แนะนำสำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ++------++บทที่ 13ธีระนั่งดื่มชาใส่นมเงียบๆ หลังจากตักนั่นนิดนี่หน่อยมาทานจนอิ่ม ความจริงแล้วจะใช้คำว่าอิ่มก็คงไม่ถูกสักเท่าไหร่ ในเมื่อความรู้สึกของเขาตอนนี้คือพะอืดพะอมจนกลืนอะไรไม่ลงมากกว่า เด็กหนุ่มเหลือบมองกฤตภาสซึ่งเดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมกับจานอาหารที่เพิ่งไปตักมาจากเคาน์เตอร์ ทั้งคู่กำลังนั่งอยู่ในห้องอาหารแบบบุฟเฟต์นานาชาติของโรงแรมแห่งหนึ่งกลางใจเมือง เนื่องจากวันนี้กว่าจะพากันลุกจากเตียงได้ก็เกือบเที่ยง กฤตภาสจึงขับรถพามาที่นี่เพราะจะได้ไม่ต้องคิดมากว่าจะกินอะไร พนักงานคนหนึ่งของห้องอาหารเดินผ่านมาพอดี ธีระจึงหันไปขอเติมน้ำชาแล้วก็เทนมกับน้ำตาลใส่ กฤตภาสเห็นเด็กหนุ่มไม่สนใจอาหารที่เหลือในจานอีกก็เลิกคิ้วอิ่มแล้วรึ?อิ่มแล้วครับธีระตอบพลางยกชานมอุ่นๆ ขึ้นจิบโดยไม่สบตาคนถาม แต่กฤตภาสก็ไม่ได้เซ้าซี้ ผู้สูงวัยกว่าเพียงหยิบผ้าเช็ดปากมาวางบนตักแล้วก็เริ่มจัดการอาหารซึ่งตักมาเป็นจานที่สอง เปิดโอกาสให้เด็กหนุ่มได้อยู่กับความคิดของตัวเองโดยไม่ถูกรบกวนธีระพบว่าบางสิ่งบางอย่างในตัวเขาเปลี่ยนแปลงไปเมื่อคืนนี้การได้พบคนรักของณรงค์โดยไม่คาดฝันทำให้เขารู้ว่าส่วนลึกในใจแอบหวังให้ชีวิตรักของทั้งสองล้มเหลวตลอดมา ความพอใจที่พุ่งขึ้นในอกวูบแรกที่เห็นหนุ่มลูกครึ่งคนนั้นอยู่กับผู้ชายอื่นทำให้เขาตระหนักถึงความดำมืดในใจตัวเอง ก่อนที่บทสนทนาซึ่งได้ยินถัดจากนั้นจะเปรียบดั่งขวานที่จามลงกลางแสกหน้า เพราะว่าแม้แต่ความพึงพอใจเล็กๆ นี้เขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รื่นรมย์ความจริงที่ได้รับรู้ราวกับแสงอาทิตย์ที่สาดโชนเข้าสู่ดวงตาซึ่งเคยมืดบอด บัดนี้เขาตระหนักแล้วว่าไม่มีประโยชน์เลยที่จะผูกติดอยู่กับความทรงจำที่ผู้พ่ายแพ้คือตัวเองเพียงคนเดียว ทว่าการจะก้าวผ่านความรู้สึกหม่นหมองอีกครั้งโดยไม่มีเพื่อนๆ ให้ยึดเหนี่ยวนั้นยากเหลือเกิน และในชั่ววินาทีนั้นเองที่เงาร่างของใครคนหนึ่งกระจ่างขึ้นท่ามกลางเมฆหมอกซึ่งบดบังจิตใจจนไม่เห็นแสงส่องทางคนที่มีนิสัยชอบเอาแต่ใจ ใช้ความได้เปรียบต่างๆ นานาเพื่อหาความสุขจากเขาโดยไม่ใส่ใจความรู้สึกกันสักนิด แถมยังชอบทำให้โมโหจนไม่รู้จะรับมืออย่างไรอยู่บ่อยๆ ...นาทีนั้นกฤตภาสราวกับเป็นตัวช่วยที่สวรรค์จงใจส่งมาให้ในการผ่านบททดสอบนี้ของชีวิตก็ไม่ปานจะผิดอะไรถ้าเขาจะใช้ประโยชน์จากกฤตภาสบ้างระหว่างที่เพื่อนสนิทล้วนอยู่ห่างไกล อย่างน้อยการต้องรวบรวมสมาธิมารับมือกับอารมณ์ที่ชอบแปรปรวน รวมถึงการทอดกายให้อีกฝ่ายเชยชมก็ยังช่วยให้เขาหายเหงาได้ดีกว่าจมอยู่กับความเศร้าเพียงลำพัง ถึงแม้มันอาจเป็นทางออกที่แสนจะสิ้นคิดในสายตาคนอื่น แต่เขาตั้งใจแล้วว่าหลังจากจบระยะเวลาที่ตกลงกันไว้ เขาก็จะกลบฝังความทรงจำที่เคยเกิดขึ้นให้หมดสิ้น ทำเสมือนว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างปิดเทอมนี้เป็นเพียงหลุมดำในชีวิตที่ไม่มีคุณค่าควรแก่การระลึกถึงกฤตภาสตักอาหารเข้าปากไปก็เหลือบมองคนที่นั่งเท้าคางมองออกไปนอกกระจกหน้าต่าง เขาสัมผัสได้ว่าธีระแปลกไปตั้งแต่เมื่อคืน เพราะนอกจากเด็กหนุ่มจะไม่ดื้อแพ่งไม่ว่าเขาจะบอกให้ทำอะไร การตอบสนองที่มอบให้ก็ยังยอดเยี่ยมกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา แถมยังไม่มีการชักสีหน้าเวลาเขาไม่ปล่อยให้พักผ่อนหลังจากเสร็จแต่ละยกด้วยแม้จะถูกใจปฏิกิริยาใหม่ของธีระยามที่ใกล้ชิดกัน กฤตภาสก็ยังไม่อาจฟันธงได้ว่าพอใจกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่รู้สาเหตุนี้ แต่ก็ตัดสินใจทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปก่อนเพราะรู้ว่าต่อให้ถามก็คงไม่ได้คำตอบวันนี้อยากออกไปไหนบ้างหรือเปล่า?กฤตภาสถามขึ้นหลังจากทานอาหารอิ่มแล้ว คนที่เอาแต่นั่งทอดสายตามองไปข้างนอกจึงค่อยเบนสายตากลับมา วูบหนึ่งที่นัยน์ตากลมโตคู่นั้นไร้ประกายของความมีชีวิตชีวาเช่นทุกที "ไม่มีหรอกครับ จะกลับกันเลยก็ได้" ธีระตอบเสียงเบาเพราะเจ็บคอ ความจริงเขารู้สึกเวียนหัวและอยากล้มตัวลงนอนเสียด้วยซ้ำ ซึ่งอาจเป็นเพราะเมื่อคืนตากฝนแล้วยังได้พักผ่อนเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่ก็เห็นว่าอาการยังไม่หนักจนทนไม่ไหวจึงไม่ปริปาก"อยากกลับไปทำต่อแล้วเหรอ? ฉันนึกว่าเธอเหนื่อยแล้วซะอีก""ถ้าคุณมีน้ำยาทำต่อไหว ผมก็ไหว"น้ำเสียงของคนตอบเข้มขึ้น กฤตภาสมองหัวคิ้วที่มุ่นเข้าหากันของธีระแล้วก็ยิ้มมุมปาก เพราะถึงอย่างไรเขาก็คิดว่าเวลาที่เด็กหนุ่มแสดงอารมณ์ไม่พอใจเช่นนี้มีเสน่ห์กว่าเวลาพยักหน้าแล้วตอบเออออเพื่อให้จบเรื่อง"นี่ยังไม่บ่ายสอง ขืนรีบกลับไปอุดอู้อยู่แต่ในห้องก็น่าเสียดาย เอาอย่างนี้...เล่าให้ฟังหน่อยซิว่าปกติวันหยุดเธอทำอะไรบ้าง?"กฤตภาสถามพลางยกกาแฟขึ้นจิบ นัยน์ตาสีนิลสบตากับธีระที่มองเขากลับด้วยแววตาสับสน เพราะนี่อาจเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่เขาชวนคุยเรื่องสัพเพเหระที่ไม่ใช่การชวนขึ้นเตียงหรือกวนโมโหธีระมองคนที่นั่งเท้าคางรอคำตอบอยู่อีกฟากของโต๊ะอย่างไม่เข้าใจ เขาก็อุตส่าห์จะทำตัวเป็นเซ็กส์เฟรนด์ที่ดี ตอบสนองให้ทุกลีลาอย่างที่ต้องการแล้ว ทำไมป่านนี้ยังจะมาพูดจาชวนให้คิดว่าอยากทำความรู้จักกันอยู่อีกเด็กหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่ง แต่กฤตภาสก็ยังไม่ยอมชวนคุยเรื่องอื่น เขาจึงตอบไปกลางๆ อย่างเสียไม่ได้"ก็เล่นเกม ดูหนัง ไปเดินซื้อของหรือกินข้าวกับเพื่อน คนวัยผมปกติทำอะไรกันผมก็ทำอย่างนั้นน่ะแหละ"ผู้สูงวัยกว่าจับได้ว่าคนพูดจงใจเน้นคำว่า 'คนวัยผม' แต่เขากลับนึกขำมากกว่าโกรธ เพราะกฤตภาสชอบตัวเองในวัยสามสิบสามมากกว่าตอนอายุยี่สิบเอ็ดซึ่งยังมีข้อจำกัดให้ไม่สามารถทำสิ่งที่อยากทำได้หลายอย่างแต่ก็อย่างว่า...คงเร็วเกินไปที่จะให้เด็กหนุ่มอย่างธีระตระหนักถึงเรื่องนี้ทั้งที่ยังอายุเท่านี้"เล่นเกมฉันคงต้องขอผ่าน ส่วนดูหนังฉันก็ชอบดูกับเครื่องเสียงที่ห้องมากกว่า ถ้างั้นก็เหลือแค่ไปเดินซื้อของ ปกติเธอไปเดินซื้อของที่ไหน?"คราวนี้ธีระกะพริบตาปริบด้วยความงุนงงอย่างแท้จริง เพราะนี่มันเหมือนกับเขากำลังโดนชวนไปเที่ยวไม่มีผิด"ว่าไง? ในห้างหรือในตลาด?"กฤตภาสถามต่อพลางกวักมือเรียกพนักงานให้มาเติมกาแฟให้ ธีระได้แต่มองอีกฝ่ายที่ตักน้ำตาลมาคนใส่กาแฟจนละลายแล้วค่อยยกขึ้นดื่มเหมือนกำลังมองตัวประหลาด"จริงๆ ก็ได้ทั้งสองที่ แต่ปกติผมจะซื้อเสื้อผ้าที่ตลาดมากกว่าเพราะของถูกแล้วก็มีให้เลือกเยอะกว่า แต่อย่างคุณคงไม่เหมาะจะไปเดินตลาดหรอกมั้ง"ในที่สุดธีระก็ตอบพร้อมกับออกความเห็นตบท้าย กฤตภาสจึงเลิกคิ้วพลางยกมือขึ้นกอดอกแล้วพิงเก้าอี้ "อย่างฉัน? ไม่เหมาะจะไปเดินตลาดเพราะอะไร?"ยังจะมาถาม! "เพราะเสื้อผ้าที่คุณใส่ติดป้ายแบรนด์เนมทั้งนั้น คุณชายอย่างคุณคงไม่เหมาะจะไปเดินตากเหงื่อเบียดคนในตลาดหรอก"เขานึกว่าตอบแบบนี้กฤตภาสคงโมโหที่โดนดูถูกว่าเป็นผู้ดีตีนแดง ที่ไหนได้ คนถูกกล่าวหากลับหัวเราะเสียงดังเสียจนเขานึกว่าตนเผลอเล่าเรื่องขำขันแทนที่จะเป็นวาจาเหน็บแนม"ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะสังเกตเสื้อผ้าฉันด้วย โอเคใช่ ฉันชอบของแบรนด์เพราะมันทนดี แต่จะบอกให้ว่าเสื้อหลายๆ ตัวในตู้ฉันน่ะมาจากตลาดมือสองตั้งแต่สมัยยังเรียนอยู่ที่อังกฤษ ตอนนั้นฉันก็ต้องไปเดินคุ้ยหาของในตลาดแบบที่นักศึกษาคนอื่นเขาทำกันนั่นแหละ"ธีระยังทำหน้าไม่เชื่อ กฤตภาสจึงยิ้มพลางเรียกพนักงานอีกครั้งเพื่อขอบิลมาเซ็น เมื่อเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นแล้วเดินนำออกไปนอกห้องอาหาร เด็กหนุ่มจึงได้แต่ก้าวตามพลางถามด้วยความสงสัย"ตกลงนี่เราจะไปไหนครับ?"กฤตภาสยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะดึงข้อศอกธีระให้เข้ามาใกล้ตัวเมื่อเด็กหนุ่มเกือบชนเข้ากับคนที่เดินสวนมาจากอีกด้าน "ไม่น่าถาม ก็ไปเดินตลาดกันน่ะสิ"++------++ถ้าหากจะมีที่ไหนที่ธีระคิดว่าจะได้ไปกับกฤตภาส ตลาดนัดจตุจักรก็ไม่ใช่สถานที่แรกๆ ที่เขาจะนึกถึงแน่เด็กหนุ่มก้าวลงจากรถมายืนบนพื้นกรวดในลานจอดอย่างมึนงง เพราะยังไม่อาจทำความเข้าใจว่ากฤตภาสพาเขามาที่นี่เพียงเพราะนึกครึ้มหรือว่ามีแผนอื่น แต่ก็เพียงเก็บงำความสงสัยไว้ขณะเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในตลาด"ปกติเธอเลือกซื้อเสื้อผ้าที่โซนไหน?"อย่าบอกนะว่าที่ถามนี่เพื่อจะซื้อให้ เขาไม่ได้อยากได้สินน้ำใจแบบนั้นเลยสักนิดเดียวธีระคิดขณะมองไปรอบตัว เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดจึงทำให้มีคนมาเดินตลาดหนาแน่น สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเดินนำไปยังโครงการที่ไม่ได้ขายของที่เขาชอบ"ผมไม่มีร้านประจำหรอก เวลามาก็เดินเล่นไปเรื่อยๆ เจอของถูกใจร้านไหนก็ซื้อจากร้านนั้น"เด็กหนุ่มเอ่ยขณะพยายามเดินทิ้งช่วงจากอีกฝ่ายเล็กน้อย สาเหตุหนึ่งที่เขาไม่ค่อยอยากมาตลาดแห่งนี้กับกฤตภาสเพราะเกรงว่าจะเจอลูกพี่ลูกน้องจอมซักไซ้ซึ่งเปิดร้านขายเสื้อผ้าอยู่ที่นี่ ส่วนอีกสาเหตุก็เพราะตลาดนี้พลุกพล่านเกินไป เขาเกรงว่าเดินๆ กันอยู่จะมีลูกน้องคนอื่นของกฤตภาสมาเห็นตอนพวกเขาอยู่ด้วยกัน และทีนี้ต่อให้เขาจะพยายามกุข้ออ้างอะไรขึ้นมาอธิบายก็คงไม่อาจแก้ตัวได้แน่ธีระพากฤตภาสเดินลดเลี้ยวเข้าไปในโครงการที่ขายเฟอร์นิเจอร์ ของกระจุกกระจิก สัตว์เลี้ยง โดยใช้วิธีเดินเข้าซอยนั้นออกซอยนี้อย่างไม่มีจุดหมาย จุดประสงค์ก็คือเพื่อให้ฤตภาสทนอากาศร้อนๆ และคนเยอะๆ ไม่ได้จนพาเขาไปที่อื่นเสียที แต่ยิ่งเดินเขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนกำลังทรมานตัวเอง"ตี้ เดี๋ยวก่อนซิ"นั่นไง...เริ่มเบื่อแล้วสิท่า"ครับ?"ธีระหันกลับไปเมื่อกฤตภาสยื่นมือมาวางบนไหล่ อีกฝ่ายชี้นิ้วโป้งพลางพยักหน้าไปทางตรอกเล็กๆ ซึ่งแทรกตัวอยู่ระหว่างทางที่พวกเขากำลังเดินดูของ เด็กหนุ่มจึงขมวดคิ้วอย่างสงสัยแต่ก็เดินตามไปโดยดี"ชานมไข่มุกสองแก้วครับ เธอก็เอาเหมือนกันใช่มั้ย?"กฤตภาสสั่งคนขายซึ่งยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ไม้ก่อนจะหันมาถาม เด็กหนุ่มจึงอดคิดไม่ได้ว่าถ้าสั่งเสร็จแล้วก็ไม่ต้องขอความเห็นชอบจากเขาซ้ำอีกก็ได้กระมัง"...ขอบคุณครับ"ธีระรับเครื่องดื่มในแก้วพลาสติกมาดูดพลางเหลือบตาขึ้นมองกฤตภาส เขาคิดว่าคงเป็นเรื่องบังเอิญที่อีกฝ่ายกระหายน้ำแล้วมองมาเห็นร้านนี้พอดี คงไม่ใช่เพราะรู้ว่าเขาชอบชานมไข่มุกถึงได้แวะซื้อแน่ๆ กฤตภาสกำลังหันมองไปทางอื่นแต่ก็กำลังดูดชานมไข่มุกอยู่เหมือนกัน แว่นกันแดดซึ่งถูกถอดออกมาเสียบบนเสื้อยืดคอวีถ่วงผ้าลงจนเห็นเนินอกแกร่งได้รำไร ส่วนแขนเสื้อที่สั้นก็เผยให้เห็นส่วนหนึ่งของลายสักรูปแมงป่องที่ยาวลงมาเกือบถึงข้อศอกขวาได้ชัดเจน เขาคิดว่าเจ้าตัวคงจงใจปิดบังลายสักนี้ไว้จากพนักงานที่บริษัท เพราะปกติจะเห็นใส่แต่เสื้อที่แขนยาวถึงข้อศอกเวลาไปทำงานเสมอบริเวณต้นคอและเนินอกที่เปิดเปลือยต่อสายตานั้นมีรอยจ้ำและรอยข่วนเล็กๆ กระจายอยู่ประปราย ริ้วรอยเหล่านั้นไม่ได้ถึงกับเตะตาแต่ก็ยังเห็นได้ชัดถ้าตั้งใจมอง เด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบที่หลังคอเพราะรู้ว่าตัวเองก็มีร่องรอยแบบเดียวกัน วันนี้เขาถึงได้จงใจ ใส่เสื้อคอโปโลแล้วยกปกเสื้อตั้งขึ้นเพื่อไม่ให้ใครได้เห็นเมื่อคืนนี้พวกเขาทั้งคู่ก็บ้าพอกัน...เด็กหนุ่มไพล่นึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมา เขาจำไม่ได้ว่าถูกกฤตภาสกอดไปกี่ครั้งหรือใช้บริเวณไหนในห้องบ้าง รู้แต่หากยังมีเรี่ยวแรงก็จะตอบสนองโดยไม่อิดออดราวกับได้เสพยากระตุ้น จิตใจที่ถูกกระทบกระเทือนทำให้เขากระหายความรู้สึกที่จะมาช่วยอุดช่องว่างในใจ และหากนั่นจะหมายถึงการตกเป็นของเล่นให้กับผู้ชายคนนี้ตามที่เจ้าตัวต้องการ...เขาก็ยินดีจะไขว่คว้าฟางเส้นนี้เอาไว้นับว่ากฤตภาสมีเรี่ยวแรงเหลือเฟือสำหรับผู้ชายในวัยสามสิบกว่า เพราะระหว่างที่เขาหมดสติจากความความอ่อนเพลียเมื่อตอนเช้ามืด อีกฝ่ายก็ยังอุตส่าห์มีน้ำใจเอาเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มในกระเป๋าของเขาไปซักและอบในเครื่องให้ก่อนจะกลับมานอนจนกระทั่งตื่นมาพร้อมกันตอนเที่ยง ไม่เช่นนั้นวันนี้เขาก็คงไม่มีเสื้อผ้าจะใส่ออกมาเดินข้างนอกแน่ๆเอาล่ะ พร้อมจะไปเดินต่อหรือยัง?เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นและพบว่าอีกฝ่ายดูดชานมไข่มุกหมดและทิ้งแก้วไปแล้ว จึงถามขึ้นด้วยความสงสัยยังไม่เบื่ออีกเหรอครับ?ทำไมถึงคิดว่าฉันจะเบื่อล่ะ?ก็...ผมไม่เห็นคุณแวะดูร้านไหนสักร้าน มีแต่เดินตามผมอย่างเดียว ทั้งที่อากาศก็ร้อน คนก็เบียดกฤตภาสเอาสองมือล้วงกระเป๋าแล้วแค่นยิ้ม อ้าว ฉันก็นึกว่าเธอตั้งใจพามาซึมซับบรรยากาศซะอีก ไหนล่ะร้านที่ชอบไปซื้อของ? ถ้ายังไม่พาไปฉันก็จะเดินตามอยู่อย่างนี้แหละ ยังไงก็ไม่ได้รีบร้อนจะไปไหนนี่นาธีระฟังออกว่ากฤตภาสรู้ทันแผนของเขาที่ตั้งใจพาเดินวนในอากาศร้อนๆ เพื่อให้เบื่อ แต่ในเมื่อคู่กรณีรู้ตัวเสียแล้วเช่นนี้ เขาก็หมดอารมณ์จะพาเดินต่อถ้างั้นกลับกันเลยดีกว่า ผมขี้เกียจดูของแล้วธีระเอ่ยจบก็หันไปทิ้งแก้วชานมใส่ถังขยะ กฤตภาสจึงขยับตัวเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยยิ้มๆ อยากรีบกลับไปนอนกับฉันขนาดนั้นเลยเหรอ ไม่ยักรู้นะว่าเธอติดใจฉันขนาดนี้เด็กหนุ่มเบ้ปากแล้วก็หันไปจ้ำหนีโดยไม่รอ ฝ่ายกฤตภาสได้แต่หัวเราะหึๆ เพราะรู้ดีว่าธีระไม่ได้รู้สึกอย่างที่เขาเพิ่งพูดสักนิด แต่กำลังใช้ประโยชน์จากการมีอะไรกับเขาเพื่อหลบหนีความรู้สึกบางอย่างมากกว่าคิดว่าถ้ายอมทำตามที่ฉันต้องการบนเตียงแต่โดยดีแล้วจะผ่านสามเดือนนี้ไปได้ง่ายๆ สินะ ถ้างั้นก็ประเมินฉันต่ำไป...กฤตภาสเร่งฝีเท้ายาวๆ เพียงไม่นานก็เดินขึ้นไปตีคู่กับธีระ ร่างสูงใหญ่วาดแขนพาดบนไหล่ของเด็กหนุ่มเสมือนว่าทั้งคู่สนิทสนมกันมาก ธีระเงยหน้าขึ้นเห็นรอยยิ้มยียวนของคนข้างกาย จึงสั่งหายใจแรงๆ และพยายามแกะมือที่โอบบนไหล่ออก"ผมร้อน เหนียวเหงื่อด้วย อย่าเข้ามาใกล้นักได้มั้ย?"แล้วผมก็ไม่ชอบกลิ่นน้ำหอมกับกลิ่นบุหรี่บนตัวคุณด้วย...ธีระคิดแต่ไม่พูด เพราะมันเผยให้รู้ว่าเขาสังเกตรายละเอียดของอีกฝ่ายมากแค่ไหนนอกจากเรื่องที่รู้ว่าใส่แต่เสื้อผ้าแบรนด์เนม "ทำไมเมื่อคืนไม่เห็นพูดอย่างนี้เลยล่ะ?"กฤตภาสก้มลงมากระซิบข้างหู ทำเอาผิวหน้าของเด็กหนุ่มซ่านเป็นสีชมพูขึ้นมา เขาสงสัยจริงๆ ว่าถ้าผู้ชายคนนี้หยุดพาดพิงเรื่องบนเตียงแล้วจะอาหารไม่ย่อยหรืออย่างไร ถึงได้ไม่เลิกยั่วโมโหเขาด้วยเรื่องที่ไม่ควรพูดในที่แจ้งเสียที!"คุณกฤต...""อ้าว? ตี้! ต๊ายตาย! ไม่เจอกันตั้งนาน!!"น้ำเสียงแหบห้าวของคนพูดขัดกับคำที่เลือกใช้อย่างสิ้นเชิง และด้วยระดับเสียงที่ไม่ได้เบาจึงยิ่งดึงดูดให้คนที่เดินผ่านหันมามองอย่างสนใจ ทว่ากฤตภาสกลับสัมผัสได้ว่าไหล่ของเด็กหนุ่มแข็งทื่อ เมื่อเขามองไปทางต้นเสียงก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินตรงมาหาทั้งสองด้วยใบหน้าที่ออกอาการ 'กระดี๊กระด๊า' อย่างไม่ปกปิดไม่สิ...หากจะเรียกคนที่กำลังเดินมาว่าชายหนุ่มก็คงไม่ถูกใจเจ้าตัวนัก เพราะจากท่าทางการเดินเหินและคำพูดที่ใช้ เขาก็พอจะอนุมานเพศสภาพของคนตรงหน้าได้ว่าเป็น 'สาว' อย่างไม่ต้องถามซ้ำเสียมากกว่า"...พี่ป๊อก หวัดดีครับ"ธีระใจหายวูบตั้งแต่ได้ยินเสียงอันแสนคุ้นเคย แต่จะแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินก็ไม่ได้เพราะถูกตะโกนเรียกซะดังขนาดนี้ เขาจึงได้แต่ยิ้มแห้งๆ ขณะหันไปยกมือไหว้ลูกพี่ลูกน้องอย่างเก้ๆ กังๆ"ไม่ได้เจอกันตั้งหลายเดือนแน่ะ! ไปทำอะไรมาถึงผอมอย่างนี้ล่ะ? นี่พี่เพิ่งกลับบ้านไปเมื่อเดือนก่อนยังบอกแม่ของตี้อยู่เลยว่าพักนี้ไม่ค่อยได้เจอกัน ไม่แวะไปร้านพี่หน่อยเหรอ? ช่วงนี้เสื้อแบบที่ตี้ชอบเพิ่งมาลงเพียบเลยนะ"ญาติผู้พี่ทักทายยาวเหยียดจนธีระไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ความอึ้งทำให้เขาลืมกระทั่งมือของกฤตภาสที่โอบอยู่บนไหล่ ฝ่ายญาติผู้พี่เห็นเขาไม่ตอบก็ไม่ได้เร่ง แต่นัยน์ตาเหลือบมองกฤตภาสที่ยืนเสียชิดเจ้าตัวแล้วก็ยิ้มกรุ้มกริ่ม"ตายละ จะไม่แนะนำคนที่มาด้วยกันหน่อยเหรอตี้"คำถามและรอยยิ้มมีเลศนัยของอีกฝ่ายดึงสติของธีระกลับมา เขาเหลือบมองกฤตภาสซึ่งกำลังยิ้มมุมปากเหมือนได้ดูละครฉากสนุกแล้วก็รีบตัดบท"คุณกฤต เป็นเจ้านายที่บริษัทที่ตี้ไปฝึกงาน แต่เดี๋ยวเราจะกลับกันแล้วล่ะ""อ้าว? งั้นแปลว่าเลิกกับพี่คนที่เคยพามาก่อนหน้านี้แล้วเหรอ? อุ๊บ!"ญาติผู้พี่ยกมือขึ้นปิดปากเหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าไม่ควรถาม แต่ธีระหน้าเผือดสีทันทีเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายจงใจ เขากำมือแน่นจนตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ แต่กลับถูกมือที่โอบไหล่รั้งเข้าหาตัวมากขึ้นพร้อมกับที่กฤตภาสเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือรอยยิ้ม"ทำไมแนะนำแฟนว่าเป็นเจ้านายล่ะ เดี๋ยวกลับไปต้องทำโทษซะแล้วเด็กคนนี้"ธีระเลิกคิ้วสูงขณะที่กฤตภาสก้มลงจูบหน้าผาก แต่ผู้สูงวัยกว่าทำเป็นไม่เห็นหน้าตาเหลอหลาของเขาขณะหันไปบอกลาญาติผู้พี่"ขอโทษนะครับคุณป๊อก วันนี้ตี้เขาไม่ค่อยสบายแต่ก็ยังดื้ออยากจะมาเดินเล่น แต่ตอนนี้เห็นทีจะต้องพากลับไปนอนแล้ว ไว้วันหลังผมจะให้เขาพาไปเยี่ยมที่ร้านนะครับ""อุ๊ยตาย! ได้สิคะ! โถตี้เอ๊ย ไม่สบายก็ไม่บอก! งั้นรีบกลับไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวคุณกฤตคงช่วยดูแลเราอย่างดีเองล่ะ"ญาติผู้พี่ทำหน้าเห็นใจพลางยื่นมือมาตบไหล่ธีระเบาๆ แต่นัยน์ตากลับส่งยิ้มเป็นประกายพราวให้กับกฤตภาสซึ่งยิ้มบางๆ ตอบ ร่างสูงใหญ่เดินโอบไหล่เด็กหนุ่มออกมาจากตรอกนั้น จนกระทั่งใกล้จะไปถึงรถที่จอดไว้ คนถูกโอบก็ปัดมือเขาออกแล้ววิ่งไปที่ต้นไม้ซึ่งอยู่ริมลานจอด ร่างเพรียวเอามือหนึ่งยันลำต้นเอาไว้ก่อนจะโก่งคออาเจียนอย่างรุนแรงกฤตภาสรีบสาวเท้าเข้าไปใกล้แล้วรั้งเอวธีระเพื่อไม่ให้หน้าทิ่ม มือใหญ่อีกข้างช่วยลูบหลังขณะที่เด็กหนุ่มทำท่าเหมือนยังขย้อนออกมาไม่หมด ทว่าอาจเพราะมื้อกลางวันนั้นแทบไม่ได้กินอะไรนอกจากชานม สิ่งที่อาเจียนออกมาจึงมีแต่ของเหลวและน้ำย่อยซึ่งเหม็นเปรี้ยวจนเขาแสบคอ"ออกมาหมดหรือยัง?"กฤตภาสถามพลางยกมือเสยผมบนหน้าผากซึ่งชื้นไปด้วยเหงื่อให้ เด็กหนุ่มจึงพยักหน้าด้วยความรู้สึกเหนื่อยอ่อนขณะยึดแขนเขาไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว ไหล่บางยังคงสั่นเพราะความหน้ามืดและอ่อนเพลีย กฤตภาสจึงสบถเสียงเบาเพราะดูท่าทางอีกฝ่ายจะโดนพิษจากอากาศร้อนเล่นงานเข้าให้แล้ว"กลับกันเลยก็แล้วกัน สภาพเธอเป็นแบบนี้คงเดินเที่ยวต่อไม่ไหวหรอก อีกเดี๋ยวตลาดก็จะวายแล้วด้วย""ไม่เอา...อย่าเพิ่งกลับ"คนฟังเลิกคิ้ว ตั้งแต่เมื่อช่วงกลางวันเขาก็ได้ยินเด็กหนุ่มรบเร้าว่าจะกลับห้องๆ ท่าเดียว มาตอนนี้ที่อาการไม่สบายเด่นชัดขึ้น คนป่วยดันไม่อยากกลับไปพักผ่อนไปเสียฉิบ"ถ้างั้นจะไปไหน? ถ้าหิวก็ไปหาข้าวเย็นกินกันก่อนก็ได้ เสร็จแล้วเธอจะได้กลับไปนอน"หากธีระมีสติเต็มร้อย เขาคงฉุกคิดได้ว่าอีกฝ่ายไม่เอ่ยถึงเรื่องบนเตียงเลยสักคำตั้งแต่ได้เห็นเขาอาเจียน แต่เพราะไม่มีสติจะคิดวิเคราะห์อะไรในขณะนั้น เขาจึงส่ายหน้าพลางพยายามคิดถึงสถานที่อื่นที่อยากไปมากกว่าห้องของกฤตภาส ครู่หนึ่งก็กลืนน้ำลายเพื่อลดอาการแสบคอแล้วเอ่ยเสียงโหย "ผมมีร้านที่อยากไป พาผมไปที่นั่นหน่อย"++------++บนม่านราตรีที่ห่มคลุมทุกสรรพสิ่งในยามดึกสงัด ดวงจันทร์ซึ่งลอยสูงได้ทอแสงละมุนตาลงบนกลีบเมฆที่ลอยกระจัดกระจายบนท้องฟ้า ที่หน้าประตูห้องของคอนโดมิเนียมหรูกลางใจเมือง คีย์การ์ดถูกหยิบออกมารูดในช่องอ่านสัญญาณก่อนที่ประตูจะถูกผลักเปิด จากนั้นกฤตภาสก็ย่อตัวลงช้อนร่างของเด็กหนุ่มที่เมาจนแทบยืนไม่อยู่แล้วพาเดินเข้าไปในห้อง ความคุ้นเคยบวกกับแสงจันทร์ที่ส่องผ่านหน้าต่างทำให้เขาสามารถอุ้มธีระไปถึงห้องนอนโดยไม่ชนอะไร จนกระทั่งวางเด็กหนุ่มลงบนเตียงแล้ว ร่างสูงใหญ่ถึงค่อยหันไปเปิดโคมไฟซึ่งตั้งอยู่ข้างๆ"อืม...ขอโค้กกับโซดาเพิ่มด้วย...น้ำแข็งอีกถัง..."เสียงเพ้ออ้อแอ้ทำให้กฤตภาสเอามือยีผมของธีระพลางยิ้มอย่างหน่ายๆ เขาเข้าใจผิดมาตลอดตั้งแต่พบกันว่าเด็กคนนี้คงเป็นพวกแพ้แอลกอฮอลล์ ที่ไหนได้ วันนี้เจ้าตัวผสมเหล้าดื่มเองจนแทบหมดกลมคนเดียวโดยไม่รับรู้เลยว่ามีคนเดินมาเมียงมองด้วยแววตาสนอกสนใจตั้งกี่ราย แต่ติดที่โดนเขาซึ่งนั่งคุมเชิงจิบวิสกี้อยู่ข้างๆ ทำตาดุใส่ จึงไม่มีใครหน้าไหนหาญกล้าพอจะเข้ามาชวนคุยกฤตภาสเข้าห้องน้ำไปล้างมือล้างหน้าให้สดชื่นขึ้น จากนั้นก็เอาผ้าขนหนูที่ชุบน้ำจนหมาดเดินกลับไปเช็ดหน้าให้ธีระที่ยังเหม่อมองเพดานด้วยนัยน์ตาเลื่อนลอย"ทำไมร้านไม่เปิดไฟล่ะ? แล้วพาผมมานอนบนเตียงทำไม? ผมไม่ไปหาหมอฟันนะ ไม่ได้ฟันผุซักหน่อย""เด็กบ้านี่ เพิ่งรู้นะว่าเวลาเธอเมาแล้วจะพูดจาไม่รู้เรื่องขนาดนี้"กฤตภาสทั้งขำทั้งอ่อนใจ เขาจับเด็กหนุ่มยกแขนขึ้นเพื่อจะได้ถอดเสื้อให้ จากนั้นก็เช็ดคราบเหงื่อไคลจากการไปตะลอนข้างนอกมาทั้งวันเพราะรู้ว่าคืนนี้คงไม่มีหวังจะพาธีระไปอาบน้ำ เมื่อจัดการท่อนบนเสร็จแล้วก็เช็ดตัวท่อนล่าง จากนั้นก็เปิดตู้หาเสื้อยืดกับกางเกงบ็อกเซอร์มาให้เด็กหนุ่มใส่แทนชุดนอนจะว่าไป...เขายังไม่เคยดูแลใครขนาดนี้มาก่อนเลยตั้งแต่เกิดมา ขนาดรูมเมทสมัยเรียนที่อังกฤษไปกินเหล้าเมาจนอ้วกรดตัวเอง เขาก็ปล่อยให้หมอนั่นนอนจมกองอ้วกอยู่หน้าประตูห้องยันเช้าเสียด้วยซ้ำธีระมองเพดานด้วยความรู้สึกวิงเวียนราวกับโลกหมุนย้อนทิศทาง ร่างกายก็สั่นเพราะแอลกอฮอลล์ซึ่งไหลวนในกระแสเลือดอย่างเข้มข้น เขาสับสนจนแยกแยะไม่ได้ว่าสถานที่ที่ตัวเองนอนอยู่คือที่ไหน แสงไฟที่สลัวในห้องยิ่งทำให้มองภาพคนที่กำลังช่วยแต่งตัวให้ไม่ชัด ความทรงจำสุดท้ายของเขาคือขอร้องให้กฤตภาสพาไปร้านเหล้าที่ไม่ได้ไปมาหลายเดือนเพราะเครียดจนทนไม่ไหว แต่ทำไมตอนนี้คนที่อยู่ข้างกายถึงได้อ่อนโยนขนาดนี้ ลูบผมกับแก้มเขาได้อย่างอบอุ่นเช่นนี้ หรือว่าคนใจร้ายคนนั้นเรียกพี่รงค์ให้มาช่วยเพราะเบื่อที่จะนั่งดูเขามอมเหล้าตัวเองกันจริงด้วยสิ...คุณกฤตคงรู้จักพี่รงค์ก็เลยโทรไปเรียกมา... ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ เลย...สมองของเด็กหนุ่มเบลอเพราะแอลกอฮอลล์จนไม่อาจไตร่ตรองว่าจินตนาการของตนไร้สาระเพียงใด เขาเพียงแต่หรี่ตามองคนที่นั่งบังแสงจากโคมไฟ จากนั้นก็ยกมือขึ้นทาบบนมือใหญ่ที่กำลังวางอยู่บนแก้มมือที่ทั้งใหญ่แล้วก็อบอุ่นขนาดนี้...ไม่มีทางเป็นคนอื่นนอกจากพี่รงค์ได้แน่ๆ..."พี่รงค์...พี่รงค์มาหาตี้เหรอ?"กฤตภาสชะงักการเคลื่อนไหวทันที คิ้วดกหนาขมวดมุ่นเมื่อเห็นคนที่นอนอยู่มองเขาด้วยนัยน์ตาเชื่อมปรอยและริมฝีปากหยักขึ้นเป็นรอยยิ้ม แต่ก็ไม่ได้ชักมือหนีขณะที่เด็กหนุ่มยังคงเพ้อต่อ"วันก่อน...ตี้เห็นผู้ชายคนนั้นด้วยล่ะ แฟนของพี่รงค์...ตอนแรกตี้นึกว่าเขานอกใจพี่รงค์...แต่ว่าไม่ใช่ ตี้เข้าใจผิดไปเอง...พี่รงค์...ตี้จะเป็นน้องชายที่ดีให้พี่รงค์ก็ยังเป็นไม่ได้เลย...พี่รงค์อย่าเกลียดตี้เลยนะ ตี้ขอโทษ...ตี้จะไม่แช่งให้พี่รงค์เลิกกับเขาอีกแล้ว...อย่าเกลียดตี้นะ..."เด็กหนุ่มเริ่มพร่ำเพ้ออย่างไม่ได้สติขณะยื่นมือขึ้นลูบหน้าของกฤตภาส โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่ายิ่งเขาเอ่ยชื่อของชายอื่นมากเท่าไหร่ก็ยิ่งกระพือไฟในอกคนฟัง แต่แล้วหยาดน้ำที่รินไหลจากหางตาทั้งสองข้างก็สะกดให้กฤตภาสนั่งนิ่ง เขามองคนที่พยายามตะเกียกตะกายจะลุกขึ้นนั่งทั้งที่แค่จะพยุงตัวให้ตรงยังทำไม่ได้ และปล่อยให้ร่างนั้นโน้มคอเขาลงไปกอดขณะกระซิบเสียงสั่นเครือชิดริมหู"อย่าเกลียดตี้นะ...ฮึก...ตี้จะยอมเป็นแค่น้องชายก็ได้...แต่ขอร้องล่ะ อย่าเกลียดตี้..."หยาดน้ำตาซึมลงบนต้นคอของกฤตภาส แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกราวกับผิวแสบร้อนดั่งถูกไฟลวก ธีระกอดคอเขาแน่นพลางไถแก้มไปมาอยู่บนแผ่นอกราวกับเด็กน้อยที่อ้อนวอนการให้อภัย ท่าทางน่าสงสารทำให้คนที่ตอนแรกนึกอยากจับเด็กหนุ่มเขย่าให้หายเมาก่อนจะบอกว่าเขาไม่ใช่พี่รงค์อะไรนั่นต้องหยุดความคิดไว้ และสุดท้ายก็เพียงแต่สอดแขนโอบรอบเอวผอมแล้วลูบร่างที่อุณหภูมิสูงกว่าปกติอย่างปลอบโยนคนแบบไหนกันที่ทำให้เด็กคนนี้ฝังใจถึงขนาดนี้ได้...แล้วเด็กคนนี้เก็บเรื่องพวกนี้ไว้คนเดียวมานานแค่ไหนแล้ว...ธีระรัดแขนรอบคอเขาแน่นขึ้นพร้อมกับส่งเสียงสะอื้นอยู่ในอ้อมกอด จนกระทั่งครู่ใหญ่ผ่านไป เสียงสะอื้นไห้และอาการสั่นเทาจึงค่อยๆ สงบลง เช่นเดียวกับแขนที่ตกลงข้างตัวซึ่งเป็นสัญญาณว่าเด็กหนุ่มผล็อยหลับกฤตภาสยังคงกอดธีระไม่ปล่อยจนกระทั่งแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่รู้สึกตัวแน่นอน เขาจึงค่อยจับร่างในอ้อมแขนให้เอนลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เอาผ้าขนหนูที่ยังชื้นช่วยเช็ดคราบน้ำตาและน้ำมูกให้ และช่วยเสยผมที่ชื้นเหงื่อจนแนบติดหน้าผากออกขณะมองแพขนตาที่ปิดสนิทเธอยังโชคดีที่ตอนนี้ฉันอารมณ์ดี ไม่งั้นฉันปลุกขึ้นมาถามแน่ว่าไอ้พี่รงค์ที่พร่ำเพ้อหานักหนานี่มันใครกันกฤตภาสคิดพลางเอนตัวลงนอนตะแคงข้างๆ และชันศอกข้างหนึ่งขึ้น ร่างของเด็กหนุ่มกระตุกและคิ้วขมวดราวกับกำลังฝันร้าย เขาจึงใช้มืออีกข้างลูบหลังเบาๆ จนกระทั่งเห็นว่าเรียวคิ้วได้รูปเริ่มผ่อนคลายลง แต่ก็ไม่หยุดมือที่ลูบแผ่นหลังและเพ่งมองใบหน้าอ่อนเยาว์อย่างตั้งใจเป็นครั้งแรกธีระจัดได้ว่าเป็นคนหน้าตาน่ารักชนิดที่สาวๆ เห็นก็คงชอบ หนุ่มๆ หลายคนเห็นก็คงสนใจ แต่กฤตภาสผ่านคนที่รูปลักษณ์สะดุดตากว่านี้มามากเพราะสายงานที่ทำ ดังนั้นสำหรับเขาแล้วสิ่งที่ดึงดูดเกี่ยวกับธีระหลังได้รู้จักกันมากขึ้นจึงแทบจะไม่เกี่ยวกับหน้าตา แต่เป็นบุคลิกที่สุภาพอ่อนน้อมแต่ก็ดื้อ และแววตาที่บ่งบอกว่าต่อต้านเขาแม้แต่เวลาที่ร่างอ่อนระทวยอยู่ในอ้อมแขนจนชวนให้อยากปราบพยศต่างหากที่ผ่านมากฤตภาสมีโอกาสหลายครั้งที่จะได้เห็นธีระในยามหลับไหล แต่กลับไม่เคยสังเกตเลยว่าเด็กหนุ่มมักขมวดคิ้วอยู่เสมอแม้อยู่ในห้วงนิทรา"ฉันไม่ใช่พี่รงค์อะไรนั่น ดังนั้นตำแหน่งพี่ชายเธอคงต้องไปขอกับหมอนั่นเอาเอง แต่ถ้าจะขอร้องว่าไม่ให้เกลียดล่ะก็...เรื่องแค่นั้นฉันทำให้ได้"ชายหนุ่มเอ่ยก่อนจะก้มลงจรดริมฝีปากบนเนินหน้าผากเกลี้ยงเกลา เขาลูบแผ่นหลังผอมบางอีกครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นแล้วดึงผ้าห่มให้ถึงไหล่ของธีระ จากนั้นก็หันไปถอดเสื้อผ้าก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำ กระแสน้ำเย็นที่หลั่งรินจากฝักบัวลงบนกล้ามเนื้อหาได้ช่วยดับความรุ่มร้อนที่รวมตัวกันแน่นอยู่ในอก และเขาไม่ชอบความรู้สึกอึดอัดดุจน้ำท่วมปอดเช่นนี้เลยแม้แต่นิดเดียวเพิ่งจะเมื่อคืนที่ผ่านมา ธีระทำให้เขาแปลกใจกับท่าทีที่เป็นฝ่ายโอนอ่อนเข้าหาอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ไม่น่าเชื่อว่าถัดมาอีกเพียงคืนเดียว กฤตภาสจะรู้สึกราวกับอะไรบางอย่างในตัวก็กำลังถูกมือที่มองไม่เห็นสั่นคลอนเช่นกัน แต่ว่าสำหรับคนอย่างเขา...โลกคงต้องถล่มไปก่อนนั่นแหละถึงค่อยมานั่งคิดว่าความอึดอัดใจนี้มีสาเหตุจากอะไร ++---TBC---++ A/N: ไม่รู้ตอนนี้ช่วยให้ตากฤตกู้คะแนนคืนได้บ้างไหมนะคะ (เกรงว่าคงติดลบจนกู่ไม่กลับซะมากกว่า) น้องตี้ยังคงรับบทหนักเสมอต้นเสมอปลาย แต่เหมือนตอนนี้ทิศทางลมจะเปลี่ยนไป เราอาจเห็นอะไรเปลี่ยนแปลงระหว่างคู่นี้มากขึ้น แต่ด้วยความเอาแน่เอานอนไม่ได้ของตากฤต คนเขียนเลยไม่กล้ารับประกันค่ะว่าความเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้จะดีหรือร้าย หุหุหุ
ปล.ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆนะคะริน