรวาลส่งอะไรมาก็เขียนไปอย่างนั้น ส่วนงานอื่น ๆ นั้นมีอัตตา ชื่อเสียง ความคาดหวัง และความเป็นคาลิล ยิบราน มาขวางอยู่ตรงกลาง ดังนั้นจักรวาลส่งอะไรมา ยิบรานจึงเอาความเป็นตัวฉันเข้าไปกรองเสียก่อน ว่าอีกอย่างคือพอเอาตัวเองเข้าไปกรองแล้ว แม้ว่ามันจะ "ดี" แต่มันก็ไม่ "โคตรสด" อย่างปรัชญาชีวิตอีกต่อไปแล้ว

นอกจากนั้น โอโชยังพูดอะไรทำร้ายไส้พุงกันอีกหลายอย่าง เช่นว่ากวีเป็นผู้บรรลุเพียงชั่ววินาที เพราะมันสั้นแค่นั้นไง มันเลยทำให้กลั่นคั้นออกมาเป็นสิ่งงามมาก ส่วนผู้บรรลุจริงนั้นก็เหมือนพระราชาอยู่กลางกองทรัพย์ เหมือนมหาสมุทร กวีเป็นคนเข็ญใจที่นานครั้งจะได้เห็นเพชร และเห็นเพียงหยดน้ำค้างจากมหาสมุทรใหญ่ ก็เพราะมันน้อย มันเลยแสดงออกมาได้อย่างวิลาศอัศจรรย์ ถ้ามันมีเยอะปะล้ำปะเหลือแล้ว มันก็ไม่ต้องเอามาแสดงอีก

อันนี้จขบ.ก็เข้าใจว่าโอโชพูดในฐานะคนบำเพ็ญธรรม (โอโชเป็นครูทางจิตวิญญาณที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง) และจขบ.อดคิดไม่ได้ว่าพี่แกกำลังเหยียบ ๆ ให้คนแค้นเล่น เผื่อจะมีแรงฮึดมาสนใจด้านจิตใจของตัวเองบ้าง แต่ตามตรรกะของโอโชนั้น ผู้บรรลุธรรมทุกคนเป็นกวี ส่วนกวีอาจจะไม่ใช่ผู้บรรลุธรรม อันนี้จขบ.ไม่เห็นด้วยเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ คือเข้าใจดีว่า คนที่ "ถึง" นั้น เวลาใช้ภาษามันจะมีบางอย่างที่ "ถึง" และลึกกว่าคนทั่วไปจริง ๆ เหมือนปรัชญาชีวิตของยิบราน (และเหมือนที่ท่านพุทธทาสเรียกว่า "ภาษาโลก" กับ "ภาษาธรรม")

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จขบ.ไม่คิดว่าความสามารถเชิงกวีเป็นสิ่งที่ได้มาโดยอัตโนมัติ จขบ.คิดว่ามันเป็น additional คือคนที่ใช้ภาษาได้ดี ถ่ายทอดออกมาเป็นบทกวีนั้นต้อง "มีพื้นบ้าง" เพราะอย่างนั้นถึงได้มีผู้บรรลุธรรมบางคนที่ไม่ได้ถ่ายทอดออกมาทางบทกวี และบางคนก็ถ่ายทอดออกมาทางกวี ท่านพุทธทาสเองก็ชอบเขียนกลอนมาแต่เล็ก และพ่อของท่านก็ชอบเขียนกลอนด้วย

...

แต่ถ้าตัดเรื่องกวีอะไรพวกนี้ออกไปแล้ว จขบ.ก็พอเข้าใจสารที่โอโชพยายามจะบอก ซึ่งเป็นสารเดียวกับท่านพุทธทาสตรงหัวบล็อค กล่าวคือเมื่อไรที่คิดว่า มี "ฉัน" อยู่ มันก็จะนำไปสู่ฉันจะเจ็บ ฉันจะดัง ฉันจะได้ ฉันจะไม่ได้ เมื่อมีฉันโน่นและฉันนี่มากมาย เวลาเขียนหนังสือจึงไม่อาจ "โคตรสด" ได้ เพราะฉันมันบล็อคไว้หมดแล้ว

ที่จขบ.มาเขียนเรื่องอย่างนี้ เพราะตอนที่จขบ.ส่งผู้เสกทรายไปให้คุณวิศิษฐ์ (คนเดียวกะในคำนำผู้เสกทรายนั่นแหละ) คุณวิศิษฐ์ก็ตอนกลับมาว่า ยังมี "ปัน" ในนั้นอยู่ ซึ่งทำให้จขบ.งงงันไปวูบใหญ่ หมายความว่าอย่างไรที่ว่ายังมี "ปัน" อยู่ ก็ปันเป็นคนเขียน ถ้ามันไม่มีความคิดความเชื่อ ไม่มีทัศนคติ ไม่มีปม ไม่มีโลกของปัน มันจะเป็นงานเขียนของปันได้ยังไง

หลังจากที่มึนกับเรื่องนี้พักใหญ่ มาอ่านโอโชจึงได้เข้าใจ มันหมายความว่า "ปัน" ยังคงเอาตัวเองกรองเรื่องราวในเรื่องอยู่ แต่ไม่ได้หมายความไม่ให้เขียนเรื่องปัน ว่าอีกทีควรไปดูเฮสเส (เฮสเสอีกแล้ว) เฮสเสเขียนเรื่องตัวเองทั้งนั้น ไม่มีเรื่องไหนไม่ใช่เรื่องของเฮสเส ปมของเฮสเส ความเจ็บปวดของเฮสเสเลย แต่เฮสเสก็ไม่สนใจเหมือนกันว่าคนจะมองตัวเองยังไง (อะไรทำนองว่า ทำไมลุงคนนี้เขียนเรื่องคล้าย ๆ ชายรักชายหว่า) เฮสเสไม่สนใจ ในลักษณะเดียวกับที่พี่แกเขียนในเรื่องเดเมียนว่าคนเราต้อง "กล้า" รับชะตากรรมของตัวเอง คนที่ปลดปล่อยตัวเองไปได้อย่างนั้น ถึงจะพบอะไรบางอย่างได้

มันเป็นกระบวนการ ทำให้นึกถึงที่คุยกับน้องคนหนึ่ง น้องนั่นบอกว่า ผมจะยี่สิบแล้ว ก็พยายามทำอะไรโดยใช้ปัญญามากขึ้น เราก็บอกว่า พี่จะสามสิบแล้วว่ะ ถึงเวลาไปอีกทางหนึ่ง คือต้องใช้ปัญญา (สมองซีกซ้าย) ให้น้อยลง และใช้ใจ (สมองซีกขวา) ให้มากขึ้น คือตอนเด็ก ๆ นั้นมัน "โง่" อยู่ มันไม่มีความกลัว ไม่มีความคาดหมาย มันเลยเขียนด้วยความอยากและความโง่ มันจึงสดมาก (แต่แอบโง่) แต่พอแก่ขึ้นมาเรื่อย ๆ ก็ฉลาดขึ้น แต่ก็เสือกมีความกลัวและความคาดหวังมากขึ้นด้วย ถึงเวลาต้องยอมกลับไปเลอะดินเลอะโคลน ถึงเวลาที่จะ "ยอมโง่" (ในบางความหมาย) เพื่อจะได้ "เต็มที่" ได้

สรุปแล้วก็ไม่รู้อยู่ดีว่า "ปัน" มันจะหายไปหรือเปล่า เพราะกระบวนการทำให้ปันหายไปเป็นเรื่องโคตรยากโหดหิน ถึงอย่างนั้นตอนนี้ก็ค่อยเข้าใจขึ้นมาหน่อยแล้วน่ะนะ


Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2553 16:19:50 น. 6 comments
Counter : 432 Pageviews.

 
ปันสู้ๆ

เหมือนนักแสดงเนอะ ส่วนใหญ่เวลาเล่นหนังแล้ว จะยังมีความเป็นตัวเองหลงเหลืออยู่ด้วยเสมอ คนที่สามารถขจัดส่วนนี้ทิ้งไป ให้เหลือแต่ตัวละครเพียวๆได้ หายากมาก


โดย: Froggie วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:8:46:54 น.  

 
ส่วนตัวคิดอีกแบบ งานเขียนไม่เหมือนศิลปะแขนงอื่นที่คว้ามาจากอากาศแล้วมันจะสวยได้ อย่างดนตรีหรือภาพวาด
แต่ถึงจะเ็ป็นของพวกนั้น ตูว่าศิลปินต้องมีอัตตามากพอ ไม่เช่นนั้นงานจะตาย อันนี้ก็ขึ้นอยู่ที่ว่าอัตตาของคนผู้่นั้นเป็นของดีจริงหรือฝืนสร้างขึ้น

ปรัชญายิบรานที่ว่าเขียนออกมาก่อนและเป็นงานเดียวที่ดีอะไรนั่น ก็เป็นอัตตาของคนเขียนทั้งนั้น ไม่ใช่จักรวาลให้มา
เพียงแต่สดเพราะเขียนโดยไม่เกร็งเลยดีกว่าไอ้ที่ออกตามมา หรือไม่ก็แปลว่าแกหมดก๊อกแค่นั้นจริงๆ

เรื่องการเขียนแบบผู้บรรลุ คนที่บรรลุก็จะเขียนแต่แบบเดียวที่ตัวเองยึดเป็นแก่นใจ
แต่คนที่ยังวนเวียนในเรื่องของโลก แม้เขียนสิ่งสวยงามก็จะดูเป็นอีกแบบ ซึ่งสร้างจากทุกสิ่งทุกอย่างที่มีข้างใน
ทั้งความเจ็บปวด ทั้งด้านสวยงามในใจ ทั้งบาดแผล ปรุงออกมาเป็นหลายรส
การที่อ่านงานของใครสักคนแล้วได้รู้สึกว่าใช่เลย นี่แหละงานคนนี้ มันดีออกจะตายไป.....

ยังไงตูก็เป็นคนนึงที่อยากไปร้านอาหารญี่ปุ่นที่ทำอร่อยเวลาอยากกินอาหารญี่ปุ่น
ไม่ใช่ไปร้านพ่อครัวเทวดาที่จะสุ่มทำอะไรสักอย่างที่โคตรสดแต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร และไม่รู้ว่าจานต่อไปจะอร่อยหรือเปล่าออกมา

เพียงแต่ว่าทุกครั้งควรหาวัตถุดิบที่สด มาปรุงรสด้วยความเป็นตัวเองให้ออกมาพอเหมาะ นั่นน่าจะดีกว่าเขี่ยตัวเองออกไปจากงาน


โดย: อสิตา วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:13:27:23 น.  

 
อืม เหมือนยังมีอะไรคาใจอยู่ ขอต่ออีกหน่อย

ไอ้ที่พูดเรื่องร้านอาหารนั่นก็เหมือนกับอัตตาคนเขียนจะสร้างแบรนด์ที่เราชอบขึ้นมา
เทียบกับ...สมมติตอนนี้ตูชอบฟังเพลงของวงGreenday แต่ช่วงนี้มันไม่มีเพลงโดนๆออกมาเลย ตูก็อยากจะให้มีเพลงโดนๆอันใหม่ออกมาสักที
แต่ยังไงก็ให้แบบว่านี่น่ะเพลงยี่ห้อกรีนเดย์ ไม่ใช่เพลงของบักหำที่ไหนก็ไม่รู้ช่างเทพเสียงเหลือเกินแต่มันแบบคนละวงการเลย
ถ้าคนทำ ตอนทำนั้นได้ตั้งใจครีเอทสุดยอด ยังไงก็คงไม่ซ้ำซาก และต้องโดนสักทีแน่นอน

ตูว่าการที่งานของยิบรานจะเปลี่ยนไปจากแรกที่ดีก็เพราะว่าอัตตาของแกถูกสั่นคลอน หรือว่าอัตตาไม่นิ่งพอแกเลยซวนเมื่อมีแรงดันมาปะทะ
เหมือนกับนักเขียนหลายคนที่ไม่สามารถ'หัก' งานที่เคยสร้างชื่อให้ตัวเองลงได้ เพราะมัวไปคิดอะไรก็ไม่รู้มันทำให้จับจด

แต่ในที่นี้เราก็ต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอด้วยไม่ใช่อยู่ที่เดิมตลอดไป ถ้าสร้างตัวตนที่สวยงามและเป็นจริงออกมาได้แล้ว งานต้องออกมาดีแน่นอน


โดย: อสิตา วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:13:57:19 น.  

 
ไม่ใช่สดในความหมายนั้นนะแมวแป้ง ไม่ได้หมายความว่าตัวเองไม่ "ปรากฏ" ในงาน

แต่หมายความอย่างเอาตัวเองไป "ขวาง" งาน ต่างหาก

อย่าเอาความกลัวของเรา ความรู้สึกว่าถ้าเขียนอย่างนี้แล้วคนอื่นจะตำหนิติเตียน ถ้าเขียนอย่างนี้แล้วคนจะมองเราผิด ๆ ถ้าเขียนอย่างนี้แล้วเราจะไม่เท่ ไม่ถึง ไปขวางในงาน รู้สึกอย่างไรก็เขียนอย่างนั้น โง่ก็คือโง่ ตัวฉันก็คือตัวฉัน

อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าความบัดซบอะไรของตัวเองก็ใส่ในงานโดยไม่ขัดเกลาด้วย ตัวเองก็ต้องขัดเกลาตัวเอง แต่อย่าโกหกตัวเอง

คนที่โกหกตัวเอง ก็คือคนที่ทำตามคนอื่น ๆ ใครว่าอย่างนั้นดีก็ทำตามไป ได้รับคำชื่นชมก็ได้เพราะตาม ๆ คนอื่น คนอย่างนั้นเป็นแกะ มีชีวิตอยู่อย่างแกะ ตามกันไปเป็นฝูง ๆ

ตัวเราก็คือตัวเรา ไม่มีทางหายไปได้หรอก ความเป็นปัจเจกของเรามันควบคุมเราไว้ ยิ่งกว่าพ่อครัวญี่ปุ่นจะต้องทำอาหารญี่ปุ่น เราไม่สามารถเป็นคนอื่นได้หรอกแมวแป้ง แต่เราไม่สามารถเป็นตัวเอง "ถึงที่สุด" ได้ เพราะความกลัวของเราต่างหากเล่า

เพราะเรากลัวว่า "ตัวเรา" จะเป็นอะไรไป เราจึงสยบยอมต่อคำวิจารณ์ ต่อสิ่งที่สังคมกำหนดมา ต่อความคาดหวังของคนอื่น ๆ

อัตตาคือ "ความรักตัวเองอย่างผิด ๆ" เพราะความรักอย่างผิด ๆ อันนี้ เราจึงต้องปกป้องตัวเองด้วยวิธีต่าง ๆ หาเกราะหนา ๆ มาใส่ตัวเรา พูดคำพูดที่ไม่ใช่ถ้อยคำของเรา ไม่ใช่ความเข้าใจของเรา ไม่ได้กลั่นคั้นออกมาจากเราจริง ๆ เป็นแต่จำเขามาพูด เพื่อให้คนอื่นยอมรับเรา เมื่อพูดด้วยคำของคนอื่น เมื่อทำอะไรด้วยความกลัวว่าคนอื่นจะไม่ยอมรับ เมื่อทำอะไรจากความปรารถนาไม่ให้ตัวเองเจ็บปวด มันจึงทำให้เราหา "ตัวเราเอง" จริง ๆ ไม่เจอ

ถ้าหากถอดความกลัวออกได้ ถ้าหากเลิกกลัวเจ็บปวด เลิกกลัวไม่ได้รับการยอมรับ เลิกกลัวถูกด่าว่าเดียดฉันท์

ถึงตอนนั้น สิ่งที่เป็น "ฉัน" จึงปรากฏออกมาได้เต็มที่ และ "ฉัน" คนนั้นถึงจะมีคุณค่า

นี่คือเหตุผลที่เราบอกว่า เฮสเสเขียนเรื่องตัวเองเสมอ แต่เขียนอย่างไม่กลัว เฮสเสไม่กลัวสักนิดที่จะตีแผ่ตัวเอง ความเจ็บปวดของตัวเอง สภาพจิตของตัวเอง ความเข้าใจของตัวเอง กระทั่งปัญหาครอบครัวของตัวเอง ความแค้น ความเกลียดชัง ความโลภ ความหลง ให้คนทั้งโลกดูกันจะ ๆ แต่แกไม่ได้นำมันออกมาเพื่อเสริมอัตตาของตัวเอง แกนำออกมาด้วยความจริงใจ ฉันเจออะไรอย่างนี้ และเข้าใจอย่างนี้ จึงอยากให้เธอเข้าใจด้วย

เพราะเฮสเสทำได้อย่างนี้ มันจึงมีความเป็นสากล เพราะแม้ว่าทุกคนจะเป็นปัจเจก แต่ทุกคนก็ยังมีบางอย่างที่เป็นสากลร่วมกัน

และเพราะแก "จริงใจ" งานของแกจึงมีพลังแฝงอยู่มากพอที่จะกระทบใจคน


โดย: เคียว IP: 118.173.224.96 วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:14:07:14 น.  

 
อืม ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะเข้าใจตรงกันละนะ
ตูเม้นไปต่อจากอันนั้นอีกรอบแต่มันยังไม่ขึ้น เมี้ยว


โดย: อสิตา วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:14:18:38 น.  

 
รู้สึกตื่นเต้นนิดๆ

เหมือนจะได้เห็นผลงานคนเขียนที่เปลี่ยนแปลงอีกในอนาคต
ไม่ได้คาดหวังว่าคนเขียนจะสร้างผลงานแบบที่ชอบไปตลอดกาล เพราะนั่นจะเป็นการตีกรอบคนเขียนเกินไป

แต่คิดว่าการเปลี่ยนแปลงที่จะมาถึงนั้นน่าสนใจดีค่ะ ^^

อ่านบล๊อคนี้แล้วนึกถึงคุณดำรงค์ อารีกุลอ่ะ งานช่วงหลังๆต่างจากช่วงแรกพอสมควรเลย เจ้าตัวก็บอกว่าเพราะเค้าเติบโตนะ


โดย: wanderer IP: 113.53.131.139 วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:16:33:05 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ลวิตร์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




ลวิตร์ = พัณณิดา ภูมิวัฒน์ = เคียว

รูปในบล็อค
เป็นมัสกอตงาน Expo ของญี่ปุ่น
เมื่อปี 2005
น่ารักดีเนอะ

>>>My Twitter<<<



คุณเคียวชอบเรียกตัวเองว่า คุณเคียว
แต่ที่จริง
คุณเคียวมีชื่อเยอะแยะมากมาย

คุณเคียวมีชื่อเล่น มีชื่อจริง
มีนามปากกา
มีสมญาที่ได้มาตามวาระ
และโอกาส

แต่ถึงอย่างนั้น
ไส้ในก็ยังเป็นคนเดียวกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินข้าวแฝ่ (กาแฟ ) เหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินอาหารญี่ปุ่นเหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบสัตว์ (ส่วนใหญ่)
ไส้ในก็ยังชอบอ่านหนังสือ ชอบวาดรูป
ชอบฝันเฟื่องบ้าพลัง
และชอบเรื่องแฟนตาซีกับไซไฟ
(โดยเฉพาะที่มียิงแสง )

ไส้ในก็ยังรู้สึกถึงสิ่งต่าง ๆ
และใช้ถ้อยคำเดียวกันมาอธิบายโลกภายนอก

ไส้ในก็ยังคิดเสมอว่า
ไม่ว่าเรียกฉัน
ด้วยชื่ออะไร

ก็ขอให้เป็นเพื่อนกันด้วย




Friends' blogs
[Add ลวิตร์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.