|
เล่ห์ลวงใจ บทที่ 11
แนะนำ สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ
++------++
บทที่ 11
เมื่อถึงเวลาพักกลางวัน พนักงานที่นำข้าวกล่องมาเองก็พากันเข้าไปนั่งทานในห้องครัวของบริษัท ส่วนอีกกลุ่มที่ไม่ได้ซื้ออะไรไว้ก็พากันเดินออกไปหาข้าวทานที่ตลาด ธีระก็เป็นคนหนึ่งที่ตามพวกพี่ๆ ออกไปข้างนอก "แบบเวทีเป็นไงบ้างน่ะอาร์ท? เดี๋ยวเราต้องให้ลูกค้าดูแล้วก็ต้องรีบส่งให้ซัพพลายเออร์ทำอีกนะ" "สักบ่ายสามบ่ายสี่จะส่งให้ก็แล้วกัน พอดีคุณกฤตคอมเม้นต์ว่าให้แก้อีกหน่อย" ระหว่างที่แต่ละคนนั่งทานข้าวก็ถามไถ่กันเรื่องงานไปด้วย ส่วนธีระได้แต่นั่งตักก๋วยจั๊บน้ำใสทานไปเงียบๆ ด้วยความหิว ไม่นานรุ่นพี่คนหนึ่งก็หันมาถาม "จริงสิ เดี๋ยวเย็นนี้เลิกงานแล้วตี้จะไปฟิตเนสกับพวกพี่ใช่มั้ย? เตรียมเสื้อผ้าสำหรับมาเปลี่ยนแล้วใช่ไหมจ๊ะ?" เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มแหย เพราะความจริงเขาเตรียมอุปกรณ์ทุกอย่างมาพร้อม แต่ตอนนี้กลับต้องมาคิดหาข้ออ้างให้แนบเนียนว่าทำไมจึงไม่สามารถไปด้วยได้แล้ว "คือ...ผมรู้สึกเหมือนจะมีไข้น่ะครับพี่กิฟท์ เลยคิดว่าเย็นนี้กลับไปนอนเร็วหน่อยดีกว่า ขอโทษด้วยนะครับ พอจะชวนใครไปแทนได้ไหม" แววตาของรุ่นพี่ทั้งโต๊ะมองมาที่ธีระเป็นตาเดียว ทำเอาเขารู้สึกผิดที่ไม่รักษาสัญญา พลันก็มีมือยื่นมาแตะหน้าผากจากฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ "เอ...ตัวก็แค่อุ่นๆ ไม่ได้ร้อนมากนี่นา ไม่ได้มีน้ำมูกหรือเจ็บคอใช่ไหมตี้?" ธีระกะพริบตามองรุ่นพี่ที่ยังทาบมือบนหน้าผาก แต่ก็ส่ายหน้าแล้วตอบตามตรง "ไม่ได้เป็นอะไรมากครับพี่อาร์ท แค่เมื่อยเนื้อตัวนิดหน่อย ถ้าได้กลับไปนอนเยอะๆ พรุ่งนี้ก็คงหาย" "แหม...ห่วงน้องห่วงนุ่งจังนะคะพี่อาร์ทขาาาาา" เสียงจากรุ่นพี่สาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่หัวโต๊ะแซวขึ้น เรียกเสียงหัวเราะครื้นเครงจากทุกคนที่กำลังทานมื้อเที่ยงด้วยกัน แต่อรรณพเพียงแค่ยักไหล่ "แหงสิ...น้องยังเด็กก็ต้องห่วง ยิ่งเป็นเด็กน่ารักด้วยก็ควรจะยิ่งห่วง" คราวนี้เพื่อนร่วมโต๊ะบางคนเป่าปากวี้ดวิ้ว ส่วนธีระได้แต่ผสมโรงหัวเราะตาม เขาไม่คิดจะแย้งเพราะรู้ว่ามีแต่จะยิ่งทำให้โดนล้อหนักขึ้น การเป็นคนอายุน้อยที่สุดในวงสนทนา บางครั้งการจะเลี่ยงเป็นจุดสนใจที่ได้ผลที่สุดก็คือเออออห่อหมกตามเวลาโดนเย้าแหย่ไปซะ แล้วไม่นานทุกคนก็จะหันไปคุยเรื่องอื่นกันเอง "จะว่าไป เห็นว่าลูกค้าจะใช้นิกกี้ในงานเปิดตัวสินค้าแทนคนที่ทางเราเสนอไปเหรอ?" เสียงจากรุ่นพี่ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะอีกด้านถามขึ้น หญิงสาวซึ่งเป็นผู้ประสานงานกับลูกค้ารายนี้โดยตรงจึงพยักหน้า "อื้อ เห็นว่ามีเส้นกับผู้จัดการของนิกกี้ก็เลยดึงมาได้ คิดอีกทีก็ดีเหมือนกัน ลดงานของทางเราไปอย่าง" "เห? งั้นนี่ก็จะเป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นคุณกฤตกับนิกกี้พร้อมกันน่ะสิ งี้คุณกฤตไม่ดี๊ด๊าแย่เหรอตอนได้ยินว่าแฟนจะมาเป็นพรีเซนเตอร์ในงานของลูกค้าน่ะ?" "ไอ้บ้า แกเคยเห็นคุณกฤตทำท่าดี๊ด๊าไหมล่ะยะ? ตอนฉันบอกเขาก็แค่ทำหน้านิ่งๆ เฉยๆ แบบที่ชอบทำเวลาคุยงานนั่นแหละ" ธีระเอาแต่นั่งฟังโดยไม่ออกความเห็น เขาเพียงทานก๋วยจั๊บไปจนหมดแล้วก็หยิบแก้วน้ำขึ้นดื่ม อ้อ...สรุปว่าที่ผู้ชายคนนั้นทำหน้าดุตอนที่เขาเข้าไปหาก็เพราะรู้ว่าจะต้องร่วมงานกับแฟนตัวเองสินะ แล้วก็คงจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองพลาดที่ดันมาตกลงทำสัญญาบ้าๆ บอๆ กับเขาไว้ล่ะสิ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน...เผื่อว่าเรื่องระหว่างพวกเขาจะได้ไม่ต้องลากยาวไปจนกระทั่งหมดกำหนดสามเดือน ธีระตระหนักว่าตนไม่ใช่คนดีนักที่ไม่นึกเห็นใจดาราสาวคนนั้นสักเท่าไหร่ เพราะเท่าที่เคยได้ยินจากกฤตภาสว่าไม่มีใครรู้จักหมายเลขห้องก็แสดงว่าเจ้าตัวไม่เคยให้ความสำคัญกับคนที่คบด้วยมากนักอยู่แล้ว และหากจะเทียบสถานะกันจริงๆ เธอคนนั้นก็ยังนับว่าโชคดีกว่าเขามาก เพราะไม่ได้คบกับกฤตภาสภายใต้เงื่อนไขที่ทำให้กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ต้องยอมทำตามคำสั่งของคนเอาแต่ใจนั่นแบบที่เขากำลังโดนอยู่ตอนนี้ "ตี้ พวกสาวๆ เขาจะเดินดูของในตลาดกันก่อน เราจะไปเดินเล่นกับเขาหรือจะกลับบริษัทกับพี่?" "หา? เอ่อ..." ธีระเงยหน้าขึ้นมองคนถาม แล้วจึงเพิ่งรู้ตัวว่ารุ่นพี่คนอื่นๆ ต่างแยกย้ายกันไปแล้ว ที่โต๊ะเหลือเพียงเขา อรรณพ แล้วก็รุ่นพี่อีกคนที่ตามมาทีหลังและเพิ่งจะเริ่มทานข้าวเท่านั้น "งั้นผมกลับกับพี่อาร์ทเลยดีกว่าครับ" "โอเค ถ้างั้นขอพี่ไปหาซื้อขนมไว้กินเล่นหน่อย ตะกี้กินข้าวแล้วยังไม่ค่อยอิ่มเลย" เด็กหนุ่มพยักหน้าพลางเดินตามรุ่นพี่ไปยังรถเข็นขายขนมซึ่งกระจุกอยู่ที่มุมด้านหนึ่งของตลาด หลังจากได้ของกินเล่นกันคนละนิดละหน่อยจึงค่อยเดินเลียบถนนในซอยเพื่อกลับบริษัท "พี่เพิ่งสังเกตเห็นว่าเรากินชานมไข่มุกแทบทุกวันเลยนะ ชอบเหรอ?" อรรณพหันมาถามขณะทั้งสองเดินเข้าไปในซอยด้วยกัน ธีระเหลือบตาลงมองแก้วพลาสติกในมือแล้วก็ยิ้ม "ปกติก็ไม่ค่อยกินครับพี่อาร์ท แต่เจ้านี้เขาทำไม่ค่อยหวานดี แถมชอบให้ไข่มุกเยอะด้วย" "เราไปอ้อนเจ๊คนขายเขาไว้หรือเปล่าล่ะ สงสัยเห็นว่ามีหนุ่มน้อยชอบมาซื้อบ่อยๆ ก็เลยแถมให้หวังผลล่ะมั้ง" "โอ๊ย ไม่ใช่หรอกพี่อาร์ท เขาคงเอ็นดูเพราะผมเคยบอกว่าจะมาฝึกงานแถวนี้แค่สามเดือนมากกว่า" อรรณพฟังแล้วก็ยิ้ม "อืม...แต่ถ้าเรียนจบแล้วตี้ยังอยากทำงานที่นี่ก็มาสมัครได้นะ พี่ว่าคุณกฤตก็ชอบใจเราอยู่ เขาคงรับแบบไม่ต้องสัมภาษณ์เลยแหละ" ประโยค 'พี่ว่าคุณกฤตก็ชอบใจเราอยู่' ทำเอาธีระใจกระตุกวูบ เขาพยายามสังเกตท่าทีของคู่สนทนาว่าที่พูดเช่นนี้เพราะรู้ตื้นลึกหนาบางเรื่องของเขากับกฤตภาสหรือไม่ แต่ก็ไม่เห็นท่าทางผิดสังเกตจึงลองถามเพื่อหยั่งเชิง "พี่อาร์ทคิดว่าคุณกฤตจะรับถ้าผมมาสมัครจริงเหรอครับ?" คราวนี้คนถูกถามเอียงคออย่างใช้ความคิด "อืม...ปกติคุณกฤตไม่รับพนักงานใหม่ง่ายๆ หรอกนะ อย่างตี้อาจจะพิเศษหน่อยตรงที่เป็นเด็กฝึกงานแล้วไม่ได้รับเงินเดือน แต่เท่าที่เห็นก็ดูแกไว้ใจให้ช่วยพวกพี่ทำโน่นทำนี่ แสดงว่าก็คงจะชอบใจอยู่บ้างล่ะน่า" ธีระฟังคำอธิบายแล้วก็ผ่อนลมหายใจโล่งอก เพราะนั่นหมายความว่ารุ่นพี่ของเขาเพียงแต่คาดเดาเอาเองโดยไม่ได้นึกโยงไปถึงเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับกฤตภาส ไม่เช่นนั้นเขาก็คงไม่รู้จะสู้หน้าอีกฝ่ายอย่างไรดี "สงสัยเขาจะชอบใจเพราะได้แรงงานฟรีๆ มาใช้ตั้งสามเดือนมากกว่านะพี่อาร์ท" "ฮ่าๆๆ ปากร้ายเหมือนกันนะเรา อย่าไปเผลอพูดให้คุณกฤตได้ยินเชียวล่ะ" อรรณพหัวเราะพลางยื่นมือมายีผมเขาโดยที่ธีระก็หัวเราะตาม ขณะนั้นทั้งสองเดินเข้ามาใกล้ถึงบริษัทแล้ว แต่เพราะมัวแต่คุยเล่นกัน จึงต่างก็ไม่รู้ว่ามีใครคนหนึ่งลอบสังเกตความสนิทสนมของทั้งคู่ผ่านหน้าต่างของห้องประจำตำแหน่งอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ ++------++ เมื่อนาฬิกาบอกเวลาหกโมงเย็น พนักงานหลายคนซึ่งไม่มีงานคั่งค้างก็ทยอยปิดคอมพิวเตอร์เพื่อกลับบ้าน ขณะที่กลุ่มรุ่นพี่ซึ่งค่อนข้างสนิทกันก็เดินมาบอกธีระให้รีบกลับไปนอนพักผ่อนไวๆ โดยที่เด็กหนุ่มก็ยิ้มและพยักหน้ารับแต่โดยดี เขานั่งเล่นคอมพิวเตอร์ฆ่าเวลาอยู่ไม่นานก็มีข้อความเข้ามาที่มือถือ เมื่อเปิดอ่านดูก็อดไม่ได้ที่จะย่นจมูกแล้วปรายตาไปทางประตูห้องของคนที่ยังไม่เดินออกมา แต่ก็เพียงปิดคอมพิวเตอร์ หยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายแล้วก็เดินลงจากอาคารโดยไม่ลืมกล่าวลารุ่นพี่บางคนที่ยังนั่งทำงานก่อนจะออกไป
ธีระเดินออกจากอาคารแล้วก็อ้อมไปยังลานจอดรถมุงหลังคาด้านหลัง เขานั่งรอที่ม้านั่งใต้ต้นหูกวางพลางหยิบโทรศัพท์มาเปิดโปรแกรมแชทกับศันสนีย์ที่ยุโรปและสุเมธซึ่งกลับบ้านที่หาดใหญ่ เพื่อนทั้งสองคุยเล่นหยอกล้อกันไปมาพลางเล่าเหตุการณ์ที่เจอมาแต่ละวันให้เขารู้ ในขณะที่ธีระเพียงแต่ผสมโรงคุยเล่นไปด้วยโดยไม่เอ่ยถึงเรื่องส่วนตัวมากนัก เพราะเขาตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่บอกใครเรื่องกฤตภาสเด็ดขาด เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาพร้อมกับเสียงปลดล็อกประตูรถด้วยรีโมทคอนโทรลทำให้เด็กหนุ่มรีบพิมพ์ลาเพื่อนๆ เขาเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าแล้วก็ลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นกฤตภาสเดินมาที่รถ จากนั้นก็เพียงเดินไปเปิดประตูฝั่งผู้โดยสารแล้วก้าวเข้าไปนั่งอย่างรู้หน้าที่ ทั้งสองไม่ได้คุยอะไรกันจนกระทั่งรถแลนด์โรเวอร์สีดำแล่นออกมาสู่ถนนใหญ่ กฤตภาสซึ่งกำลังบังคับพวงมาลัยถึงค่อยถามขึ้น "อุตส่าห์เมสเสจมาบอกว่าให้นั่งรอที่ล็อบบี้ข้างล่าง จะออกไปนั่งตากลมรอแถวลานจอดรถทำไมล่ะ?" "ผมนั่งในตึกมาตั้งแต่เช้าแล้วครับ พอหมดเวลางานก็อยากออกไปสูดอากาศข้างนอกบ้าง" เด็กหนุ่มตอบโดยไม่หันไปมองคนถาม แต่จากหางตาก็พอจะเห็นว่าคู่สนทนาเหยียดยิ้มมุมปาก เขาไม่อยากสนใจอีกก็เลยหันไปมองนอกหน้าต่างเสีย ในเมื่อเจ้าตัวบอกไว้เองว่าอยากกินอาหารญี่ปุ่น ถ้างั้นจะพาเขาไปไหนก็มีค่าเท่ากัน รีบพาไปกินให้เสร็จซะทีก็ดี เขาจะได้รีบๆ หาข้ออ้างแยกตัวกลับหอไปพักผ่อน การจราจรที่ติดขัดยามเย็นบวกกับสายฝนที่ตกปรอยๆ ทำให้พวกเขาเสียเวลากับการเดินทางไปพอสมควร กว่าจะไปถึงที่หมายซึ่งตั้งอยู่ในซอยอันซับซ้อนกลางใจเมืองจึงเป็นเวลาเกือบจะสองทุ่ม และธีระก็หิวจนคิดว่าตอนนี้เขาสามารถกินข้าวคนเดียวหมดหม้อได้เสียด้วยซ้ำ โชคดีว่าฝนหยุดตกแล้ว เด็กหนุ่มจึงเปิดประตูลงจากรถหลังจากกฤตภาสดับเครื่องเรียบร้อย แต่เมื่อมองไปยังอาคารที่อยู่ตรงหน้าก็ได้แต่นิ่งอึ้ง เพราะถึงแม้ตัวอาคารจะมองอย่างไรก็ญี่ปุ่นจ๋า ไม่ว่าจะหลังคา ประตูหรือต้นไม้ซึ่งล้วนราวกับถอดแบบมาจากหนังสือภาพ แต่เขามองอย่างไรก็เห็นว่ามันดูเหมือนบ้านคนอาศัยมากกว่าร้านอาหาร "เป็นอะไรไป?" กฤตภาสถามพลางเดินเข้ามาใกล้ ธีระจึงหันไปถามคนที่กำลังยิ้มมุมปากด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัย "เอ่อ...นี่ใช่ร้านอาหารแน่เหรอครับคุณกฤต?" นอกจากเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูไม่เหมือนร้าน การที่รถของกฤตภาสเป็นยานพาหนะหนึ่งเดียวนอกจากจักรยานที่จอดพิงอยู่ข้างๆ ประตูก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกเหมือนที่นี่ไม่ใช่สถานที่สำหรับต้อนรับลูกค้ามากเข้าไปใหญ่ แต่กฤตภาสกลับหัวเราะแล้วก็เดินนำเขาไปยังประตูหน้า
"ฉันไม่ทะเล่อทะล่าพามาบ้านใครก็ไม่รู้หรอกน่ะ ที่นี่เขาขายอาหารจริงๆ แต่เปิดเฉพาะวันที่เจ้าของอยากเปิดก็เท่านั้น" เมื่อเลื่อนประตูกระจกเข้าไป ธีระก็พบกับชานด้านหน้าซึ่งเป็นที่สำหรับให้ถอดรองเท้าก่อนจะเดินขึ้นไปบนพื้นเสื่อญี่ปุ่นที่ยกสูงกว่าพื้นปูน ด้านหนึ่งของตัวบ้านมีเคาน์เตอร์ซึ่งเต็มไปด้วยขวดเหล้าสาเกวางเรียงราย ส่วนบริเวณกลางบ้านมีโต๊ะไม้เตี้ยๆ สำหรับรับแขกวางอยู่หกโต๊ะ เบาะที่นั่งซึ่งวางอยู่รอบแต่ละโต๊ะเป็นเบาะผ้าทรงกลม ความเรียบง่ายซึ่งไร้สิ่งประดับรุงรังทำให้ไม่รู้สึกว่าร้านคับแคบ "อิรัชชัยมาเสะ สวัสดีครับคุณกฤต ไม่ได้มาซะนานเลย" "สวัสดีครับคุณโหน่ง วันนี้ขอเซ็ทประจำวันสองชุดนะครับ พอดีพาเด็กมาด้วย น่าจะหิวแย่แล้ว" ธีระหน้ามุ่ยทันทีที่ถูกพาดพิง แต่ก็พนมมือขึ้นไหว้เจ้าของร้านซึ่งท่าทางจะอายุมากกว่ากฤตภาสหลายปี ทั้งสองถูกนำไปนั่งที่โต๊ะก่อนที่เจ้าของร้านจะนำผ้าเย็นกับน้ำชามาเสิร์ฟให้ เสียงดนตรีซึ่งเป็นเสียงเครื่องสายแบบญี่ปุ่นแท้ๆ ดังมาจากลำโพงด้วยระดับเสียงกำลังดี ธีระมองรอบตัวไปมาด้วยความรู้สึกสนใจ ก่อนจะนึกขึ้นได้แล้วถามคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม "ร้านนี้ไม่มีเมนูให้เหรอครับ?" "หือ? ไม่มีหรอก ร้านนี้เขาทำเมนูประจำวันแค่สองหรือสามอย่าง แล้วก็ไม่ได้เปิดทุกวันด้วย ถ้าอยากรู้ว่าเขาจะทำเมนูอะไรบ้างในวันนั้นก็ต้องโทรมาเช็คเอง" ธีระรับฟังด้วยความประหลาดใจ เขาไม่เคยรู้จักร้านอาหารที่นอกจากจะลักษณะเหมือนบ้านแล้วก็ยังเปิดปิดตามใจเจ้าของเช่นนี้เลย เด็กหนุ่มมองไปรอบตัวอีกครั้งเพื่อซึมซับบรรยากาศ แต่เพราะรู้สึกว่าถูกคนที่พามาจ้องมอง เขาเลยลุกหนีไปที่ชั้นหนังสือพลางทำทีเป็นเลือกนิตยสารมาพลิกดู ทั้งที่แต่ละเล่มเป็นภาษาญี่ปุ่นซึ่งอ่านไม่ออกทั้งสิ้น "มาแล้วค่ะคุณกฤต" เด็กหนุ่มหันกลับมาที่โต๊ะเมื่อได้ยินเสียงผู้หญิงดังขึ้นจากด้านหลัง และเห็นหญิงสาวที่น่าจะอายุมากกว่ากฤตภาสเล็กน้อยกำลังวางอาหารซึ่งหน้าตาเหมือนกันสองชุดลงบนโต๊ะ เธอหันมายิ้มให้ธีระก่อนจะผายมือไปยังถาดอาหารเหล่านั้น "ทานให้อร่อยนะคะ" "อ๊ะ ครับ" ธีระผงกศีรษะตอบเพราะกิริยาท่าทางรวมถึงสำเนียงของเธอบ่งบอกชัดว่าเป็นคนญี่ปุ่น เด็กหนุ่มเดินกลับมานั่งที่และพบว่ากฤตภาสกำลังจิบสาเกจากจอกแก้วรูปทรงผอมเรียว ผู้สูงวัยกว่าเห็นสายตาแสดงความสนใจของเขาจึงถามขึ้น "อยากชิมมั้ย?" "เอ่อ..." ความจริงเขาเคยตั้งใจว่าชีวิตนี้จะไม่แตะต้องแอลกอฮอลล์อีกแล้ว แต่เพราะได้กลิ่นหอมๆ ของข้าวหมักที่โชยมา แถมกฤตภาสยังจิบด้วยท่าทางดูน่าอร่อย เขาเลยพยักหน้า "ขอนิดเดียวก็พอครับ" เด็กหนุ่มมองดูกฤตภาสเทของเหลวจากขวดแก้วที่แช่เย็นจนเป็นฝ้าลงในจอกที่เจ้าตัวเพิ่งดื่มหมด จากนั้นก็รับจอกแก้วนั้นมาดมก่อนจะหันด้านที่ยังไม่สัมผัสกับริมฝีปากของกฤตภาสขึ้นจิบ "ขม..." เด็กหนุ่มเบ้ปากพลางยื่นแก้วคืน สมัยที่ยังออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ เขาจะชินกับเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ที่ผสมน้ำอัดลมจนหวานเสียมากกว่า เมื่อมาเจอรสชาติของเหล้าสาเกที่เป็นแอลกอฮอลล์บริสุทธิ์จึงไม่ถูกปากเท่าไหร่ ฝ่ายกฤตภาสเพียงหัวเราะแล้วก็รับจอกกลับไปดื่มเหล้าส่วนที่เหลือ "ฉันว่ามันหวานขึ้นกว่าเมื่อกี้นะ" ธีระรู้ว่ากฤตภาสจงใจดื่มตรงจุดเดียวกับที่ริมฝีปากของเขาจรดลงไปเมื่อครู่ จึงพยายามทำเป็นไม่สนใจแล้วก้มลงทานอาหารตรงหน้า เพราะรู้ว่าถึงต่อปากต่อคำอย่างไรก็สู้คนหน้าด้านหน้าทนไม่ไหวอยู่ดี
อาหารมื้อนั้นนับได้ว่าคนปรุงให้มาอย่างไม่หวงเครื่องสักนิด ไม่ว่าจะเป็นข้าวห่อไข่ ซุป สลัด เต้าหู้เย็น แล้วยังมีของแถมเป็นไอศกรีมพุดดิ้งที่ทางร้านทำเองอีก เมื่อบวกกับความหิวจึงทำให้ธีระจัดการอาหารหมดเกลี้ยงในเวลาเพียงไม่นาน เมื่อทั้งคู่ลุกจากโต๊ะไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์หน้าทางเข้า เจ้าของร้านซึ่งเป็นคนต้อนรับพวกเขาก็เดินออกมาส่งถึงจุดที่กฤตภาสจอดรถ
"แล้ววันหลังมาอีกนะครับคุณกฤต โยโกะเขาดีใจที่เห็นคุณกฤตพาเพื่อนมาด้วยเป็นครั้งแรก เลยทำอาหารให้ซะเยอะเลย" "เดี๋ยวถ้าจะมาอีกผมจะโทรมาแล้วกันครับ ฝากขอบคุณโยโกะซังด้วยครับคุณโหน่ง" ธีระได้ยินบทสนทนาก็แปลกใจแต่ลอบเก็บคำถามไว้ เพราะการที่ทั้งสองรู้จักมักคุ้นกันขนาดนี้ก็แสดงว่ากฤตภาสคงมาอุดหนุนที่ร้านค่อนข้างบ่อย แต่ส่วนที่ทำให้เขาแปลกใจคือการได้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่เคยพาใครมาด้วยมากกว่า หลังจากกฤตภาสขับรถห่างออกมา ธีระก็มองไปด้านหลังและเห็นว่าชายหนุ่มเจ้าของร้านกำลังเลื่อนประตูรั้วปิด จึงหันไปถามคนที่กำลังขับรถด้วยความสงสัย "นี่เขารับแขกแค่วันละไม่กี่โต๊ะแล้วอยู่ได้เหรอครับ?" เพราะตลอดเวลาที่พวกเขาทานอาหารนั้นธีระไม่เห็นลูกค้าคนอื่นเลย แถมนี่ยังไม่สี่ทุ่มดีก็ปิดร้านเสียแล้ว ถ้าเป็นร้านอาหารที่จำเป็นต้องนำเงินมาหมุนเวียนคงชักหน้าไม่ถึงหลังแน่ "คุณโหน่งกับโยโกะเขาแค่ทำร้านเป็นงานอดิเรก อีกอย่างถ้าวันไหนเปิดจริงๆ ก็มีคนมาต่อคิวยาวยันครัวปิดนั่นแหละ แต่วันนี้เขาเปิดให้ฉันโดยเฉพาะเพราะโทรมาบอกไว้ว่าอยากกินอาหารฝีมือโยโกะซังเฉยๆ" คำอธิบายของกฤตภาสทำให้เด็กหนุ่มหันไปมองอีกฝ่ายเต็มตาด้วยความแปลกใจ เพราะการที่เจ้าของร้านอาหารถึงกับเปิดครัวให้เป็นพิเศษในวันที่ไม่ได้ต้อนรับแขกย่อมหมายความว่าจะต้องสนิทสนมหรือไม่ก็เกรงใจลูกค้าคนนั้นเป็นอย่างมาก และนั่นทำให้ธีระอดจะนึกหมั่นไส้ไม่ได้ ตกลงที่ชอบวางท่าบ้าอำนาจนี่คงทำจนติดเป็นนิสัยสินะ แต่ทำไมสองคนที่ร้านนั้นถึงดูเต็มใจให้บริการกันเหลือเกิน ไม่เห็นจะเหมือนเขาที่อยู่ในสภาพอิหลักอิเหลื่อ จะปฏิเสธก็ไม่ได้ แถมจะไปอุทธรณ์กับใครก็ไม่ได้เลยสักนิด "ไหนๆ พรุ่งนี้ก็จะวันศุกร์แล้ว คืนนี้ก็ไปนอนคอนโดฉันเลยเป็นไง?" จู่ๆ กฤตภาสก็ถามขึ้นหลังขับรถมาบนถนนได้สักพัก แต่ธีระมีคำตอบอยู่แล้วจึงสวนกลับทันทีโดยไม่ต้องคิด "ไม่เอาครับ ส่งผมลงแถวๆ นี้ก็ได้ เดี๋ยวผมเรียกแท็กซี่ต่อเอง" เด็กหนุ่มตั้งใจไว้แล้วว่าจะพยายามใช้เวลากับกฤตภาสให้น้อยที่สุดจนกว่าจะหมดช่วงฝึกงาน แน่นอนว่าหากหลีกเลี่ยงการไปนอนด้วยได้ก็จะบ่ายเบี่ยงอย่างเต็มความสามารถ ถึงแม้ว่าจะตกเป็นเบี้ยล่างในการทำสัญญาบ้าบอคอแตกนี้ เขาก็จะใช้ประโยชน์จากเงื่อนไขที่ตัวเองตั้งไว้ให้มากที่สุด "...เป็นเด็กที่ดื้อจังเลยน้า" กฤตภาสเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะเอ่ยลอยๆ ฉับพลันคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยก็หักเลี้ยวรถเข้าในซอยเปลี่ยวแห่งหนึ่งด้วยแรงกระชากจนยางล้อรถบดถนนเสียงแหลม อารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของอีกฝ่ายทำให้เด็กหนุ่มนั่งหลังเกร็งติดพนัก สองมือจิกขอบเบาะแน่นด้วยความกลัวว่าคนขับจะพารถไปชนกำแพงบ้านใครในซอยอันคดเคี้ยวและมีเพียงแสงสลัวจากเสาไฟที่ติดๆ ดับๆ เข้า เป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีกนะ!!? ธีระเกือบหัวทิ่มไปข้างหน้าเมื่อกฤตภาสเบรกรถกะทันหันก่อนจะชนเข้ากับทางตันตรงสุดซอย ลมหายใจของเด็กหนุ่มหอบรัวจากความระทึกที่ยังอบอวล แล้วก็ให้ตระหนกมากกว่าเดิมเมื่อจู่ๆ กฤตภาสก็ปลดเข็มขัดนิรภัยของทั้งคู่ออกแล้วหันมารั้งคอเขาเข้าไปหา "อื้อ!!!" ริมฝีปากที่ยังกรุ่นกลิ่นเหล้าญี่ปุ่นแนบลงมาบนริมฝีปากของเขาอย่างดุดัน ส่วนมืออีกข้างของกฤตภาสก็สอดเข้าใต้ชายเสื้อของเด็กหนุ่มแล้วตะโบมแผ่นอกเรียบตึงอย่างไม่ออมแรง มือที่กระชับท้ายทอยเอาไว้ทำให้ธีระหันหนีจากจูบอันแสนจะก้าวร้าวไม่ได้ ขณะเดียวกันพื้นที่อันจำกัดก็ทำให้เขาไม่อาจขัดขืนมากไปกว่าการพยายามทุบตีกฤตภาสเพื่อให้ปล่อย "อ๊ะ!" เด็กหนุ่มสะดุ้งโหยงเมื่อริมฝีปากถูกกัดพร้อมๆ กับที่ยอดอกด้านหนึ่งถูกบีบเต็มแรง มือที่กำลังพยายามผลักร่างสูงใหญ่อ่อนเปลี้ยลงทันที ไอร้อนผ่าวพุ่งขึ้นกบขอบตาทั้งสองข้างเพราะความเจ็บจนไม่ต่อต้านอีกเมื่อมือใหญ่ลูบไล้หน้าอกและแผ่นหลังของเขาอย่างหิวกระหาย กฤตภาสรับรู้ได้ว่าร่างในอ้อมแขนหยุดดิ้นรนขัดขืนแล้ว จึงผ่อนแรงที่กำลังเล้าโลมผิวกายเนียนอุ่นลง ขณะเดียวกันก็ละริมฝีปากจากจูบแล้วไล้ปลายลิ้นไปบนผิวแก้มเนียนแทน ชายหนุ่มชะงักเมื่อสัมผัสได้ถึงความชุ่มชื้นซึ่งเกาะอยู่บนแพขนตาที่กำลังไหวระริก จึงเลื่อนมือทั้งสองลงจับต้นแขนของธีระแล้วเพ่งมองคนที่กำลังหันหน้าหนีเขาภายใต้แสงสลัว ธีระหลับตาแน่นและสูดน้ำมูกเมื่อกฤตภาสผละไป แต่ก็ไม่ได้พยายามเบี่ยงตัวหนีคนที่จับต้นแขนตัวเองไว้ เขาอยากให้อีกฝ่ายเห็นให้ชัดๆ ว่าเขาไม่เต็มใจที่ถูกทำแบบนี้ด้วยมากแค่ไหน แต่ไม่นานผู้สูงวัยกว่าก็เอ่ยทำลายความเงียบด้วยน้ำเสียงที่ไม่แสดงความสำนึกผิดแม้แต่น้อย "ฉันไม่ใช่คนความอดทนสูงนักหรอกนะ ทางที่ดีอย่าพยายามเล่นแง่ให้มากนักดีกว่า ถ้าหากบีบให้ฉันร้ายกว่านี้เธอจะได้ไม่คุ้มเสียซะเปล่าๆ" เมื่อสิ่งที่ได้ยินหาใช่คำขอโทษ เด็กหนุ่มก็ดึงมือทั้งสองข้างออกจากการเกาะกุมด้วยความโมโห กฤตภาสมองใบหน้าเนียนใสที่ไม่มีคราบน้ำตาแต่ปลายจมูกกับขอบตาแดงเรื่อ แล้วก็หันไปหยิบกล่องทิชชู่จากเบาะหลังมายื่นให้ "สั่งน้ำมูกซะ แล้วก็เลิกดื้อได้แล้ว คืนนี้ฉันจะไปส่งที่หอให้ก่อน แต่ถึงยังไงสุดสัปดาห์นี้เธอก็ต้องมานอนกับฉัน" น้ำเสียงที่เอ่ยยังมีแววออกคำสั่งอย่างไม่อ่อนข้อ ธีระจึงดึงกล่องทิชชู่มาถือพลางเหลือบมองผู้สูงวัยกว่าอย่างโกรธเคือง แต่เมื่อเม้มปากก็รู้สึกเจ็บจนเผลอส่งเสียงคราง กฤตภาสเห็นว่าเขายกปลายนิ้วขึ้นแตะริมฝีปาก จึงเปิดไฟในรถแล้วเชยคางเด็กหนุ่มขึ้น "แผลก็ไม่ได้ใหญ่อะไรนี่ เลือดก็ไม่ได้ออกเยอะด้วย" กฤตภาสเอ่ยหลังจากเอียงหน้าเขาไปมาเพื่อตรวจดูจนพอใจ ทำเอาธีระเดือดจนอยากจะยัดทิชชู่อุดปากคนพูดให้รู้แล้วรู้รอด แล้วต้องให้แผลใหญ่แค่ไหนถึงค่อยรู้สึกเจ็บกัน!? เขาไม่ใช่เจ้าตัวนะที่โดนทุบหรือกัดก็ไม่สะดุ้งสะเทือน! ตอนนี้เด็กหนุ่มนึกเสียดายจริงๆ ที่เมื่ออาทิตย์ก่อนไม่วิ่งเข้าไปในครัวของกฤตภาสแล้วหยิบมีดมาจ้วงแทงเจ้าตัวซะให้พรุน เผื่อจะได้ส่งเข้าไปนอนโคม่าในโรงพยาบาลตลอดสามเดือนแล้วก็ไม่ต้องพบเจอกันอีกเลย "อึ๊" เด็กหนุ่มส่งเสียงอย่างตกใจเมื่อจู่ๆ กฤตภาสก็โน้มหน้าลงมาหาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผู้สูงวัยกว่าใช้ปลายลิ้นเลียรอยกัดบนริมฝีปากของเขาอย่างแผ่วเบา ขณะเดียวกันก็ยื่นมือมาช่วยจัดเสื้อที่ยับย่นให้เข้าที่เข้าทาง แถมยังใช้ฝ่ามือลูบบนหน้าอกของเขาตรงที่โดนบีบเมื่อครู่ราวกับจะช่วยบรรเทาความเจ็บให้ด้วย ความอ่อนโยนซึ่งเหนือความคาดหมายทำให้ธีระกะพริบตาปริบขณะมองกฤตภาสที่ถอยออกไป เมื่อร่างสูงใหญ่เหลือบตาขึ้นสบประสานกับเขาอีกครั้งก็ยิ้มมุมปาก "น้ำมูกจะไหลเข้าปากแล้ว" "อะ..." กวนประสาท! เด็กหนุ่มได้แต่คิดพร้อมกับหันหนีไปสั่งน้ำมูก ความรู้สึกที่แล่นพล่านในอกยามนี้ผสมปนเปไปด้วยความอายและความอดสู ยิ่งได้อยู่ใกล้และใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น เขาก็ยิ่งดูไม่ออกเข้าไปทุกทีว่าความจริงแล้วกฤตภาสโหดร้ายหรือช่างเอาใจใส่กันแน่ ธีระกะพริบตาอีกครั้งเมื่อมือใหญ่อ้อมผ่านตัวเขาไปดึงสายเข็มขัดนิรภัยมาคาดให้ ก่อนที่เจ้าตัวจะปิดไฟในรถแล้วหันไปคาดสายเข็มขัดให้ตัวเองบ้าง เด็กหนุ่มตัดสินใจไม่พูดอะไรขณะที่ผู้สูงวัยกว่าหันไปมองด้านหลังเพื่อกลับรถ ทำไมแค่ในเวลาสั้นๆ ไม่กี่นาที เขาถึงได้รู้สึกเหนื่อยมากขนาดนี้นะ... เด็กหนุ่มคิดขณะมองทิชชู่ในมือซึ่งชื้นฉ่ำเพราะน้ำมูก โชคดีว่าขากลับนี้กฤตภาสไม่ได้ขับรถแรงหรือกระชาก เขาจึงไม่ค่อยอกสั่นขวัญหายเหมือนกับตอนที่เข้ามาในซอยนี้ใหม่ๆ "นี่...รู้อะไรมั้ย? เขาว่ากันว่าซอยนี้ผีดุนะ" ธีระสะดุ้งจากภวังค์แล้วเหลือบมองไปรอบรถทันที เขาสังหรณ์ใจไม่ดีตั้งแต่กฤตภาสเลี้ยวรถเข้ามาในซอยนี้แล้วเพราะมันทั้งเปลี่ยวทั้งมืด บ้านหลายหลังไม่เปิดไฟเลยสักดวง แถมรถราก็ไม่มีวิ่งสวนมาสักคัน ให้บรรยากาศประดุจหมู่บ้านร้างจนเขายิ่งขยับเข้าใกล้คนที่นั่งทางขวาโดยไม่รู้ตัว กฤตภาสเหลือบมองคนที่กำลังทำท่าหวาดผวาแล้วก็อมยิ้ม เขานึกอยากยั่วมากขึ้นจึงเอ่ยต่อ "ที่ฉันเคยได้ยินมานะ บ้านหลังที่อยู่ท้ายซอยใกล้กับตรงที่ฉันจอดรถเมื่อกี้น่ะ เจ้าของเขา...." "พอแล้วครับคุณกฤต! ถ้ายังเล่าอีกผมจะโกรธจริงๆ แล้วนะ!" กฤตภาสเหลือบมองคนที่บอกว่า 'จะโกรธ' ซึ่งยื่นมือมาปิดปากเขาเอาไว้ ถึงแม้แสงไฟตามรายทางในซอยจะไม่สว่างนัก แต่เขาก็แน่ใจว่าผิวแก้มของธีระคงเป็นสีแดงก่ำอยู่แน่ๆ ยังไม่หงอเสียทีเดียวสินะ... "ก็ได้" กฤตภาสกล่าวยิ้มๆ ขณะดึงมือของเด็กหนุ่มลงจากปากด้วยมือซ้าย ฝ่ายธีระได้แต่ภาวนาให้พวกเขาพ้นไปจากซอยน่าขนลุกนี่เสียที กระทั่งออกมาถึงถนนใหญ่ที่ไฟข้างทางสว่างจ้า เขาจึงค่อยถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก แล้วก็ให้ตระหนักว่าตัวเองจับมือกฤตภาสไว้แน่นเสียจนควรจะใช้คำว่าบีบ เด็กหนุ่มรีบชักมือตัวเองออกทันทีราวกับถูกของร้อน แต่กฤตภาสก็ไม่ได้ฝืนยื้อเอาไว้ ทั้งคู่ไม่พูดอะไรกันอีกเลยจนกระทั่งรถแลนด์โรเวอร์สีดำแล่นมาถึงด้านหน้าอพาร์ทเม้นท์ของธีระ เด็กหนุ่มรีบปลดเข็มขัดนิรภัยทันทีที่รถจอดเพราะอยากอยู่คนเดียวจะแย่ พอกฤตภาสยื่นมือมารั้งแขนจึงหันไปตอกใส่อย่างหงุดหงิด "ผมรู้ครับว่าพรุ่งนี้ผมต้องเตรียมเสื้อผ้าไปนอนห้องคุณ ผมไม่ลืมหรอก" ธีระรีบออกตัวเพราะเดาได้ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร แต่กฤตภาสกลับยิ้มแล้วส่ายหน้า "เรื่องนั้นน่ะฉันรู้ว่าเธอไม่ลืมหรอก แค่จะเตือนว่าคืนนี้อยู่ที่ห้องคนเดียว...ระวังอะไรมันจะตามมาจากซอยนั้นด้วยล่ะ" "คุณกฤต!! ปล่อยเลยนะ! จะกลับไปไหนก็รีบไปเดี๋ยวนี้เลย!!" ธีระเขวี้ยงทิชชู่ชื้นๆ ที่ขยำไว้ในมือใส่กฤตภาสแล้วก็วิ่งออกจากรถ นี่ถ้าเขาเป็นผู้หญิงคงได้กรี๊ดใส่หูให้รู้แล้วรู้รอด รู้อยู่แล้วว่าเขากลัวผีก็ยังจะมาแกล้งกันอีก! กฤตภาสหัวเราะเสียงดังขณะมองเด็กหนุ่มวิ่งหายเข้าไปในอพาร์ทเม้นท์ ใจหนึ่งก็นึกอยากแกล้งตามขึ้นไปถึงที่ห้อง แต่สุดท้ายก็หักห้ามใจเพราะคืนนี้แกล้งอีกฝ่ายไปมากพอแล้ว ถึงอย่างไรก็ควรเว้นพื้นที่ไว้ให้ได้กลับไปตั้งหลักบ้าง เพราะถ้าข่มจนฝ่ายนั้นหมดกำลังใจที่จะโต้ตอบไปเลย เขาก็พานหมดสนุกกันพอดี... ชายหนุ่มทิ้งก้อนทิชชู่ไว้หน้ารถก่อนจะเข้าเกียร์เพื่อกลับไปพักผ่อน เหตุการณ์เมื่อช่วงค่ำทำให้เขารู้สึกว่าได้ทำความรู้จักธีระมากขึ้นอีกนิดหน่อย แต่ดูเหมือนเขาจะพลาดไปตรงที่ดันอารมณ์ร้อนเกินเหตุแล้วเผลอใช้กำลัง เพราะดูท่าหลังจากนี้ฝ่ายนั้นคงจะยิ่งระวังเขามากขึ้นเป็นแน่ กฤตภาสนึกถึงตรงนี้ก็เปรี้ยวปากอยากสูบบุหรี่ จึงหักเลี้ยวรถเข้าจอดข้างถนนก่อนจะหยิบบุหรี่มาคาบและจุดไฟแช็คขึ้นจ่อปลาย ชายหนุ่มเปิดกระจกรถก่อนจะสูดควันเข้าปอดแรงๆ อึกหนึ่ง นัยน์ตาคมเข้มเหม่อมองท้องถนนยามค่ำขณะนึกถึงภาพของธีระที่น้ำตาคลอเบ้าแต่ก็ยังพยายามกลั้นอย่างเต็มที่ไม่ให้ไหลต่อหน้าเขา แล้วก็ตระหนักได้ว่านอกจากสีหน้าที่แสดงความโมโหกับสับสน เขาก็แทบจะไม่เคยเห็นรอยยิ้มที่ฝ่ายนั้นมอบให้อย่างจริงใจเลยนอกจากวันแรกที่มาเริ่มฝึกงาน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องเข้าใจยากหากพิจารณาจากการกลั่นแกล้งต่างๆ นานาที่เขามอบให้ สงสัยฝ่ายนั้นจะมองภาพลักษณ์เราว่าต่ำทรามจนกู่ไม่กลับแล้วกระมัง... ชายหนุ่มละเลียดนิโคตินเข้าปอดอีกครั้งก่อนจะเอนหลังพิงพนักแล้วหลับตาลง อยู่มาจนอายุปาเข้าไปสามสิบสาม...กฤตภาสเพิ่งจะได้รู้เป็นครั้งแรกว่าการพยายามทำให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งยิ้มให้ยามอยู่ด้วยกันช่างเป็นเรื่องที่ท้าทายเป็นบ้า ++---TBC---++
A/N: หลังจากเขียนแบบสั้นๆ มาหลายตอน พอมาเขียนเนื้อหาตอนไหนที่ยาวๆ แล้วรู้สึกว่าสูบพลังน่าดูเลยค่ะ (ตาลายเพราะอ่านทวนซ้ำหลายรอบ) ตอนนี้ก็จัดได้ว่าเป็นอีกตอนที่สองคนนี้ได้ทำความสนิทสนมกัน(?)เพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อย แต่กว่ากฤตภาสจะได้เห็นรอยยิ้มจากน้องตี้นี่คงยังอีกนานค่ะ เหอ เหอ เหอ
Create Date : 14 ตุลาคม 2556 |
Last Update : 14 ตุลาคม 2556 20:16:58 น. |
|
8 comments
|
Counter : 1470 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: bebee IP: 49.49.76.249 วันที่: 14 ตุลาคม 2556 เวลา:22:47:44 น. |
|
|
|
โดย: unoony IP: 183.88.249.70 วันที่: 15 ตุลาคม 2556 เวลา:0:03:22 น. |
|
|
|
โดย: khun only IP: 49.49.165.219 วันที่: 15 ตุลาคม 2556 เวลา:1:47:28 น. |
|
|
|
โดย: P'Maew IP: 210.86.182.238 วันที่: 15 ตุลาคม 2556 เวลา:12:30:57 น. |
|
|
|
โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 15 ตุลาคม 2556 เวลา:20:38:05 น. |
|
|
|
โดย: JIRA IP: 124.121.93.113 วันที่: 15 ตุลาคม 2556 เวลา:21:30:08 น. |
|
|
|
โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 15 ตุลาคม 2556 เวลา:21:48:07 น. |
|
|
|
โดย: ภัทร IP: 124.122.79.15 วันที่: 30 ตุลาคม 2556 เวลา:16:15:04 น. |
|
|
|
| |
|
|
ถึงจะแอบมีอ่อนโยน (แบบแปลกๆ) เป็นระยะ แต่ก็ยังเคืองแทนน้องตี้นะ
อยากให้ถึงเวลาน้องตี้เอาคืนจริงเชียว (แม้จะมองไม่ออกว่าคุณกฤตจะแสดงท่าทีออกมายังไงก็ตาม...ฮาาาา)