|
เล่ห์ลวงใจ บทที่ 26
สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็ชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมรื่องแนว Boy's Loveดังนั้นหากไมชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ
++------++
เล่ห์ลวงใจ บทที่ 26
"ลุงขอโทษด้วยนะกฤต เพราะลุงไม่ได้เอาใจใส่เนตรมาตั้งแต่เขายังเด็ก ถึงได้กลายเป็นคนเอาแต่ใจจนสุดท้ายก็ทำให้ทุกคนเดือดร้อนกันไปหมด"
"เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ช่างมันเถอะครับ ถึงยังไงช่วงหลายปีมานี้เนตรก็ลำบากกว่าผม"
"ก็จริงนะ...ถ้าหากลุงอนุญาตให้เมฆกับเนตรแต่งงานกันทันทีตั้งแต่กลับจากเมืองนอกก็อาจไม่เกิดเรื่องแบบนี้ก็ได้ ตอนนี้แม้แต่จะไปเรียกร้องความรับผิดชอบจากคนที่เนตรท้องด้วยก็ยังทำไม่ได้เลยเพราะไม่มีหลักฐาน ส่วนเมฆก็ติดคุกโดยไม่รอลงอาญาไปแล้ว ชีวิตคนเรานี่บางทีก็โดนโชคชะตาทำร้ายยิ่งกว่าในละครอีกนะ"
กฤตภาสหวนนึกถึงเมื่อวันก่อนที่เข้าไปเคารพศพของหญิงสาวซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเพื่อน พ่อของเจ้าหล่อนเห็นเขาก็จำได้ทันทีและเข้ามาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ดูเหมือนความแค้นเคืองที่เคยมีให้จะหมดสิ้นไปแล้วเมื่อได้รับรู้ว่าอะไรเป็นอะไรหลังจากลูกสาวเสียชีวิต
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คนที่เขารู้จักเลือกที่จะลาจากโลกนี้ไปก่อนวัยอันควร ทุกครั้งที่พบพานเรื่องแบบนี้จะทำให้กฤตภาสหยุดคิดถึงความหมายของชีวิต แต่มันมักจะเป็นความรู้สึกที่วูบมาแล้วก็หายไป เพราะเขารู้ว่าตัวเองจะไม่มีวันอ่อนแอถึงขั้นปล่อยให้ความรู้สึกอยากทำร้ายตัวเองมาครอบงำเด็ดขาด
ฟี้...
เสียงกรนขึ้นจมูกที่แสนเบาจากด้านหลังเรียกให้กฤตภาสพลิกตัวกลับไปมอง ธีระยังคงหลับสนิทแม้จะเป็นเวลาสายมากแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้ปลุกเพราะรู้ว่าช่วงหลายวันที่ผ่านมาเด็กหนุ่มคงเหนื่อย ไหนจะงานที่บริษัทและยังภารกิจดูแลเขาที่โรงพยาบาลอีก
เมื่อคืนนี้หลังจากธีระร้องไห้กับอกเขาจนหมดแรง กฤตภาสก็ให้เด็กหนุ่มอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยให้ใส่เสื้อยืดกับกางเกงบ็อกเซอร์ของเขา จากนั้นก็ตั้งใจว่าจะเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าเองเพราะไหนๆ อีกฝ่ายก็เพลียมากแล้ว แต่ธีระกลับทำให้เขาประหลาดใจด้วยการเสนอตัวช่วยเหลือ เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็เดินตามมานอนบนเตียงโดยไม่อิดออดสักคำ ถึงแม้ว่าจะเอาแต่ตะแคงหันหลังให้เขาทั้งคืนก็ตาม
ท่าทีของธีระเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดหลังได้ฟังเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในอดีต มันอาจเป็นความสงสาร หดหู่ใจหรืออะไรก็ตาม แต่มันช่วยกร่อนความรู้สึกระแวดระวังยามอีกฝ่ายอยู่ต่อหน้าเขาให้ลดลง ซึ่งเป็นไปได้ว่าเพราะธีระก็เคยผ่านเรื่องราวสะเทือนความรู้สึกมาแล้ว และเป็นไปได้ว่าคงไม่พ้นเป็นเรื่องของผู้ชายที่เคยเผลอเรียกต่อหน้าเขาบ่อยๆ ตอนที่ได้เจอกันแรกๆ
ซึ่งถ้าหากธีระตั้งใจจะไม่ลืมผู้ชายคนนั้นไปตลอดชีวิต...มันก็ไม่ใช่กงการของเขาที่จะไปห้าม หรือเก็บเอามาคิดให้ปวดหัวเลยแม้แต่นิดเดียว
จู่ๆ กฤตภาสก็รู้สึกหงุดหงิดเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมผุดขึ้นในใจ ทั้งที่หายากเหลือเกินที่เขาจะนอนตื่นขึ้นมาข้างใครสักคนแล้วจะไม่นึกอยากหาความอิ่มหนำทางกามรสเพื่อกำจัดความเบื่อหน่าย แต่นับตั้งแต่เช้าที่เขาตื่นมาเห็นธีระนอนอยู่บนโซฟาที่โรงพยาบาลหลังจากวันที่เขาโดนยิง นั่นเป็นครั้งแรกที่เกิดความรู้สึกว่า...การได้ตื่นมาเห็นใครบางคนคอยอยู่ข้างๆ ก็เพียงพอแล้ว
กฤตภาสไม่เคยรู้จักความรู้สึกนี้ และเขาไม่แน่ใจว่าถ้าเคยชินกับมันขึ้นมาแล้วจะสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปหรือไม่
"อืม..."
ธีระย่นหัวคิ้วก่อนจะค่อยๆ ปรือตาขึ้น ในแววตากลมโตที่ยังฉาบด้วยความง่วงงุนสบตากับกฤตภาสที่นอนมองอยู่ก่อนราวชั่วอึดใจ จากนั้นก็หลับตาลงอีกครั้งแล้วพลิกตัวหันหลังให้เหมือนตอนที่เข้านอนเมื่อคืนนี้
ภาพนั้นทำให้กฤตภาสทั้งขำทั้งฉุน เพราะท่าทีเมื่อครู่ของธีระช่างต่างจากตอนที่ถูกใช้เงื่อนไขบีบให้มานอนด้วยช่วงแรกๆ อย่างหน้ามือเป็นหลังมือ ตอนนั้นเจ้าตัวแสดงออกชัดเจนว่าทั้งเกลียดทั้งกลัวเขา ตอนเช้ากฤตภาสจึงต้องคอยตื่นก่อนแล้วกอดเด็กหนุ่มเพื่อไม่เปิดโอกาสให้ลุกหนี แต่เมื่อครู่นี้เด็กนี่กลับกล้าหลับต่อทั้งที่เห็นเขาอยู่ข้างๆ แถมยังหันหลังหนีเหมือนวางใจว่าเขาคงไม่ทำอะไรเสียอีก
"สายแล้วนะ จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหน?"
กฤตภาสกระเถิบตัวเข้าไปซ้อนด้านหลังธีระแล้วก็ยกแขนขึ้นเท้าศีรษะ โชคดีว่าอีกฝ่ายนอนตะแคงไปด้านที่เขาชันศอกขวาขึ้นได้จึงไม่ทุลักทุเลเกินไปนัก
"....ง"
"หืม?"
กฤตภาสได้ยินเสียงงึมงำตอบจึงแกล้งกดจมูกลงบนเรือนผมที่ยุ่งหน่อยๆ จากนั้นก็เม้มใบหูที่โผล่พ้นผมจนธีระย่นคอหนีมากขึ้น
"ผมง่วง ถ้าคุณไม่ง่วงก็ลุกไปสิ..."
ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะยังไม่อยากตื่นจริงจัง กฤตภาสจึงหัวเราะหึแล้วยื่นแขนออกไปรั้งเอวอีกฝ่ายเข้าหาตัว คราวนี้ธีระเบิกตาโพลงเมื่อถูกมือใหญ่ล้วงเข้าไปขยำแผ่นอกใต้เสื้ออย่างไม่ออมแรง
"คุณกฤต! ผมไม่เล่นด้วยนะ"
"แต่ฉันอยากเล่นกับเธอนี่ ไม่ได้เล่นด้วยมาตั้งไม่รู้กี่วันแล้ว"
ชายหนุ่มเอ่ยพลางเกี่ยวขาของอีกฝ่ายไม่ให้ดิ้นหนี บาดแผลบนไหล่ซ้ายทำให้กฤตภาสออกแรงกับมือข้างนั้นได้ไม่เต็มที่ แต่เขาก็สอดมือขวาลงใต้ขอบกางเกงบ็อกเซอร์แล้วลูบคลำส่วนอ่อนไหวของธีระจนเด็กหนุ่มตัวงอ
"คุณกฤต..."
เสียงที่เรียกชื่อเขาอ่อนแรงลงเมื่อถูกความหวามไหวจู่โจมดั่งอาวุธ กฤตภาสแกล้งกัดต้นคอของธีระเบาๆ จนเจ้าตัวต้องพยายามดิ้นให้เป็นอิสระอีกครั้ง
"เรียกชื่อฉันอีกสิ"
กฤตภาสเอ่ยเสียงต่ำเมื่อธีระเอี้ยวหน้าอันแดงซ่านมาหา นัยน์ตากลมโตหรี่เชื่อมและหม่นมัวด้วยความรู้สึกที่ถูกปลุกปั่น ริมฝีปากซึ่งเผยอหอบดึงดูดกฤตภาสให้ก้มลงใช้ริมฝีปากของตัวเองเกลี่ยซับความหวานจากกลีบปากนุ่มเอาไว้
"คุณกฤต พอก่อน...อื๊ออออ"
"จะพอได้ยังไง เพิ่งเริ่มเล่นกันได้ไม่เท่าไหร่เองไม่ใช่เหรอ?"
ชายหนุ่มกระเซ้าพลางเร่งมือที่สอดเข้าใต้กางเกงอีกฝ่ายจนโดนทุบกลับ แต่มือที่ทุบเขาก็เลือกทุบแค่ไหล่ขวาที่ไม่บาดเจ็บจนกฤตภาสยิ้ม เขาก้มลงลิ้มรสไออุ่นจากผิวบริเวณซอกคอของเด็กหนุ่มอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรมากไปกว่านั้นก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงออดจากประตูหน้า
การเคลื่อนไหวของทั้งสองหยุดชะงักทันควัน กฤตภาสชันศอกขึ้นพลางสบตากับนัยน์ตากลมโตที่ทอดมองเขาพลางกะพริบตาปริบๆ ผิวแก้มเนียนยังคงแดงก่ำเช่นเดียวกับรอยปื้นบนซอกคอที่เพิ่งถูกไรเคราของเขาถูไถ กฤตภาสเห็นแล้วให้นึกอยากกินคนตรงหน้าเข้าไปทั้งตัว แต่ติดที่เสียงออดซึ่งดังถี่จนเขานึกอยากทุบหัวผู้มาเยือนให้สลบ
"จะให้ผมไปดูว่าใครมามั้ยครับ?"
ธีระเสนอตัวเมื่อเห็นกฤตภาสทำหน้าตึง แต่เจ้าของห้องกลับส่ายหน้าก่อนจะยอมลุกขึ้นในที่สุด
"เดี๋ยวฉันออกไปดูเอง มีแค่คนเดียวเท่านั้นแหละที่จะถือวิสาสะมากดออดตอนเช้าวันหยุดแบบนี้น่ะ ส่วนเธอ...ไปเปลี่ยนชุดก่อนถ้าหากจะออกไปข้างนอก ชุดนี้มันไม่เรียบร้อย"
ธีระหน้าแดงยิ่งขึ้นเมื่อจู่ๆ ก็ถูกหอมแก้ม เด็กหนุ่มรีบลุกจากเตียงแล้วก็เดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างขัดเขิน ฝ่ายกฤตภาสเพียงแต่ยิ้มก่อนจะออกจากห้องนอนแล้วเดินเนือยๆ ไปเปิดประตูให้คนที่กดออดอย่างไม่ลดละ
"โอ๊ะโอ หน้าตาไม่รับแขกเต็มขั้นเลยนะครับคุณชาย ไม่ทราบว่าผมมาขัดจังหวะรึเปล่าครับ?"
ผู้มาเยือนคือศุภวัฒน์จริงดังคาด ชายหนุ่มมองเพื่อนด้วยแววตาเอือมระอาแต่ก็ผลักประตูให้ เขาไม่รอให้อีกฝ่ายถอดรองเท้าเสร็จก็เดินนำเข้าไปในครัว
"ก็ยังดีที่รู้ตัวว่ามาขัดจังหวะ แล้วมีความจำเป็นอะไรถึงต้องมาตั้งแต่เช้า?"
"บ๊ะ! นี่มันจะเที่ยงอยู่แล้วโว้ย! อีกอย่างกูก็เป็นหมอนะมึง จะมาดูอาการคนไข้ก็ปกติไม่ใช่รึไง แต่ถ้ามึงมู้ดดี้ได้ขนาดนี้ก็แสดงว่าคงไม่ต้องพึ่งหมอแล้วล่ะมั้ง"
กฤตภาสตักผงกาแฟใส่เครื่องชงอย่างไม่รู้สึกรู้สากับคำเหน็บแนม ระหว่างที่รอให้หยดกาแฟกลั่นลงในแก้วก็จุดบุหรี่สูบจนนายแพทย์หนุ่มต้องแกล้งยกมือขึ้นปัดควันอย่างหมั่นไส้
"จริงๆ เรื่องอาการมึงน่ะกูไม่ห่วงหรอก แต่ที่ถ่อมาหาวันนี้เพราะไอ้นี่ต่างหาก"
ศุภวัฒน์วางหนังสือพิมพ์ที่ถือติดมาลงบนโต๊ะ ฝ่ายกฤตภาสเพียงแต่เหลือบตาลงมองแล้วก็พ่นควันออกช้าๆ
"ไอ้นี่ของมึงคือ?"
"กูก็ดูออกนะว่ามึงเอ็นดูเด็กคนนั้นเป็นพิเศษ แต่รู้ตัวรึเปล่าว่าเมื่อคืนโดนถ่ายรูปไว้ตอนกำลังทำอะไรน่ะ?"
กฤตภาสไม่แม้แต่จะแสดงสีหน้าตกใจ ชายหนุ่มเพียงแต่กระตุกยิ้มมุมปากแล้วก็หันไปหยิบถ้วยกาแฟที่ชงเสร็จแล้วขึ้นจิบ
ตกลงนักข่าวถ่ายรูปไว้ทันด้วยเหรอ? แสดงว่ากูกะจังหวะถูกน่ะสิ
หา??
ศุภวัฒน์ทำหน้าเหลอขณะมองเพื่อนเดินมานั่งที่โต๊ะ ท่าทางของกฤตภาสที่สูบบุหรี่พลางจิบกาแฟอย่างสบายใจทำให้เขางงสุดขีด
นี่มึงรู้รึเปล่าว่ากูหมายถึงรูปแบบไหน?
รูปตอนที่กูจูบเด็กคนนั้นใช่ไหมล่ะ? ยกเว้นว่าไม่ใช่ กูจะได้เปิดดู
ศุภวัฒน์ยกมือขึ้นตบหน้าผากเมื่อคิดได้ว่าอะไรเป็นอะไร ดูเหมือนเขาจะเดือดร้อนแทนเพื่อนผิดกาลเทศะเสียแล้ว แต่ที่เขาประหลาดใจไม่หายคือทั้งที่กฤตภาสรู้อยู่แล้วว่ามีนักข่าวคอยติดตาม ทำไมถึงยังทำพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงต่อการถูกบันทึกหลักฐานไปเผยแพร่อีก
บางทีกูก็ตามมึงไม่ทันว่ะกฤต ตกลงมึงจงใจทำแบบนั้นให้นักข่าวเก็บภาพงั้นเหรอ? เพื่ออะไรวะ?
กฤตภาสสูบบุหรี่เข้าปอดอึกใหญ่ก่อนจะค่อยพ่นควันออกอย่างช้าๆ เขาไม่แปลกใจที่จะไม่มีใครเข้าใจความคิดของเขา ในเมื่อเขาก็เพิ่งคิดจะทำเรื่องนี้ได้เมื่อคืนก่อน
กูคิดว่าควรจะหาทางให้นิกกี้ออกไปจากชีวิตกูเสียที แต่กับผู้หญิงที่บอกปัดนัดไปหลายครั้งแล้วก็ยังไม่ยอม take a clue ก็มีแต่ต้องบอกด้วยวิธีนี้แหละถึงจะได้ผลที่สุด
หา??? ตกลงว่ามึงแค่รำคาญแฟนเก่าก็เลยจะเขี่ยเขาทิ้งนี่นะ? ทำไมไม่เรียกมาคุยดีๆ ล่ะวะ ไม่ใช่เด็กๆ กันแล้วสักหน่อย
เสียเวลา อีกอย่างในเมื่อนักข่าวอยากได้สกู๊ปกันนักกูก็จัดให้ อย่างน้อยคราวนี้ข่าวกูกับนิกกี้จะได้เงียบสักที คงมีผู้ชายคนอื่นรอจีบเขาเยอะอยู่หรอก
เฮ้อไอ้กฤต...มึงนี่มัน...
สวัสดีครับคุณหมอ
บทสนทนาของทั้งสองสะดุดลงเมื่อธีระเดินเข้ามาในห้องครัว ศุภวัฒน์ปรายตามองหนังสือพิมพ์ที่ยังพับอยู่บนโต๊ะอย่างรวดเร็วก่อนจะยิ้มตอบ
"หวัดดีตี้ เมื่อคืนคนเจ็บมันคงไม่ได้งอแงมากใช่ไหม?"
"อ๋อ ไม่หรอกครับ" ผิวแก้มของคนพูดเรื่อสีชมพูเล็กน้อยก่อนจะหันไปทางกฤตภาส "คุณกฤต ผมว่าจะลงไปซื้อข้าวที่ร้านตามสั่งหน้าปากซอย อาจจะแวะตลาดด้วย จะฝากซื้ออะไรมั้ยครับ?"
"เธอกินอะไรฉันก็กินนั่นแหละ ถ้าเงินไม่พอก็หยิบจากกระเป๋าสตางค์ฉันไปก่อนก็ได้ รู้ใช่มั้ยว่าวางไว้ตรงไหน?"
"ได้ครับ แล้วหมอเหวินจะกินอะไรมั้ยครับผมจะได้ซื้อมาให้"
"ไม่ต้องๆ หมอแค่แวะมาดูอาการไอ้คุณชาย เดี๋ยวก็ต้องกลับไปคลินิกแล้ว"
เด็กหนุ่มพยักหน้าแล้วก็เดินออกไปจากห้อง หลังจากประตูหน้าปิดลงแล้วศุภวัฒน์ก็หันกลับมาทำตาโตมองเพื่อนที่นั่งสูบบุหรี่แกล้มกาแฟเหมือนเพิ่งทำเรื่องธรรมดาที่สุดในชีวิต
"เฮ่ย!! ทำไมบรรยากาศเมื่อกี้มันเหมือนคู่รักกำลังฮันนีมูนเลยวะ!? ตกลงเมื่อคืนกูพลาดอะไรไปมั่งเนี่ย!?"
กฤตภาสขยี้ก้นบุหรี่ที่เหลือด้วยสีหน้าเอือมระอา "ไม่ใช่อย่างที่มึงคิดก็แล้วกัน อีกอย่างบรรยากาศคู่รักฮันนีมูนอะไรนั่นไม่มีหรอก เด็กนั่นแค่ชินกับกูแล้วก็เท่านั้นแหละ"
"หือ? แต่กูดูยังไงเลเวลของมึงกับเขาก็เกินเจ้านายลูกน้องไปแล้วนี่หว่า มึงถึงกับจูบเขาให้นักข่าวเอารูปไปลงหนังสือพิมพ์ จะมาบอกว่าไม่รักไม่ชอบนี่กูไม่เชื่อนะเว่ย"
กฤตภาสจุดบุหรี่มวนที่สองขึ้นสูบ เขาหันไปพ่นควันอีกทางแล้วก็นึกถึงคำสอนที่ถูกพร่ำเตือนในอดีตจนบางครั้งก็นึกรำคาญที่ไม่ลืมคำพูดเหล่านั้นเสียที
"จำไว้นะกฤต ความรักเป็นแค่เรื่องเพ้อฝันที่จบลงเมื่อเราตื่น สิ่งที่ทำให้คนเราอยู่ด้วยกันมีแค่ความหลงใหล ถ้าหากความหลงใหลถูกใช้ไปจนหมดเมื่อไหร่ เราก็หมดค่าในสายตาอีกฝ่ายเมื่อนั้นนั่นแหละ"
นั่นเป็นคำพูดที่แม่เคยบอกเขาหลังจากเลิกกับสามีคนที่สาม นับตั้งแต่บุพการีหย่าร้างกัน กฤตภาสก็ถูกแม่พาไปอยู่ที่อังกฤษด้วยตั้งแต่ยังเรียนชั้นประถม เขาได้เห็นความสัมพันธ์ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปของผู้เป็นแม่จนเคยชิน กระทั่งวันหนึ่งที่เห็นว่าเขาเริ่มเป็นหนุ่มและมีผู้หญิงมาติดพัน หม่อมหลวงมุกตาภาก็เรียกเขาไปคุยเพื่อถ่ายทอดบทเรียนที่ได้กลั่นกรองด้วยตัวเองจากรักอันผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเขาจำขึ้นใจ
ทั้งที่ความจริงแล้ว...ต่อให้ไม่มีใครพูดเรื่องนี้ด้วย กฤตภาสก็ตระหนักมาตั้งแต่ย่างเข้าวัยแตกพานว่าความรักอันมั่นคงและยืนยาวไม่ใช่เป้าหมายในการดำเนินชีวิตของเขาเลยสักนิด
"...ความรักมันไม่มีอยู่จริงหรอก"
"หือ?"
ศุภวัฒน์เลิกคิ้วเหมือนได้ยินไม่ถนัด กฤตภาสจึงยกกาแฟที่เหลือขึ้นดื่มแล้วก็ตัดบท "การถูกใจใครสักคนไม่ได้หมายความว่ารัก ถ้ากูเบื่อเด็กคนนั้นหรือเขาทนกูไม่ไหวเมื่อไหร่ก็จบ การที่คนสองคนมีความต้องการบางอย่างตรงกันในช่วงเวลาหนึ่งมันเรียกว่าความรักไม่ได้หรอก"
นายแพทย์หนุ่มยิ่งเลิกคิ้วสูงจนหน้าผากย่นไปถึงตีนผม เขารู้จักกฤตภาสมาตั้งแต่เด็กจึงตระหนักดีว่าทำไมอีกฝ่ายจึงมีมุมมองเกี่ยวกับความสัมพันธ์บิดเบี้ยวไม่เหมือนคนอื่น กระนั้นพอนึกถึงสีหน้าท่าทางของธีระเวลาอยู่ใกล้เพื่อนของเขาแล้วก็รู้สึกสงสาร
"ถึงมึงจะคิดแบบนั้นก็เถอะ ทำไมไม่ลองเปิดใจดูหน่อยวะกฤต เด็กคนนั้นอาจช่วยให้มึงเปลี่ยนความคิดแล้วหัดรักใครสักคนบ้างก็ได้นะ มึงเอาแต่คบคนนั้นทีคนนี้ที แบบนี้มีแต่จะผลักไสคนที่เขารู้สึกดีกับมึงจริงๆ ออกจากชีวิตนะเว่ย"
"มึงดูละครเยอะไปจริงๆ ว่ะเหวิน" กฤตภาสแค่นหัวเราะพลางขยี้ก้นบุหรี่ที่เพิ่งสูบไม่ถึงครึ่งมวน จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากครัว "ถ้าไม่มีธุระอะไรอีกกูขอไปเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนล่ะ ถ้าอยากกินกาแฟหรืออะไรในตู้เย็นก็หยิบเอาได้เลย แล้วก็ขอบใจที่เอาข่าวมาบอก ช่วยเก็บหนังสือพิมพ์นั่นกลับไปด้วยก็แล้วกัน กูยังไม่อยากให้ตี้เห็น"
ศุภวัฒน์มองแผ่นหลังของเพื่อนที่เดินหายเข้าไปในห้องนอนแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เขาหยิบหนังสือพิมพ์มากางหน้าที่พับไว้ออกดูรูปอีกครั้ง จากนั้นก็ฉีกหน้านั้นจนเป็นริ้วแล้วขยำทิ้งในถังขยะข้างเคาน์เตอร์
เรื่องที่ควรเตือนในฐานะเพื่อนก็ได้เตือนไปแล้ว คงได้แต่หวังว่าสักวันกฤตมันจะรู้ตัวว่าการเล่นกับความรู้สึกคนอื่นไม่ใช่เรื่องธรรมดาสามัญอย่างที่ชอบทึกทักก็แล้วกัน เพราะดูเหมือนว่าต่อให้เขาพูดอะไรมากกว่านี้ก็คงส่งไปไม่ถึงหัวใจที่ปิดประตูขังตัวเองเอาไว้อีกแล้ว...
++---++
ธีระกลับมาที่คอนโดหลังจากออกไปข้างนอกร่วมหนึ่งชั่วโมง ดูเหมือนวันนี้ผู้คนต่างพร้อมใจออกมาจับจ่ายใช้สอยจนทั้งตลาดและร้านอาหารเนืองแน่นด้วยลูกค้า ขนาดเขาเลือกร้านที่น่าจะคิวสั้นที่สุดแล้วก็ยังต้องรอเกินสิบนาที และเพราะนึกได้ว่าในตู้เย็นที่ห้องกฤตภาสแทบไม่มีอะไร เขาเลยแวะซื้อทั้งของสดและของแห้งสำหรับให้คนเจ็บได้ตุนเอาไว้ด้วย
เมื่อกลับถึงคอนโดแล้วเด็กหนุ่มก็กดลิฟต์ขึ้นไปชั้นบน เมื่อเปิดประตูห้องเข้าก็ไปแปลกใจที่เห็นเจ้าของห้องนอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟา เขาเลิกคิ้วแล้วเดินเข้าไปใกล้ๆ กระทั่งได้เห็นแผ่นอกที่กระเพื่อมขึ้นลงสม่ำเสมอจึงรู้ว่าอีกฝ่ายหลับจริง
คงยังเหนื่อยละมั้ง...เมื่อคืนกว่าจะได้นอนกันก็ดึกแล้วนี่นา...
เด็กหนุ่มคิดพลางหอบหิ้วสิ่งที่ซื้อมาเข้าไปในครัว เขาเก็บของสดและแห้งเข้าตามตู้ต่างๆ โดยวางกล่องโฟมที่ใส่อาหารตามสั่งไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็ล้างมือแล้วเดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่น
"คุณกฤตครับ ผมซื้อข้าวไก่อบมานะ จะกินเลยหรือเปล่า?"
ธีระนั่งลงบนขอบโซฟาที่กฤตภาสนอนอยู่พลางเอ่ยถามเพราะเห็นอีกฝ่ายขยับตัว นัยน์ตาสีนิลปรือขึ้นมองเขาแล้วก็ส่ายหน้า
"ไว้อีกสักพักก็แล้วกัน ตอนนี้ยังไม่ค่อยอยากกินข้าวเท่าไหร่"
"แต่มียาที่ต้องกินหลังอาหารนะครับ อีกอย่างนี่บ่ายโมงกว่าแล้วด้วย ข้าวเช้าคุณก็ยังไม่ได้กิน ถ้าไม่กินข้าวเที่ยงแล้วเมื่อไหร่จะได้กินยาล่ะ"
เด็กหนุ่มเตือนราวอีกฝ่ายเป็นเด็กที่กำลังงอแงอย่างไม่เข้าท่า กฤตภาสจึงหรี่ตามองเขาจนธีระเสียวสันหลัง แต่ยังไม่ทันจะลุกหนีก็ถูกฉุดแขนลงไปบนโซฟาแล้วถูกคนตัวใหญ่กว่าขึ้นคร่อม
"สงสัยฉันจะนอนเยอะไปเลยไม่ค่อยหิว แต่ถ้าได้ออกกำลังสักหน่อยก็อาจอยากอาหารมากขึ้นก็ได้นะ"
"แต่หมอเหวินบอกไว้ว่าห้ามออกแรงเกินตัวนะครับ! คุณกฤต...!!"
ธีระยังค้านไม่ทันจบก็ถูกริมฝีปากอุ่นรุกไล่ ปลายลิ้นที่ยังเจือรสขื่นของนิโคตินยื่นเข้ามาพัวพันกับลิ้นของเขาจนมือไม้ที่พยายามดันอีกฝ่ายอ่อนแรง เนื่องจากรู้ดีว่าแผลบนไหล่ซ้ายของกฤตภาสยังไม่หายจึงทำให้เขายิ่งไม่กล้าผลักอีกฝ่ายมากขึ้นไปอีก เปิดทางให้กฤตภาสทำสิ่งที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย
"หนวดคุณกฤต...คัน"
"หืม? แต่ก่อนหน้านี้ไม่เคยบ่นนี่"
กฤตภาสรู้ดีว่าวันไหนที่เขาไม่ได้โกนหนวดแล้วไรเคราจะขึ้นค่อนข้างเยอะ ยิ่งพอได้ยินธีระบ่นเขาก็ยิ่งจงใจเลิกชายเสื้ออีกฝ่ายแล้วตะโบมจูบไปบนแผ่นอกและหน้าท้องแบนราบมากขึ้น
"ก็มัน..." ธีระก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงบ่นเรื่องนี้ขึ้นมาตอนนี้ ความจริงเขาไม่ชอบเวลาโดนตอหนวดแข็งๆ ของกฤตภาสซุกไซ้ตั้งแต่ครั้งแรกๆ ที่นอนด้วยกัน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเหมือนกับใกล้ชิดอีกฝ่ายมากพอจะบอกเรื่องนี้ได้ ทว่ายังไม่ทันจะคิดหาคำอธิบายก็พบว่าคนเจ็บรูดซิปกางเกงเขาลงแล้ว และตอนนี้ริมฝีปากได้รูปก็กำลังจูบส่วนอ่อนไหวของเขาผ่านเนื้อผ้าบางๆ ของกางเกงบ็อกเซอร์
นัยน์ตาสีนิลที่เหลือบขึ้นมองเขาทั้งที่กำลังใช้ฟันขบส่วนที่กำลังมีปฏิกิริยาใต้เนื้อผ้าจุดความร้อนให้แล่นไปทั้งร่างของธีระ เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับมีลาวาเหลวไหลวนอยู่ในหัว และมันทำให้การยับยั้งชั่งใจของเขาเริ่มหลอมละลายตามไปทุกที ใบหน้าเนียนแดงก่ำมากยิ่งขึ้นเมื่อกฤตภาสเกี่ยวนิ้วบนยางยืดของบ็อกเซอร์ลงแล้วไล้ปลายลิ้นผะแผ่วไปบนส่วนไวสัมผัส
ไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับเขา แม้แต่ตอนที่คบกับณรงค์ ฝ่ายนั้นก็ไม่เคยใช้ริมฝีปากกับส่วนนี้ให้เลยสักครั้ง
"ยังอยากให้หยุดอีกรึเปล่า?"
กฤตภาสถามยิ้มๆ พลางจรดริมฝีปากลงบนส่วนปลายที่เริ่มชุ่มฉ่ำจนร่างเพรียวกระตุก ธีระหอบหายใจพลางหลบตาคนถามด้วยความอาย แต่สติส่วนที่รับรู้ความผิดชอบชั่วดียังสั่งการให้เขาคัดค้านด้วยเสียงอ้อมแอ้ม
"ผมไม่อยากให้แผลคุณเป็นอะไรมากขึ้นแล้วโดนคุณหมอว่าเอานะ"
"ไม่เห็นจะยาก ในเมื่อเหวินมันบอกว่าห้ามฉันออกแรงเกินตัว เธอก็ช่วยไม่ให้ฉันต้องออกแรงสิ"
กฤตภาสดึงแขนธีระให้ลุกขึ้นนั่ง จากนั้นก็เอนหลังแล้วดึงร่างเพรียวให้ขึ้นคร่อม ท่าทางล่อแหลมเช่นนั้นทำให้เด็กหนุ่มเข้าใจความคิดของอีกฝ่ายได้ทันที
"คุณกฤต...ขี้โกง"
น้ำเสียงและใบหน้าตัดพ้อของธีระทำให้กฤตภาสหัวเราะ ชายหนุ่มโน้มคออีกฝ่ายลงจูบ ส่วนมืออีกข้างก็ค่อยๆ ร่นกางเกงของเด็กหนุ่มลง ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้สะโพกที่แน่นตึงพลางกระซิบข้างหูคนที่หน้าแดงก่ำ
"เด็กดี ไม่ต้องคิดมากหรอก เราไม่บอกใครก็พอแล้วนี่"
ธีระไม่ได้ตอบ ทว่าก็ไม่ได้ขัดขืนอีกเมื่อถูกถอดกางเกงและเสื้อจนเหลือเพียงร่างที่ถูกแสงไฟในห้องย้อมจนเป็นสีผ่องนวลตา กฤตภาสยิ้มยามได้เห็นอีกฝ่ายมีปฏิกิริยาเมื่อถูกสัมผัส และความเร่าร้อนของคนที่ยอมเป็นฝ่ายอยู่ข้างบนก็ทำให้เขาลืมเรื่องที่ศุภวัฒน์เตือนเมื่อเช้าไปสนิทใจ
ไม่มีอะไรอื่นที่สำคัญอีกแล้วในเวลานี้ ขอแค่แววตาที่อ่อนเชื่อมด้วยแรงปรารถนาบนผิวหน้าซ่านสีกลีบกุหลาบ และผิวเนื้ออุ่นซึ่งเคลื่อนไหวตามจังหวะการชี้นำของเขาก็เพียงพอ ส่วนความรักอะไรนั่น...มันไม่ใช่เรื่องที่เขาอยากจะเสียเวลาคิดหาคำตอบเลยสักนิด
++---TBC---++
A/N: ตอนนี้คาดว่ากฤตภาสคงเปิดตู้ ปณ.เตรียมรอรับ hate mail จากคนอ่านแล้วค่ะ สามารถทิ้งความเห็นเอาไว้ได้ แล้วเดี๋ยวคนเขียนจะรวบรวมไปส่งให้นะคะ >_<
Create Date : 11 พฤษภาคม 2557 | | |
Last Update : 11 พฤษภาคม 2557 11:11:44 น. |
Counter : 2592 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เล่ห์ลวงใจ บทที่ 25
สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็ชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมรื่องแนว Boy's Loveดังนั้นหากไมชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ
++------++
เล่ห์ลวงใจ บทที่ 25
ธีระไม่แน่ใจว่าศุภวัฒน์ใช้เวลาขับรถนานแค่ไหน รู้แต่ว่าเมื่อมือที่กุมมือของเขาผละไปหลังมาถึงคอนโดของกฤตภาส ไออุ่นที่หายไปก็ทำให้เขานึกอยากให้ระยะทางยืดยาวออกไปอีกหน่อย
มันช่างเป็นความรู้สึกที่ไม่ปลอดภัยเอาเสียเลยจริงๆ
ดูเหมือนศุภวัฒน์จะคาดการณ์ไว้แล้วว่าต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เพราะหลังจากดับเครื่องแล้วนายแพทย์หนุ่มก็เดินไปหยิบกล่องเครื่องมือแพทย์ออกจากท้ายรถ พอพวกเขาขึ้นลิฟท์ไปถึงที่ห้องก็ช่วยกันถอดเสื้อสูทให้กฤตภาสอย่างทุลักทุเล
"นี่ถ้าไม่ติดว่าสูทมึงเป็นของดีแอนด์จีนะ กูจะเอากรรไกรตัดให้รู้แล้วรู้รอด"
"เอาเลยแต่ซื้อใหม่ให้กูด้วย แค่นี้ขนหน้าแข้งคุณหมอคงไม่ร่วงหรอก"
ถึงแผลจะระบมแต่ก็ไม่มีผลกับวาจาเชือดเฉือนของกฤตภาส ศุภวัฒน์จึงได้แต่เหล่ตามองอย่างหมั่นไส้หลังจัดการถอดสูทเจ้าปัญหาออกได้สำเร็จ นายแพทย์หนุ่มถอดสูทของตนออกบ้างแล้วก็ม้วนแขนเสื้อขึ้น
"เดี๋ยวกูไปล้างมือก่อน ตี้ช่วยถอดเสื้อเชิ้ตให้มันที"
"ครับ"
ธีระหันกลับมาแล้วก็สูดหายใจเฮือกเมื่อเห็นรอยซึมเปื้อนสีแดงเป็นจุดๆ บนไหล่ซ้ายของกฤตภาส รอยนั้นไม่ได้ใหญ่นักหนา แต่ก็ยังตัดกับเนื้อผ้าสีครีมจนเขาหน้าซีด
"ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกน่า ดูทำหน้าเข้า"
กฤตภาสเอ่ยพลางยกมือขวาขึ้นปลดกระดุมเสื้อด้วยตัวเอง น้ำเสียงอันเย้าแหย่ช่วยให้ธีระตั้งสติได้ เขาเข้าไปช่วยปลดกระดุมที่เหลือก่อนจะค่อยๆ ร่นคอเสื้อลงตามแขนเพื่อให้กระเทือนคนเจ็บน้อยที่สุด
"ถึงไม่ได้เป็นอะไรมากแต่ผมก็ไม่ชอบเห็นเลือดอยู่ดีครับ คุณไม่น่าจะฝืนตัวเองแบบนั้นเลย"
"แล้วปล่อยให้เธอคว้ากระถางต้นไม้แถวนั้นมาฟาดหัวหมอนั่นน่ะเหรอ? ไม่ได้หรอก อีกอย่างฉันดูแล้วว่าแค่บิดแขนคงเป็นการสั่งสอนที่ดีพอ ไม่งั้นถ้าฉันลงมืออย่างที่อยากจะทำจริงๆ ไอ้คุณอินนั่นคงได้ไปลวนลามนางพยาบาลต่อในไอซียูแน่"
ธีระมุ่นคิ้วขณะที่ดึงเสื้อกฤตภาสออกจนพ้นจากตัว นัยน์ตาสีนิลที่จ้องมองมาอย่างยากจะอ่านความหมายทำให้เขารู้สึกราวกับมีน้ำเอ่อขึ้นท่วมปอด
"เอาล่ะๆ ถึงจะไม่อยากขัดจังหวะแต่หน้าที่หมอต้องมาก่อน ขอหมอดูแผลให้ไอ้คุณชายหน่อยนะตี้"
"เอ้อ...ครับ งั้นผมเอาเสื้อคุณกฤตไปซักก่อนนะครับ"
เด็กหนุ่มหน้าร้อนวูบเมื่อเห็นแววตาล้อเลียนของศุภวัฒน์ เขารีบหยิบเสื้อเชิ้ตของกฤตภาสไปใส่เครื่องซักผ้า จากนั้นก็เข้าครัวไปเทน้ำใส่แก้วสองใบแล้วยกออกมาที่ห้องนั่งเล่น ท่าทางที่ดูคุ้นเคยกับสถานที่เป็นอย่างดีทำให้นายแพทย์หนุ่มลอบยิ้มขณะก้มลงตรวจแผลของเพื่อน
"โชคดีว่าแค่เลือดซึมแต่แผลไม่ฉีก ทีหลังก็อย่าซ่าให้มากนักล่ะ มึงโชคดีที่กระสุนไม่ได้โดนกระดูกหรืออวัยวะสำคัญ แต่ถ้าบู๊มากๆ ระหว่างแผลยังไม่หายก็เสี่ยงอักเสบได้นะเว่ย"
"รู้แล้วน่าไอ้หมอ คิดว่ากูอยากเป็นคนทุพพลภาพรึไงกัน"
ธีระขัดจังหวะการปะทะคารมของทั้งสองด้วยการยื่นแก้วน้ำเย็นให้ ศุภวัฒน์รับแก้วไปแล้วก็ดื่มอึกเดียวหมดแก้ว ส่วนกฤตภาสดื่มเพียงครึ่งแก้วก็วางลงบนโต๊ะ
"กูทำความสะอาดแผลให้แล้ว เดี๋ยวมึงเช็ดตัวแล้วก็นอนพักผ่อนซะ ถ้ามีอะไรฉุกเฉินก็โทรมา ตี้ช่วยดูแลให้มันกินยาให้ตรงเวลาด้วยก็แล้วกัน หมอขอตัวกลับก่อนล่ะ"
นายแพทย์หนุ่มทิ้งท้ายพลางหันไปหยิบเสื้อสูทของตัวเองและกล่องเครื่องมือแพทย์ ธีระจึงเดินตามไปเปิดประตูห้องให้ เขามองอีกฝ่ายก้มลงใส่รองเท้าแล้วก็ถามเสียงเบา
"แล้วคุณหมอ...ไม่อยู่เฝ้าคุณกฤตเหรอครับ?"
"โอ้ย! แผลแค่นั้นมันไม่ตายง่ายๆ หรอก อีกอย่างหมอไม่อยากอยู่เป็นส่วนเกินด้วย ตี้แค่ช่วยระวังอย่าให้มันออกแรงทำอะไรเกินตัวก็พอ หมอไปละนะ"
ธีระมองแผ่นหลังของศุภวัฒน์ที่เดินจากไปจนกระทั่งลับหัวมุมอาคาร จากนั้นก็ปิดประตูแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องนั่งเล่น กฤตภาสยังคงนั่งอยู่บนโซฟาโดยสวมแค่กางเกงแสล็คตัวเดียว มือขวาลูบบนผ้าก๊อซที่ปิดแผลพร้อมกับสีหน้าครุ่นคิด เด็กหนุ่มหันไปดูนาฬิกาก็เห็นว่าดึกมากแล้ว จึงคิดว่าหากต้องทำอะไรก็รีบทำให้เสร็จๆ ไปจะดีกว่า
"คุณกฤต จะเปลี่ยนเสื้อผ้านอนเลยมั้ยครับ?"
คนถูกถามเหลือบตาขึ้นมองเขา จากนั้นก็ส่ายหน้า
"ฉันหิวข้าว ในตู้เย็นมีอะไรบ้าง?"
เด็กหนุ่มนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายคงแทบไม่ได้กินอะไรตอนอยู่ในงานเลี้ยง จึงเข้าครัวไปเปิดตู้เย็นและพบว่ามีแต่ไข่กับต้นหอมญี่ปุ่นเหี่ยวๆ ส่วนนมกับขนมปังหมดอายุแล้วเพราะกฤตภาสคงซื้อไว้ตั้งแต่ก่อนจะเข้าโรงพยาบาล พอลองเปิดตู้เหนือศีรษะก็เจอบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบแพ็คเหลืออยู่ครึ่งโหล ดูท่าคนหิวคงไม่มีทางเลือกมากนักในเวลานี้
"คุณกฤต กินมาม่าใส่ไข่ได้มั้ยครับ?"
"ได้ ตอนนี้มีอะไรก็ทำอันนั้นแหละ"
กฤตภาสส่งเสียงตอบมาจากห้องนั่งเล่น ธีระจึงหันไปหยิบหม้อมาใส่น้ำแล้วตั้งไฟ จากนั้นก็หั่นต้นหอมญี่ปุ่นใส่เมื่อน้ำเริ่มเดือด ตามด้วยเส้น เครื่องปรุงและไข่ไก่สองฟอง
"แล้วตัวเองไม่หิวรึไง ทำไมทำแค่นั้น?"
ธีระสะดุ้งเมื่อจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงในระยะประชิดจากด้านหลัง เขารีบปิดเตาแล้วก็หันไปหยิบชามที่วางอยู่บนตะแกรง
"ผมไม่หิว คุณกฤตกินนี่ก่อนดีกว่าครับจะได้กินยา"
เขาเทบะหมี่ใส่ชามแล้วก็วางลงบนโต๊ะพร้อมตะเกียบและช้อน กฤตภาสไม่ได้เซ้าซี้และเพียงแต่เดินไปนั่งกินมื้อดึกอย่างเงียบๆ ธีระถือโอกาสนั้นชงโอวัลตินมานั่งดื่มบ้าง เพราะถึงเมื่อเย็นจะกินข้าวไปนิดเดียวแต่ก็ไม่รู้สึกอยากอาหารจริงจังสักเท่าไหร่
กฤตภาสใช้เพียงมือขวาในการคีบเส้นบะหมี่เข้าปากและตักน้ำซุป ระหว่างที่ทั้งคู่ต่างกินและดื่มกันไปอย่างเงียบๆ โทรศัพท์มือถือของธีระก็ส่งเสียงดังจนเขาสะดุ้ง พอหยิบขึ้นดูจึงเห็นว่าอรรณพโทรมาหา
"พี่อาร์ท...จริงด้วยสิ ผมไม่ได้บอกใครไว้เลยก่อนจะออกมาจากที่งาน"
"รับสายสิ แล้วก็ถามด้วยว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้าง"
กฤตภาสเอ่ยพลางก้มลงตักบะหมี่กินต่อ ธีระจึงกดรับสายแล้วส่งเสียงทัก
"ครับพี่อาร์ท?"
"ตี้เหรอ ตอนนี้งานเลี้ยงจบแล้วนะ นี่กลับไปตอนไหนเนี่ย?"
"เอ่อ...ตอนใกล้ๆ งานเลี้ยงจะจบน่ะครับ พอดีตี้...ไม่ค่อยสบายเลยออกมาก่อน แล้วงานเป็นยังไงบ้างครับ?"
"ก็เรียบร้อยดีทุกอย่าง ผู้บริหารของลูกค้าก็แฮปปี้ดี เขายังถามหาคุณกฤตเพราะอยากขอบคุณแต่พี่โทรหาแล้วแกไม่รับก็เลยคิดว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยโทรใหม่ ยังไงวันจันทร์ตี้อย่าลืมเอาวอมาคืนด้วยนะ เดี๋ยวไอ้บุ้งจะหัวหมุนเอาที่ได้วอคืนไม่ครบ"
"โอเคครับ ขอโทษนะพี่อาร์ทที่ตี้ไม่ได้อยู่ช่วยเก็บงาน แล้วเจอกันวันจันทร์ครับ"
เด็กหนุ่มตัดสายแล้ววางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ และเห็นว่ากฤตภาสจัดการบะหมี่หมดเกลี้ยงแล้ว
"อาร์ทว่าไงบ้าง?"
"งานจบเรียบร้อยดี ลูกค้าก็แฮปปี้ครับ เห็นว่าถามหาคุณกฤตเพราะอยากขอบคุณด้วย"
กฤตภาสพยักหน้าอย่างไม่แปลกใจนัก เพราะเมื่อเย็นเขาผูกมิตรกับผู้บริหารระดับสูงที่เป็นเจ้านายของอนุชิตไว้แล้ว และรู้ด้วยว่าหากครั้งหน้าลูกค้าจะจ้างเขาอีกก็คงมาจากการตัดสินใจของผู้บริหารคนนี้
ธีระมองสีหน้าไม่ยินดียินร้ายของกฤตภาสพลางหมุนถ้วยโอวัลตินไปมา อดคิดไม่ได้ว่าค่ำคืนนี้ช่างมีเรื่องมาให้ขบคิดมากมายเหลือเกิน แต่เรื่องที่ติดใจเขาที่สุดกลับเป็นคำพูดของศุภวัฒน์ก่อนจะลากลับไปเมื่อตอนค่ำ
"อีกอย่างหมอไม่อยากอยู่เป็นส่วนเกินด้วย"
ธีระเคยผิดหวังจากการคิดเข้าข้างตัวเองมาแล้วตอนคบกับณรงค์ ตั้งแต่นั้นมาจึงพยายามหลีกเลี่ยงการทึกทักอะไรก็ตามที่ไม่ชัดเจนถึงแม้ว่าจะชวนให้คิดสักแค่ไหน แต่ประโยคสุดท้ายที่ได้ยินวันนี้มันสะกิดความอยากรู้อยากเห็นจนเขาต้องการคำตอบ
"คุณกฤตครับ ถามอะไรหน่อยได้ไหม?"
"ว่ามาสิ"
เจ้าตัวเปิดทางให้แล้ว งั้นเขาไม่เกรงใจล่ะนะ
"เอ่อ...คุณกฤต...กับหมอเหวิน...เป็นแฟนกัน...ใช่รึเปล่า?"
เด็กหนุ่มสะดุ้งเมื่อกฤตภาสหันไปพ่นน้ำที่เพิ่งดื่มอย่างกะทันหัน ชายหนุ่มไอเพราะสำลักจนหน้าแดงขณะดึงกระดาษทิชชู่ขึ้นซับปากกับจมูก
"แค่ก!...เธอ...ถามว่าฉันกับไอ้เหวินเป็นอะไรกันนะ?"
นัยน์ตาสีนิลวาววับยังกับมีไฟลุกทำให้ธีระนึกแหยง แต่ก็ยอมทวนคำถามให้แต่โดยดี
"ผมถามว่าคุณกฤตกับหมอเหวินเป็นแฟนกันรึเปล่า...ตกลงไม่ใช่เหรอครับ?"
"ไม่ใช่แหงอยู่แล้ว!! ฉันกับไอ้เหวินรู้จักกันตั้งแต่ก่อนเข้าอนุบาลเพราะว่าแม่เป็นเพื่อนกัน อีกอย่างแค่นึกว่าจะพิศวาสมันฉันก็จะอ้วกแล้ว! ใครเป็นคนพูดให้คิดอะไรน่าคลื่นไส้แบบนั้น ไอ้เหวินรึไง?"
"เปล่าครับ! หมอเหวินไม่ได้พูด ผมแค่...เข้าใจผิดเอง"
แถมท่าทางจะเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวงเสียด้วยสิ เพราะดูท่าทางคนตอบคงไม่ได้ปฏิเสธเพราะเขินอายแน่ๆ สีหน้าถมึงทึงจนอย่างกับลมจะออกหูซะปานนั้น
แต่ว่า...แล้วทำไมเขาจะต้องโล่งใจด้วยล่ะ คุณกฤตยังมีนางแบบที่ชื่อนิคกี้นั่นอีกคนไม่ใช่หรือไง
ธีระคิดแล้วก็ให้หงุดหงิดเหมือนมีก้อนกรวดกลิ้งอยู่ในอก เขาลุกขึ้นหยิบชามอันว่างเปล่าของกฤตภาสมาซ้อนกับถ้วยโอวัลตินของตัวเองแล้วก็ตัดบท
"คุณกฤตอย่าลืมกินยานะครับ แล้วก็ไปเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้านอนได้แล้ว เดี๋ยวตอนออกไปผมจะล็อคประตูให้"
"เดี๋ยวสิ จู่ๆ เป็นอะไรขึ้นมา? แล้วจะทิ้งหน้าที่ดูแลกันไปเฉยๆ ตอนนี้น่ะเหรอ?"
"ก็เมื่อกี้คุณพูดเองว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก อีกอย่างแค่เช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้านี่ใช้แขนข้างเดียวคงไม่ลำบากนักหรอก ตอนนี้ผมเหนื่อยแล้ว ผมอยากกลับไปนอน"
เด็กหนุ่มนึกอยากรวนอย่างไม่มีเหตุผล เขาพยายามจะยื้อแขนออกจากมือกฤตภาสที่ยื่นมาจับไว้แน่นโดยไม่เงยหน้ามองเจ้าตัวเลย แต่นั่นกลับกระตุ้นให้อีกฝ่ายอารมณ์เสียมากขึ้น
"ถ้าง่วงก็นอนมันที่นี่แหละ ดึกดื่นป่านนี้แล้วจะกลับทำไม พรุ่งนี้วันเสาร์ก็ไม่ต้องไปทำงานสักหน่อย ตามมานี่"
"ไม่เอา! ปล่อยนะ! ผมจะกลับ!!"
"ไม่ให้กลับ! ถ้าคิดว่าจะหนีกลับก็ลองดูสิ! เธอไม่นอนที่นี่เดี๋ยวฉันตามไปนอนที่ห้องเธอก็ได้ อยากนอนที่ไหนก็เลือกเอา!"
ผู้ชายคนนี้! ถ้าไม่ได้เอาชนะแล้วจะนอนไม่หลับรึไงกัน!?
ธีระถูกจูงกึ่งลากไปจนถึงห้องนอนของกฤตภาส จากนั้นเจ้าของห้องก็หันไปล็อคประตูแล้วยืนบังไว้ทั้งตัว เด็กหนุ่มเชิดหน้าขึ้นมองคนตัวใหญ่กว่าแล้วก็กระทืบเท้าอย่างขัดใจ
"คุณกฤต! ให้ผมกลับหอเดี๋ยวนี้นะ!"
"ทำไมต้องอยากกลับขนาดนั้น!? อยู่กับฉันมันแย่นักรึไง!?"
ชีวิตผมแย่ลงทุกวันตั้งแต่เจอคุณนั่นแหละ!! ธีระนึกอยากจะตะโกนดังๆ ให้สาแก่ใจ แต่กลายเป็นว่าน้ำตาไหลพรากทั้งที่ยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ
"อ๊ะ"
เด็กหนุ่มตกใจที่จู่ๆ ทำนบน้ำตาก็ทะลักอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ยิ่งได้เห็นสีหน้าประหลาดใจสุดขีดของกฤตภาสก็ยิ่งอายจนต้องรีบหนีเข้าห้องน้ำแล้วล็อคประตูแน่น
บ้าเอ๊ย! ทั้งที่ตั้งใจว่าจะเข้มแข็งแต่ดันไปน้ำตาไหลต่อหน้าเขาทำไม! น่าขายหน้าที่สุด!!
กฤตภาสยืนทื่ออยู่กับที่อย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก ครู่หนึ่งก็เริ่มตระหนักว่าไม่ได้ยินเสียงอะไรจากห้องน้ำเลย ความกังวลทำให้เขารีบเข้าไปตบประตูเสียงดัง
"ตี้ ทำอะไรอยู่ในนั้นน่ะ!"
ธีระสะดุ้งเมื่อถูกร้องถาม เด็กหนุ่มไม่แน่ใจว่าเจ้าของเสียงกำลังร้อนใจหรือรำคาญกันแน่ จึงตัดสินใจไม่ตอบแล้วก็เพียงทรุดตัวลงนั่งชันเข่าพิงผนัง
เอาเลย...อยากตบประตูให้มือแตกหรือประตูพังก็ตามใจ ยังไงก็ไม่ยอมเปิดออกไปหรอก! เด็กหนุ่มหันไปดึงกระดาษทิชชู่มาเช็ดน้ำตาและน้ำมูก ถึงแม้จะตั้งใจว่าจะไม่ต่อปากต่อคำกับคนนอกห้องอีก แต่ประโยคคำถามถัดมาก็ทำให้เขาของขึ้นอีกจนได้
"นี่! ออกมาเถอะน่า คิดว่าจะนอนในห้องน้ำได้รึไง!?"
"ก็แล้วทำไมจะนอนไม่ได้! ในเมื่อคุณไม่ให้ผมกลับหอ งั้นผมจะนอนที่ไหนในนี้มันก็เรื่องของผม!!"
ธีระตอบอย่างฉุนเฉียวพลางปาก้อนทิชชู่แฉะๆ ไปที่ประตู ใจหนึ่งก็นึกอยากลุกขึ้นกวาดข้าวของในห้องน้ำให้แตกกระจายเพื่อระบายอารมณ์ แต่อีกใจก็เตือนว่าขืนทำอย่างนั้นคงถูกกฤตภาสใช้เป็นข้ออ้างให้ทำโน่นทำนี่อีกแน่ ทว่าเด็กหนุ่มไม่รู้ตัวเลยว่าการปฏิเสธอย่างแข็งขันของเขาทำให้คนหน้าห้องระบายลมหายใจยาวด้วยความโล่งอก
ยังเถียงได้อยู่...แสดงว่าไม่ได้หมดอาลัยตายอยากหรือตั้งใจจะคิดสั้น...
กฤตภาสตระหนักดีว่าธีระเป็นคนเด็ดเดี่ยวเอาเรื่อง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมให้อีกฝ่ายนอนในห้องน้ำทั้งคืนเพื่อพิสูจน์ความดื้อของตัวเองได้ อย่างน้อยการปราบเด็กดื้อที่แข็งแรงดีก็ทำให้เขารู้สึกสมน้ำสมเนื้อกว่าเด็กดื้อที่เป็นหวัดเป็นไหนๆ
แถมจากประสบการณ์ที่เคยผ่านมา เวลาเด็กคนนี้ไม่สบายจะยิ่งดื้อหนักกว่าปกติซะด้วยสิ
ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกปวดแผลที่โดนยิงเพราะยังไม่ได้กินยา แต่นั่นไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนนักหนาหากเทียบกับการพยายามกล่อมให้ธีระยอมออกจากห้องน้ำเสียที เขายกมือขึ้นลูบผ้าก๊อซที่ปิดแผลอีกครั้งพลางหรี่ตาลง
เสียง 'ตุบ' เบาๆ ที่หน้าประตูดึงความสนใจของธีระที่กำลังปูผ้าเช็ดตัวลงในอ่างให้หันไปมอง เขากำลังสำรวจว่าจะนอนมุมไหนถึงจะสบายตัวที่สุดเนื่องจากอ่างอาบน้ำที่นี่เป็นทรงสามเหลี่ยมไม่ใช่ทรงยาว แต่เพราะความคิดที่ผุดขึ้นมาว่าหรือกฤตภาสจะล้มเพราะความเจ็บทำให้เขาตัดสินใจลองส่งเสียงถาม
"คุณกฤต?"
"ยังนั่งอยู่นี่ ถ้าเธออยากนอนในนั้นฉันจะเฝ้าประตูให้"
กวนประสาท! ถ้าคิดว่าพูดแบบนี้แล้วเขาจะรู้สึกผิดก็ตามสบาย เชิญนั่งเฝ้าตรงนั้นให้หลังแข็งไปทั้งคืนเลย!!
ธีระคิดว่าถ้าเขาต้องนอนอย่างไม่สบายตัวแล้วกฤตภาสก็ไม่ได้นอนเหมือนกันก็สมน้ำสมเนื้อดี เด็กหนุ่มคิดพลางก้าวลงในอ่างอย่างฉุนเฉียว หลังจากหามุมที่พอจะนอนแล้วไม่เมื่อยตัวจนเกินไปได้ก็หลับตาลง
ภายในห้องน้ำเงียบกริบยกเว้นเสียงจากเข็มนาฬิกาเหนือกระจก ธีระยกมือข้างหนึ่งขึ้นถูบนหัวไหล่เพราะรู้สึกหนาวและนอนไม่หลับ แล้วก็ได้แต่นึกสงสัยว่ากฤตภาสหนีเขาไปนอนบนเตียงนุ่มๆ หรือยัง
ทีตอนช่วยเราจากคุณอินล่ะไปว่าเขาว่ารังแกเด็ก แล้วที่ตัวเองทำนี่ไม่นับว่ารังแกเด็กเลยล่ะมั้ง...
"นี่"
เสียงเนิบๆ ลอดผ่านประตูเข้ามาจนธีระเผลอกลั้นหายใจ แต่ว่าก็ไม่ได้ส่งเสียงตอบให้กฤตภาสรู้ว่าเขายังตื่นอยู่
"ตกลงนอนในนั้นแล้วหลับได้จริงๆ เหรอ? เธอนี่จะเก่งเกินไปแล้วนะ"
ถึงน้ำเสียงจะไม่ได้แสดงอารมณ์ใดเป็นพิเศษแต่ธีระก็รู้ว่าคนพูดกำลังประชด เลยแลบลิ้นไปทางประตูพลางตะโกนตอบในใจ
แหงสิ! ใครเขาจะเป็นคุณชายติดสบายเหมือนคุณกันทุกคนล่ะ!!
เกิดความเงียบตามมาอีกครู่ใหญ่ แต่คราวนี้ธีระพบว่าตัวเองตาสว่างจนหลับไม่ลงจริงๆ ถึงแม้ทิฐิจะยังค้ำคอแค่ไหน แต่เขากลับพบว่าอยากให้กฤตภาสคุยกับเขามากกว่านี้
หรือคิดว่าเราน่าจะหลับจริงๆ ก็เลยลุกไปนอนแล้วนะ...
ธีระรู้ตัวว่ากำลังทำตัวขัดแย้งสิ้นดี ไม่อยากตอบเขาแต่ดันอยากให้เขาคุยด้วย แต่จะทำยังไงได้ เขาก็อยากรักษาศักดิ์ศรีของตัวเองบ้างนี่นา
"ถ้าหลับไปแล้วก็ช่างเถอะ บางทีถ้าเธอไม่ได้ยินอาจจะดีกว่าก็ได้ เพราะเรื่องที่ฉันกำลังจะเล่าคงน่าเบื่อเกินไปสำหรับเด็กอย่างเธอ"
ประโยคสุดท้ายทำให้ธีระหูผึ่ง ไหนๆ เขาก็นอนไม่หลับแล้วเพราะพื้นอ่างน้ำช่างนอนไม่สบายเอาเสียเลย จึงลุกขึ้นมานั่งแล้วก็ใช้ผ้าขนหนูคลุมไหล่ไว้แทน
คุณกฤตจะเล่าเรื่องอะไรหรือ...จะเกี่ยวข้องกับสาเหตุที่โดนยิงที่เขาเคยถามแล้วไม่ยอมตอบหรือเปล่า...
"เมื่อสิบปีก่อน..."
กฤตภาสเกริ่นได้แค่นั้นก็เงียบไป เงียบนานเสียจนเด็กหนุ่มหน้ามุ่ยเพราะรู้สึกเหมือนโดนปลุกให้ตาสว่างขึ้นมาเปล่าๆ ปลี้ๆ
"อยากฟังต่อรึเปล่า?"
"ไม่อยากหรอก! คุณบอกเองนี่ว่าน่าเบื่อ!"
ธีระรีบยกมือปิดปากเมื่อรู้ตัวว่าหลงกล เสียงหัวเราะจากหน้าประตูทำให้เขายิ่งนึกหมั่นไส้เหลือกำลังจนอยากจะเปิดประตูออกไปทุบคนเจ็บสักที หนอยแน่ะ! ที่แท้ก็ลองเชิงว่าเขาตื่นอยู่รึเปล่า ทำไมถึงเป็นคนที่นิสัยเสียได้ขนาดนี้นะ!!
กฤตภาสเอ่ยกลั้วหัวเราะ "ไม่อยากฟังก็แย่สิ เพราะถ้าเธอไม่ฟังฉันก็ไม่รู้จะเปลืองน้ำลายทำไม ไหนเคยถามเองว่าทำไมฉันถึงโดนยิงไม่ใช่เหรอ?"
"ไหนตอนนั้นคุณบอกว่าเป็นเด็กเป็นเล็กไม่ต้องรู้ไงล่ะ แล้วทำไมจู่ๆ ถึงอยากจะเล่าขึ้นมา?"
ไหนๆ ตอนนี้กฤตภาสก็รู้แล้วว่าเขายังไม่หลับ และถ้าต้องถูกความสงสัยกัดกินเขาก็คงตาสว่างยันพรุ่งนี้เช้าแน่ จึงตัดสินใจยอมสนทนากับคนหน้าห้องน้ำแต่โดยดี
"นั่นสินะ...บางทีเพราะมันกำลังจะกลายเป็นอดีตที่ไม่มีความหมายอีกแล้วล่ะมั้ง ถึงมีคนรู้เพิ่มขึ้นอีกสักคนก็คงไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่เธอจะไม่ออกมาฟังข้างนอกนี่จริงๆ น่ะ?"
"อยู่ในนี้ก็ได้ยินเสียงคุณเหมือนกัน เพราะงั้นผมจะฟังอยู่ในนี้แหละ อยากเล่าอะไรก็เชิญ"
กฤตภาสหัวเราะหึกับคำตอบยียวนที่ได้รับ แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้อีกขณะพยายามเรียบเรียงความทรงจำเพื่อถ่ายทอด เนื่องจากธีระเป็นคนแรกที่เขาจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟังโดยที่เด็กหนุ่มไม่เคยรู้จักเขาในอดีตเลย ดังนั้นเท่ากับว่าข้อมูลที่เขากำลังจะเปิดเผยล้วนเป็นเรื่องใหม่สำหรับเจ้าตัวทั้งสิ้น
"ฉันจะพยายามเล่าอย่างย่อๆ ก็แล้วกัน เมื่อสิบกว่าปีก่อนหรือนานกว่านั้นนิดหน่อย ฉันมีเพื่อนคนไทยที่สนิทกันมากตอนเรียนปริญญาโทที่ต่างประเทศ เพื่อนคนนั้นชื่อเมฆ หมอนั่นฐานะไม่ค่อยดีเพราะว่าแม่คลอดแล้วก็เอาไปทิ้งให้ยายเลี้ยงตั้งแต่เกิด แต่โชคดีที่เรียนเก่งก็เลยชิงทุนไปเรียนเมืองนอกได้ พวกเราทำงานพิเศษที่ร้านอาหารเดียวกัน แล้วก็เคยคุยกันว่าถ้ากลับเมืองไทยเมื่อไหร่จะช่วยกันเปิดบริษัทของพวกเราเอง"
กฤตภาสนึกแปลกใจที่เขาสามารถนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตได้อย่างแจ่มชัด ทั้งๆ ที่ไม่เคยนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้วหรือคิดจะเล่าให้ใครฟังเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่เมื่อได้รำลึกถึงความหลังแล้วก็รู้สึกว่าจำเป็นต้องเล่าเรื่องนี้ให้จบ
"ตอนนั้นมีนักเรียนไทยอีกคนมาสนิทกับพวกเรา เธอชื่อเนตร เป็นคนที่ฐานะทางบ้านดีมากเพราะพ่อทำงานธนาคาร ตอนแรกเนตรแสดงท่าทางสนใจฉันแต่ว่าฉันไม่ตอบรับ เธอก็เลยหันไปคบกับเมฆแทนเพราะหมอนั่นก็แอบชอบเธออยู่แล้ว
พอพวกเราเรียนจบโทก็กลับมาเมืองไทยและช่วยกันตั้งบริษัทตามที่คุยกันไว้ ตอนแรกมันเป็นบริษัทขนาดเล็กที่มีพนักงานแค่ห้าคน เนตรก็เลยไปขอยืมเงินพ่อมาเป็นทุนขยายบริษัททั้งที่ฉันไม่เห็นด้วยเพราะอยากลองทำทุกอย่างด้วยตัวเองมากกว่า ตอนนั้นฉันยังเลือดร้อนกว่านี้แล้วก็อีโก้สูงเกินไป"
เสียง 'ตุบ' เบาๆ จากอีกฝั่งของประตูทำให้กฤตภาสหยุดชะงัก เขาเหลือบตาลงมองช่องว่างใต้ประตูและพบว่ามีเงาที่บดบังแสงในห้องน้ำบางส่วน ซึ่งหมายความว่าธีระคงเดินมานั่งตรงนั้น ชายหนุ่มยิ้มมุมปากบางๆ ก่อนจะเล่าต่อ
"หลังจากนั้นบริษัทไปได้ดีและโตขึ้นเร็วมาก แล้วจู่ๆ แม่ของเมฆก็โผล่มาเพราะต้องการเงินไปใช้หนี้นอกระบบกับจ่ายค่ารักษาโรคมะเร็ง ถึงจะรู้ว่าแม่ทิ้งไปตั้งแต่เกิดแต่เมฆก็ยอมช่วยใช้หนี้ให้แล้วยังตามไปคอยดูแลที่บ้านด้วย ตอนนั้นเมฆกับเนตรหมั้นกันแล้ว แต่พอเห็นหมอนั่นเอาแต่สนใจแม่แถมยังยืมเงินจากพ่อเธอไปจ่ายค่ารักษา เธอก็เลยไม่พอใจแล้วประชดด้วยการมาขอนอนกับฉัน แต่พอฉันปฏิเสธก็ไปหาคนอื่นแทน"
เกิดความเงียบอันน่าอึดอัดขึ้นทั้งสองฝั่งของประตูห้องน้ำ ธีระชันเข่าขึ้นกอดขณะเรียบเรียงเรื่องที่ได้ยินในหัว เขารู้ว่าถึงแม้กฤตภาสจะบอกว่าเรื่องนี้กำลังจะเป็นอดีตที่ไม่มีความหมาย แต่ ณ เวลาที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกันสำหรับเจ้าตัว
"หลังจากนั้นล่ะครับ?"
กฤตภาสเงยหน้าขึ้นพลางถอนหายใจเบาๆ "คนที่เนตรมีความสัมพันธ์ด้วยเป็นนักการเมืองที่ถ้าฉันบอกชื่อเธอก็คงรู้จัก ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าเธอไปคลุกคลีกับคนระดับนั้นได้ยังไง แต่ไม่กี่เดือนต่อมาเธอก็ท้องหลังจากที่แม่ของเมฆตายเพราะมะเร็ง ตอนนั้นหมอนั่นโกรธมากและเอาแต่คาดคั้นถามว่าใครเป็นพ่อของเด็ก เนตรคงกลัวว่าถ้าบอกความจริงแล้วเรื่องจะลุกลามจนเดือดร้อนพ่อที่ถือตำแหน่งใหญ่ในธนาคาร ก็เลยตัดสินใจโกหกไปว่าพ่อของเด็กคือฉันเพราะคิดว่าเมฆคงไม่ถือสาในเมื่อเป็นเพื่อนกัน แต่เธอคิดตื้นเกินไป เพราะวันนั้นเมฆถือปืนมาหาฉันที่บ้านแล้วก็ขู่ว่าจะยิงฉันที่เป็น 'เดนสังคม' พวกเราแย่งปืนกันไปมาโดยที่เนตรพยายามจะห้าม แต่โชคร้ายที่ปืนลั่น และคนที่โดนกระสุนก็คือเธอ"
เสียงเปิดประตูห้องน้ำเรียกให้กฤตภาสหันกลับไปมอง ธีระยืนอยู่ตรงนั้นด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ เด็กหนุ่มก้าวออกมานั่งพิงผนังข้างๆ เขาแล้วก็ถามโดยไม่หันมามอง
"แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น?"
"หลังจากนั้น...พวกเรารีบพาเนตรส่งโรงพยาบาลเพราะเธอเสียเลือดมาก ผลจากอาการช็อคทำให้เธอแท้งลูก ตั้งแต่นั้นสภาพจิตใจเนตรก็ไม่ปกติจนพ่อต้องรับตัวกลับไปดูแลที่บ้านและไม่ยอมให้เมฆติดต่อเธออีกเด็ดขาด ส่วนฉันที่รู้ว่าพ่อเด็กเป็นใครก็ได้แต่น้ำท่วมปากเพราะถึงบอกไปมันก็ไม่สำคัญอีกแล้ว ฉันโดนตราหน้าว่าเป็นพ่อของเด็ก ส่วนเนตรก็ไม่ยอมพูดความจริง ฉันเลยตัดสินใจแยกตัวออกมาเปิดบริษัทของตัวเองด้วยการกู้เงินจากพ่อ แต่เมฆก็ไม่เลิกโกรธแค้นและพยายามตามมารังควานจนช่วงแรกๆ บริษัทของฉันแทบไม่มีลูกค้าเลย เพิ่งจะเมื่อสามสี่ปีมานี่แหละที่หมอนั่นเงียบหายไปเพราะวุ่นกับบริษัทที่กำลังจะเจ๊ง แต่ดูเหมือนเมฆมันจะโชคร้ายไม่สิ้นสุด เพราะไม่กี่วันก่อนแม่บ้านที่คอยดูแลเนตรไม่ทันระวังจนเนตรหยิบมีดไปฆ่าตัวตาย และวันถัดจากนั้นเมฆก็เรียกฉันออกไปคุยที่ผับ เหตุการณ์ต่อจากนั้น...ฉันคงไม่ต้องเล่าเธอก็คงรู้อยู่แล้ว"
ธีระยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาพลางพยักหน้า ในที่สุดเขาก็ได้รู้คำตอบถึงเรื่องที่เคยสงสัยเสียที...นี่เองคือสาเหตุที่กฤตภาสโดนยิง รวมถึงที่มาที่ไปที่เจ้าตัวรังเกียจการสานสัมพันธ์กับผู้หญิงที่มีพันธะแล้วนักหนา
"แล้วตอนนี้เพื่อนคุณอยู่ที่ไหนล่ะครับ? เขาจะตามมาทำร้ายคุณอีกหรือเปล่า?"
เด็กหนุ่มนึกกังวลแทนกฤตภาสทันที เพราะแรงพยาบาทของคนชื่อเมฆช่างรุนแรงเหลือเกิน ถ้าหากรู้ว่าเป้าหมายของตัวเองไม่ตายก็คงจะอยากตามมาทำภารกิจที่คั่งค้างให้สำเร็จแน่
"ถึงอยากทำก็หมดสิทธิ์เพราะตอนนี้หมอนั่นถูกควบคุมตัวแล้วโทษฐานพยายามฆ่าถึงสองครั้ง ส่วนศพของเนตรก็เพิ่งทำพิธีฌาปนกิจไปเมื่อบ่ายวันนี้เพราะทางครอบครัวไม่อยากปล่อยเรื่องไว้นาน ที่เมื่อตอนเย็นฉันไปงานเปิดตัวของลูกค้าสายก็เพราะให้ไอ้เหวินพาไปร่วมพิธีศพก่อนนี่แหละ"
กฤตภาสเลิกคิ้วเมื่อจู่ๆ ธีระก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้อง แต่เพียงชั่วอึดใจก็เดินกลับมาพร้อมกับน้ำและยาที่เขาต้องกินหลังอาหาร เขามองสีหน้าของเด็กหนุ่มที่เอาแต่ก้มหน้าลงต่ำโดยไม่สบตาแล้วก็เพียงแต่รับยากับแก้วน้ำมาจากมือ
"ขอบใจ"
ชายหนุ่มกินยาแล้วก็ดื่มน้ำก่อนจะวางแก้วลงข้างตัว ส่วนธีระนั่งคุกเข่าลงทางด้านซ้ายของเขาแล้วก็ยกมือขึ้นแตะบริเวณที่ใกล้กับแผลอย่างแผ่วเบา
"แผลที่โดนยิงของคุณ...ยังเจ็บมากรึเปล่า?"
"ก็เจ็บแต่ไม่ถึงกับทนไม่ได้ โชคดีว่ากระสุนแค่ถากไป ไม่งั้นก็คงลำบากเหมือนกัน"
ธีระเหลือบตาขึ้นสบตากับกฤตภาสแล้วก็หลุบตาลงอีกครั้ง น้ำตาระลอกใหม่ไหลลงมาอย่างกลั้นไม่อยู่ กฤตภาสยกมือขวาขึ้นเช็ดน้ำตาให้แล้วก็ถามด้วยน้ำเสียงไม่บ่งบอกความรู้สึก
"ร้องไห้ทำไม?"
"ผม...ไม่รู้"
เด็กหนุ่มพยายามยกมือขึ้นปาดน้ำตาซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไร พลันมือนั้นก็หยุดชะงักเมื่อกฤตภาสโน้มคอเขาเข้าไปหาแล้วแนบริมฝีปากลงบนขมับ สัมผัสอันบางเบาดุจปีกผีเสื้อกลับมีน้ำหนักกดทับใจเขาจนแทบหายใจไม่ออก
"คุณ...มันบ้า ทั้งที่ถ้าบอกความจริงไปตั้งแต่แรก ตอนนี้คุณก็คงไม่บาดเจ็บ แล้วก็ไม่ต้องเสียเพื่อนคุณไปทั้งคู่แบบนี้หรอก"
"มาพูดตอนนี้มันก็ใช่ แต่คนเราต่างก็เคยทำผิดพลาดกันได้ทั้งนั้นใช่ไหมล่ะ?"
แขนข้างที่โอบรอบแผ่นหลังของเขากระชับแน่นขึ้น และธีระพบว่าเขาพูดอะไรไม่ออกเพราะรู้สึกแสบร้อนรอบดวงตา จึงเพียงแต่ซบหน้าลงกับอกอีกฝ่ายเงียบๆ แล้วก็ปล่อยให้หยาดน้ำหลั่งรินโดยไม่พยายามกลั้นอีกต่อไป
คำว่าคนเราต่างก็เคยทำผิดพลาดช่างเป็นจุดไต้ตำตอเหลือเกิน มันทำให้เขานึกถึงตัวเองในอดีตที่เคยแกว่งเท้าหาเสี้ยนด้วยการเข้าไปพัวพันกับคนมีเจ้าของและคิดเข้าข้างตัวเองว่าสักวันคงจะได้รับความรักตอบถ้าพยายามมากพอ แต่ทั้งที่ผ่านบทเรียนอันแสนจะเจ็บปวดมาแล้ว เขากลับพบว่าตัวเองก็ยังคงโง่งมและไม่ได้เรียนรู้ที่จะกลับตัวใหม่เลยแม้แต่นิดเดียว
การที่เขารู้สึกเจ็บหัวใจกับเรื่องในอดีตของกฤตภาส และเผลอคิดไปชั่ววูบว่าถ้าตนได้คอยอยู่เคียงข้างในเวลาที่เจ้าตัวลำบากเพื่อคอยแบ่งเบาความทุกข์ใจ บางทีตอนนี้เขาอาจถูกเห็นค่ามากกว่าการเป็นดอกไม้ข้างทางให้ดอมดม ความคิดแบบนี้ไม่ได้ต่างอะไรกับตอนที่เขาหลงงมงายกับความอ่อนโยนของณรงค์เลยไม่ใช่หรือ เพราะความคิดเข้าข้างตัวเองที่ใครๆ ก็โหยหากันนี่แหละที่นำมาซึ่งความเจ็บช้ำ เพราะยิ่งโหยหามากเท่าไหร่ สิ่งที่ได้กลับมาก็มีแต่จะไม่เคยเพียงพอ
การที่เขาเริ่มคิดเข้าข้างตัวเองแบบนี้กับผู้ชายที่กำลังกอดเขาก็เช่นกัน...มันอาจจะเป็นก้าวแรกของความผิดพลาดที่ทำให้ต้องเสียใจไปตลอดชีวิตก็เป็นได้ แต่ธีระพบว่ายิ่งพยายามจะสร้างเกราะขึ้นมาปกป้องตัวเองจากกฤตภาสมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งถูกแรงดึงดูดที่มองไม่เห็นฉุดรั้งหัวใจให้ดำดิ่งจนยากจะต้านทานกระแสนั้นมากขึ้นทุกที
++---TBC---++
A/N: ในที่สุดตากฤตก็ยอมเปิดเผยเรื่องราวของตัวเองให้น้องตี้ได้รับรู้เพิ่มขึ้น แต่ตานี้ยังมีเยื่ออีกหลายชั้นไม่แพ้หัวหอมค่ะ ไม่รู้จะทำน้องตี้เสียน้ำตาอีกรึเปล่านะเนี่ย (ชะอุ้ย ไม่ได้เผลอสปอยล์ชิมิ) แล้วมาติดตามเรื่องราวของสองคนนี้ใหม่ในตอนต่อไปนะคะ :D
Create Date : 20 เมษายน 2557 | | |
Last Update : 27 เมษายน 2557 17:16:08 น. |
Counter : 1444 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เล่ห์ลวงใจ บทที่ 24
สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็ชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมรื่องแนว Boy's Loveดังนั้นหากไมชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ
++------++
เล่ห์ลวงใจ บทที่ 24
งานเปิดตัวโน้ตบุ๊คครั้งนี้มีโจทย์จากลูกค้าว่าต้องการบรรยากาศที่เรียบหรูแต่ก็ทันสมัย แนวทางการตกแต่งจึงถูกกำหนดให้เป็นสีดำและสีทอง บางจุดก็จะใช้ดอกไม้ แก้วคริสตัลและขนนกแซมบ้างเพื่อไม่ให้ทึบทึมเกินไป ส่วนเวทีนั้นปูด้วยผ้ากำมะหยี่สีดำและต่อแคทวอล์คมาถึงกลางห้องสำหรับให้นางแบบเดินโชว์สินค้า
ตอนที่ธีระแยกตัวกลับไปเมื่อคืนก่อนนั้นสภาพห้องจัดงานยังไม่ค่อยเรียบร้อย แต่เมื่อเขาเดินทางมาถึงโรงแรมในตอนแดดร่มลมตกของวันนี้ก็พบว่าทุกอย่างถูกรังสรรค์ได้สมบูรณ์แบบไม่มีที่ติ
"อ้าวตี้ มาแล้วเหรอ?"
อรรณพเอ่ยทักเมื่อเห็นธีระเดินเข้ามาในห้องจัดงาน เด็กหนุ่มมองอย่างชื่นชมไปรอบๆ แล้วก็ยิ้มให้
"ห้องสวยมากเลยครับพี่อาร์ท เมื่อคืนอยู่กันถึงกี่โมงเนี่ย?"
"กี่โมงเหรอ...น่าจะเกือบๆ ตีสองมั้ง พอพี่กลับถึงบ้านก็งีบนิดนึงก่อนจะออกมาอีกทีตอนเก้าโมง โชคดีว่างานเราจัดตอนเย็นก็เลยมีเวลาให้เตรียมตัวกันเยอะหน่อย"
หนุ่มรุ่นพี่อธิบายขณะเดินนำไปยังห้องพักซึ่งตั้งเยื้องกับห้องจัดงาน ภายในห้องมีเพื่อนร่วมงานบางคนกำลังกินข้าว บ้างก็จับกลุ่มคุยกันหรือโทรศัพท์ติดต่องาน ธีระเข้าไปวางกระเป๋าไว้บนชั้นวางของแล้วก็เดินกลับไปหาอรรณพอีกครั้ง
งั้นตอนนี้มีอะไรให้ผมช่วยมั้ยครับ?
ถ้าตอนนี้ก็ยังไม่มีหรอก พี่ว่าระหว่างนี้ตี้รีบกินข้าวรองท้องไว้ก่อนดีกว่า อ้อ...ส่วนนี่วอของตี้ พี่จูนให้เป็นช่องสำหรับทีมพวกเราโดยเฉพาะแล้ว ถ้าเสียงดังหรือเบาไปก็หมุนปรับวอลุ่มตรงนี้ เดี๋ยวพอคนอื่นจะออกไปหน้างานก็ค่อยตามเขาออกไปก็ได้
โอเคครับ
เด็กหนุ่มเสียบวิทยุไร้สายไว้กับเข็มขัดและยกหูฟังขึ้นเสียบหู หลังจากปรับความดังของเสียงให้พอดีแล้วก็เดินไปหยิบข้าวกล่องแล้วนั่งกินที่โต๊ะเดียวกับพวกรุ่นพี่ ทุกคนล้วนอยู่ในชุดเตรียมพร้อมสำหรับงานคืนนี้ซึ่งก็คือเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำปักโลโก้สีทองของบริษัทกับกางเกงสีเข้ม ส่วนรองเท้านั้นต้องเป็นรองเท้าหุ้มส้นที่ดูสุภาพแต่ก็คล่องตัว
"เห็นว่าพวกนายแบบนางแบบมาแต่งตัวกันตั้งแต่บ่ายแล้วใช่มั้ย? แล้วนิกกี้ล่ะ?"
"ก็แต่งตัวอยู่ในห้องที่จองให้เขาแหละ เห็นว่าคืนนี้จะมีเซเลบมาร่วมงานหลายคน ทางลูกค้าคงอยากอวดว่าตัวเองจ้างมาได้เรทถูกกว่าเราล่ะมั้ง"
รุ่นพี่ที่โต๊ะคุยซุบซิบกันแบบไม่เก็บเสียงนัก แต่ก็ไม่น่าแปลกเพราะถึงอย่างไรทุกคนในบริษัทต่างก็รู้เรื่องนี้ ฝ่ายธีระได้แต่นั่งกินข้าวเงียบๆ เพราะไม่อยากออกความเห็น เขาตั้งใจว่าหลังจากกินข้าวเสร็จจะออกไปสำรวจหน้างานอีกสักทีก่อนที่กฤตภาสจะมาถึง
นี่เรากลายเป็นคนเอาการเอางานแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ อยากให้พ่อกับแม่มาเห็นชะมัดจะได้เลิกห่วง
เด็กหนุ่มยิ้มให้กับความคิดที่ผุดขึ้นมา เขาตระหนักดีว่าเมื่อก่อนตัวเองชอบทำตัวจับจด การเรียนก็ไม่ได้ดีนักแถมยังเอาแต่ผลาญเงินไปกับการเที่ยวเล่นและซื้อข้าวของ ไม่น่าเชื่อเลยว่าตอนนี้เขากลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน น่าจะเป็นเพราะได้มาฝึกงานช่วงปิดเทอมนี้กระมัง
พอคิดถึงตรงนี้เรียวคิ้วของธีระก็มุ่นเข้าหากัน เพราะถึงแม้เขาจะภูมิใจกับความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น แต่ขณะเดียวกันการมาฝึกงานก็ทำให้เขาต้องเจอกับคนอย่างกฤตภาส เขายอมรับว่าตอนแรกที่ถูกยื่นเงื่อนไขแย่ๆ ให้นั้นเขาเกลียดอีกฝ่ายเข้ากระดูกดำ แต่ไม่รู้เพราะความเคยชินหรือว่าทัศนคติที่เปลี่ยนไปหลังจากรู้ว่ากฤตภาสไว้ใจเขาในหลายๆ เรื่องมากกว่าคนอื่นที่บริษัท ตอนนี้เขาจึงไม่กล้าถามตัวเองให้ลึกซึ้งว่าคิดอย่างไรกับผู้ชายคนนั้นกันแน่
"ตี้ เดี๋ยวพวกพี่จะออกไปที่หน้างานกันแล้วนะ จะไปด้วยกันหรือเปล่า?"
เสียงของรุ่นพี่คนหนึ่งดึงธีระออกจากวงจรความคิดอันสับสน เขามองทุกคนที่พร้อมจะออกไปปฏิบัติงานแล้วถึงเพิ่งรู้ตัวว่ากินข้าวไปได้แค่นิดเดียว
"ไปด้วยครับ ขอตี้กินน้ำแป๊บนึง"
"ไม่ต้องรีบก็ได้นะ จริงๆ ยังพอมีเวลาอีกหน่อย ตี้กินข้าวให้หมดแล้วค่อยตามไปก็ได้"
"ไม่เป็นไรครับ ออกไปพร้อมกันเลยดีกว่า ตี้ยังไม่ค่อยหิวด้วย"
พวกเขาออกจากห้องพักของทีมงานแล้วก็ต่างกระจายตัวไปตามจุดที่ต้องรับผิดชอบ ฝ่ายที่ต้องคุมคิวการแสดงก็เข้าไปในห้องจัดงาน ฝ่ายที่ต้องต้อนรับแขกก็ไปดูแลความเรียบร้อยหน้าทางเข้า ส่วนธีระนั้นไม่มีหน้าที่อะไรเป็นพิเศษ เขาจึงมาช่วยต้อนรับแขกด้วยเพราะจะได้เห็นเวลาที่กฤตภาสเดินเข้ามา
"สงสัยวันนี้รถไม่ติดแฮะ ลูกค้ามาถึงกันเร็วเชียว"
รุ่นพี่คนหนึ่งหันมากระซิบกับธีระที่พยักหน้ารับ ตามกำหนดการแล้วงานเลี้ยงจะเริ่มตอนหนึ่งทุ่ม แต่ยังไม่ทันจะหกโมงดีก็มีลูกค้าทยอยกันมาลงทะเบียนไม่ขาดสาย แขกเหรื่อหลายคนเป็นผู้มีชื่อเสียงในวงการ แสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปและโทรศัพท์มือถือของสื่อมวลชนที่ได้รับเชิญมาทำข่าวจึงวูบวาบไปทั่วบริเวณ
เสียงฮือฮาจากมุมหนึ่งของงานดึงดูดนักข่าวให้หันกล้องไปทางเดียวกัน ธีระและเพื่อนร่วมงานจึงหันตามและพบว่าผู้ที่เดินออกมาก็คืออรณิชซึ่งเป็นพรีเซนเตอร์หลักของงานคืนนี้ ดาราสาวอยู่ในชุดเกาะอกผ้าซาตินที่ประดับด้วยขนนกและคริสตัล กระโปรงทรงสุ่มของเธอสั้นเหนือเข่าที่ด้านหน้าแต่ชายด้านหลังยาวกรุยกรายระพื้น บนเรือนผมที่เกล้าเป็นมวยสูงประดับด้วยดอกไม้และขนนก ความสง่าและโดดเด่นขับรัศมีให้เธอกลายเป็นจุดเด่นของงานได้ไม่ยาก
ฉากสำหรับถ่ายรูปที่หน้างานคลาคล่ำไปด้วยแขกที่อยากถ่ายภาพร่วมกับอรณิชและบรรดานางแบบคนอื่นๆ ขณะเดียวกันแสงไฟที่แขวนประดับโดยรอบก็เริ่มวอมแวมกลบแสงอาทิตย์ที่สลัวลงทุกที ยิ่งเข็มนาฬิกาเดินไปข้างหน้ามากเท่าไหร่ก็ยิ่งใกล้เวลางานมากขึ้นเท่านั้น ขณะที่ธีระกำลังคิดว่าจะโทรตามกฤตภาส สายตาของเขาก็ทอดไปประสานเข้ากับอนุชิตที่กำลังยืนจิบไวน์อยู่อีกมุมหนึ่งพอดี
ชายหนุ่มชูแก้วขึ้นทักทายแต่ไม่เดินเข้ามาหา ทว่ารอยยิ้มที่ประดับบนมุมปากและแววตาก็ทำให้ธีระนึกฉุนอยู่เลาๆ เพราะราวกับเขากำลังโดนล้อเลียนว่า 'นายใหญ่ไปอยู่เสียที่ไหนล่ะ?' ไม่มีผิด
"ทีมนักแสดงข้างในพร้อมแล้ว ถ้าคุณกฤตมาเมื่อไหร่พวกข้างหน้าบอกให้รู้ด้วยนะ เปลี่ยน"
เสียงของอรรณพดังมาตามวิทยุไร้สายที่ทีมงานทุกคนมีติดตัว แต่ละคนลอบมองกันไปมาเพราะถึงแม้จะเตรียมการพร้อมแค่ไหนก็เริ่มงานไม่ได้ถ้ากฤตภาสยังมาไม่ถึง รุ่นพี่ที่ยืนข้างๆ คนหนึ่งขยับเข้ามาใกล้แล้วกระซิบถามธีระอย่างเป็นกังวล
"ตกลงคุณกฤตจะมากี่โมงน่ะตี้? ไหนส่งข้อความบอกทุกคนเมื่อตอนบ่ายว่าจะมาตั้งแต่หกโมงนี่นา"
"เดี๋ยวตี้ลองโทรหาอีกทีนะครับ อ๊ะ! คุณกฤตมาแล้วครับ!"
เด็กหนุ่มลืมตัวส่งเสียงดังจนสายตาหลายคู่หันไปมองตาม และพบว่าคนที่ทุกคนรออยู่กำลังเดินผ่านหัวมุมล็อบบี้มาพร้อมกับศุภวัฒน์โดยมีผู้จัดการโรงแรมเดินนำเข้ามา สีหน้าท่าทางของเจ้าตัวไม่บ่งบอกถึงความอิดโรยที่จะทำให้ใครๆ สงสัยว่ากำลังบาดเจ็บอยู่เลยสักนิด
ในที่สุดก็มาเสียที...
ธีระระบายลมหายใจยาวอย่างโล่งใจ วันนี้กฤตภาสสวมเสื้อสูทสีดำไม่กลัดกระดุมทับเสื้อเชิ้ตแบะปกสีครีม ส่วนศุภวัฒน์ซึ่งมาด้วยกันสวมสูทที่สุภาพกว่าเพราะกลัดกระดุมเสื้อเชิ้ตทุกเม็ดและผูกเนคไท พอมาถึงทางเข้างานแล้วกฤตภาสก็เดินตรงมายังโต๊ะลงทะเบียนที่ธีระกับลูกน้องคนอื่นยืนอยู่ทันที
"โทษทีรถติดไปหน่อยเลยมาช้า ทุกคนพร้อมสำหรับพิธีเปิดงานกันหรือยัง?"
ชายหนุ่มถามไถ่โดยไม่สนใจแขกเหรื่อและสื่อมวลชนที่ออกันอยู่อีกมุม แต่ยังไม่ทันจะมีใครได้ตอบคำถาม อนุชิตก็เดินเข้ามาตบบ่าซ้ายของกฤตภาสอย่างสนิทสนม
"มาจนได้นะครับคุณกฤต"
ธีระนิ่วหน้าเมื่อเห็นมือของอนุชิตวางทับบนแผลของกฤตภาสซึ่งอยู่ใต้เสื้อสูทพอดี แต่ตัวคนเจ็บเพียงแต่ปรายตามองคนที่ทักเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"สวัสดีครับคุณอิน"
"ผมนึกว่าคืนนี้จะต้องเริ่มงานโดยไม่มีคุณกฤตซะแล้ว ไหนๆ มาแล้วก็ขอยืมตัวไปถ่ายรูปกับนิกกี้หน่อยนะครับ ทีมพีอาร์ของผมจะได้ดีใจที่มีรูปให้ส่งไปลงแม็กกาซีนเพิ่ม"
แวบหนึ่งที่ธีระเห็นคิ้วของกฤตภาสย่นเข้าหากัน แต่เพียงชั่วพริบตาคิ้วคู่นั้นก็คลายออก
"ก็ได้ครับ ถ้างั้นทุกคนไปเตรียมประจำที่ไว้ ถ้าฉันให้สัญญาณเมื่อไหร่จะได้เริ่มงานกันเลย"
"คุณกฤตครับ...เอ่อ..."
ธีระอยากเอ่ยอะไรสักอย่างเผื่อว่าอนุชิตจะปล่อยมือจากแขนกฤตภาสเสียที แต่คนที่เขาเรียกเพียงแค่หันกลับมาสบตา จากนั้นก็หยักมุมปากขึ้นแล้วเดินตามอนุชิตไปทางจุดถ่ายรูป
แววตาคู่นั้นราวจะปลอบเขาโดยไม่เปล่งเสียงว่า 'ไม่ต้องเป็นห่วง'
"ไม่เป็นไรหรอก"
เด็กหนุ่มหันไปด้านหลังก็เห็นศุภวัฒน์ที่กำลังยิ้มอ่อนๆ ให้ ส่วนเพื่อนร่วมงานคนอื่นต่างแยกย้ายไปประจำที่ของตัวเองกันแล้ว บริเวณนั้นจึงเหลือพวกเขาเพียงสองคน
"ทำไมล่ะครับหมอ?"
"กฤตมันโดนฉีดยาชาไว้แล้วน่ะ แต่นั่นก็ตั้งแต่ตอนที่หว่านล้อมหมอเจ้าของไข้จนเขายอมให้ออกจากโรงพยาบาลเมื่อตอนบ่ายล่ะนะ ถ้าคืนนี้มันไม่ซ่ามากไปก็น่าจะพอทนจนจบงานได้"
นายแพทย์หนุ่มเอ่ยพลางบุ้ยคางไปทางเพื่อนสนิทที่กำลังยืนอยู่กลางวงล้อมของสื่อมวลชนร่วมกับเหล่านางแบบ ท่าทางผ่อนคลายของเจ้าตัวบ่งบอกว่าไม่ได้กำลังฝืนจริงๆ แต่หลังจากยืนดูกฤตภาสยิ้มให้กล้องถ่ายรูปเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ แถมบางรูปยังยืนเสียชิดกับพรีเซนเตอร์หลักของงานที่ใครๆ ก็รู้ว่าคบกันอยู่ เขาก็นึกหมั่นไส้อย่างอดไม่ได้
"ดูคุณกฤตไม่เขินกล้องเลยนะครับ ทั้งที่ไม่ได้เป็นตัวเอกของงานคืนนี้แท้ๆ"
"โอ๊ะโอ๋...อย่าบอกนะว่าหึงไอ้กฤตมันน่ะ?"
"ไม่ใช่ครับ! ผมแค่สงสัยเพราะงานของลูกค้าครั้งก่อนคุณกฤตแทบไม่ออกมาหน้างานเลยต่างหาก!"
ธีระเห็นแววตาล้อเลียนของศุภวัฒน์ก็หน้าร้อนซู่ อย่างเขานี่น่ะเหรอจะหึงกฤตภาส? ถ้าจะมีใครหึงคนแบบนั้นลงก็อย่ามานับรวมเขาเข้าไปด้วยเลย!
"เอาน่าๆ ที่ถ่ายรูปกับมันอยู่นั่นก็แค่ดอกไม้ข้างทางเท่านั้นล่ะ อย่างน้อยตอนนี้เป้าหมายมันก็อยู่แถวๆ นี้มากกว่าล่ะนะ ว่าแต่เดี๋ยวหมอขอไปตักอะไรกินก่อนก็แล้วกัน ไปช่วยรับมันมาจากโรงพยาบาลตั้งแต่ตอนบ่าย ท้องร้องจะแย่"
ศุภวัฒน์เอ่ยแล้วก็เดินเลี้ยวเข้าไปในห้องจัดงาน ทิ้งให้ธีระมองตามด้วยแววตาสับสนอยู่คนเดียว แต่เมื่อเขาหันกลับไปทางทิศที่นักข่าวรุมถ่ายรูปอีกครั้งก็พบว่าพิธีกรเอ่ยเชิญทุกคนให้เข้าห้องจัดงานแล้ว
อรณิชและเหล่านางแบบถูกพาไปเข้าประตูด้านหลังเวทีเพราะต้องขึ้นแสดง ส่วนธีระนั้นไม่ทันเห็นว่ากฤตภาสเดินเข้าห้องจัดงานไปตอนไหน พอบริเวณโถงด้านหน้าแทบไม่เหลือใครแล้วนอกจากพนักงานของโรงแรม เขาจึงค่อยเดินตามเข้าไปด้านในบ้าง
ภายในห้องมีการจัดเก้าอี้จำนวนหนึ่งให้แขกวีไอพีนั่งหน้าแคทวอล์ค ส่วนแขกคนอื่นๆ จะยืนชมอยู่รอบนอก เนื่องจากธีระได้ดูการซักซ้อมไปหลายครั้งแล้วจึงไม่ตื่นเต้นนัก เขาจงใจเดินไปทางด้านหลังห้องจัดเลี้ยงพลางสอดส่ายสายตาว่ากฤตภาสน่าจะนั่งอยู่ตรงไหน แต่เนื่องจากแสงไฟที่ถูกหรี่ลงเพื่อให้สปอตไลท์บนเวทีเด่นจึงยากแก่การมองหา
"สวัสดีและยินดีต้อนรับทุกท่านสู่งานในค่ำคืนนี้ค่ะ
เสียงพิธีกรสาวบนเวทีดังออกจากลำโพงขณะที่เธอเอ่ยต้อนรับทุกคน วูบหนึ่งที่แสงสปอตไลท์ส่องไปบนผู้ชมที่นั่งอยู่หน้าเวที ธีระจึงได้เห็นว่ากฤตภาสนั่งคุยอะไรบางอย่างอยู่กับผู้บริหารระดับสูงของลูกค้า
อยู่ตรงหน้าเวทีนี่เอง...แล้วไป...
ความโล่งใจไหลวูบในอกของธีระ ก่อนที่เขาจะขมวดคิ้วแล้วยกมือขึ้นทาบอกด้วยความไม่เข้าใจ จริงอยู่หรอกว่าเขากังวลเพราะเป็นไปได้ที่กฤตภาสจะปิดบังอาการไม่ไหวและทรุดลงกลางงาน แต่การที่เขาไม่สบายใจจนต้องการเห็นอีกฝ่ายตลอดเวลามันล้ำเส้นอะไรไปหรือเปล่า?
ขณะที่ธีระพยายามสลัดความคิดนั้นออกจากหัว พิธีกรบนเวทีก็เริ่มเกริ่นนำเข้าสู่การแสดง ทุกคนฮือฮาเมื่อเห็นอรณิชที่เดินออกมาพร้อมกับปีกอันใหญ่ที่สวมไว้บนหลัง การแสดงที่ตระเตรียมมาอย่างดีส่งผลให้เธอดูเหมือนนางฟ้าที่นำสินค้ามาแนะนำให้ทุกคนชื่นชม และการเต้นประกอบเพลงของแดนเซอร์ก็เรียกเสียงปรบมือและตรึงความสนใจจากทุกคนได้อยู่หมัด
ธีระเริ่มคอแห้งเมื่อการแสดงก้าวเข้าสู่ช่วงสุดท้าย เขารู้ว่าหลังจากนี้จะมีการสัมภาษณ์ผู้บริหารรวมทั้งอรณิชบนเวที จึงรีบถือโอกาสเดินไปหยิบน้ำที่โต๊ะของว่างด้านหลังขึ้นดื่มก่อนที่แสงไฟในห้องจะสว่างขึ้น เพราะกฤตภาสเข้มงวดมากกับการห้ามลูกน้องกินดื่มอะไรในงานของลูกค้าระหว่างจัดงานเด็ดขาด
"เฮ้ย ตกลงข่าวลือที่ว่านิคกี้กับลูกชายคุณโกเมทเขากิ๊กกันอยู่นี่จริงรึเปล่าวะ?"
เด็กหนุ่มชะงักเมื่อได้ยินเสียงลอยมาจากด้านนอกแว่วๆ เนื่องจากโต๊ะเครื่องดื่มนั้นตั้งอยู่ใกล้กับประตูทางเชื่อมไปยังพื้นที่สำหรับสูบบุหรี่ตรงระเบียง เขาจึงค่อยๆ ขยับตัวเข้าไปใกล้ผ้าม่านที่บังประตูเอาไว้เพื่อตั้งใจฟัง
"ได้ยินหัวหน้าบอกมาอย่างนั้นนะ เขาก็สั่งผมเหมือนกันว่าให้ถ่ายรูปคู่ของสองคนนั้นไว้เยอะๆ เผื่อจะเอาไปเขียนสกู๊ปซุบซิบเสียหน่อย"
"แต่เห็นว่าต่างคนต่างก็ไม่เคยออกมาให้ข่าวยืนยันเลยนี่นา เอ้อ...แต่พี่ได้ยินเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับคุณกฤตมาว่ะ"
"หือ? เรื่องอะไรวะพี่?"
น้ำเสียงกระตือรือร้นของคนถามดึงความสนใจของธีระไปด้วย เขาแทบกลั้นหายใจเพื่อให้แน่ใจว่าตนจะไม่ได้ยินอะไรพลาด
"เมื่อไม่กี่วันก่อนเพื่อนพี่มันไปกินเหล้าที่ผับแถวบ้าน ทีนี้จู่ๆ ก็มีเสียงปืนดังที่หน้าร้าน เพื่อนคนนี้มันก็เป็นนักข่าวเลยวิ่งออกไปดูว่ามีเรื่องอะไร ปรากฏว่ามีคนยิงกันเว่ย! มันบอกว่าตอนนั้นค่อนข้างมืดเลยเห็นหน้าคนโดนยิงไม่ค่อยชัด แต่ดูแล้วหน้าตาคล้ายๆ ลูกชายคุณโกเมท เสียดายที่มันไม่ทันได้เข้าไปดูใกล้ๆ ก็มีรถพยาบาลมารับคนที่โดนยิงออกไปซะก่อน วันนี้พี่เลยตั้งใจมางานนี้เพราะอยากจะรู้ด้วยว่าคุณเขาโดนยิงจริงรึเปล่า แต่เท่าที่เห็นก็ท่าทางปกติดี สงสัยเพื่อนพี่มันคงจำผิดคน"
"ฮ้า!? ถ้านี่เรื่องจริงก็ข่าวใหญ่เลยนะพี่! เอาไปขุดคุ้ยต่อได้เลยว่าโดนใครยิงแล้วยิงทำไม ว่าแต่ทำไมพี่ถึงรู้ว่ามางานนี้แล้วจะเจอเขาล่ะ?"
"มึงนี่มีสัญชาตญาณนักข่าวมั่งไหมเนี่ย? ดูชื่อออแกไนเซอร์ในบัตรเชิญมั่งสิวะ! บริษัทนี้มันของเขา เจ้าตัวเขาก็ต้องมาแหงอยู่แล้วสิ!"
ทั้งสองยังถกกันเรื่องนี้ต่ออีกนิดหน่อยก่อนจะเบนหัวข้อสนทนาไปเรื่องอื่น ทว่าธีระที่แอบฟังอยู่หลังผ้าม่านได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ เขาหันกลับไปทางด้านหน้าเวทีแล้วก็ได้แต่คิดว่าจะเตือนกฤตภาสอย่างไรดีให้ระวังตัวจากพวกนักข่าวที่ไม่ได้ตั้งใจแค่จะเขียนสกู๊ปเรื่องของเขากับอรณิชเท่านั้น
ตอนนี้แสงไฟในห้องจัดงานถูกเปิดให้สว่างขึ้นแล้ว แต่โชคไม่ดีที่เก้าอี้ซึ่งเมื่อครู่กฤตภาสนั่งอยู่กลับมีคนอี่นมานั่งแทน เด็กหนุ่มตื่นตัวและรีบกวาดสายตาไปทั่วทันที แต่เพราะแขกในงานหลายคนต่างก็สวมสูทสีดำคล้ายกัน เขาจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหา
...ไม่ยอมรับสาย แล้วนี่ลุกหายไปไหนกัน? เจ็บตัวอยู่แท้ๆ ทำไมยังต้องทำตัวให้คนอื่นเป็นห่วงอีกนะ!?!
เด็กหนุ่มนึกฉุนขึ้นมา เขาหันหลังให้กิจกรรมบนเวทีแล้วตัดสินใจเดินไปหาที่ห้องน้ำแต่ก็ไม่เจอ เมื่อลองไปที่ห้องพักของทีมงานเผื่อว่ากฤตภาสจะนั่งพักอยู่ก็พบแต่ความว่างเปล่า ครั้นจะถามหาทางวิทยุไร้สายก็เกรงว่าจะทำให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นสงสัย จึงทำได้เพียงแค่เดินวนหาบริเวณรอบห้องจัดเลี้ยงต่อไปเท่านั้น
เสียงหัวเราะและปรบมือที่ดังมาจากห้องจัดงานแว่วๆ บอกให้รู้ว่ากิจกรรมภายในดำเนินไปด้วยดี และนั่นทำให้ธีระซึ่งเริ่มเหนื่อยกับการเดินตามหากฤตภาสชะลอฝีเท้าลง เมื่อได้มองผ่านกระจกเข้าไปเห็นบรรยากาศรื่นเริงภายใน เด็กหนุ่มก็หยุดยืนนิ่งอยู่กับที่
ทำไมเขาจะต้องเป็นเดือดเป็นร้อนขนาดนี้ด้วยล่ะ... คุณกฤตก็ใช้ชีวิตด้วยตัวเองได้มาตลอดก่อนที่จะเจอเขาไม่ใช่หรือ แถมวันนี้หมอเหวินยังมาคอยดูแลอยู่ข้างๆ ด้วย ตอนนี้ทั้งสองคนอาจจะชวนกันไปนั่งหลบผู้คนอยู่ที่ห้องไหนสักห้องก็ได้ ถ้าเขาตามไปเจออาจจะกลายเป็นว่าไปขัดจังหวะเข้าเสียอีก
ความรู้สึกเย็นยะเยือกเกาะกุมหัวใจราวกับมีผลึกน้ำแข็งจับ ธีระหมุนปิดเสียงวิทยุไร้สายที่เพื่อนร่วมงานกำลังใช้สื่อสารกัน จากนั้นก็หันหลังให้ห้องจัดงานแล้วปลีกตัวไปทางสวนหย่อมซึ่งอยู่อีกฝั่งอย่างเงียบเชียบ
เด็กหนุ่มเดินลอดซุ้มไม้ระแนงที่มีเถาไม้เลื้อยประดับก่อนจะออกไปโผล่ที่สวนหย่อมขนาดย่อม มุมหนึ่งของสวนมีศาลารูปทรงคล้ายกรงนกขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ด้านในมีม้านั่งทำจากหินขัดและมีโคมไฟดวงเล็กๆ แขวนอยู่ด้านบน ธีระเดินตรงเข้าไปที่ศาลาหลังนั้น จากนั้นก็นั่งบนม้านั่งพลางเอนหลังพิงลูกกรงอย่างเหนื่อยอ่อน
ความจริงแล้ววันนี้เขายังไม่ได้ทำอะไรที่ควรจะทำให้เหนื่อยเสียด้วยซ้ำ หน้าที่เลขาฯ ของกฤตภาสทำให้เขาค่อนข้างลอยตัวเนื่องจากต้องคอยประสานงานแทนเจ้าตัวไปตั้งแต่ก่อนเริ่มงาน แต่ทั้งที่เป็นอย่างนั้น เวลานี้เด็กหนุ่มกลับรู้สึกเบื่อหน่ายทุกสิ่งจนนึกอยากให้ค่ำคืนนี้ปิดฉากลงเสียที คิดถึงเพื่อนๆ คิดถึงที่บ้าน แต่อีกใจก็ไม่อยากเจอใคร ไม่อยากอธิบายอะไรเลย ทำไมความรู้สึกแบบนี้มันกลับมาอีกแล้วนะ...
เด็กหนุ่มนั่งเหม่อขณะปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปกับคำถามที่ไร้คำตอบ ในอกว่างโหวงเหมือนไม่มีอะไรอยู่ภายใน แต่บางช่วงจังหวะกลับอึดอัดคล้ายกลุ่มก๊าซที่พร้อมจะระเบิด ความรู้สึกเช่นนี้ช่างชวนให้เขานึกถึงช่วงเวลาหลังจากเลิกกับณรงค์ใหม่ๆ เหลือเกิน ความรู้สึกเหมือนสถานที่ที่เขาเคยอ้างสิทธิ์ได้ถูกคนอื่นยึดไป และความว่างเปล่าที่ตามมาก็ทำให้เคว้งคว้างจนไม่รู้จะคว้าอะไรเป็นหลักยึดเหนี่ยว
ธีระรับรู้ถึงความร้อนผ่าวบนขอบตา เด็กหนุ่มยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดก่อนที่จะมีหยาดหยดหลั่งรินพลางสูดน้ำมูก ถึงจะหดหู่แค่ไหนแต่นี่ก็ไม่ใช่เวลาที่จะเศร้า เพราะถ้ากลับเข้าไปในงานแล้วพวกพี่ๆ เห็นว่าหน้าตาเขาเหมือนจะร้องไห้คงจะพากันถามอย่างเป็นห่วงแน่ และสิ่งสุดท้ายที่เขาอยากทำคือแต่งเรื่องโกหกมาหลอกให้ทุกคนสบายใจ
ตอนนี้เขาแค่อยากให้งานจบจะได้กลับไปพักผ่อนคนเดียวเงียบๆ ก็พอ ขอแค่นี้เท่านั้นเอง...
ร่างเพรียวลุกขึ้นพลางบิดร่างกายท่อนบนไปมา เขาเป่าลมออกทางปากแล้วค่อยสูดหายใจเข้าแรงๆ กระทั่งมั่นใจว่ารู้สึกดีขึ้นจึงค่อยเดินออกจากศาลา เพราะเขาก็ปลีกตัวออกมาได้ครู่ใหญ่แล้ว ตอนนี้ที่งานอาจจะมีอะไรให้ช่วยก็เป็นได้
"อ้าว? น้องตี้ไม่ใช่เหรอนั่น? ทำไมมาปลีกวิเวกตรงที่มืดๆ แบบนี้ล่ะครับ?"
คำถามนั้นทำให้ธีระชะงักฝีเท้าทันที เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นเจ้าของเสียงสืบเท้าออกมาจากเงามืดใต้ซุ้มไม้ระแนงอย่างเชื่องช้า แสงสลัวจากโคมไฟในสวนหย่อมช่วยให้เขาเห็นใบหน้าอีกฝ่ายถนัดตาในที่สุด
"ผมมาเดินเล่นน่ะครับคุณอิน กำลังจะกลับไปที่งานแล้วครับ"
"อืม แต่ในสวนนี่ก็อากาศดีจริงๆ ด้วยนะ มิน่าล่ะถึงหนีมาเดินเล่นตรงนี้"
อนุชิตก้าวลงบันไดเตี้ยๆ สามขั้นมายังสนามหญ้า กลิ่นแอลกอฮอลล์ที่ลอยตามลมมาทำให้เด็กหนุ่มเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังเมา
"เชิญคุณอินตามสบายนะครับ ผมขอตัวไปช่วยพี่ๆ ข้างในก่อน"
"ไม่ต้องหรอก ตอนนี้ข้างในเขาจัดการทุกอย่างกันได้ มาเดินเล่นด้วยกันก่อนเป็นไร"
ธีระสูดหายใจลึกเมื่อถูกยึดข้อมือไว้ก่อนจะเดินหนีพ้น เขาพยายามจะชักมือออกแต่กลับยิ่งถูกบีบแน่นขึ้น
"คุณอิน...ปล่อยด้วยครับ"
"ทำไมล่ะ? คนอื่นนอกจากคุณกฤตจับแล้วรู้สึกไม่ดีเหรอ?"
นัยน์ตากลมโตวาวโรจน์ด้วยอารมณ์ที่ปะทุ ธีระสะบัดมือข้างที่ยังเป็นอิสระขึ้นหาใบหน้าของอนุชิตอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม แต่ยังไม่ทันที่ฝ่ามือจะกระทบเป้าหมายก็ถูกยึดข้อมือข้างนั้นเอาไว้ด้วย
"คุณอิน! ปล่อยผม!!"
"เฮ้อ
คุณกฤตสอนลูกน้องมายังไงเนี่ย? กับลูกค้าเขาห้ามใช้ความรุนแรงเด็ดขาดเลยนะ หรือเวลาอยู่กับคุณกฤตสองต่อสองแล้วชอบเล่นเอสเอ็มกัน?"
คนตัวใหญ่กว่าเอ่ยพลางกระชากข้อมือของธีระจนถลาเข้าสู่แผ่นอก จากนั้นก็ถือโอกาสรวบร่างเข้าไปกอดและพึมพำอย่างอารมณ์ดี
"ทำไมไม่ลองรสชาติใหม่ๆ กับคนอื่นดูบ้างล่ะ? ยังอายุน้อยอย่างนี้อย่าเพิ่งรีบตกลงปลงใจดีกว่านะ"
ธีระมั่นใจว่าคู่กรณีเมามากแน่นอน เขาพยายามจะดิ้นหนีเมื่ออนุชิตก้มลงซุกไซ้ริมฝีปากบนซอกคอ ความโมโหถึงขีดสุดทำให้คิดว่าต่อให้ต้องใช้ความรุนแรงเพื่อให้เป็นอิสระก็จะทำ
ทุกคนดีแต่มองว่าเขาเป็นเด็กก็เลยคิดว่าจะจูงจมูกไปทางไหนก็ได้ล่ะสิ! อย่ามาดูถูกกันง่ายๆ แบบนี้นะ!!!
เด็กหนุ่มพยายามจะยื้อแขนที่พัวพันบนร่างจนไม่ทันได้ยินเสียงสวบสาบของฝีเท้าที่ก้าวเร็วๆ เข้ามาจากด้านหลัง รู้แต่ว่าจู่ๆ แขนที่กอดรัดก็อ่อนเปลี้ยพร้อมกับเสียงคำรามอย่างเจ็บปวดที่ข้างหู เขารีบถือโอกาสนั้นผลักอนุชิตเต็มแรงแล้วดีดตัวออกให้ห่าง พอตั้งตัวได้แล้วถึงค่อยเห็นว่ามีใครอีกคนยืนอยู่ด้านหลังคนที่เพิ่งจาบจ้วงกับเขาไปหยกๆ
"รังแกเด็กแบบนี้ไม่ดีนะครับคุณอิน ถ้าหากเมาก็นั่งพักให้สร่างก่อนดีกว่านะครับ"
ไม่รู้ว่ากฤตภาสมาถึงตั้งแต่ตอนไหน แต่ท่าทางที่อีกฝ่ายจับแขนข้างหนึ่งของอนุชิตไพล่ไปด้านหลังพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบก็ทำให้ธีระรู้ว่าคนที่ช่วยเขาไว้คือเจ้านายของเขานั่นเอง แต่ดูเหมือนคนทำผิดจะไม่ยอมรับข้อกล่าวหาง่ายๆ
"จุ๊ๆ ทำไมถึงรีบใส่ความว่าผมรังแกเด็กล่ะครับ บางทีเด็กของคุณกฤตอาจเป็นคนที่นัดผมมาที่นี่เองก็ได้นะ"
"คุณอิน!! พูดให้มันดีๆ นะ! คืนนี้ผมแทบไม่ได้คุยกับคุณด้วยซ้ำ!!"
ธีระตวาดอย่างฉุนเฉียว เลือดในกายเดือดปุดจนอยากจะเข้าไปทุบตีคนตรงหน้าให้สาสมกับที่พยายามบังคับเขาแล้วยังโกหกหน้าด้านๆ แต่แววตาอันสงบนิ่งของกฤตภาสที่จ้องมองมาก็ช่วยรั้งเด็กหนุ่มให้ยืนอยู่กับที่
"เด็กของผมรสนิยมดีกว่านั้นเยอะครับ ทางที่ดีคุณอินอย่ายุ่งกับเขาอีกจะดีกว่า คงไม่ต้องเตือนนะครับว่าถ้าคนของคุณรู้เข้าจะเป็นยังไง ครั้งนี้ผมจะถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็แล้วกัน"
กฤตภาสปล่อยมือก่อนจะเดินตรงมาหาธีระ จากนั้นก็โอบไหล่เขาแล้วพาเดินกลับไปยังทางเดินซุ้มไม้ระแนง ตอนแรกเด็กหนุ่มทำท่าจะเหลียวกลับไปมองด้านหลัง แต่กฤตภาสโอบไหล่เขาแน่นขึ้นพลางกระซิบเสียงต่ำ
"ไม่ต้องหันไป ให้มันจบแค่ตรงนั้นก็พอแล้ว"
ธีระพยายามตัดใจทำตามทั้งที่อารมณ์ยังพวยพุ่ง เด็กหนุ่มกำมือแน่นเพื่อข่มอาการสั่นให้สงบลง
"ผมไม่ได้นัดเขาไปตรงนั้น ผมแค่ออกไปเดินเล่นแล้วจู่ๆ คุณอินก็ตามมา ทุกอย่างเป็นเรื่องบังเอิญ"
"ฉันรู้ ถึงได้พูดไงว่าเธอรสนิยมดีกว่านั้น"
น้ำเสียงของกฤตภาสราบเรียบและมั่นคง ความเยือกเย็นที่ถ่ายทอดออกมาช่วยดับความรุ่มร้อนในใจของธีระให้ค่อยๆ มอด ลมหายใจของเขาเริ่มไหลเวียนสะดวกขึ้นเมื่อพบว่ากฤตภาสไม่เชื่อคำพูดของอนุชิตเลยแม้แต่น้อย
ถ้าหากเมื่อกี้คุณกฤตไม่เข้ามาช่วย...เขาคงได้สู้สุดแรงจนลุกลามเป็นเรื่องใหญ่โตแน่ๆ เชียว...
"ขอบคุณครับคุณกฤต"
ธีระเงยหน้าขึ้นเอ่ยเมื่อพบว่าร่างกายหยุดสั่นแล้ว แต่กลับได้เห็นเสี้ยวหน้าของกฤตภาสที่ซีดเซียวและมีเหงื่อผุดซึมเต็มหน้าผากจนน่าตระหนก
"คุณกฤต? เป็นอะไรรึเปล่าครับ!?"
"สงสัยยาชาจะหมดฤทธิ์"
กฤตภาสพูดเพียงแค่นั้นก็ขบฟันแน่น ธีระจึงตระหนักทันทีว่าไม่ใช่แค่เพราะยาชาหมดฤทธิ์หรอก แต่น่าจะเป็นเพราะอีกฝ่ายเพิ่งฝืนใช้แรงช่วยเขาจากอนุชิตมากกว่า!!
"ทำไงดี จะไปนั่งพักที่ห้องของทีมงานก่อนไหมครับ?"
"ไม่ได้ ถ้าเกิดมีคนอื่นเข้ามาเห็นเข้าจะผิดสังเกต ตอนนี้งานเลี้ยงใกล้จะจบแล้ว ไอ้เหวินนั่งรออยู่ที่ล็อบบี้ เดี๋ยวเธอพยุงฉันออกไปแล้วเราก็กลับกันเลย"
ธีระพยักหน้ารับ เขาพยุงกฤตภาสออกห่างจากห้องจัดเลี้ยงอย่างระมัดระวังที่สุด แต่ยังไม่ทันจะออกไปถึงล็อบบี้ จู่ๆ คนเจ็บก็เซจนโถมน้ำหนักเข้าดันเขาติดผนัง
"คุณกฤต! คุณเดินไหวรึเปล่า? ถ้าไม่ไหวผมจะได้โทรให้หมอเหวินมาช่วย"
เพราะดูแล้วลำพังเขาคนเดียวคงพากฤตภาสออกไปได้ไม่เร็วเท่าไหร่ แต่อีกฝ่ายเพียงแค่ส่ายหน้า
"ขอพักนิดเดียว เดี๋ยวก็ไปต่อไหว"
"แต่ว่า..."
เด็กหนุ่มยังไม่ทันจะจับต้นชนปลายถูกก็เห็นใบหน้าของกฤตภาสก้มลงต่ำมากขึ้นทุกที พอรู้ตัวอีกครั้งริมฝีปากของทั้งคู่ก็สัมผัสกันแล้ว นัยน์ตากลมโตเบิ่งกว้างมองแพขนตาที่ปิดสนิทของคนตัวใหญ่กว่า แล้วก็ต้องหลับตาปี๋เมื่อรับรู้ถึงปลายลิ้นที่แตะลงบนกลีบปาก
"ฮึ..."
เสียงครางต่อต้านลอยผ่านลำคออย่างอ่อนแรง ธีระก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรทั้งที่พวกเขาอยู่ในบริเวณที่ล่อแหลมต่อการมีคนมาเห็นเหลือเกิน ครั้นจะยกมือผลักก็เกรงจะไปกระทบแผลของอีกฝ่าย ยิ่งพอถูกปลายนิ้วโป้งลูบไล้บนมุมปากคล้ายจะบอกให้เผยอริมฝีปากมากขึ้น เด็กหนุ่มก็รู้สึกเหมือนเข่าจะหมดแรง
"คุณกฤต...พอได้แล้ว...คุณไม่เจ็บแล้วรึไง?"
เด็กหนุ่มพยายามรวบรวมสติขณะดันอกกฤตภาสออกห่าง แววตาที่ทอดมองมาทำให้ต้องเบนสายตาหลบไปทางอื่น ทั้งที่เมื่อครู่เขาโมโหจนแทบชกใครอีกคนที่มาทำรุ่มร่ามใส่ได้ แต่พอโดนคนคนนี้จูบเข้าทีเดียว...เขาก็มีปฏิกิริยาตอบรับต่างกันมากมายถึงขนาดนี้ แล้วจะไม่ให้โมโหตัวเองไหวหรือ
"บอกแล้วไงว่าพักแค่นิดเดียว เอาล่ะ ไปกันเถอะ"
ธีระเม้มปากพลางเข้าพยุงกฤตภาสต่อ ทั้งสองเลี้ยวผ่านมุมอาคารที่ค่อนข้างมืดก่อนจะออกไปถึงล็อบบี้ซึ่งศุภวัฒน์นั่งรออยู่ เมื่อนายแพทย์หนุ่มเห็นท่าทางของพวกเขาก็ผุดลุกขึ้นมาหาทันที
"เฮ่ย! เป็นอะไรวะ!? ไหนเมื่อกี้บอกว่าจะไปตามตี้เฉยๆ ไม่ใช่เรอะ!?"
"เดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟังทีหลัง ตอนนี้พากูกลับคอนโดก่อน"
ศุภวัฒน์มุ่นคิ้วขณะรับกุญแจรถจากกฤตภาส แต่ก็เพียงเดินนำเร็วๆ ออกไปด้านนอกโดยไม่เอ่ยขัด
"มึงยืนรอตรงนี้แหละ เดี๋ยวกูไปวนรถมารับ"
พวกเขาทำตามที่นายแพทย์หนุ่มแนะนำ ไม่ช้าศุภวัฒน์ก็ขับรถของกฤตภาสมาจอดที่หน้าล็อบบี้ พนักงานโรงแรมช่วยเปิดประตูด้านหลังให้พวกเขาได้ก้าวขึ้นไปนั่ง เมื่อปิดประตูแล้วศุภวัฒน์ก็ขับออกจากบริเวณนั้นโดยไม่รอช้า
"มึงจะไม่กลับไปโรงพยาบาลจริงๆ เหรอวะ? กูไม่รู้หรอกนะว่ามึงไปทำอะไรมา แต่คงไม่ได้ถึงกับแผลฉีกใช่ไหม?"
"กูถึงได้ให้มึงมาด้วยวันนี้ไงล่ะ จะมีเพื่อนเป็นหมอทำไมถ้าแค่นี้มึงช่วยกูไม่ได้น่ะ"
ศุภวัฒน์ฟังแล้วได้แต่คำรามในคอ ฝ่ายธีระมองคนที่กำลังขับรถให้แล้วก็หันกลับมามองคนที่นั่งหน้าซีดอยู่ข้างตัว
"หมอเหวินพูดถูกนะครับคุณกฤต น่าจะกลับไปที่โรงพยาบาลดีกว่า"
กฤตภาสส่ายหน้า จากนั้นก็เอนตัวลงหนุนศีรษะบนไหล่ของเขา เรียกแววตาหมั่นไส้จากเพื่อนสนิทที่มองผ่านทางกระจกมองหลัง
"กลับไปโรงพยาบาลตอนนี้ไม่ปลอดภัย ไม่ต้องห่วง แผลไม่ถึงกับฉีกหรอก อย่างมากคืนนี้ก็กินยาแก้ปวดเยอะหน่อยก็เท่านั้น"
ธีระได้แต่ขมวดคิ้ว แต่ในเมื่อกฤตภาสพูดอย่างนั้นแถมศุภวัฒน์ซึ่งเป็นหมอก็อยู่ด้วยจึงเลือกที่จะเงียบเสีย เด็กหนุ่มหันมองออกไปนอกหน้าต่างได้สักพักก็ต้องหันกลับมาเมื่อรู้สึกว่ามือข้างหนึ่งถูกกุมไว้แน่น เขาหลุบตาลงมองแพขนตาของกฤตภาสและเหงื่อที่ยังซึมตามไรผมบนหน้าผาก จากนั้นก็เพียงแต่ปล่อยให้คนเจ็บกุมมือไปตลอดทาง
หวังว่าจะไม่เป็นอะไรมากจริงๆ อย่างที่ปากเก่งก็แล้วกัน ผมไม่อยากเห็นคุณเจ็บตัวมากขึ้นเพราะผมเป็นต้นเหตุหรอกนะ...
++---TBC---++
A/N: เอาตอนใหม่ของน้องตี้มากำนัลค่ะ หวังว่าอ่านแล้วคงอิ่มจุใจหลังได้หยุดยาวกันน้า :D
Create Date : 10 เมษายน 2557 | | |
Last Update : 20 เมษายน 2557 18:42:47 น. |
Counter : 1464 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เล่ห์ลวงใจ บทที่ 23
สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็ชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมรื่องแนว Boy's Loveดังนั้นหากไมชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ
++------++
เล่ห์ลวงใจ บทที่ 23
"นอกจากนี้มีอะไรจะเตือนเพิ่มอีกไหมครับ?"
ธีระถามขณะที่กฤตภาสกินข้าวต้มเป็นอาหารเช้า ตอนแรกเขานึกว่าการมาเฝ้าไข้คงหมายถึงต้องอยู่กับกฤตภาสที่โรงพยาบาลตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่เมื่อเช้านี้หลังจากที่เขาทำธุระส่วนตัวเสร็จ คนเจ็บกลับบอกให้ไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วมานั่งฟังสิ่งที่ต้องไปทำที่บริษัท
"ไหนลองไล่ให้ฟังซิว่าเมื่อกี้ฉันบอกอะไรไปบ้าง? ต้องดูว่าเธอจำได้แค่ไหนฉันถึงจะรู้ว่าต้องเตือนอะไรเพิ่ม"
กฤตภาสเอ่ยพลางหยิบยาขึ้นกินหลังจัดการข้าวต้มหมดชาม ธีระจึงกวาดตาดูสิ่งที่เพิ่งจดลงในสมุดโน้ตอีกครั้ง
"ถ้าหากมีเอกสารอันไหนที่จำเป็นต้องให้เซ็นด่วนจริงๆ ให้เอาใส่แฟ้มกลับมาตอนเย็น ถ้าลูกค้าโทรมาหาให้บอกว่าติดประชุม ถ้าคนที่บริษัทถามว่าไปไหนให้บอกว่าไปคุยงานกับลูกค้าที่ยังเปิดเผยไม่ได้ สำคัญที่สุดคือห้ามให้รู้ว่าคุณบาดเจ็บหรือนอนอยู่โรงพยาบาลเด็ดขาด ผมยังตกหล่นอะไรไปอีกรึเปล่า?"
เด็กหนุ่มถามพลางถอนสายตาขึ้นจากสมุดโน้ต กฤตภาสมองแววตาที่คล้ายจะพูดว่า 'ผมไม่ได้โง่นะ' แล้วก็เกือบจะเผลอยิ้ม
"มีอีกข้อ บ่ายนี้พวกอาร์ทต้องไปตกแต่งสถานที่จัดงานสำหรับอิเว้นท์วันพรุ่งนี้ ให้เธอตามไปแล้วก็ถ่ายรูปส่งมาให้ฉันด้วย ถ้าหากว่าเกิดปัญหาอะไรจะได้ช่วยกันแก้ไขก่อน"
"ได้ครับ แต่พรุ่งนี้คุณตั้งใจจะไปงานจริงๆ เหรอ?"
"ต้องไปสิ ถ้าไม่เห็นหน้าฉันลูกค้าจะคิดว่าไม่ให้เกียรติ ต่อไปก็อาจไม่จ้างเราอีกก็ได้"
ธีระมองใบหน้าที่ยังค่อนข้างอิดโรยของกฤตภาส เขาเข้าใจเหตุผลที่อีกฝ่ายเอ่ยมา แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับการที่คนเพิ่งโดนยิงแถมยังไม่หายไข้จะทำเก่งไปเดินร่อนในงานอิเว้นท์เลยสักนิด
แต่ถึงห้ามไปก็คงป่วยการอยู่ดี...ผู้ชายคนนี้เคยฟังใครเสียที่ไหน
"ถ้างั้นผมไปแล้วนะครับ"
ธีระเก็บสมุดบันทึกลงกระเป๋าสะพายแล้วก็ลุกขึ้น กฤตภาสจึงบุ้ยคางไปทางชั้นวางของ "ก่อนไปช่วยหยิบกระเป๋าสตางค์ให้ฉันหน่อย"
เด็กหนุ่มเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์หนังสีน้ำตาลเข้มส่งให้กฤตภาส จากนั้นก็มองดูเจ้าตัวยื่นธนบัตรใบละหนึ่งพันบาทมาให้สองใบด้วยแววตางุนงง
"จะฝากซื้ออะไรเหรอครับ?"
"ไม่ใช่ นี่สำหรับค่าเดินทางแล้วก็ค่าขนมของเธอวันนี้ เหลือเท่าไหร่ก็เก็บไว้ ไม่ต้องคืน"
นัยน์ตากลมโตเบิกกว้างขึ้นทันที "ผมไม่ใช้เยอะขนาดนั้นหรอกครับ แค่พันเดียวก็เกินพอสำหรับค่าแท็กซี่กับค่าข้าวแล้ว คุณเอาอีกพันนี่คืนไปเถอะ"
"ฉันให้สองพันก็คือสองพันสิ ถือว่านี่เป็นค่าแรงที่มาช่วยเฝ้าไข้ให้ด้วย ผู้ใหญ่ให้เงินก็รับๆ ไปเถอะน่ะ"
กฤตภาสเอ่ยพลางเดาะลิ้น ธีระยังไม่ทันจะได้แย้งก็มีนางพยาบาลสองคนเดินเข้ามาขัดจังหวะ
"ทานมื้อเช้าเสร็จแล้วใช่มั้ยคะ? ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าหน่อยนะคะ"
ราวกับระฆังพักยกถูกลั่น ธีระจึงจำใจถอยออกจากห้องระหว่างที่นางพยาบาลเช็ดตัวให้คนเจ็บ ขณะที่เดินไปรอลิฟท์ก็ได้แต่มองกระดาษสีเทาสองใบในมือด้วยความรู้สึกไม่พอใจ
ความจริงเขาควรจะดีใจสิที่ไม่ต้องเสียแรงมาช่วยเฝ้าคนเจ็บแถมยังนิสัยเอาแต่ใจฟรีๆ แต่ทำไมพอโดนตีมูลค่าการช่วยเหลือพวกนั้นเป็นตัวเงินแล้วถึงต้องหงุดหงิดแบบนี้ด้วยนะ...
ธีระเรียกแท็กซี่เพื่อไปที่บริษัท หลังจากนั้นก็ทำตามที่กฤตภาสเตือนไว้ทุกอย่างไม่ว่าจะเรื่องการตอบคำถามว่าเจ้าตัวอยู่ไหนหรือเรื่องรวบรวมเอกสารเพื่อนำกลับไปให้ลงชื่อ พอตอนบ่ายเขาก็เดินทางออกจากบริษัทพร้อมกับทีมงานบางส่วนเพื่อไปเริ่มจัดเตรียมสถานที่ที่จะจัดงานเปิดตัวโน้ตบุ๊ครุ่นใหม่ในวันรุ่งขึ้น
"ท่าทางวันนี้คุณกฤตคงติดประชุมยุ่งมากเลยนะ บางทีพี่ส่งข้อความไปก็ไม่ค่อยตอบ"
อรรณพเอ่ยเปรยๆ หลังจากพวกเขาหกคนมาถึงสถานที่จัดงาน และขณะนี้กำลังแบ่งหน้าที่กันดูแลการตกแต่ง ซักซ้อมคิวการแสดงและคุยสรุปงานกับเจ้าหน้าที่โรงแรม
"คงจะอย่างนั้นแหละครับพี่อาร์ท แต่ถ้ามีอะไรด่วนจริงๆ บอกตี้ก็ได้ ถ้าตี้โทรไปคุณกฤตน่าจะรับ"
ธีระรู้ดีว่าช่วงไหนที่กฤตภาสไม่ได้พิมพ์ข้อความตอบคงจะเป็นเพราะกำลังนอนพักผ่อน เพราะถึงแม้ดูภายนอกจะไม่ได้เป็นอะไรมากแต่ร่างกายก็ย่อมต้องการการฟื้นฟู ไหนยังจะต้องเก็บออมแรงไว้สำหรับวันพรุ่งนี้อีก
"คุณอาร์ทคะ ขอเวลานิดนึงได้ไหมคะ อยากจะถามเกี่ยวกับคิวงานพรุ่งนี้หน่อยค่ะ"
"ได้ครับ งั้นเดี๋ยวพี่มานะตี้ ฝากถ่ายรูปส่งให้คุณกฤตดูความคืบหน้าด้วย"
ธีระพยักหน้าเพราะนั่นเป็นหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายไว้อยู่แล้ว เด็กหนุ่มหยิบมือถือออกมาถ่ายรูปตั้งแต่หน้าทางเข้างาน จากนั้นก็เดินถ่ายตามจุดตกแต่งต่างๆ แล้วส่งไปทางข้อความให้กฤตภาสดู บางครั้งเจ้าตัวก็พิมพ์ตอบเขามาว่าให้โยกย้ายอะไรหรือบอกทีมงานให้แก้ไขตรงไหนบ้าง ถ้าหากพิมพ์คุยกันแล้วยังไม่เข้าใจก็จะโทรมาหา
"ผมย้ำกับร้านดอกไม้แล้วครับว่าต้องเตรียมช่อบูเก้ไว้ให้ใครบ้าง เรื่องเมนูอาหารพี่กิ๊ฟท์จะประสานงานกับเชฟให้ ส่วนฉากบนเวทีพี่อาร์ทกำลังเช็คอยู่ ถ้ามีอะไรไม่เคลียร์อีกผมจะโทรไปถามก็แล้วกันครับ"
เด็กหนุ่มตัดสายพลางระบายลมหายใจยาว ตั้งแต่มาที่สถานที่จัดงานเมื่อช่วงบ่ายเขาก็ช่วยงานคนนั้นคนนี้บ้าง ถ่ายรูปส่งให้กฤตภาสและช่วยประสานงานแทนเจ้าตัวบ้าง โทรคุยงานกลับไปกลับมาหลายหนจนชักจะล้าเต็มที แต่เพราะเห็นรุ่นพี่คนอื่นยังทำงานกันอยู่จึงช่วยต่อไป
"วันนี้คุณกฤตไม่มาเหรอครับ น้องตี้"
ธีระสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงถามในระยะใกล้ พอหันหลังไปก็พบอนุชิตซึ่งเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดของลูกค้ากำลังยืนยิ้ม เขาไม่รู้ว่าถูกแอบฟังมานานแค่ไหนแล้ว แต่ก็ได้แต่หวังเมื่อครู่จะไม่ได้เผลอพูดอะไรเกี่ยวกับการบาดเจ็บหรือโรงพยาบาลออกไป
"สวัสดีครับคุณอนุชิต"
"อะไรกัน เรียกพี่อินก็ได้ ไม่ต้องเรียกชื่อจริงเต็มยศขนาดนั้นหรอก"
"ก็...ได้ครับ คุณอิน"
เขาจำได้ว่ากฤตภาสเคยสอนตอนที่ตามออกไปประชุมกับลูกค้าว่าเราสามารถทำตัวสนิทสนมกับลูกค้าได้แต่ก็ต้องทิ้งระยะไว้บ้าง และต่อให้ไม่ถูกสอนมาแบบนั้น พฤติกรรมของคนตรงหน้าก็ทำให้เขาไม่สนิทใจพอจะใช้สรรพนามที่สนิทสนมด้วยอยู่ดี
เมื่อเห็นว่าธีระยอมเรียกชื่อเล่นแต่ยังใช้คำสุภาพนำหน้า อนุชิตก็เพียงแต่ยิ้มโดยไม่กดดันต่อ เขากวาดสายตาไปรอบห้องจัดงานแล้วก็เอ่ยลอยๆ
"ทุกคนกำลังวุ่นเลยสิเนี่ย พอดีผมกำลังจะกลับบ้านก็เลยคิดว่าน่าจะมาดูให้แน่ใจเสียหน่อยว่าเตรียมงานกันไปถึงไหนแล้ว ตอนแรกนึกว่าจะได้เจอคุณกฤตซะอีก แต่ดูท่าทางเจ้าตัวจะไม่ได้มาคุมงานเองสินะ"
"ถ้าไม่เห็นหน้าฉันลูกค้าจะคิดว่าไม่ให้เกียรติ ต่อไปก็อาจไม่จ้างเราอีกก็ได้" ธีระฉุกคิดถึงคำพูดของกฤตภาสเมื่อเช้าได้ทันทีจึงรีบเอ่ยขัด
"เพราะเราประชุมเตรียมความพร้อมกันมาหลายรอบ พวกพี่ๆ เขาก็เลยรู้ว่าต้องทำอะไรกันอยู่แล้วน่ะครับ อีกอย่างถึงคุณกฤตจะไม่ได้มาคุมงานเองแต่พวกเราก็คอยแจ้งความคืบหน้าให้ตลอด ยังไงพรุ่งนี้คุณกฤตก็มาร่วมงานแน่นอน คุณอินวางใจได้ครับ"
เด็กหนุ่มนึกแปลกใจตัวเองที่ออกปากปกป้องคนที่เขาแสนจะหมั่นไส้ได้ถึงขนาดนี้ แต่ก็พยายามคิดว่าเพราะไม่อยากให้ทุกคนในบริษัทโดนมองไม่ดีตามไปด้วยต่างหาก
อนุชิตเลิกคิ้วมองธีระด้วยแววตาแปลกใจ แต่แล้วก็ยกมุมปากขึ้นพร้อมกับประกายในแววตาที่วาววับยิ่งกว่าเดิม ชายหนุ่มไล้ปลายนิ้วไปบนกลีบดอกไม้ที่เสียบอยู่ในแจกันข้างๆ แล้วก็ทอดเสียงนุ่ม
"รู้อะไรมั้ย? เจ้านายกับเลขาฯ ที่ทำงานด้วยกันไปนานๆ มักจะซึมซับบุคลิกกันจนบางทีแค่ถามอะไรเลขาก็รู้แล้วว่าเจ้านายจะตอบว่ายังไง แต่น้องตี้เพิ่งจะมาฝึกงานได้แค่เดือนหรือสองเดือนเอง แสดงว่าคุณกฤตคงถ่ายทอดอะไรให้เยอะน่าดูสินะ"
"ก็ไม่เชิงหรอกครับ น่าจะเพราะพี่วีร์ที่เคยเป็นเลขาฯ ของคุณกฤตช่วยสอนงานผมไว้หลายอย่างมากกว่า"
ธีระยอมรับว่าสะอึกกับประโยคสุดท้ายของอนุชิต เพราะมันช่างเป็นคำพูดธรรมดาๆ ที่ฟังแล้วล่อแหลมเหลือเกินเมื่อมาจากริมฝีปากของคนที่มองเขาด้วยแววตารู้ทัน
"พรุ่งนี้คุณกฤตมาก็ดีเหมือนกันเพราะเรามีนิกกี้เป็นพรีเซ็นเตอร์หลัก ถ้ามีนักข่าวได้ถ่ายรูปตอนนิกกี้อยู่กับคุณกฤตเยอะๆ ก็คงช่วยให้งานเราได้ลงสื่อมากขึ้น เพราะดูเหมือนช่วงนี้จะไม่ค่อยมีใครเห็นข่าวของสองคนนี้ซะด้วย"
"ก็คงอย่างนั้นแหละครับ"
เด็กหนุ่มตอบอย่างขอไปที เขาก็ไม่รู้หรอกว่าอนุชิตเพียงแต่บอกเล่าหรือกำลังพยายามหยั่งเชิงกันแน่ แต่สัญชาตญาณบอกเขาว่าให้ระมัดระวังคำพูดเวลาสนทนากับผู้ชายคนนี้
ท่าทางระวังระไวของเขาคงสื่อให้รู้ว่าถึงจะพยายามแหย่ต่อไปก็ไร้ผล อนุชิตจึงยกมือขึ้นตบบ่าเขายิ้มๆ
"น่าอิจฉาคุณกฤตจริงๆ ที่มีเลขาฯ ที่ไว้ใจได้คอยเป็นหูเป็นตาให้แบบนี้ เอาไว้ถ้าเบื่อคุณกฤตเมื่อไหร่ก็มาหาผมได้นะ ฝ่ายการตลาดที่บริษัทอยากได้เด็กไฟแรงแบบนี้มาเสริมทีมอยู่แล้วล่ะ"
คำพูดสองแง่สองง่ามซึ่งถูกสอดแทรกไว้ในบทสนทนาที่ดูไร้พิษสงทำให้เด็กหนุ่มหางคิ้วกระตุก เขายืนมองอนุชิตที่ปลีกตัวไปสำรวจส่วนต่างๆ ของห้องจัดงานแล้วก็ยกมือขึ้นปัดไหล่บริเวณที่โดนสัมผัสเมื่อครู่
น่าขยะแขยงชะมัด...
"ตี้ ทำอะไรอยู่น่ะ?"
"อ๋อ ตี้ปัดมดออกจากเสื้อน่ะพี่อาร์ท มีอะไรรึเปล่าครับ?"
ธีระหันไปตอบอรรณพที่เดินเข้ามาหา รุ่นพี่ของเขามองอนุชิตที่เพิ่งเดินออกไปจากห้องจัดงานหลังสำรวจจนพอใจแล้วก็หันมาขมวดคิ้วถาม
"ไม่ได้โดนหลอกถามอะไรใช่ไหม? พี่เพิ่งรู้จากไอ้บุ้งว่าเมื่อกี้คุณอินมาชวนตี้คุย มันบอกว่าดูท่าทางสนิทสนมกันดีก็เลยไม่อยากเข้ามาขัด นี่ถ้าพี่ไม่ไปเข้าห้องน้ำอยู่คงออกมาช่วยรับหน้าไปแล้ว คุณกฤตบอกว่าถึงเขาจะจ้างเราแต่ก็ไม่ค่อยวางใจเราเท่าไหร่ แต่เจ้านายเขาเป็นเพื่อนกับพ่อของคุณกฤต ก็เลยเหมือนโดนบีบให้มาจ้างบริษัทเราทั้งที่ใจจริงเขาอยากจ้างบริษัทของเพื่อนเขามากกว่า"
มิน่าล่ะ...ธีระเพิ่งถึงบางอ้อว่าทำไมอนุชิตถึงพยายามหาเรื่องกฤตภาสนัก ความซับซ้อนของวัยทำงานและเรื่องเส้นสายช่างทำให้เขาปวดหัวเสียจริงๆ ว่าแต่พี่บุ้งดูยังไงกันถึงเห็นว่าเขาคุยกับอนุชิตอย่างสนิทสนม? น่าจะเหมือนใส่หน้ากากเข้าหากันแล้วซ่อนมีดไว้ข้างหลังสิไม่ว่า!
"นี่ก็ทุ่มนึงแล้ว พวกพี่ว่าจะออกไปหาข้าวเย็นกินกันก่อนค่อยกลับมาเตรียมงานต่อ ตี้จะไปด้วยกันมั้ย? พอกินเสร็จแล้วก็กลับบ้านเลยก็ได้ จะได้กลับไปพักผ่อนแล้วพรุ่งนี้จะได้มีแรงมาช่วยกันคุมงาน"
"อ้าว? ทุ่มนึงแล้วเหรอเนี่ย? งั้นตี้ไปด้วยดีกว่า ขอถ่ายรูปส่งให้คุณกฤตดูอีกนิดนึง ขอเวลาห้านาทีได้มั้ยครับ?"
"ฮะๆ ได้ๆ เดี๋ยวพวกไอ้บุ้งมันคงจะออกไปสูบบุหรี่รอที่หน้าโรงแรมแหละ เดี๋ยวตี้เสร็จแล้วก็ออกไปพร้อมกับกิฟท์ก็แล้วกัน เห็นยายนั่นยังนั่งแก้สคริปต์พิธีกรอยู่แถวๆ หน้าเวทีอยู่เลย"
"โอเคครับ งั้นเดี๋ยวเจอกันที่ล็อบบี้"
++------++
กฤตภาสนั่งเอนหลังพิงหมอนขณะกวาดสายตาอ่านข้อความและอีเมล์ในไอแพด เขานั่งทำเช่นนั้นนานเป็นชั่วโมงๆ ตั้งแต่กินข้าวเย็นเสร็จจนสายตาเริ่มล้าถึงค่อยเหลือบดูนาฬิกา และพบว่าขณะนั้นเป็นเวลาสองทุ่มครึ่งแล้ว
ยังอยู่ช่วยเตรียมงานที่โรงแรมอีกรึ...ทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่ของตัวเองแท้ๆ
ขณะที่กำลังชั่งใจว่าจะโทรตามธีระดีไหม ประตูห้องพักผู้ป่วยก็เปิดออกพร้อมกับเจ้าของใบหน้าคุ้นตาที่ก้าวเข้ามาอย่างได้จังหวะ
"เป็นไงมั่งไอ้คุณชาย ไม่ได้เจอกันแค่ข้ามวันแต่ดูสีหน้ามึงดีขึ้นเยอะนะเนี่ย"
คนบนเตียงเพียงแต่มองเขาด้วยแววตาเย็นชา ศุภวัฒน์จึงยักไหล่แล้วเดินตรงไปที่ตู้เย็น
"เพื่อนอุตส่าห์เคลียร์งานเพื่อมาเยี่ยมทั้งทียังทำหน้ายักษ์ใส่อีก เป็นคนอื่นเขาคงน้อยใจกลับบ้านกันไปแล้วนะเนี่ย ดีนะว่ากูมีภูมิคุ้มกันแล้ว ว่าแต่ซุปไก่สกัดเต็มตู้เลยวุ้ย ขอกินขวดนึงได้มั้ย?"
"อยากกินให้หมดตู้เย็นก็ตามใจ กูไม่ชอบกินอยู่แล้วแต่พ่อซื้อมาให้"
กฤตภาสตัดบทพลางเหลือบตาลงอ่านอีเมล์ต่อ ศุภวัฒน์จึงเปิดขวดซุปไก่สกัดแล้วก็เดินไปหย่อนตัวลงนั่งบนขอบเตียง เรียกแววตาเจือรำคาญจากคนที่กำลังพยายามจะมีสมาธิได้สมความตั้งใจ
"ถึงจะคาวไปหน่อยแต่เวลากินตอนมันแช่เย็นก็ชื่นใจดีนะโว้ย ต่อให้สารอาหารจริงๆ มันจะแทบไม่มีก็เถอะ อย่างน้อยคนผลิตมันก็รู้จักเอาจุดขายมาทำให้ญาติคนไข้ต้องเสียเงินซื้อกันเป็นลังๆ ได้ล่ะวะ นี่ถ้ากูออกไปทำอาหารเสริมขายบ้างแล้วบอกว่ารับรองโดยแพทย์คงขายดีพิลึก"
"ตกลงมึงมาหากูทำไม? ถ้าแค่มาดูว่าอาการดีขึ้นรึยังก็อย่างที่เห็น แล้วพรุ่งนี้กูก็จะออกจากโรงพยาบาลแล้วด้วย"
ศุภวัฒน์เกือบสำลักซุปไก่สกัดที่เพิ่งซดเข้าไปอึกใหญ่ นายแพทย์หนุ่มหันมาเลิกคิ้วมองเพื่อนด้วยแววตาไม่เชื่อหู
"เฮ่ยๆๆ กูก็รู้หรอกนะว่ามึงไม่ได้โดนยิงจุดสำคัญ แต่มึงจะทรมานสังขารตัวเองทำไมวะ!? ไม่มีคนโดนยิงที่ไหนเขาออกไปโชว์พาวกันหรอกนะเว้นว่าเป็นทหารในสนามรบ"
"แผลกูดีขึ้นมากแล้ว อีกอย่างพรุ่งนี้มีงานอิเว้นท์สำคัญของลูกค้าด้วย กูโดนมองว่าใช้เส้นของพ่อถึงทำให้ได้งานนี้มา ดังนั้นกูต้องไปคุมงานเองให้เขาเห็นว่ากูทำงานเป็น ไม่ใช่แค่เอาเงินไปจ้างคนอื่นให้ทำให้เฉยๆ"
ศุภวัฒน์ฟังแล้วถึงกับเอามือตบหน้าผาก "มึงนี่มัน...เฮ้อ! บางทีกูก็กลัวเพื่อนที่เห็นกันมาตั้งแต่เด็กจะไม่แก่ตายจริงๆ ที่มึงต้องทุ่มเทเพื่อพิสูจน์ตัวเองขนาดนี้ก็เข้าใจได้อยู่ แต่มึงต้องสำเหนียกด้วยนะว่าคนอื่นเขาไม่รู้ว่ามึงเพิ่งโดนยิง ถ้าเกิดความแตกกลางงานนี่ไอ้ที่พยายามจะปิดมาก็สูญเปล่าเลยนะ"
"มีตี้คนนึงที่รู้ อย่างน้อยเด็กนั่นก็คงช่วยเหลือระหว่างอยู่ในงานได้"
คำพูดสวนกลับอย่างไม่ลังเลทำให้ศุภวัฒน์เลิกคิ้วสูง เขาทิ้งขวดซุปไก่สกัดลงในถังขยะใต้เตียงแล้วก็หันมากอดอกมองคนเจ็บอย่างพิจารณา
"ดีมากที่พูดถึงเด็กคนนั้นขึ้นมา กูสงสัยตั้งแต่ตอนที่มึงบอกให้โทรหาแค่คุณลุงกับเด็กนั่นแล้ว ไม่สิ...ต้องบอกว่าสงสัยตั้งแต่มึงพาเขามาที่คลินิกมากกว่า ที่ไว้ใจกันขนาดนี้นี่เพราะมีอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า?"
กฤตภาสปิดฝาไอแพดแล้วหันไปวางบนหัวเตียง จากนั้นก็เอนหลังพิงหมอนมากขึ้น เขารู้ว่าไม่ช้าก็เร็วต้องมีคนใกล้ตัวถามถึงเรื่องนี้จึงไม่ได้แสดงท่าทีแปลกใจ
"ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ กูแค่รู้ว่าเด็กคนนั้นเก็บความลับเป็นแล้วก็ไว้ใจได้ ถ้ากูเป็นอะไรขึ้นมาในงานจริงๆ อย่างน้อยเขาก็คงรู้ว่าควรจะหาทางช่วยยังไงโดยไม่ให้ความแตก"
"จุ๊ๆๆ นี่ถ้าไม่ได้ยินจากปากมึงเองกูคงนึกว่าตัวเองละเมอ หายากนะเนี่ยที่มึงจะบอกว่าไว้ใจใครที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานแบบนี้ แถมเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักตื้นลึกหนาบางมึงมาก่อนเลยด้วย กูว่างานนี้ไม่ใครก็ใครกำลังตกหลุมรักอยู่มั่งล่ะว้า"
"มึงดูละครมากไปแล้วไอ้หมอ"
"กลับมาแล้วครับ อ๊ะ หวัดดีครับหมอเหวิน"
ธีระชะงักหลังจากเปิดประตูห้องแล้วพบว่านอกจากกฤตภาสแล้วยังมีเพื่อนของเจ้าตัวที่ขึ้นไปนั่งเบียดอยู่บนเตียง ขณะที่กำลังไม่แน่ใจว่าควรออกไปรอด้านนอกดีไหม กฤตภาสก็หันไปไล่คนที่นั่งเบียดอยู่ข้างๆ เสียก่อน
"จะหมดเวลาเยี่ยมแล้ว มึงกลับไปก่อนแล้วค่อยโทรมาพรุ่งนี้เช้า ไหนๆ คุณหมออยากดูละครนัก กูก็จะให้มึงได้มีส่วนร่วมด้วยซะเลย"
"อื้อหือ โคตรจะเป็นเกียรติกับกูเลยเนี่ย สังหรณ์ว่ากูจะได้บทตัวประกอบอดทนยังไงพิกล เอาวะ งั้นพรุ่งนี้เช้าค่อยคุยกัน เดี๋ยวหมอกลับก่อนแล้วกันนะตี้ ไอ้หมอนี่มันคงไม่ชอบใจที่มีก้างขวางคอ"
"ครับ กลับดีๆ นะครับคุณหมอ"
เด็กหนุ่มพนมมือไหว้ศุภวัฒน์ที่ตบบ่าเขาเบาๆ ก่อนจะเดินออกไป หลังจากประตูห้องปิดลงแล้วเด็กหนุ่มจึงค่อยหันกลับมามองกฤตภาส ความเงียบดำเนินไปชั่วครู่ก่อนที่คนบนเตียงจะเอ่ยถาม
"กินข้าวมารึยัง?"
เสียงห้าวทุ้มอันคุ้นหูเรียกเด็กหนุ่มกลับจากภวังค์ เขากะพริบตาปริบก่อนจะค่อยพยักหน้า
"กินกับพวกพี่อาร์ทแล้วครับ พวกพี่เขากลับไปโรงแรมเพราะต้องคุมงานกันต่อ ผมก็เลยกลับมานี่"
"ถ้างั้นก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วค่อยมาเล่าให้ฉันฟังว่าวันนี้ที่บริษัทกับที่โรงแรมมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ถ้ามีอะไรที่ฉันควรต้องรู้ก็เล่ามาให้หมดด้วย พรุ่งนี้ตอนฉันไปที่งานจะได้ไม่มีปัญหา"
ไม่รู้ว่าเขาเหนื่อยจนหูเฝื่อนหรือกฤตภาสกันแน่ที่เพลียจนทำตัวต่างออกไป แต่ธีระรู้สึกราวกับสัมผัสได้ถึงกระแสอ่อนโยนอันบางเบาในน้ำเสียงนั้น พลันก็นึกขึ้นได้ว่าเขามีของที่ต้องให้กฤตภาสจึงหยิบออกจากกระเป๋า
"นี่แฟ้มเอกสารที่คุณกฤตต้องเซ็นให้ฝ่ายบัญชีกับเอชอาร์ครับ เขาต้องใช้ภายในวันพรุ่งนี้ ผมกะว่าตอนเช้าจะเข้าออฟฟิศก่อนแล้วค่อยไปโรงแรมตอนบ่าย"
"อืม"
กฤตภาสรับแฟ้มไปเปิดดูแล้วก็หยิบปากกาขึ้นมาเตรียมจรดบนกระดาษ แต่เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มยังยืนเหม่ออยู่ที่เดิมก็ขมวดคิ้ว
"มีอะไรอีกรึเปล่า? หรืออยากจะคุยงานกันตอนนี้เลยก็ได้นะ"
"อะ...เปล่าครับ ถ้างั้นผมขอไปอาบน้ำก่อนนะครับ"
ธีระรีบวางกระเป๋าลงบนโต๊ะแล้วก็หยิบเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนออกมา เขาเดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วก็ปิดประตูลงกลอนโดยไม่ได้รู้ตัวว่าท่าทางแปลกๆ ของตัวเองทำให้กฤตภาสมองตามด้วยแววตามีคำถาม
"ไอ้หมอนี่มันคงไม่ชอบใจที่มีก้างขวางคอ"
คำพูดของศุภวัฒน์ดังขึ้นในหัวซ้ำๆ ขณะที่ร่างเพรียวถอดเสื้อผ้าออก เด็กหนุ่มก้าวเข้าไปใต้ฝักบัวแล้วเปิดน้ำอย่างเหม่อลอย ภาพของกฤตภาสกับศุภวัฒน์ที่นั่งเบียดกันอย่างสนิทสนมบนเตียงตอนที่เขาเพิ่งกลับมายังติดตาจนทำอย่างไรก็ลบไม่ออก
หมอเหวินตั้งใจจะหมายความว่ายังไงกันแน่นะ หมายถึงเราเหรอที่เป็นก้างขวางคอ? จะว่าไปแล้วหมอก็เป็นคนแรกที่รู้เรื่องที่คุณกฤตโดนยิงก่อนที่จะโทรหาพ่อของคุณกฤตกับเราด้วยนี่นา หรือที่จริงแล้วสองคนนี้มีความสัมพันธ์กันมากกว่าเพื่อน? แล้วเราก็เพียงแค่ถูกเรียกมาคอยอำนวยความสะดวกให้คุณกฤตระหว่างที่บาดเจ็บโดยที่หมอเหวินก็ยอมรู้เห็นเป็นใจแค่นั้น?
นี่เราจะไม่มีวันหลุดจากการเป็นตัวแทนของใครได้ตลอดชีวิตเลยหรือยังไงกัน?
คำถามที่ไม่มีคำตอบหมุนวนในหัวของธีระราวแผ่นเสียงที่ถูกกรอกลับไปกลับมา เช่นเดียวกับความรู้สึกเหมือนมีใครมาบดขยี้หัวใจขณะที่ได้แต่ปล่อยให้สายน้ำเย็นหลั่งไหลลงอาบบนร่างไม่หยุด
++---TBC---++
A/N: มาลงตอนใหม่วันสิ้นเดือนพอดี หวังว่าคงไม่ทำให้รอกันนานเกินไปนะคะ (สาบานได้ว่าไม่เคยเขียนนิยายเรื่องไหนแล้วอัพได้ถี่และเร็วเท่าเรื่องนี้แล้ว XD) ดูเหมือนน้องตี้จะมีเรื่องมาทำให้หนักใจได้ไม่หยุดหย่อนแต่ตากฤตกลับชิลตล้อดตลอด ถ้าเป็นไปได้ก็อยากลักพาตัวน้องตี้มาเก็บไว้ไม่ให้โดนใครหาเจอเหมือนกันนะเนี่ย แกล้งตากฤตซะมั่ง 555
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นต์ในตอนที่ผ่านมา และขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นต์ให้ตอนนี้ด้วยนะคะ :D
Create Date : 31 มีนาคม 2557 | | |
Last Update : 31 มีนาคม 2557 23:42:20 น. |
Counter : 1475 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เล่ห์ลวงใจ บทที่ 22
สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็ชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมรื่องแนว Boy's Loveดังนั้นหากไมชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ
++------++
เล่ห์ลวงใจ บทที่ 22
อาคารผู้ป่วยเงียบสงัดเมื่อผ่านพ้นเวลาให้เข้าเยี่ยม บรรยากาศของโรงพยาบาลยิ่งวังเวงเพราะผู้ป่วยแต่ละห้องต่างก็นอนหลับพักผ่อน ทว่าธีระซึ่งพลิกตัวไปมาบนโซฟากลับหลับไม่ลงไม่ว่าจะข่มตาสักเท่าไหร่
ทำไมนอนไม่หลับสักทีนะ...เพราะแปลกที่แน่ๆ เลย...
ธีระยอมรับว่าเขาเป็นคนขวัญอ่อน ถึงจะไม่เคยเจอประสบการณ์เขย่าขวัญตรงๆ แต่ก็ฟังเรื่องเล่าในโรงพยาบาลมาเยอะพอจะปลุกจินตนาการให้เตลิด และคราวนี้ก็ช่างประจวบเหมาะที่เขาได้รับภารกิจให้มานอนเฝ้าคนป่วยเป็นครั้งแรก แถมยังเป็นการมัดมือชกแบบไม่มีโอกาสปฏิเสธเสียด้วย
"แกแน่ใจรึ ถ้าจ้างพยาบาลมาคอยเฝ้าจะไม่ดีกว่ารึไง?"
"แน่ใจครับ อีกอย่างผมมีงานที่ต้องคุยกับผู้ช่วยผมด้วย ส่วนนางพยาบาลพวกนั้นก็อยู่ข้างนอกตลอดอยู่แล้ว ถ้าฉุกเฉินจริงๆ ค่อยกดปุ่มเรียกเข้ามาก็ได้"
นั่นเป็นบทสนทนาระหว่างพ่อลูกเมื่อตอนเย็นหลังจากกฤตภาสยืนกรานว่าจะให้เขาเฝ้าไข้ สุดท้ายโกเมทก็ต้องยอมให้คนขับรถพาธีระกลับไปเอาของที่อพาร์ทเม้นท์เพื่อมานอนเฝ้าลูกชายที่โรงพยาบาล เนื่องจากระยะทางที่ค่อนข้างไกลมาก กว่าเขาจะกลับมาอีกครั้งกฤตภาสก็หลับไปแล้ว ส่วนโกเมทที่นั่งเฝ้าอยู่ก็เพียงลุกขึ้นตบบ่าพลางกล่าวเตือนเนิบๆ
"ถ้าหากมีอะไรที่ทำเองไม่ไหวก็เรียกพยาบาลให้มาช่วยนะ ไม่ต้องฝืน"
ตอนนั้นเขาเพียงแค่ตอบไปตามมารยาทว่า "ครับ" เพราะอ่านแววตาผู้สูงวัยออกว่าคงเห็นเขาเป็นเด็กที่ไม่น่าจะพึ่งได้ แต่ก็คร้านจะเอ่ยว่าไม่มีใครอยากมาดูแลคนเอาแต่ใจแถมฤทธิ์มากแบบนี้หรอก ถึงแม้ตอนนี้กฤตภาสจะบาดเจ็บเหมือนนกถูกเด็ดปีกก็เถอะ
ทั้งที่จะให้คนอื่นมาเฝ้าก็ได้...ทำไมจะต้องเจาะจงยกหน้าที่นี้ให้เขาด้วย...
มือของธีระกระชับผ้าห่มที่คลุมขึ้นมาถึงไหล่แน่นขึ้น พลันก็รู้สึกว่าแอร์ในห้องเย็นเกินไปจึงเลิกผ้าห่มแล้วเดินไปปรับอุณหภูมิเสียใหม่ แสงไฟที่ลอดใต้ประตูเข้ามาจากทางเดินด้านนอกช่วยให้เห็นสภาพภายในห้องอย่างเลือนราง จึงช่วยให้เขาไม่ขวัญหนีดีฝ่อกับโรงพยาบาลยามดึกมากจนเกินไปนัก
"อืม..."
เสียงครางแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบทำให้ธีระที่กำลังจะเอนตัวนอนสะดุ้งเฮือก แต่พอได้ยินเสียงอีกครั้งก็ตระหนักว่าต้นเสียงมาจากคนบนเตียง เขาจึงเลิกผ้าห่มขึ้นอีกครั้งแล้วเดินไปหากฤตภาส "คุณกฤต?"
เด็กหนุ่มกดสวิทช์ไฟเหนือหัวเตียง ภาพที่เห็นคือกฤตภาสที่ยังคงหลับสนิทแต่เรียวคิ้วทั้งสองข้างขมวดมุ่น หยาดเหงื่อเม็ดละเอียดผุดพราวเต็มหน้าผากจนล้อกับแสงไฟสีส้มอ่อน ผิวหน้าที่ค่อนข้างแดงทำให้ธีระลองแตะหลังมือบนหน้าผากอีกฝ่ายอย่างเอะใจ แล้วก็ต้องรีบชักมือหนีแทบไม่ทัน
"ตัวร้อนมากเลยนี่นา! คุณกฤตครับ เจ็บแผลเหรอ!?"
ธีระหันรีหันขวางก่อนจะตัดสินใจว่าจะออกไปเรียกนางพยาบาล แต่ยังไม่ทันจะก้าวขาก็ถูกมือใหญ่คว้าชายเสื้อเอาไว้แน่น
"จะไปไหน?"
เสียงของคนถามแหบพร่าราวกับต้องใช้พลังอย่างมากในการเอ่ยประโยคนั้น ธีระเหลียวกลับไปมองแล้วก็พยายามจะดึงชายเสื้อให้เป็นอิสระ
"ไปเรียกนางพยาบาลให้มาดูครับ คุณไข้ขึ้นสูงอยู่นะ"
"ไม่ต้อง เอายาที่อยู่บนหัวนอนมาให้ฉันก็พอ หมอบอกไว้แล้วว่าให้กินยาทุกสี่ถึงหกชั่วโมง เดี๋ยวกินยาแล้วนอนก็หาย"
เด็กหนุ่มฟังแล้วได้แต่ย่นคิ้วเข้าหากัน 'เดี๋ยวกินยาแล้วนอนก็หาย?' แค่กินยา...แล้วนอน...ก็หายเรอะ!? ทำไมคนที่เพิ่งโดนยิงมาถึงไม่อินังขังขอบกับสภาพร่างกายตัวเองได้ขนาดนี้นะ!!??
"แต่ผมว่า..."
"ถึงเรียกนางพยาบาลมาเขาก็ไม่ทำอะไรมากไปกว่านี้หรอก เชื่อฉัน เอายามาให้กินก็พอแล้ว"
ธีระไม่ชอบใจกับสิ่งที่ได้ยินเอาเสียเลย แต่ก็บอกไม่ถูกว่าเพราะนั่นเป็นประโยคคำสั่งหรือเพราะขัดใจคนเจ็บกันแน่ สุดท้ายเขาก็ได้แต่หันไปหยิบถุงใส่ยามาดูว่าตัวไหนที่กฤตภาสเอ่ยถึง จากนั้นก็แกะยาออกจากแผงพร้อมกับหยิบขวดน้ำมาเปิด เขาค่อยๆ ประคองต้นคอของกฤตภาสให้ยกขึ้นเพื่อจะได้กลืนยาและน้ำได้สะดวกก่อนจะค่อยผ่อนศีรษะลงบนหมอนอีกครั้ง
ร่างสูงใหญ่ค่อยหลับตาลงพลางระบายลมหายใจยาว ธีระมองภาพตรงหน้าครู่หนึ่งก็หมุนตัวเดินเข้าไปในห้องน้ำซึ่งอยู่ด้านในของห้องพักผู้ป่วย ไม่ช้าเด็กหนุ่มก็เดินกลับมาหยุดที่ข้างเตียงพร้อมกับบางสิ่งบางอย่างในมือ
ผ้าขนหนูชุบน้ำหมาดๆ ซึ่งไล้ไปบนหน้าผากอย่างแผ่วเบาดึงเปลือกตาของกฤตภาสให้เผยอขึ้น ธีระสบตากับนัยน์ตาสีนิลที่มองเขาอย่างเลื่อนลอยเล็กน้อยเพราะพิษไข้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำขณะช่วยเช็ดเหงื่อต่อไป
"ทำอะไรน่ะ?"
ธีระกลอกตาแต่ไม่หยุดมือ "เช็ดตัวให้ครับ คุณเหงื่อออกมาก เดี๋ยวจะไม่สบายตัว"
เด็กหนุ่มค่อยๆ เลื่อนผืนผ้าไปบนหน้าผากและแก้มของกฤตภาสอย่างเบามือ จากนั้นจึงพลิกผ้าอีกด้านแล้วเช็ดบริเวณซอกคอซึ่งอุ่นจัดจนมือของเขาสัมผัสได้ถึงไอร้อน ไม่มีใครเอ่ยอะไรเป็นนานจนกระทั่งคนบนเตียงทำลายความเงียบขึ้น
"แปลกดีนะที่เธอมาทำแบบนี้ให้ ตอนที่เธอช่วยทำแผลหลังจากกัดฉันเมื่อตอนโน้นก็เหมือนกัน ใจจริงแล้วก็ไม่อยากให้ฉันเป็นอะไรใช่ไหม?"
ธีระชะงักมือขณะมองรอยยิ้มบนใบหน้าอิดโรยของคนถาม ทั้งที่น้ำเสียงนั้นมีความเย่อหยิ่งเจืออยู่ แต่ประกายที่สะท้อนในแววตาสีนิลกลับจุดไอร้อนบนผิวหน้าของเขาอย่างไร้สาเหตุ
"ไม่มีใครอยากเห็นใครตายต่อหน้าหรอกครับ ต่อให้เป็นคนนิสัยแย่แค่ไหนก็เถอะ"
เด็กหนุ่มเอ่ยพลางเบนความสนใจกลับมายังการช่วยเช็ดเหงื่อบนคอและแผ่นอกให้กฤตภาส เขารู้ดีว่านัยน์ตาคมวาวคู่นั้นยังคงจับจ้องตัวเองแต่ก็พยายามไม่สนใจ ทว่าประโยคต่อไปก็ทำให้ต้องหันกลับไปมองคนพูด
"อาจไม่ใช่ทุกคนหรอกที่เป็นอย่างนั้น เพราะอย่างน้อยๆ คนที่ยิงฉันก็คงไม่อยากเห็นฉันมีชีวิตอยู่ แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่หมอนั่นดันปอดแหกจนไม่ยิงเข้าหัวใจฉันให้รู้แล้วรู้รอด"
ธีระหางคิ้วกระตุกกับคำพูดชวนแสลงหู ถึงแม้ที่ผ่านมาจะมีบ้างที่ถูกกฤตภาสยั่วโมโหจนนึกอยากใช้ความรุนแรงโต้ตอบ แต่การจินตนาการกับการหยิบอาวุธขึ้นมาทำร้ายใครสักคนจริงๆ นั้นห่างไกลกันโข และเขานึกไม่ออกเลยว่าคนที่ถึงกับหยิบปืนมายิงกฤตภาสได้นั้นจะต้องเพาะบ่มความเกลียดชังไว้อย่างลึกซึ้งเพียงไร
"คุณพูดเหมือนกับอยากตาย"
กฤตภาสส่งเสียงหึขึ้นจมูก "ฉันเนี่ยนะอยากตาย? ไม่มีทาง เพียงแต่การต้องมานอนแบ็บอยู่กับเตียงอย่างนี้มันน่ารำคาญเป็นบ้าเลยต่างหาก"
เด็กหนุ่มพับผ้าชุบน้ำในมือให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแล้ววางลงบนหน้าผากคนเจ็บ จากนั้นก็เลื่อนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆ มานั่งลงข้างเตียง ถึงแม้จะเขาจะเพิ่งรู้จักอีกฝ่ายได้เพียงไม่นาน แต่ก็ถูกบีบให้อยู่ในสถานการณ์ที่ต้องใกล้ชิดกันมากพอที่จะคิดว่ากฤตภาสคงไว้ใจเขาอยู่บ้าง ไม่เช่นนั้นคงไม่เลือกให้มาเฝ้าไข้แถมยังกำชับไม่ให้บอกคนที่บริษัทแบบนี้
"ถ้าหากผมถามว่าทำไมถึงโดนยิง คุณจะเล่าให้ผมฟังไหม?"
คำถามของเขาเรียกคนที่กำลังจะหลับให้เอียงหน้ามาสบตาเขาตรงๆ สายตาสองคู่สบประสานกันภายใต้แสงสีส้มอ่อนเหนือหัวเตียง แล้วธีระก็ต้องกลั้นหายใจเมื่อกฤตภาสยกมือข้างที่ไม่ได้บาดเจ็บขึ้นมาทาบบนแก้มเขา ไอร้อนที่ถ่ายทอดมาพานทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับผิวบริเวณนั้นโดนลวก
"สนใจเรื่องฉันด้วยเหรอ?"
"ในเมื่อคุณยอมบอกผมว่าโดนยิงได้ ถ้าหากผมจะอยากรู้สาเหตุต่อก็ไม่แปลกไม่ใช่เหรอครับ?"
เด็กหนุ่มพยายามบังคับหัวใจที่เต้นรัวให้สงบเพราะปลายนิ้วอุ่นจัดนั้นซุกซนเหลือเกิน พลันนัยน์ตากลมโตก็เบิกกว้างเมื่อกฤตภาสออกแรงกดท้ายทอยให้เขาก้มลงไปหาจนริมฝีปากสัมผัสกัน
"คุณกฤต!"
ธีระรีบดันตัวออกทันทีแล้วก็เอ่ยได้แค่นั้น ผิวหน้าของเขาร้อนผ่าวจากรสสัมผัสที่รวดเร็วจนไม่น่าเชื่อว่าเกิดอะไรขึ้น มีเพียงรอยประทับของไออุ่นที่ตกค้างซึ่งยืนยันว่าเขาเพิ่งจูบกฤตภาสจริงๆ
"ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก ดึกแล้วเป็นเด็กเป็นเล็กก็ไปนอนซะ"
กฤตภาสเอ่ยพลางหลับตาลงแล้ววางมือบนอก ราวกับไม่รับรู้ว่าเมื่อครู่ตนเพิ่งฉวยโอกาสและตัดบทสนทนาไปในตัว ปล่อยให้เด็กหนุ่มได้แต่ถลึงตามองอย่างขัดใจ
ย้ำอยู่ได้ว่าเป็นเด็กๆ ถ้าเป็นเด็กจริงแล้วมาจูบมากอดเขาทำไมเล่า! เฒ่าหัวงูเอ๊ย!!
ธีระนึกอยากทุบคนบนเตียงนักแต่ก็จนใจที่อีกฝ่ายบาดเจ็บอยู่ ถึงแม้กฤตภาสก็ดูจะไม่อ่อนข้อให้เขาเลยแม้ว่าสุขภาพร่างกายจะไม่สมบูรณ์เต็มร้อยก็ตาม ยิ่งได้มองเห็นมุมปากที่ยกขึ้นน้อยๆ ของคนหลับเขาก็ยิ่งหมั่นไส้
ดี! ไม่อยากเล่าก็ไม่ต้องเล่า! ใครเขาอยากรู้เรื่องตัวเองสักแค่ไหนกัน! เชิญนอนฝันร้ายว่าโดนซอมบี้ไล่ล่าไปจนเช้าเลย!!
เด็กหนุ่มทำเสียงฮึดฮัดขณะลุกขึ้นปิดไฟแล้วกลับไปทิ้งตัวบนโซฟา เขาตะแคงเข้าหาผนังแล้วดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปงด้วยความโมโห จึงไม่ทันได้ยินเสียง "หึ" ซึ่งเบาแสนเบาจากคนบนเตียงที่ลืมตาขึ้นแล้วหันมามองแผ่นหลังของเขาก่อนจะหลับตาอีกครั้ง
ไม่ช้าความอ่อนล้าก็ขับกล่อมให้คนทั้งสองหลับใหล เสียงเดียวที่ยังดังภายในห้องพักผู้ป่วยมีเพียงเสียงหายใจที่สอดประสานประหนึ่งว่าหัวใจของทั้งคู่เต้นเป็นทำนองเดียวกันเท่านั้น
++------++
ท่ามกลางความมืดมิดในยามค่ำคืน เด็กชายตัวน้อยสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงแตรรถดังลั่นจากรั้วบ้าน เสียงนั้นดังต่อเนื่องยาวนานจนเขาหลับต่อไม่ลง ก่อนที่เสียงอันบาดหูจะเงียบไปเพราะคงมีคนเปิดประตูรั้วให้ในที่สุด
กฤตภาสซึ่งยืนอยู่ริมหน้าต่างมองลงไปยังรถที่กำลังแล่นผ่านรั้วเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน จากนั้นจึงเบนสายตากลับมามองเด็กชายบนเตียงที่กำลังขยี้ตาอย่างงัวเงีย แสงจันทร์ซึ่งส่องทะลุผ้าม่านเข้ามาทำให้เขาเห็นใบหน้าของเด็กน้อยได้อย่างชัดเจน และยังรู้ด้วยว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรต่อไปหลังจากนี้
เขาย่อมรู้ดีแน่นอนอยู่แล้ว ในเมื่อนี่เป็นความฝันถึงเหตุการณ์ที่ได้เคยประสบมาด้วยตัวเองในวัยเยาว์ ถึงแม้มันจะผ่านมานานแสนนานราวกับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในชาติปางก่อน
เด็กน้อยเลิกผ้าห่มออกจากตัวพร้อมๆ กับที่เสียงเปิดประตูบ้านดังขึ้น จากนั้นก็เดินไปแง้มประตูแล้วยื่นหน้าออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ เมื่อได้ยินเสียงคนคุยกันดังมาจากห้องรับแขก ส่วนกฤตภาสนั้นเพียงแต่ถอยไปยืนในมุมมืดเพราะรู้อยู่แล้วว่าตัวเขาในอดีตจะได้ยินอะไร ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ตนถึงฝันเห็นเหตุการณ์นี้อีกก็ตาม
"คุณขับรถกลับบ้านถูกด้วยเหรอ?"
"แล้วทำไมฉันจะต้องกลับบ้านผิดไม่ทราบ?"
คนที่เปิดบทสนทนาก่อนคือพ่อของเขา ส่วนคนที่ตอบก็คือแม่ แต่ในขณะที่น้ำเสียงของพ่อเขามั่นคงและมีสติ น้ำเสียงของแม่กลับอ้อแอ้ราวกับตกอยู่ใต้ฤทธิ์ของแอลกอฮอลล์
"คุณมุก คุณควรจะเจียมตัวบ้างนะว่าคุณเป็นผู้หญิงที่แต่งงานมีลูกมีสามีแล้ว การจะออกไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูงจนดึกดื่นแล้วทิ้งลูกไว้กับบ้านคนเดียวมันไม่เหมาะ"
"ไม่เหมาะ?" มีเสียงแชะเหมือนใครบางคนจุดไฟแช็คเพื่อสูบบุหรี่ และกฤตภาสรู้ดีว่านั่นคงเป็นแม่ของเขา "ฉันออกไปหลังจากลูกหลับแล้วก็กลับมาก่อนที่แกจะตื่นทุกที มีอะไรไม่เหมาะตรงไหน? ฉันว่าฉันยังทำหน้าที่แม่ได้ดีกว่าใครบางคนที่บอกว่าต้องไปทำงานต่างจังหวัดจนแทบไม่กลับบ้านด้วยซ้ำ ทั้งที่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วไปทำงานหรือไปกกเมียน้อยอยู่ที่ไหนกันแน่"
"คุณมุก! นี่ผมเป็นผัวคุณนะ!!!"
"เป็นผัวแล้วยังไง!? ฉันเคยให้ความหวังคุณตอนไหนว่าแต่งงานกันแล้วต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน!? ถ้าคิดว่าการเลี้ยงเด็กสักคนมันง่ายนักก็ลองออกจากงานมาเลี้ยงเองดูสิ!!!"
กฤตภาสไม่เห็นสีหน้าของเด็กน้อยซึ่งกำลังยืนเกาะบานประตูเพราะอีกฝ่ายหันหลังให้ แต่ก็รู้ดีว่าใบหน้านั้นกำลังแสดงความรู้สึกอย่างไร อาการเม้มริมฝีปากน้อยๆ พลางขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่เข้าใจน่าจะเป็นสีหน้าที่เขาทำมาตลอดในวัยเด็กก็ว่าได้
การทะเลาะโต้เถียงยังคงดำเนินต่อไปก่อนจะมีเสียงของหนักๆ ถูกขว้างจนแตก เด็กน้อยสูดหายใจเฮือกก่อนจะปิดประตูแล้ววิ่งกลับมาขึ้นเตียงพลางดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปง มือน้อยๆ ทั้งสองข้างปิดหูแน่นเพื่อป้องกันเสียงแสลงหูเล็ดลอดเข้าไปสร้างความเจ็บช้ำให้อีก แต่ถึงแม้จะยังเป็นเด็กเพียงเจ็ดขวบ กฤตภาสก็ไม่เคยร้องไห้ไม่ว่าการทุ่มเถียงกันของบุพการีจะรุนแรงและทำร้ายจิตใจสักเพียงไหน
อันที่จริงแล้วเขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าครั้งสุดท้ายที่เคยร้องไห้นั้นตอนอายุเท่าไหร่ แล้วเพราะอะไรถึงได้ร้อง
ชายหนุ่มยืนนิ่งโดยไม่คิดจะก้าวออกไปปลอบตัวเองในอดีตเพราะรู้ว่านี่คือความฝัน และถึงแม้จะไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับสิ่งที่ผ่านมาหลายปีแล้ว การต้องมาเห็นตัวเองในวัยที่ยังไม่รู้ความและยังมีความหวังว่าสักวันความขัดแย้งของพ่อกับแม่จะคลี่คลายไปในทางที่ดีก็ทำให้เขานึกรำคาญความไร้เดียงสานั้นอยู่ไม่น้อย
จู่ๆ ภาพตรงหน้าก็เลือนรางก่อนที่ความมืดด้านหลังกฤตภาสจะขยายใหญ่จนครอบคลุมไปทั้งห้อง ชายหนุ่มเริ่มตระหนกและมองไปรอบตัว เขาพบว่าตอนนี้ตนไม่ได้ยืนอยู่ในห้องนอนที่บ้านเมื่อสมัยเด็กอีกแล้ว แต่กลับกลายเป็นชานพักบันไดด้านนอกของอาคารเก่าคร่ำคร่าที่สีทาผนังหลุดล่อนเป็นแผ่นๆ
กฤตภาสดูไม่ออกว่าที่นี่คือที่ไหน รู้แต่เพียงว่าทั้งอาคารเงียบสงัดไร้ซึ่งสรรพเสียงที่ระบุว่ามีคนอยู่ เขาหรี่ตามองทางเดินมืดสลัวที่ทอดตรงเข้าไปในอาคาร ตลอดทางเดินทั้งสองด้านมีประตูเรียงรายราวกับที่นี่เป็นหอพักหรือไม่ก็อาคารผู้ป่วยร้าง เขาตัดสินใจเดินเข้าไปด้านในเพื่อค้นหาว่าที่นี่คือที่ไหนกันแน่ เสียงลมหวีดหวิวที่พัดอยู่ภายนอกโบยตีหน้าต่างและประตูแต่ละห้องให้เปิดและปิดสลับกันชวนให้ขนลุก
"อึ้ก!!"
ชายหนุ่มส่งเสียงคำรามเมื่อจู่ๆ ก็รู้สึกถึงความแสบร้อนที่พุ่งเข้ามาบนหน้าอกด้านซ้าย เขาเหลือกตาลงมองมือที่จับมีดเล่มใหญ่แทงเข้ามาตรงหัวใจ ก่อนจะไล่สายตาขึ้นและพบว่าเจ้าของมือที่ก้าวออกมาจากประตูด้านข้างคือรุ่งภพ ใบหน้าของอีกฝ่ายราบเรียบไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกใด ทว่ามือที่ปักมีดลงบนหัวใจเขากลับออกแรงดันไม่หยุดยั้ง
"เจ็บเหรอกฤต?"
น้ำเสียงของคนถามราบเรียบไม่มีสูงต่ำเช่นเดียวกับสีหน้า ทว่ากลับยิ่งเพิ่มความน่าขนลุกขนพองให้กับพฤติกรรมอาฆาตมาดร้ายมากยิ่งขึ้น กฤตภาสร้องเสียงดังด้วยความเจ็บปวดเมื่ออีกฝ่ายกระชับด้ามมีดแล้วกระชากออกจากอกเขาเต็มแรงจนเลือดสดๆ พุ่งกระฉูดเป็นสาย
"แก...เมฆ...ทำไม?"
กฤตภาสเซถอยจนแผ่นหลังชนเข้ากับผนัง เขาหันกลับทางเดิมและใช้มือยันด้านข้างเพื่อพยุงตัวหนีจากรุ่งภพให้เร็วที่สุด แต่ดูเหมือนยิ่งพยายามจะออกแรงก้าวเร็วขึ้นเท่าไหร่กลับเหมือนเขาย่ำอยู่กับที่ เมื่อเหลือบตาลงมองจึงเห็นว่าพื้นปูนเขรอะฝุ่นได้เจิ่งนองไปด้วยเลือดที่หลั่งลงจากแผลของเขาเองไปแล้ว
"อ๊ากกกกกก!!!!!"
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นอีกระลอกเมื่อปลายมีดแหลมจ้วงแทงเข้ามาจากด้านหลัง กฤตภาสกระอักเลือดสีแดงฉานออกมาขณะก้มมองปลายมีดที่แทงทะลุอกซ้ายขึ้นมาด้านหน้า เขาเหลียวกลับไปมองด้านหลังอย่างช้าๆ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาอย่างไม่เร่งร้อน ก่อนที่มือของรุ่งภพจะแตะลงบนบ่าของเขาราวจะให้กำลังใจ
"เจ็บใช่มั้ยกฤต? ทีนี้แกคงรู้แล้วสิว่าเวลามีใครมาแทงหัวใจมันรู้สึกยังไง ฉันดีใจนะที่ในที่สุดแก็ได้มีอารมณ์ร่วมกับฉันบ้าง ไหนๆ ตอนนี้ฉันก็เหมือนตกนรกทั้งเป็นอยู่แล้ว ถ้างั้นเรามาตกนรกด้วยกันเลยดีมั้ย?"
"ฮึก!"
กฤตภาสเบิกตาโพลงโดยที่มือข้างหนึ่งกุมแผ่นอกด้านซ้ายแน่น ชายหนุ่มหายใจรุนแรงจนต้องหอบออกมาทางปาก เขารับรู้ได้ว่าทั้งร่างชุ่มไปด้วยเหงื่อจนเหนียวไปทั้งตัว แต่อย่างน้อยแววตาอาฆาตแค้นของรุ่งภพก็ไม่ได้กำลังจ้องมองเขาอีกต่อไปแล้ว
ชายหนุ่มพยายามผ่อนลมหายใจให้เป็นปกติพลางกลืนน้ำลายอันเหนียวหนืดลงคอ นัยน์ตาสีนิลกวาดมองไปรอบห้องและค่อยๆ จำได้ว่าตนเข้าโรงพยาบาลเพราะโดนยิง มือขวาของเขาค่อยผ่อนแรงที่กำเสื้อจนยับยู่ยี่ออก จนเมื่อมั่นใจแล้วว่าตนตื่นจากฝันร้ายแล้วแน่นอนและปลอดภัยดี เขาจึงค่อยระบายลมหายใจยาวออกมาอย่างโล่งใจ
ร่างสูงใหญ่เอียงหน้าไปมองนาฬิกาบนผนังและพบว่าเพิ่งจะหกโมงเช้า สายตาของเขาไล่ต่ำลงจนหยุดอยู่บนใบหน้าของธีระที่นอนคลุมผ้าห่มขึ้นถึงคอและหันมาทางเขา ใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์เหมือนยังอายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดเผยอริมฝีปากออกเล็กน้อย ผมด้านหน้าบางส่วนตกลงมาปรกบนเปลือกตาจนกฤตภาสเห็นแล้วอยากยื่นมือไปเสยออก
หลังจากผ่านความฝันอันเลวร้ายทั้งจากเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริงและไม่ใช่ ชายหนุ่มพบว่าเขาดีใจที่คนแรกที่ได้เห็นหลังจากลืมตาตื่นในเช้านี้คือเด็กคนนี้
กฤตภาสในวัยสามสิบสามนั้นผ่านหลายอย่างในชีวิตมาแล้วทั้งความผิดหวังและสมหวัง เช่นเดียวกับจำนวนผู้คนที่เขาได้พบปะและทำความรู้จักไม่ว่าจะโดยสมัครใจหรือความจำเป็นบังคับ ในจำนวนนั้นมีบางคนที่เขาพอจะนับได้ว่าเป็นเพื่อนและกล้าแสดงนิสัยเสียๆ ให้เห็น แต่ธีระเป็นคนแรกที่เขาเปิดเผยตัวตนด้วยถึงขนาดนี้ทั้งที่รู้จักกันเพียงไม่นาน
เขารู้ดีว่าอายุยี่สิบเอ็ดนั้นความจริงแล้วไม่ถือว่าเด็ก แม้ว่าบางครั้งคนที่กำลังหลับอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้จะเผลอพูดจาหรือแสดงพฤติกรรมที่สะท้อนวุฒิภาวะที่ยังน้อยออกมาบ้าง แต่ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพราะธีระเป็นคนที่คิดอย่างไรก็แสดงออกอย่างนั้น ความโปร่งใสและไม่เคยคิดจะเข้ามาตักตวงอะไรจากเขาเป็นดั่งสิ่งเร้าให้เขายิ่งอยากเข้าใกล้อีกฝ่ายมากขึ้นอย่างห้ามไม่ได้
กฤตภาสไม่เคยเจอใครที่เอาแต่พยายามจะผลักไสเขาแบบนี้ทั้งที่แค่เห็นแวบแรกก็รู้ว่าเจ้าตัวขี้เหงาและโหยหาความรัก และถึงแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่มีทางจะมอบสิ่งที่ธีระต้องการให้ได้ เขาก็ไม่คิดจะปล่อยเด็กหนุ่มให้ห่างตัวไปมีโอกาสรับความรักจากใครอื่นเช่นกัน แต่นั่นเป็นความลับที่เขาจะไม่มีวันปริปากให้ใครได้ยินเป็นอันขาด
"อืม..."
จู่ๆ คนที่ดูเหมือนหลับสนิทก็ครางเสียงเบาก่อนจะขยับตัว กฤตภาสมองดูนัยน์ตากลมโตที่ค่อยปรือขึ้นอย่างเชื่องช้า นัยน์ตาของทั้งสองประสานกันอย่างเงียบงันภายใต้ความสลัวจากผ้าม่านผืนหนาที่บดบังแสงยามเช้าไว้ และกฤตภาสก็นึกแปลกใจเมื่อตระหนักว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นอากัปกริยาในยามตื่นเช่นนี้ของอีกฝ่าย
"ฉันอยากเข้าห้องน้ำ"
"หา?"
ธีระกะพริบตาปริบเหมือนสมองยังไม่ตื่นตัว เด็กหนุ่มยันตัวขึ้นนั่งช้าๆ พลางปิดปากหาวและขยี้ผมฝั่งที่นอนทับจนชี้ฟูไปด้วย
บางทีก็ดูเหมือนเด็กจริงๆ...แต่มองแล้วก็เพลินดี...
กฤตภาสคิดพลางพยายามใช้แขนข้างที่ดียันตัวขึ้นเพราะรู้ว่านั่นจะทำให้เด็กหนุ่มรีบลุกมาหาได้ดีกว่าการเรียก และเขาก็คาดไม่ผิดเมื่อธีระก้าวเข้ามาประชิดเตียงแทบจะทันทีที่ชายหนุ่มวาดขาลงบนพื้น
"คุณลุกไหวเหรอ?"
"ถ้าไม่ไหวก็คงไม่ได้แล้วล่ะ เมื่อคืนไม่ได้เข้าห้องน้ำทั้งคืน ช่วยพาไปหน่อย"
ธีระหน้าเบ้ แต่ว่าก็คอยเดินข้างๆ เพื่อช่วยพยุงและลากเสาน้ำเกลือที่เสียบกับแขนกฤตภาสตามไปที่ห้องน้ำแต่โดยดี แต่พอเข้าไปแล้วกฤตภาสก็ขมวดคิ้วมองคนที่ทำท่าจะเดินออกไปรอหน้าห้อง
"จะไปไหนล่ะ เธอไม่เห็นเหรอว่าตอนนี้ฉันใช้แขนได้แค่ข้างเดียวนี่"
คนถูกท้วงหันกลับมามองชายหนุ่มที่ยกมือข้างที่ถูกเสียบสายน้ำเกลือเหมือนจะย้ำคำพูด จากนั้นก็มุ่นคิ้วมองเขาอย่างระแวง
"แต่คุณดูปกติดีออกนี่นา เดินเองก็ได้ถึงจะเซๆ ไปหน่อย ไม่เห็นต้องเรียกให้ผมช่วยด้วยซ้ำ"
"นี่นะ ฉันโดนยิงที่แขนไม่ใช่ที่ขา แล้วถ้าฉันใช้แขนทั้งสองข้างได้ปกติดีก็คงไม่รบกวนเธอให้กรุณาตามเข้ามาในนี้หรอก แต่ตอนนี้ฉันยังใช้แขนซ้ายไม่ไหวจริงๆ มาช่วยกันหน่อย"
ธีระฟังแล้วก็ทำเสียงฮึหนักๆ ทางจมูกเหมือนไม่อยากเชื่อว่าเขาพูดจริง กฤตภาสจึงต้องใช้วิธีขู่
"ไม่งั้นฉันจะฉี่ราดกางเกงแล้วให้เธอมาเช็ดพื้นให้เดี๋ยวนี้แหละ อยากทำแบบนั้นมากกว่าใช่ไหม?"
"คุณจะบ้าเหรอ! ไม่ใช่เด็กๆ นะที่พอถอดกางเกงไม่ทันก็ฉี่รดพื้นน่ะ! โอ๊ย!! ทำไมผมจะต้องมาคอยดูแลคุณด้วยเนี่ย!!!"
ธีระบ่นกระปอดกระแปดก่อนจะก้าวกลับเข้าไปในห้องน้ำอย่างเสียไม่ได้ เด็กหนุ่มช่วยรูดเชือกกางเกงลงแล้วจับ 'น้องชาย' ของกฤตภาสออกมาชี้ไปทางชักโครกพลางหันไปทางอื่น ผิวแก้มเนียนใสแต้มสีระเรื่อด้วยความฉุนเฉียว ทว่ากฤตภาสเห็นแล้วนึกมันเขี้ยวอยากเพิ่มสีกลีบกุหลาบนั้นให้ชัดเจนขึ้น
"ก่อนหน้านี้ก็ได้เห็นได้จับอยู่บ่อยๆ ขนาดใช้ปากให้ก็ยังเคยมาแล้ว ยังจะอายอะไรอีก?"
คำยั่วยุได้ผลเพราะธีระหน้าแดงซ่านถึงใบหู กฤตภาสต้องกลั้นหัวเราะอย่างเต็มที่เพราะเด็กหนุ่มยิ่งพยายามหันหน้าหนีเขาจนเหมือนคอจะหมุน กระทั่งเขาทำธุระเสร็จแล้วเจ้าตัวถึงค่อยหันมาช่วยเขาเก็บ 'น้องชาย' แล้วดึงกางเกงขึ้นมาผูกให้อีกครั้ง
ธีระหันไปล้างมือแล้วก็ช่วยพยุงกฤตภาสพร้อมกับลากเสาน้ำเกลือกลับไปส่งที่เตียง แต่พออีกฝ่ายผละไปเขาก็รีบดึงชายเสื้อไว้
"จะไปไหน?"
"จะไปไหน? ตั้งแต่เมื่อคืนคุณก็ถามผมแบบนี้หลายครั้งแล้วนะ คุณได้ทำธุระของคุณเสร็จแล้วนี่ ผมก็มีธุระส่วนตัวต้องทำบ้างสิ"
เด็กหนุ่มตอบพลางย่นจมูกขึ้น กฤตภาสจึงค่อยถึงบางอ้อ
"ถ้างั้นเมื่อกี้ก็น่าจะทำให้เสร็จๆ ไปพร้อมกัน ฉันไม่ถือหรอกถ้าเธอจะฉี่ต่อหน้าบ้าง ไม่ใช่ว่าเราจะไม่เคยเห็นกันซักหน่อย"
คราวนี้ธีระหน้าร้อนผ่าวขณะดึงชายเสื้อออกจากมือกฤตภาสอย่างแรงจนเป็นอิสระ
"ของคุณมันธุระเบา แต่ของผมมันธุระหนัก!"
เด็กหนุ่มตวาดแล้วก็เดินปึงปังเข้าไปในห้องน้ำพร้อมกับปิดประตูลงกลอนเสียงดัง ทว่ากฤตภาสที่เพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะทำอะไรกลับเพียงมุ่นคิ้วชั่วครู่ก็หัวเราะออกมาเต็มเสียงจนสะเทือนแผล เขายิ้มขณะเอี้ยวคอไปมองประตูห้องน้ำที่ปิดลงก่อนจะค่อยเอนตัวหนุนหมอนอย่างอารมณ์ดี ความขุ่นมัวในใจที่ยังตกค้างจากฝันร้ายเมื่อตอนเช้ามืดล้วนได้รับการชะล้างออกจากใจจนหมดสิ้น
ดูเหมือนว่า...เขาคงไม่มีทางยอมปล่อยธีระให้ไกลตัวได้อีกจริงๆ เสียด้วย
++---TBC---++
A/N: ในที่สุดก็ได้มาแปะตอนใหม่หลังปล่อยให้หลายคนสงสัยว่าตากฤตแผลติดเชื้อตายไปรึยัง XD สรุปว่ายังอยู่ดีมีสุข ถึงจะอ่อนแอกว่าปกติไปบ้างแต่ก็ยังมีเรี่ยวแรงกวนน้องตี้อยู่นะคะ แต่จะกวนมากขึ้นหรือน้อยลงในอนาคตนี่เดาใจพ่อเจ้าประคุณไม่ถูกจริงๆ คอยติดตามกันต่อไปค่า ^3^
Create Date : 19 มีนาคม 2557 | | |
Last Update : 20 มีนาคม 2557 15:08:23 น. |
Counter : 2655 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|