Group Blog
 
All blogs
 
เล่ห์ลวงใจ บทที่ 34


สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็ชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมรื่องแนว Boy's Loveดังนั้นหากไมชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ



++------++



เล่ห์ลวงใจ บทที่ 34


บ่ายคล้อยแล้ว เสียงแตรแป๊นๆ ที่หน้าบ้านเรียกความสนใจจากธีระที่กำลังนั่งช่วยปิยพลตัดแผ่นหนังตามแพทเทิร์นที่วาดไว้ เขาหันไปวางกรรไกรกับแผ่นหนังที่ตัดเสร็จแล้วลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ก้มลงหยิบกระเป๋าที่วางอยู่ข้างเก้าอี้ขึ้นมาคล้องไหล่

“สงสัยขลุ่ยมาแล้ว งั้นตี้ไปก่อนนะพี่ปิ๊ก อาจกลับมาค่ำๆ”

“ไม่ต้องรีบกลับก็ได้ แต่ยังไงก็คอยเตือนไอ้ขลุ่ยอย่าให้มันซิ่งนักล่ะ”

“ครับๆ พี่ปิ๊กน่าจะไปด้วยกันซะเลยนะ จะได้ไม่ต้องกลัวว่าขลุ่ยจะซิ่งไง”

“ไม่เอาดีกว่า ปล่อยวัยรุ่นเขาไปเที่ยวกันแหละดีแล้ว ถ้าพี่ไปด้วยเดี๋ยวจะเป็น ก.ข.ค. ซะเปล่าๆ”

ปิยพลเอ่ยกลั้วหัวเราะ นัยน์ตาของญาติผู้พี่ที่เหลือบมองเขามีประกายหยอกเย้าเคลือบฉาบ ทว่าแทนที่ธีระจะรู้สึกเขิน เขากลับอึกอักก่อนจะแย้งเสียงอ่อย

“พี่ปิ๊ก...ขลุ่ยไม่ได้ชวนตี้ไปเที่ยวเพราะอย่างนั้นหรอกน่า”

“อะไรกัน ถึงมันจะชวนเพราะอย่างนี้พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย ดีซะอีกถ้ามันจะทำให้ตี้หายเหงา เพราะตั้งแต่ตี้มาอยู่ด้วยพี่ก็แทบไม่ได้พาไปไหนเลยนี่นา”

“แต่ว่า...”

“พี่ตี้พร้อมรึยัง? อ้าว พี่ปิ๊ก หวัดดีครับ”

ธีระไม่ได้เอ่ยประโยคที่ค้างไว้เนื่องจากคเชนทร์เดินเข้ามาพอดี เด็กหนุ่มร่างโย่งถือถุงใส่แตงโมลูกใหญ่ติดมือมาด้วย

“พอดีเมื่อวานเพื่อนแม่เขามาเยี่ยมแล้วเอาแตงโมมาฝากเยอะแยะเลย แม่ก็เลยให้แบ่งมาให้พี่ปิ๊กด้วย หวานมากเลยนะ เมื่อวานขลุ่ยกินหมดคนเดียวตั้งเกือบครึ่งลูก”

“ขอบใจมาก กำลังคิดว่าอยากกินอะไรหวานๆ อยู่เชียว งั้นเดี๋ยวพี่หั่นให้แล้วมากินด้วยกันก่อนออกไปข้างนอกมั้ย?”

“ไม่ละครับ บ่ายนี้นัดกับพี่ตี้ไว้แล้วว่าจะไปกินไอติมกันก่อนแล้วค่อยไปเล่นน้ำกัน ใช่มั้ยพี่ตี้?”

ท้ายประโยคเด็กหนุ่มหันใบหน้ายิ้มแย้มมาทางธีระ รอยยิ้มอันเปิดเผยจริงใจนั้นทำให้คนที่เห็นยิ้มตอบ

“อื้อ เดี๋ยวตี้ค่อยกลับมากินแตงโมตอนเย็นก็ได้ พี่ปิ๊กจะให้ซื้ออะไรมาฝากมั้ย?”

“ไม่ล่ะ ยังไม่รู้เลยว่าเย็นนี้อยากกินอะไร ไว้เดี๋ยวค่อยโทรคุยกันตอนเย็นก็แล้วกัน”

“ถ้างั้นตี้ไปก่อนนะ”

ปิยพลพยักหน้า จากนั้นก็ป้องปากร้องสำทับขณะมองเด็กหนุ่มทั้งสองเดินออกจากบ้าน

“ไอ้ขลุ่ย ห้ามซิ่งนะเว่ย!”

“รู้แล้วคร้าบ รับรองจะดูแลพี่ตี้แบบริ้นไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอมเลย โอ๊ย! เจ็บนะพี่ตี้”

เด็กหนุ่มแสร้งทำเป็นร้องครวญหลังโดนธีระกำหมัดต่อยหัวไหล่ด้วยความหมั่นไส้ ปิยพลเห็นดังนั้นก็หัวเราะ เขามองตามจนกระทั่งรถมอเตอร์ไซค์ที่สองหนุ่มนั่งซ้อนกันอยู่แล่นจากไป จากนั้นจึงหันกลับไปสนใจกับการเย็บกระเป๋าที่ยังคั่งค้าง

ถึงแม้ว่าจะบ่ายสามโมงแล้วแต่แสงแดดยังคงเจิดจ้า คเชนทร์พาธีระไปแวะร้านเบเกอรี่ของคนรู้จักเพื่อแวะทานของหวานกับเครื่องดื่มเย็นๆ ตามที่คุยกันไว้ กระทั่งผ่านไปหนึ่งชั่วโมงและเห็นว่าแดดเริ่มร่ม เด็กหนุ่มร่างโย่งจึงได้หันไปบอกเจ้าของร้าน

“พี่โซ่ คิดเงินด้วยครับ”

“เท่าไหร่น่ะขลุ่ย?”

“หือ? พี่ตี้ไม่ต้องหรอก ขลุ่ยจ่ายเอง”

เด็กหนุ่มปฏิเสธแล้วก็รีบลุกไปที่เคาน์เตอร์เพื่อจ่ายเงิน ธีระขมวดคิ้วมุ่นหลังจากอีกฝ่ายเดินกลับมาที่โต๊ะ เขาหยิบเงินเท่าจำนวนที่คาดว่าจะพอดีกับครึ่งหนึ่งของค่าเครื่องดื่มแล้วยื่นออกไปให้

“นี่ส่วนของพี่ มาด้วยกันก็ต้องแชร์กันสิ จะให้ขลุ่ยจ่ายคนเดียวได้ไง”

“เอ๊...พี่ตี้ก็อย่าคิดมากสิ ขลุ่ยได้ค่าแรงเวลาช่วยงานแม่ที่ร้านนะ แค่เลี้ยงโกโก้นี่จิ๊บๆ เดี๋ยวไว้วันหลังพี่ตี้ค่อยเลี้ยงขลุ่ยคืนก็ได้น่า”

นอกจากคเชนทร์จะไม่รับเงินคืนแล้วก็ยังคว้ามือของธีระขึ้นแล้วยัดเงินกลับมาให้ ธีระก้มมองนิ้วที่ยาวเก้งก้างซึ่งกำอย่างอ้อยอิ่งอยู่รอบมือตัวเอง จากนั้นก็ช้อนตาขึ้นมองอีกฝ่ายโดยไม่พูดอะไร

“ไปๆ รีบไปเล่นน้ำกันก่อนจะมืดดีกว่า วันนี้อุตส่าห์ฝนไม่ตกทั้งที”

เด็กหนุ่มอายุน้อยกว่าเอ่ยพลางเดินนำไปที่ประตู แผ่นหลังภายใต้เสื้อกล้ามสีพื้นดูกว้างเหมือนผู้ใหญ่แม้จะยังค่อนข้างผอม ธีระจึงได้แต่ถอนหายใจขณะเก็บเงินใส่กระเป๋าแล้วเดินตามไปซ้อนมอเตอร์ไซค์ที่จอดไว้ในลาน

คเชนทร์ขับรถเลียบแม่น้ำเส้นใหญ่ออกนอกตัวเมืองเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่ธีระตอบรับคำชวนของอีกฝ่ายมาเล่นน้ำที่แม่น้ำด้วยกันหลังจากที่วันก่อนๆ เพียงแค่ไปนั่งกินขนมกันที่ร้านแถวบ้าน เมื่อมาถึงจุดเล่นน้ำที่คเชนทร์เคยบอกไว้ว่าน้ำน่าเล่นและไม่ค่อยมีคน เด็กหนุ่มร่างโย่งก็จอดมอเตอร์ไซค์ไว้ข้างต้นไม้บนตลิ่ง จากนั้นก็ถอดเสื้อกล้ามออกใส่ตะกร้าหน้ารถแล้วเดินนำลงไปที่แม่น้ำ

“น้ำเย็นเจี๊ยบเลย พี่ตี้ระวังด้วยนะ พื้นตรงนี้ส่วนใหญ่เป็นกรวดน่ะ แต่น้ำไม่ค่อยลึกหรอก”

ธีระหัวเราะเมื่อเห็นเด็กหนุ่มที่อ่อนวัยกว่าวิ่งลงน้ำอย่างร่าเริงเหมือนเด็กๆ เขาวางเป้และถอดรองเท้าแตะไว้ริมตลิ่งก่อนจะค่อยก้าวลงน้ำบ้างโดยไม่ได้ถอดเสื้อยืด สัมผัสเย็นเฉียบของน้ำที่ตัดกับอากาศร้อนระอุทำให้เขาส่งเสียงครางในคออย่างสบายตัว

“น้ำเย็นจริงด้วย ว่าแต่ไม่ลึกของขลุ่ยมันลึกสำหรับพี่นะเนี่ย” เด็กหนุ่มเอ่ยขณะรู้สึกว่าเท้าเริ่มจะแตะไม่โดนพื้น คนตัวสูงแต่อายุน้อยกว่าจึงเลิกคิ้ว จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์

“หือ? พี่ตี้ยืนไม่ถึงเหรอ? งั้นมาเกาะขลุ่ยก็ได้นะ เดี๋ยวสอนว่ายน้ำให้”

“ใครบอกว่าว่ายน้ำไม่เป็นกันล่ะไอ้เด็กบ้า นี่แน่ะ”

ธีระใช้มือวิดน้ำใส่หน้าคเชนทร์อย่างอารมณ์ดี จากนั้นก็หัวเราะแล้วว่ายหนีเมื่อถูกวิดน้ำใส่บ้าง ทั้งสองเล่นสาดน้ำกันไปมาจนเสียงหัวเราะสะท้อนก้องคุ้งน้ำ ครู่ใหญ่ธีระก็เอ่ยห้ามเพราะชักจะเหนื่อย

"พอก่อนขลุ่ย เหนื่อยแล้ว ขอเล่นน้ำสบายๆ มั่ง"

ธีระเอ่ยก่อนจะถีบตัวขึ้นนอนลอยตัวบนผิวน้ำ อากาศที่ร้อนมาตั้งแต่เช้าทำให้วันนี้เขาเลือกสวมเสื้อยืดเนื้อค่อนข้างบางออกมา เด็กหนุ่มใช้มือพุ้ยน้ำเบาๆ เพื่อพยุงตัวพลางหรี่ตามองท้องฟ้าที่เริ่มมีสีแสดสอดแซม ความรู้สึกโล่งใจกับบรรยากาศสงบสุขโดยรอบทำให้ระบายลมหายใจยาวออกมา โดยหาได้รู้ว่าเสื้อยืดที่ใส่มานั้นแนบลู่กับสรีระของตัวเองจนจุดสีชมพูสองจุดบนแผ่นอกดันเนื้อผ้าขึ้นมารำไร เวลาที่เขาหายใจเข้าออกนั้นจุดทั้งสองก็ยวบขึ้นลงน้อยๆ ตามแผ่นอกที่กระเพื่อม ภาพอันแสนเย้ายวนโดยไม่ตั้งใจจุดประกายสีแดงบนผิวหน้าของคเชนทร์จนต้องกลืนน้ำลายแล้วรีบหันหนี

เด็กหนุ่มทอดตามองแนวต้นกกที่ขึ้นเบียดกันหนาแน่นอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ กระทั่งพอจะควบคุมตัวเองได้แล้วถึงค่อยหันกลับมาชวนธีระที่ยังนอนลอยตัวนิ่งๆ

"พี่ตี้ งั้นก่อนจะเล่นน้ำสบายๆ มาลองว่ายไปให้ถึงฝั่งโน้นกันสักรอบก่อนมั้ย?"

"หือ?...ก็ได้"

"แต่ต้องว่ายแข่งกันนะ"

"อ้าวเฮ้! ขี้โกงนี่นา!"

ธีระร้องเมื่อจู่ๆ คนท้าแข่งก็เล่นออกตัวว่ายตัดน้ำไปก่อน คเชนทร์หันมาหัวเราะแต่ก็ไม่หยุดแขนที่กำลังโจนจ้วง แววตาท้าทายของอีกฝ่ายจุดรอยยิ้มบนใบหน้าของธีระจนเขาฮึดว่ายตามแม้จะรู้ว่าคงแพ้แน่นอน

ขลุ่ยคงไม่ได้นึกชอบเราแบบที่พี่ปิ๊กคิดหรอกมั้ง...

เด็กหนุ่มคิดขณะพยายามจ้วงน้ำตามให้ทัน นับตั้งแต่วันที่เขาได้พบกับณรงค์และไรอันก็ผ่านมามากกว่าหนึ่งสัปดาห์แล้ว วันถัดจากนั้นคเชนทร์ขับมอเตอร์ไซค์มาหาเขาถึงที่บ้านเพื่อทวงสัญญาที่ว่าจะไปเที่ยวด้วยกัน หลังจากนั้นมันก็เหมือนกับเป็นกิจวัตรประจำวันที่พอถึงตอนบ่ายหลังจากช่วยแม่เก็บกวาดร้านแล้ว เด็กหนุ่มร่างโย่งจะคอยมารับเขาแล้วพาไปทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยกันทุกวัน

แรกๆ ธีระยอมรับว่าเขาก็สงสัยว่าอีกฝ่ายอาจคิดอะไรกับเขาเหมือนที่ญาติผู้พี่ชอบล้อ แต่เมื่อผ่านมาหลายวันเข้า เขาก็เริ่มคิดว่าปิยพลคงจะจินตนาการไกลไปเอง และคเชนทร์คงเพียงแค่อยากทำความรู้จักเพราะเห็นว่าเขามาจากต่างถิ่นเสียมากกว่า เพราะว่าเด็กหนุ่มเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดีและรู้จักคนโน้นคนนี้เยอะแยะไปหมด

"อ้าว? ขลุ่ย? อยู่ไหนน่ะ?"

เพราะว่ามัวแต่ตั้งใจว่ายน้ำให้ทันจนไม่ได้ตั้งใจมอง เมื่อธีระว่ายมาถึงอีกฝั่งและเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็พบว่าทั้งคุ้งน้ำไม่มีใครเลยนอกจากเขาคนเดียว แม้จะมีเสียงรถราวิ่งลอยมาจากถนนที่อยู่ห่างไปบ้าง ทว่ารอบบริเวณที่เขากำลังลอยคออยู่กลับเงียบจนน่าตระหนก

หรือขลุ่ยจะเล่นน้ำมากไปจนเป็นตะคริว!?

"ขลุ่ย! เป็นอะไรรึเปล่า! หวา!!"

ธีระร้องอย่างตกใจเมื่อจู่ๆ ก็มีสัมผัสลื่นๆ มาโดนข้อเท้า ก่อนจะรับรู้ถึงแรงที่กุมกระชับแล้วดึงเขาลงไปใต้ผืนน้ำเบื้องล่าง เด็กหนุ่มทั้งดิ้นทั้งถีบอย่างตกใจเพราะเริ่มเดาได้ว่าโดนแกล้ง เมื่อทั้งเตะทั้งถีบอย่างไรก็ไม่ได้ผล สุดท้ายเขาจึงใช้วิธีกางเล็บแล้วจิกลงไปเต็มแรงบนมือที่กุมข้อเท้าจนคเชนทร์ต้องยอมปล่อย

"โอ๊ย! แกล้งเล่นหน่อยเดียวเอง คนอะไรซาดิสต์ชะมัดเลย"

"สม! ใครให้เล่นพิเรนทร์แบบนี้ล่ะ นึกว่าจะสำลักน้ำตายไปแล้ว"

ธีระบ่นอย่างกึ่งฉุนกึ่งขำเมื่อเห็นเด็กหนุ่มอายุน้อยกว่าสะบัดมือข้างที่โดนเล็บจิกไปมา สภาพของทั้งสองตอนนี้ต่างเปียกมะลอกมะแลกหลังโรมรันพันตูกันใต้น้ำ เขายกมือลูบหน้าจนกระทั่งรู้สึกว่าแสบจมูกเพราะเผลอสูดน้ำเข้าน้อยลง แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังไม่เลิกหยุดลูบมือที่เจ็บ ธีระก็มุ่นคิ้วแล้วว่ายเข้าไปใกล้

"ขอโทษนะขลุ่ย เจ็บมากเหรอ? ไหนขอดูมือหน่อยซิ"

"อือ"

คเชนทร์ส่งเสียงในคออย่างหน้าสงสาร ธีระจึงคว้ามือที่ใหญ่แต่นิ้วยาวเรียวยิ่งกว่าเขาขึ้นมาดู ยังไม่ทันจะได้พิจารณาว่ารอยเล็บลึกแค่ไหนก็ถูกรวบตัวเข้าไปกอดโดยไม่ได้ตั้งตัว เขายังไม่ทันจะได้ส่งเสียงทักท้วง ริมฝีปากเย็นๆ ของคนตัวสูงกว่าก็ทาบลงมาบนริมฝีปากของเขา

ธีระกะพริบตาปริบเมื่อริมฝีปากนั้นแนบอยู่ชั่วอึดใจก่อนที่เจ้าของริมฝีปากจะผละจาก แต่ว่าอ้อมแขนอันเก้งก้างยังคงโอบรัดอยู่รอบตัว ความงุนงงทำให้เขานึกคำพูดไม่ออกในทันทีขณะมองสบนัยน์ตาเร่าร้อนที่ยังคงจับจ้องอย่างแน่วนิ่ง ฉับพลันที่รับรู้ได้ถึงบางสิ่งที่แข็งเกร็งและอบอุ่นซึ่งดันอยู่บริเวณท้องน้อย สติของเขาก็กลับคืนมาราวกับถูกดีดด้วยเส้นหนังสติ๊ก

"ขลุ่ย...ปล่อย"

ธีระยกมือทั้งสองข้างขึ้นเพื่อดันไหล่อีกฝ่ายออกจากตัว แต่แทนที่เด็กหนุ่มจะปล่อยมือ อ้อมแขนรอบตัวธีระกลับเพิ่มแรงโอบแน่นยิ่งขึ้น และริมฝีปากที่บัดนี้อุ่นขึ้นแล้วก็ก้มลงมาจูบไซ้ทั่วซอกคอที่โผล่พ้นเสื้อยืดเนื้อบางจนธีระเริ่มจะโมโห

"ขลุ่ย! ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!!"

เขาตวาดพลางดิ้นสุดแรงอย่างทุลักทุเลเพราะสู้แรงคเชนทร์ที่ตัวใหญ่กว่าไม่ไหว เด็กหนุ่มรับรู้ได้ถึงอารมณ์ของอีกฝ่ายที่กำลังพุ่งสูงจนไม่ฟังอะไรเมื่อนิ้วเรียวยาวเริ่มสอดเข้ามาลูบไล้ผิวกายใต้เสื้อยืด เขาฉวยโอกาสที่แขนตัวเองเป็นอิสระในช่วงเวลาสั้นๆ สะบัดฝ่ามือเต็มแรงไปบนใบหน้าของคนที่กำลังหน้ามืดตามัวโดยไม่ฟังอีร้าค่าอีรมทันที

เพียะ!!!

"หายบ้ารึยัง! พี่ไม่ได้มาเล่นน้ำด้วยเพราะต้องการแบบนี้นะ!!"

ธีระรีบว่ายน้ำกลับเข้าฝั่งอย่างเร่งรีบ เขาไม่ได้หันไปสนใจคนที่ว่ายตามมาด้านหลังเลยจนกระทั่งถูกคว้าข้อมือไว้เมื่อกำลังจะก้าวขึ้นจากน้ำ

"พี่ตี้! ขลุ่ย...ขอโทษ"

ฝ่ามือที่ใหญ่และเปียกกุมข้อมือของเขาไว้แน่น น้ำเสียงอันร้อนรนบ่งบอกถึงความสำนึกเสียใจกับอารมณ์ชั่ววูบที่เพิ่งผ่านไปเมื่อครู่ ธีระได้แต่หลับตาพลางสูดหายใจยาวๆ เข้าปอด จากนั้นจึงค่อยหันกลับไปมองโดยไม่พูดอะไร แต่ความเงียบอันกดดันก็เพียงพอจะทำให้คเชนทร์ใจหายจนยอมปล่อยมือ

ธีระพยายามระงับความโกรธกรุ่นแล้วเดินขึ้นไปบนตลิ่งตรงที่วางเป้ไว้ เด็กหนุ่มทิ้งตัวนั่งลงพลางดึงผ้าขนหนูออกมาเช็ดผม พอเห็นว่าเขาเพียงแต่นั่งเช็ดตัวอยู่กับที่โดยไม่เดินหนี คเชนทร์จึงเดินตามมาแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ

"พี่ตี้...ขอโทษนะ"

น้ำเสียงของคนพูดยังคงสะท้อนความเสียใจ ธีระได้แต่ถอนหายใจแรงๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองแสงอาทิตย์ซึ่งซีดจางลงทุกที แล้วก็ได้แต่ตั้งคำถามว่านี่เขาดูเชิญชวนในสายตาคนรอบตัวนักหรือไงกัน ใครต่อใครถึงได้ชอบเข้ามาแล้วคิดว่าจะหาเศษหาเลยกับเขาได้ง่ายๆ กันทุกคน

"ขลุ่ยทำแบบนั้นทำไม?"

"ทำไม...ก็ขลุ่ย...ชอบพี่ตี้"

คำสารภาพอย่างตรงไปตรงมาไม่ได้ทำให้ธีระรู้สึกดีขึ้นสักเท่าไร โอเค...บางทีเขาอาจรู้อยู่แล้วแต่ไม่ยอมรับเพราะก่อนหน้านี้คเชนทร์ไม่เคยพูดออกมาตรงๆ เขาจึงหลอกตัวเองได้โดยไม่รู้สึกผิดมากนักว่าเด็กหนุ่มคงไม่ได้ชอบเขาหรอก อีกอย่างเขาเองก็เหงา...อยากมีเพื่อนพูดคุยและพาออกไปเที่ยวนอกจากญาติผู้พี่ที่ทำงานตัวเป็นเกลียวทั้งวันบ้าง เลยอาจเป็นเหตุผลให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดว่าเขาทอดสะพานให้ก็เป็นได้

พอคิดได้ว่าตัวเองก็มีส่วนผิดในเรื่องนี้ ความโกรธในใจเขาก็มอดลงไปหลายส่วน

"ขลุ่ย เรื่องเมื่อกี้พี่จะถือว่าไม่ได้เกิดขึ้น แต่ต่อไปห้ามทำแบบนี้อีกนะ"

"ครับ...พี่ตี้...เอ่อ"

ธีระหันขวับไปเมื่อมือใหญ่วางทับลงมาบนมือเขา คเชนทร์กลืนน้ำลายอย่างรวบรวมความกล้า จากนั้นก็เหลือบตาขึ้นถามด้วยน้ำเสียงแห้งผาก

"ถ้าอย่างนั้น...พี่ตี้รู้แล้วว่าขลุ่ยชอบพี่ตี้ แล้วพี่ตี้ล่ะ...คิดยังไงกับขลุ่ย?"

มือที่วางบนมือของเขาไม่ได้กระชับแน่น เหมือนกับเจ้าตัวแค่อยากมั่นใจว่าเขาจะไม่ลุกหนีไปก่อนก็เท่านั้น ธีระเห็นและรับรู้ได้ถึงความคาดหวังแต่ก็หวาดหวั่นกับคำตอบในแววตาที่กำลังมองมา จึงหลุบตาลงอย่างใช้ความคิดโดยที่ปล่อยให้คเชนทร์กุมมือของเขาอยู่อย่างนั้น

คำตอบนั้นเขามีในใจอยู่แล้ว เพียงแต่เกรงว่าการตอบอย่างผลุนผลันจะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดว่าเขายังไม่หายโมโห ธีระพยายามสูดหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อเรียบเรียงถ้อยคำ แล้วก็อดจะสะท้อนใจไม่ได้เมื่อตระหนักถึงสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนที่กำลังเผชิญ

นี่สิถึงจะเป็นลำดับขั้นที่ถูกต้องของการสานความสัมพันธ์ไม่ใช่หรือ เริ่มจากการทำความรู้จัก ชวนกันออกไปไหนมาไหนด้วยกัน หลังจากนั้นเมื่อแน่ใจในความรู้สึกแล้วถึงค่อยสารภาพความในใจและขอคบ แต่โชคชะตาช่างเป็นเรื่องน่าขำ...เพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยได้มีความสัมพันธ์กับใครตามขั้นตอนที่ควรจะเป็นเลยสักคน

โดยเฉพาะกับคนล่าสุด...คนที่ดีแต่ดึงดันจะเอาทุกอย่างให้ได้อย่างใจอยู่ฝ่ายเดียวคนนั้น...

"พี่ตี้?"

คเชนทร์ทักเมื่อเห็นเขาเงียบไปนาน ธีระจึงเหลือบตาขึ้นในที่สุด จากนั้นก็ส่ายหน้าช้าๆ

"พี่ขอโทษนะขลุ่ย แล้วก็ขอบคุณมากที่บอกชอบพี่ แต่ว่า...พี่รับความรู้สึกของขลุ่ยไม่ได้"

คำตอบของเขาทำให้แววตาของคนที่รอฟังสลดวูบทันที

"ทำไมล่ะ เพราะว่าขลุ่ยเด็กไปเหรอ?"

"ไม่ใช่"

"หรือเพราะว่าพี่ตี้...มีแฟนอยู่แล้ว?"

ธีระไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้กับคำถามนั้นดี เพราะณรงค์กับไรอันก็ถามเขาอย่างนี้เมื่อตอนที่เจอกัน แต่คำตอบมันตรงกันข้ามเลยแท้ๆ

"ขลุ่ย...ขลุ่ยอาจจะชอบพี่เพราะเราเพิ่งรู้จักกันไม่นาน แต่ถ้าขลุ่ยได้รู้เรื่องเกี่ยวกับพี่มากขึ้น ขลุ่ยอาจเปลี่ยนความคิดก็ได้นะ"

เขาเอ่ยพลางชันขาขึ้นแล้วสอดแขนเข้าใต้หัวเข่า ฝ่ายคเชนทร์มองเสี้ยวหน้าของธีระที่ทอดสายตาไปบนผิวน้ำที่มีคลื่นเอื่อยๆ เพราะแรงลมแล้วก็เอ่ยด้วยเสียงที่มั่นคงขึ้น

"ขลุ่ยไม่ได้เด็กจนถึงกับแยกแยะอะไรไม่ได้หรอกนะ ถ้าพี่ตี้คิดว่าขลุ่ยรับไม่ได้ก็ลองเล่าให้ฟังดูสิ"

แววตาสีน้ำตาลเข้มจองธีระอย่างไม่หลบเลี่ยง แนวกรามคมสันรับกับลำคอแข็งแรงทำให้ใบหน้าของเด็กหนุ่มใต้แสงโพล้เพล้ดูโตกว่าอายุแต่ก็ยังไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ กระนั้นความเปิดเผยที่บ่งบอกว่ายินดีจะรับฟังก็ทำให้ธีระเม้มปากแน่นอย่างชั่งใจ เพราะนี่เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนจนแม้แต่คนใกล้ตัวเขาก็ไม่เคยมีโอกาสได้รับรู้

แต่บางที...การได้ระบายมันออกมาอาจช่วยบรรเทาความอึดอัดที่กัดกร่อนใจมานานให้ลดทอนลงบ้างก็เป็นได้

"ก็ได้...แต่ถ้าได้ฟังแล้วขลุ่ยอาจเสียความรู้สึกกับพี่ก็ได้นะ..."



++------++



สายลมที่พัดโชยไม่หยุดช่วยปัดเป่าไอร้อนระอุที่ยังหลงเหลือบริเวณริมน้ำ อากาศโดยรอบเริ่มเย็นลงพร้อมกับที่ตะวันยอแสงมากขึ้น ความเงียบห้อมล้อมไปทั่วบริเวณหลังจากธีระเล่าเรื่องราวจบลง เด็กหนุ่มถอนหายใจก่อนจะหยิบกรวดก้อนเล็กๆ มาโยนลงไปบนสายน้ำที่ไหลเอื่อย มีเสียง 'จ๋อม' ดังขึ้นพร้อมกับที่ผิวน้ำกระเพื่อมเป็นวงเบาๆ จากนั้นทุกอย่างก็กลับคืนสู่ความเงียบอีกครั้ง

ธีระไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้เล่าความเป็นมาตั้งแต่เริ่มคบกับณรงค์จนมาเจอกฤตภาสให้เด็กหนุ่มที่เพิ่งรู้จักกันไม่นานฟัง เขาตระหนักดีว่าตัวเองไม่ได้บริสุทธิ์ใสซื่อเหมือนหน้าตา และบางทีความประทับใจที่อีกฝ่ายมีในตัวเขาอาจหมดไปแล้วก็ได้เมื่อได้รู้เรื่องราวเหล่านี้

"พี่ตี้..."

ผ่านไปนานมากกว่าคเชนทร์จะปริปาก ธีระจึงหันไปมองเด็กหนุ่มที่ทอดสายตาตรงไปยังผิวน้ำข้างหน้าแล้วก็ส่งเสียงในคอ "หืม?"

"ขลุ่ยอาจยังเด็กเกินไปที่จะพูดแบบนี้ก็ได้ แต่ถ้าหากขลุ่ยมีคนที่รัก ขลุ่ยจะไม่มีวันทำให้เขาเสียใจแบบคนที่พี่ตี้พูดถึงเด็ดขาด"

น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวของเด็กหนุ่มช่างแหลมคมประดุจมีดแทงใจ ถ้าเพียงแต่ฤตภาส...แสดงออกหรือใช้คำพูดที่แฝงความนัยว่ามีเขาอยู่ในใจสักเศษเสี้ยวให้ได้ยินบ้าง เขาอาจยังยอมอยู่เคียงข้างอีกฝ่ายแทนที่จะจากมาแบบนี้ก็ได้

"ดีแล้วล่ะขลุ่ย อย่าโตขึ้นเป็นคนเห็นแก่ตัวแบบนั้นเลย"

"แต่ถึงเขาจะเห็นแก่ตัว พี่ตี้ก็ยังไม่ลืมเขาใช่ไหมล่ะ?"

คเชนทร์หันมาหาพร้อมกับที่ถามคำถามนั้น มือใหญ่กุมกระชับมือของธีระที่วางอยู่บนพื้นแน่นขึ้น ความจริงแล้วมือนั้นไม่ได้ปล่อยมือของเขาเลยตั้งแต่เริ่มเปิดปากเล่าเรื่องในอดีต แต่ธีระก็ไม่ได้ถอนมือออกเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายทำเช่นนั้นเพราะต้องการให้กำลังใจ...เพราะต้องการยืนยันกับเขาว่ายินดีจะรับฟังเรื่องราวที่เขาจะเล่าอย่างแท้จริง

และตอนนี้เขาก็ได้รับกำลังใจนั้นมามากพอแล้ว...

"ฟ้าเริ่มมืดแล้ว กลับกันเถอะขลุ่ย เดี๋ยวยุงจะหามเอา"

เด็กหนุ่มค่อยๆ ชักมือออกจากใต้ฝ่ามือใหญ่อย่างเงียบเชียบ และครั้งนี้คเชนทร์ไม่ได้ออกแรงยื้อ ทั้งสองเพียงแต่เดินขึ้นจากตลิ่งไปยังมอเตอร์ไซค์ที่จอดไว้โดยไม่มีใครพูดอะไร คเชนทร์หยิบเสื้อกล้ามที่ถอดไว้ในตะกร้าขึ้นมาสวมทับร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่า ส่วนธีระก็ถอดเสื้อยืดที่หมาดชื้นออกแล้วเปลี่ยนมาใส่เสื้ออีกตัวที่อยู่ในเป้แทน เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็ต่างก้าวขึ้นมอเตอร์ไซค์แล้วขับมาออกจากบริเวณนั้น

เมื่อเริ่มเข้าเขตตัวเมืองก็เริ่มมีรถราวิ่งสวน เสียงลมพัดหวีดหวิวและเสียงเครื่องยนต์ที่สัญจรบนถนนช่วยขจัดความวังเวงหลังตะวันตกดินได้เป็นอย่างดี หลังจากนั่งเงียบกันมาได้สักพัก คเชนทร์ก็เหลือบกลับมามองคนที่ซ้อนตัวเองอยู่แวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น

"พี่ตี้"

"หือ?"

"ก่อนพี่ตี้จะกลับกรุงเทพฯ...ขลุ่ยยังชวนพี่ตี้ไปเที่ยวได้อยู่รึเปล่า?"

"ถ้าสัญญาว่าจะไม่ทำแบบตอนที่เล่นน้ำอีกก็โอเค"

ทั้งสองส่งเสียงหัวเราะประสานกัน อย่างน้อยๆ มิตรภาพฉันท์พี่น้องนี้ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่ธีระจะมอบให้

"แต่พี่ตี้รู้มั้ย พี่ตี้หุ่นดีจริงๆ นะ ผิวก็เนียน ตัวก็ขาว...โอ๊ย!"

"ถ้ายังไม่เลิกพูดอีกก็ไม่ต้องคิดจะมาชวนไปไหนเลย ตั้งใจขับรถให้ดีๆ ได้แล้ว ไม่งั้นจะลงไปเดินเองจริงๆ ด้วย"

"คร้าบๆ โธ่ ชมนิดชมหน่อยยังไม่ได้เลยเหรอเนี่ย"

คเชนทร์แกล้งทำเป็นบ่นเสียงเล็กเสียงน้อย แต่นั่นก็ช่วยให้ธีระยิ้มออกมาได้เพราะเขารู้ว่าอีกฝ่ายเพียงแค่ล้อเล่น เขาเหลือบตาขึ้นมองแผ่นหลังกว้างของเด็กหนุ่มจากด้านหลัง แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าเมื่อโตขึ้นเป็นหนุ่มเต็มตัวเมื่อไร คนที่คว้าหัวใจของคเชนทร์ไปครองได้จะต้องเป็นคนที่โชคดีและได้รับความรักความทะนุถนอมอย่างมากแน่ๆ

พวกเขาใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงก็กลับมาถึงละแวกบ้าน เนื่องจากธีระซ้อนอยู่ด้านหลังจึงเหม่อมองบ้านเรือนและร้านรวงข้างถนนไปเรื่อย เขารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อคเชนทร์จอดรถแล้วเอาขายันพื้นไว้ จากนั้นก็หันกลับมาหาแล้วบุ้ยคางไปหน้าบ้าน

"สงสัยจะมีแขกมาหาพี่ปิ๊กแฮะ ขลุ่ยคงจอดได้แค่ตรงนี้ล่ะ เพราะมีรถตู้จอดขวางหน้าทางเข้าบ้านคันเบ้อเริ่มเลย"

"อ้าว? ใครกันจะมาหาพี่ปิ๊กตอนนี้"

ธีระพึมพำเพราะแทบจะไม่เคยเห็นเพื่อนฝูงของปิยพลไปมาหาสู่ถึงที่บ้าน เขายื่นหน้าออกจากหลังเด็กหนุ่มออกไปดูอย่างสงสัย และได้เห็นว่าหน้าทางเข้าบ้านของปิยพลมีรถตู้สีขาวคันใหญ่จอดอยู่จริงๆ ป้ายทะเบียนด้านหลังของรถตู้คันนั้นบอกว่ามาจากกรุงเทพมหานคร แต่เขาก็สุดจะเดาว่ารถคันนี้มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือว่าจอดอยู่นานแค่ไหนแล้ว

แต่ถึงจะไม่รู้ว่าผู้ที่โดยสารมากับรถตู้เป็นใคร ลางสังหรณ์กลับกระซิบข้างหูเขาเบาๆ ว่าเป้าหมายของคนที่ผู้โดยสารของรถตู้คันนี้เดินทางมาหา...ไม่น่าจะเป็นปิยพลแต่ว่าคือตัวเขาเองต่างหาก...



++---TBC---++



A/N: ตามที่สัญญาในตอนก่อนว่าตอนนี้ทุกคนจะได้เจอน้องตี้แน่นอน เลยจัดให้อิ่มไปเลยค่ะ ส่วนตากฤตก็ให้นอนพักต่อไปก่อนละกันนะ XD




Create Date : 11 กันยายน 2557
Last Update : 19 กันยายน 2557 18:45:47 น. 4 comments
Counter : 1495 Pageviews.

 
โอ๊ยยลุ้นๆๆๆๆ
คุณกฤติแน่เลย ขอให้ใช่เถอะ


โดย: หมูมะนาว IP: 1.47.138.29 วันที่: 20 กันยายน 2557 เวลา:21:09:08 น.  

 
คุณหมูมะนาว ลุ้นค่ะลุ้น


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 21 กันยายน 2557 เวลา:13:02:45 น.  

 
คุณกฤตนอนพักอยู่หลังรถตู้???

มาเจอฉากนี้ไม่ยิ่งเดือดเหรอ?

หรือว่าจะไม่ใช่จริงๆหว่า


โดย: tea IP: 116.68.159.61 วันที่: 29 กันยายน 2557 เวลา:16:35:51 น.  

 
คุณ tea บทหน้ารับรองมีเฉลยว่าใครหนอที่มากับรถตู้สีขาวค่ะ อุอุอุ


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 30 กันยายน 2557 เวลา:10:53:50 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Applebee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 29 คน [?]






ลายปากกา



~ สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ~
ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิดโดยนำข้อความทั้งหมดหรือส่วนใดไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด!!

Friends' blogs
[Add Applebee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.