สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็ชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมรื่องแนว Boy's Loveดังนั้นหากไมชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ++------++เล่ห์ลวงใจ บทที่ 31ฮ้า...เสียงครางด้วยความอิ่มเอมของหญิงสาวช่างตัดกันอย่างสิ้นเชิงกับเสียงคำรามของกฤตภาสเมื่อต่างฝ่ายต่างบรรลุปลายทางแห่งการเริงรมย์ ร่างสูงใหญ่หอบหายใจแรงขณะทิ้งตัวลงทาบทับเรือนร่างนุ่มนิ่มภายหลังการปลดปล่อย ทรวงอกอวบหยุ่นที่ถูกแผ่นอกของเขากดทับกระเพื่อมขึ้นลงขณะพยายามสูดอากาศให้ทันกับจังหวะหายใจ กระทั่งความเหนื่อยล้าตามร่างกายค่อยสร่างซา เขาจึงผละจากเรือนร่างโค้งเว้าอันเย้ายวน ดึงถุงยางออกทิ้งถังขยะ จากนั้นก็หยิบเสื้อขึ้นมาสวมทั้งที่ยังนั่งอยู่บนขอบเตียงจะกลับแล้วเหรอคะ?หญิงสาวถามพลางลุกขึ้นนั่งแนบแก้มบนหัวไหล่หนาและกอดเอวเขาหลวมๆ กฤตภาสไม่ตอบและไม่ได้ปัดมือออก เขาเพียงแต่เสยผมที่ยุ่งเหยิงของตนให้เข้าที่ จากนั้นก็ลุกขึ้นสวมกางเกงแล้วหยิบเงินในกระเป๋าสตางค์วางลงบนโต๊ะข้างเตียง ธนบัตรสีเทาที่เรียงซ้อนกันดึงดูดนัยน์ตาฉ่ำเยิ้มให้ปรายมองแวบหนึ่งก่อนจะแสดงท่าทีเหมือนไม่สนใจ เธอเพียงเกี่ยวชายผ้าห่มขึ้นบังทรวงอกอย่างหมิ่นเหม่ขณะลูบผมของตนให้เข้าที่ เพราะรู้ดีพอที่จะไม่ลดตัวลงแสดงท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือเมื่อเห็นค่าบริการจากลูกค้าหลังจากกฤตภาสแต่งตัวเรียบร้อยก็คว้ากุญแจรถแล้วเดินไปที่ประตูห้อง ท่าทีที่บ่งบอกว่าได้สิ่งที่ต้องการแล้วจึงไม่จำเป็นต้องอยู่ต่อทำให้หญิงสาวไม่พยายามเหนี่ยวรั้ง เธอเพียงแค่ทอดเสียงอ่อนหวานขณะมองเขาก้มสวมรองเท้าแล้วเจอกันใหม่นะคะกฤตภาสเพียงแต่เหลือบตาขึ้นมองคนที่ส่งยิ้มหวานให้จากบนเตียง จากนั้นก็หมุนตัวออกจากห้องแล้วสาวเท้าไปที่ลิฟต์ คลับแห่งนี้ออกแบบมาอย่างดีเพื่อรองรับลูกค้าระดับเอ็กซ์คลูซีฟที่กระเป๋าหนักและต้องการความเป็นส่วนตัว แต่ละชั้นจึงมีห้องไว้คอยบริการเพียงไม่กี่ห้อง แต่ละห้องก็ล้วนติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยและเก็บเสียงชั้นเยี่ยม กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีใครรู้ว่าคนที่อยู่หลังบานประตูกำลังทำอะไรกันว่างเปล่าสิ้นดี...ชายหนุ่มลงลิฟต์ไปที่ชั้นจอดรถโดยไม่ต้องแวะจ่ายเงินที่ล็อบบี้เพราะทุกอย่างเสร็จสิ้นตั้งแต่ก่อนจะขึ้นมาบนห้อง ระบบการจัดการของคลับแห่งนี้มีความเป็นมืออาชีพทุกกระเบียด เขารู้ดีว่าคำพูด แล้วเจอกันใหม่นะคะ เมื่อครู่ก็เป็นเพียงบริการหนึ่งของเหล่าหญิงสาวที่ได้รับการอบรมมาแล้วเท่านั้น โดยที่ไม่มีความจริงใจแฝงเลยสักนิดนอกเหนือไปจากความหวังว่าลูกค้าเหล่านั้นจะกลับมาหว่านเงินให้ต้นสังกัดของพวกเธออีกท้องฟ้าครึ้มไปด้วยเมฆตอนที่กฤตภาสขับรถออกมาจากคลับหรูที่ซ่อนอยู่ใจกลางเมือง เมื่อเขาออกมาถึงถนนใหญ่นั้นมวลเมฆก็กลั่นตัวเป็นสายฝนแล้ว ชายหนุ่มมองที่ปัดน้ำฝนซึ่งกำลังทำงานอย่างหนักบนกระจกหน้ารถ แล้วก็อดจะตั้งคำถามไม่ได้ว่าบรรดาผู้คนที่ติดแหง็กอยู่บนท้องถนนในช่วงเวลาเดียวกันนั้นออกมาทำอะไร หรือแต่ละคนก็ต่างเพิ่งกลับจากการไประบายอารมณ์ในสถานโลกีย์เหมือนเขากันแน่ครึ่งชั่วโมงต่อมากฤตภาสก็ฝ่าการจราจรมาถึงคอนโด พายุฝนภายนอกได้ทวีความรุนแรงจนกลายเป็นฝนฟ้าคะนองไปแล้วเมื่อเขากลับมาถึงห้อง ชายหนุ่มรูดเปิดผ้าม่านในห้องนั่งเล่นโดยไม่เปิดไฟแล้วก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ จากนั้นก็ถอดเสื้อผ้าแล้วก้าวเข้าไปใต้ฝักบัวโดยเปิดน้ำด้วยแรงดันสูงสุดกฤตภาสรู้ดีว่าคลับที่เขาเพิ่งไปใช้บริการนั้นมีมาตรฐานจุกจิกมากในการคัดเลือกหญิงสาวเข้าสังกัด กระนั้นเขาก็ไม่ต้องการให้มีหลักฐานของหญิงสาวที่ตนเพิ่งได้ร่วมหลับนอนตกค้างบนร่างกาย จุดประสงค์ที่เขาไปที่นั่นก็เพียงเพื่อได้สัมผัสใครบางคนที่มีเลือดเนื้อและปฏิกิริยาตอบสนองโดยไร้ข้อผูกมัด เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้วก็หมายความว่าหมดธุระกัน เขาจ่ายเงินค่าเช่าเวลาให้ทางคลับและให้ทิปกับหญิงสาวเป็นสินน้ำใจ แต่มันไม่มีวันจะนำไปสู่การสานสัมพันธ์อันยั่งยืนใดๆ ทั้งสิ้นความเร่าร้อนที่เธอแสดงออกเป็นแค่การบริการเพื่อให้สมกับค่าตัวที่ทางต้นสังกัดกำหนด มันไม่ใช่สิ่งที่ตั้งใจทำให้เป็นพิเศษไม่ว่าจะกับแขกคนไหนที่ผ่านเข้ามา และนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เขารู้สึกขยะแขยงตัวเองในเวลานี้ก็เป็นได้หลังจากมั่นใจแล้วว่าไม่มีกลิ่นแปลกปลอมหลงเหลือ ชายหนุ่มก็สวมเสื้อคลุมอาบน้ำแล้วหยิบวิสกี้มานั่งดื่มที่โซฟากลางห้องนั่งเล่น เขาชอบที่จะปิดไฟแล้วนั่งดื่มเหล้าพลางดูท้องฟ้าในวันที่มีพายุ แต่คืนนี้ดูเหมือนความกราดเกรี้ยวของธรรมชาติจะเข้ากับอารมณ์ของเขาเป็นพิเศษ เพราะมันช่างคล้ายกับภาพสะท้อนของความปั่นป่วนในใจที่ไร้ทางระบายออกมาตลอดสองสัปดาห์เหลือเกินกฤตภาสยกแก้ววิสกี้ขึ้นดื่มแล้วก็แหงนหน้าพิงโซฟา เขาหลับตาลงซึมซับรสชาติของแอลกอฮอลล์ที่แผดเผาลำคอจนอุ่นวาบลงไปถึงท้อง จากนั้นจึงค่อยหรี่ตาขึ้นมองเพดานห้องซึ่งสว่างเป็นระยะตามสายฟ้าที่แลบอยู่ด้านนอกสองสัปดาห์แล้วสิที่เด็กคนนั้นหายตัวไป อ้อ...จะใช้คำว่าหนีก็คงไม่ถูก ในเมื่อเจ้าตัวบอกเองว่านี่เป็นการ จบกันด้วยดี ต่างหาก โดยที่ไม่เคยมาขอความเห็นชอบจากเขาเลยสักครั้งว่ายินดีกับการจบนี้หรือเปล่าเมื่อคิดถึงบทสนทนาครั้งนั้นแล้วกฤตภาสก็รู้สึกถึงไอร้อนที่แผ่ซ่านไปทั้งอก เขาไม่ชอบทำตามคำสั่งหรือคำขอร้องของใคร ดังนั้นทันทีที่ธีระวางสายแล้วเขาก็รีบติดต่อคนรู้จักให้ตรวจเช็คชื่อคนที่เดินทางออกจากสนามบินทั้งสองแห่งในกรุงเทพฯ ทันที เขายอมรอถึงสามวันเต็มเผื่อจะได้เบาะแส แต่รอแล้วรอเล่าก็ได้พบว่าไม่มีคนชื่อนี้มาใช้บริการที่สนามบินในช่วงเวลานั้นเลย ซึ่งเป็นไปได้สูงว่าเจ้าตัวอาจเดินทางออกจากกรุงเทพฯ ด้วยรถตู้หรือรถโดยสารประจำทาง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็จะตรวจสอบได้ยากมากว่าเดินทางไปที่ไหน หลังจากที่ทนรอจนเวลาล่วงเลยไปอีกร่วมสัปดาห์ กฤตภาสก็ตัดสินใจโทรศัพท์ไปที่บ้านของเด็กหนุ่มที่สุพรรณบุรีเพราะไม่สามารถติดต่อเจ้าตัวทางมือถือได้ เขาไม่ได้คาดหวังว่าธีระจะอยู่ที่นั่นเพราะเด็กหนุ่มไม่ได้โง่ ถ้าหากจะหนีเขาจริงย่อมไม่กลับไปอยู่ที่บ้านซึ่งเขารู้จักและเคยไปหามาแล้วอย่างแน่นอน แต่ในเมื่อยังมืดแปดด้านว่าจะเริ่มการตามหาจากจุดไหน การถามไถ่คนในครอบครัวจึงเป็นวิธีเดียวที่จะได้คำตอบแน่นอนที่สุดแต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะได้รับการร่วมมือด้วยดีจากคนที่คิดจะขอความช่วยเหลือ เพราะตอนที่ธีระคุยกับเขาเป็นครั้งสุดท้ายนั้นได้ใช้คำพูดตัดรอนเพียงใด เสียงของคนที่รับสายตอนเขาโทรหาก็เย็นชาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน"น้องตี้ขอลาออกจากการฝึกงานแล้วไม่ใช่เหรอคะ? แล้วคุณกฤตจะโทรมาถามหาทำไม?""เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการฝึกงานหรอกครับ แต่ผมมีเรื่องที่ต้องคุยกับเขา""เรื่องที่ต้องคุยกับน้องตี้?""ใช่ครับ คุณแม่...ผมรู้ว่าคุณแม่คงเห็นข่าวที่ลงในหนังสือพิมพ์แล้ว ผมเสียใจจริงๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้น ถ้ายังไงบอกผมได้ไหมครับว่าตี้อยู่ที่ไหน"คู่สนทนาเงียบไปนานจนกฤตภาสนึกว่าสายหลุด แต่แล้วเขาก็ได้ยินน้ำเสียงที่นิ่งขรึมตอบกลับมาอย่างไม่คิดจะรักษาความสัมพันธ์แม้แต่น้อย"คุณกฤต เรื่องที่เกิดขึ้นแม่จะถือว่าเป็นเวรกรรมของน้องตี้ แต่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่สุดสำหรับชีวิตของเขาหรอก ตี้ยังต้องเติบโต ยังต้องออกไปพบเจอผู้คนอีกมาก ถึงน้องเขาจะอ่อนไหวง่ายก็ไม่ได้หมายความว่าอ่อนแอ สิ่งที่เขาต้องการก็เพียงแค่คนที่ให้เกียรติเขาเท่านั้นเอง คำว่าเสียใจที่คุณพูดออกมาเมื่อกี้ ขอถามหน่อยว่าคุณเคยพูดกับน้องตี้สักครั้งหรือยัง?"เป็นครั้งแรกที่กฤตภาสนึกคำพูดโต้ตอบไม่ออก ผู้ชายที่ไม่เคยถูกใครต้อนให้จนมุม คนที่ไม่ว่าจะโดนวาจากระแนะกระแหนแค่ไหนก็สามารถสวนกลับได้ทันควันจนคู่สนทนาสะอึก บัดนี้กลับเป็นฝ่ายที่อับจนถ้อยคำต่อหน้าหญิงสูงวัยที่เคยพบกันเพียงครั้งเดียว"แม่ขอพูดอีกครั้งนะคุณกฤตภาส แม่อโหสิให้คุณ ถือว่าคุณคงเป็นเจ้ากรรมนายเวรของตี้มาก่อน แต่ในเมื่อตอนนี้ไม่มีเหตุให้ต้องข้องเกี่ยวกันแล้วก็ตัดบ่วงกรรมนี้เสียเถอะ ในเมื่อคุณเองก็มีพร้อมทุกอย่างในชีวิตอยู่แล้ว อย่าให้ตี้ต้องกลายเป็นส่วนเกินในชีวิตของคุณเลย แม่ไม่ได้เลี้ยงเขามาให้ถูกใครย่ำยีไม่ว่าจะทางร่างกายหรือว่าจิตใจ แค่นี้นะคะ"บทสนทนานั้นชวนให้แสลงใจทุกครั้งที่นึกถึง ดูเหมือนว่าที่ธีระเป็นคนมีวาจายอกย้อนเสียดความรู้สึกคนฟังก็คงเพราะได้รับสืบทอดมาจากแม่นี่เอง แต่นั่นกลับไม่ได้ทำให้กฤตภาสคิดอยากวางมือ เพราะเขาคิดว่าต่อให้จะถูกเกลียดก็ช่างที่ตามตัวจนเจอ แต่อย่างน้อยการได้ยินเสียงเจ้าตัวกับหู ได้โอบกอดร่างนั้นไว้ในอ้อมแขน ก็ยังดีกว่าการที่เขามานั่งหายใจทิ้งเพราะไม่รู้จะจัดการความรู้สึกของตัวเองอย่างไรเช่นในเวลานี้มากนักชายหนุ่มพยายามสูดหายใจเข้าออกยาวๆ เพื่อข่มความหงุดหงิดที่พลุ่งขึ้นอีกระลอก เขาเพ่งมองฟ้าร้องและพายุฝนที่ยังทวีความบ้าคลั่งอย่างต่อเนื่องนอกหน้าต่าง มือใหญ่ยกแก้ววิสกี้ขึ้นดื่มจนหมดเกลี้ยง ก่อนจะลุกขึ้นถอดเสื้อคลุมอาบน้ำแล้วเดินไปหยุดหน้าประตูระเบียงที่เห็นแต่ความมืดมิด เมื่อเขาปลดล็อกและเลื่อนบานประตูกระจกออก สายฝนอันรุนแรงก็สาดลงมาปะทะกับร่างเปลือยเปล่าของเขาทันที น้ำฝนเย็นเฉียบที่ตกกระทบผิวทำให้อารมณ์อันฟุ้งซ่านของกฤตภาสสงบลงบ้าง กระนั้นก็หาได้ดับความร้อนรุ่มที่แผดเผาอยู่ในอก และที่น่ารำคาญยิ่งไปกว่านั้น คือเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องเจ็บใจกับการที่เด็กผู้ชายคนหนึ่งหายไปจากชีวิตมากขนาดนี้ ...ผมอยากจะขอร้องเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย...ว่าปล่อยผมไปเถอะครับ คุณกฤตเล่นกับความรู้สึกของผมมาเยอะแล้ว"นั่นเป็นคำพูดที่ฝังลงในใจกฤตภาสราวกับมีมีดมาสลักลงบนแผ่นหิน แรกทีเดียวนั้นเขาไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร ทว่าตอนนี้...เขากลับรู้สึกเหมือนตัวเองต่างหากที่กำลังถูกทำให้สับสนจนไม่พบทางออกเด็กคนนั้นบอกว่าเขาเล่นกับความรู้สึกของเจ้าตัว แล้วตอนนี้ล่ะ...ใครกันแน่ที่กำลังเล่นกับความรู้สึกของคนอื่น?กฤตภาสตั้งคำถามด้วยสมองอันมึนชา เขาหรี่ตาขึ้นมองผืนฟ้าไร้แสงเดือนดาวซึ่งยังคงกระหน่ำเม็ดฝนลงมาอย่างไม่ปรานี จากนั้นก็หลับตาแล้วกางแขนทั้งสองออกรับ ราวกับต้องการให้ความเจ็บปวดนั้นแทรกทะลุผิวเนื้อเข้าไปถึงหัวใจ++------++หลังจากสายฝนที่ตกมาตั้งแต่เช้ามืดขาดเม็ดไปเมื่อพระอาทิตย์ลอยขึ้นเหนือขอบฟ้า อากาศที่ร้อนอบอ้าวมาหลายวันในตัวเมืองซึ่งล้อมรอบด้วยหุบเขาก็เริ่มคลายตัว ปุยเมฆยังคงแผ่กระจายไปทั่วก็จริง แต่แสงสีทองที่ส่องลงมาก็บอกให้รู้ว่าฝนคงยังไม่ตกอีกในเร็วๆ นี้ธีระเดินทอดน่องไปตามทางเท้าในตัวเมืองหลังจากที่ฝนหยุดสนิท อากาศที่เย็นลงกว่าหลายวันที่ผ่านมา รวมทั้งความไม่พลุกพล่านวุ่นวายทำให้บรรยากาศน่าเดินไปตลาดแม้ว่าจะไกลบ้านของปิยพลอยู่สักหน่อย เมื่อไปถึงแล้วเขาก็เลี้ยวไปหาร้านขายน้ำเต้าหู้เจ้าประจำทันทีหวัดดีครับพี่น้ำ วันนี้ขอน้ำเต้าหู้ใส่เครื่องสองถุง แล้วก็ปาท่องโก๋ 20 บาทครับหวัดดีจ้าตี้ แปลกจัง วันนี้ไม่ได้จ๊อกกิ้งกับพี่ปิ๊กเหรอ?แหะๆ เมื่อเช้าฝนตกก็เลยไม่ได้วิ่งกันครับ พอดีว่าพี่ปิ๊กอยากรีบทำออเดอร์ลูกค้าให้เสร็จ ตี้ก็เลยออกมาซื้อมื้อเช้าให้เด็กหนุ่มหัวเราะเจื่อนๆ เมื่อถูกทัก เพราะดูเหมือนเรื่องที่เขามักจะโดนปิยพลปลุกให้ออกมาจ๊อกกิ้งด้วยกันตอนเช้าจะกลายเป็นภาพติดตาของคนที่นี่ไปเสียแล้ว แม่ค้าสาวซึ่งอายุมากกว่าเพียงไม่กี่ปีมองหน้าเขาแล้วก็หัวเราะโอเคๆ นั่งรอแป๊บ เดี๋ยวให้พี่มิ่งเขานวดแป้งก่อนนะเพราะเพิ่งขายหมดไป หรือจะไปเล่นกับน้องม่ำก่อนก็ได้นะได้ครับ หวัดดีครับพี่มิ่งธีระยกมือไหว้สามีของหญิงสาวที่หันมาพยักหน้าทักทาย จากนั้นก็ก้าวไปด้านหลังของร้านซึ่งมีเด็กชายตัวน้อยนั่งอยู่ในเปลไม้ที่มีขอบสูง นัยน์ตากลมแป๋วแหววเหลือบมองสิ่งรอบตัวด้วยความสนใจ ธีระจึงหยิบกระพรวนของเล่นมาเขย่าให้เกิดเสียง เรียกความสนใจจากพ่อหนูที่ชูแขนขึ้นแกว่งและหัวเราะจนตาหยี เอ้านี่ น้ำเต้าหู้ได้แล้วจ้ะ ส่วนปาท่องโก๋รออีกแป๊บนะได้ครับพี่น้ำธีระตอบทั้งที่ยังเล่นกับเด็กชายไม่หยุด แม่ของพ่อหนูจึงหันไปหยิบของเล่นอีกชิ้นมาเขย่าตรงหน้าลูกชายบ้างอารมณ์ดีเหรอคับน้องม่ำ มีคนเล่นด้วยแล้วสนุกเนาะ หนูชอบเล่นกับพี่ตี้ใช่มั้ยคับ?ฮิๆๆพ่อหนูหัวเราะแทนคำตอบพลางเขย่ากำปั้นเล็กๆ ไปมา ธีระเองก็ร่วมหัวเราะไปด้วย เขาอดจะนึกถึงหลานชายตัวน้อยที่บ้านไม่ได้เพราะน้องฟลุ๊คก็อายุไล่เลี่ยกันตี้มาอยู่นี่ก็หลายวันแล้วเนอะ ชอบที่นี่มั้ยจ๊ะ?จู่ๆ หญิงสาวก็หันมาถาม ธีระซึ่งกำลังเขย่าของเล่นตรงหน้าพ่อหนูน้อยจึงหันไปยิ้มตอบชอบครับ ถึงเมืองจะเงียบๆ แต่ทุกคนใจดี ตอนแรกตี้ก็เคยนึกว่าตัวเองเคยชินกับกรุงเทพฯ อาจจะอยู่ที่นี่ได้ไม่กี่วัน แต่พอได้มาอยู่จริงๆ แล้วก็ชอบเหรอ งั้นน่าจะมาอยู่นานๆ เลยน้า อยู่บ้านพี่ปิ๊กก็ได้ แกก็เปิดร้านทำกระเป๋าอยู่คนเดียวมาตั้งนาน มีคนมาอยู่ด้วยอีกคนคงหายเหงาน้ำนี่ก็จุ้นเรื่องชาวบ้านเขาจริง ตี้แค่มาพักกับปิ๊กเพราะปิดเทอมไม่ใช่เหรอ เอ้า ได้ปาท่องโก๋แล้วนะมิ่งซึ่งเป็นสามีและคนทอดปาท่องโก๋เดินมาดุภรรยา น้ำจึงหันไปแลบลิ้นใส่น้ำแค่เสนอเฉยๆ หรอกน่า ไม่แน่พอตี้เรียนจบแล้วอาจจะอยากมาอยู่ที่นี่ก็ได้ ขนาดพี่ปิ๊กแกก็เคยทำงานที่กรุงเทพฯ มาก่อนที่จะย้ายมาเปิดร้านที่นี่นี่นาธีระเกรงว่าสามีภรรยาจะเถียงกันเพราะเรื่องของเขา จึงรีบหยิบเงินจากกระเป๋าออกมาจ่ายนี่ครับค่าน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ ส่วนเรื่องที่จะมาอยู่นานๆ ตี้ยังไม่เคยคิดเลย แต่ถึงจะกลับไปเรียนแล้วก็คงหาโอกาสมาเยี่ยมอีกอยู่ดีแหละหญิงสาวทำหน้าเสียดายขณะที่ผู้เป็นสามีส่ายหัว เขาหยิบเศษเงินออกจากกระเป๋าหน้าของผ้ากันเปื้อนให้ธีระแล้วก็หยิบขนมตุ้บตั้บใส่ถุงให้อีกสองชิ้นเอ้านี่ของแถม ฝากบอกไอ้ปิ๊กด้วยว่าวันหลังพี่จะชวนมันไปกินเหล้าได้ครับพี่มิ่งธีระยิ้มและพนมมือไหว้ขอบคุณ จากนั้นก็หันไปโบกมือบ๊ายบายพ่อหนูในเปลก่อนจะเดินออกมาหาซื้อของอื่นๆ ตามที่ปิยพลจดใส่กระดาษให้ หลังจากได้ของที่ต้องการครบแล้วจึงค่อยเดินกลับบ้านบ้านของปิยพลตั้งอยู่ติดถนนและเยื้องกับโรงเรียน เป็นแหล่งที่มีร้านขายของตั้งอยู่ประปรายจึงไม่ถึงกับเงียบเหงา ตัวบ้านเป็นบ้านไม้สองชั้นที่ด้านล่างเป็นร้านขายกระเป๋าและเปิดสอนเย็บกระเป๋าแก่ผู้ที่สนใจ นอกจากนั้นก็รับฝากวางสินค้าของคนรู้จักประเภทสินค้าทำมือด้วยตอนที่ธีระกลับไปถึงบ้านนั้นเป็นช่วงเวลาที่เริ่มสายแล้ว เขาเห็นว่าปิยพลยังคงง่วนกับการเย็บกระเป๋าสะพายที่มีลูกค้าสั่งทำเป็นพิเศษ จึงเดินเข้าครัวไปเทน้ำเต้าหู้ใส่แก้วกับเทนมข้นหวานใส่ถ้วยเล็กๆ ให้ เพราะรู้ว่าญาติผู้พี่ชอบกินปาท่องโก๋กับนมข้นหวานพี่ปิ๊ก กินมื้อเช้าก่อนมั้ย?หือ? อ้าว เก้าโมงกว่าแล้วเหรอ มิน่าทำไมหิวชอบกลปิยพลเหลือบมองนาฬิกาแล้วก็เหยียดแขนขึ้นเหนือศีรษะ จากนั้นจึงค่อยหันเก้าอี้มาทางโต๊ะไม้ทรงกลมที่ธีระได้ยินจากเจ้าตัวว่าไปซื้อไม้เก่ามาประกอบเองเวลาเร่งทำงานทีไรพี่ปิ๊กชอบลืมเวลาอยู่เรื่อยเลยนะฮะๆ พอใช้สมาธิแล้วมันลืมอย่างอื่นหมดเลยน่ะ อันนี้งานเร่งซะด้วยสิ ต้องทำแบบเดียวกันตั้งสิบใบเพราะเขาก็ต้องรีบเอาไปปั๊มโลโก้ก่อนจะส่งให้ลูกค้าธีระยิ้มพลางหยิบกระเป๋าต้นแบบที่แขวนอยู่ข้างโต๊ะมาดู จากนั้นก็รูปซิปเปิดดูช่องต่างๆ ขณะที่ปิยพลยกแก้วน้ำเต้าหู้ดื่มใบนี้แบบซับซ้อนจัง เมื่อก่อนเวลาตี้เดินผ่านร้ายขายกระเป๋าที่คนขายนั่งทำเองก็ไม่ได้คิดอะไรนะ แต่พอมาเห็นพี่ปิ๊กทำถึงได้รู้ว่ากว่าจะได้แต่ละใบมันต้องผ่านหลายขั้นตอน เมื่อไหร่ตี้จะทำแบบที่มีช่องเยอะๆ อย่างนี้เป็นบ้างก็ไม่รู้ถ้าฝึกไปเรื่อยๆ ก็ทำได้ อยู่ที่ว่าตั้งใจจะทำจริงจังรึเปล่าเท่านั้นแหละ อย่างกระเป๋าสตางค์ใบเล็กตี้ก็ทำได้แล้วนี่นา ถึงมันจะดูเบี้ยวๆ ไปหน่อยก็เถอะธีระแกล้งทำปากยื่นขณะที่ปิยพลหัวเราะเสียงดัง ทั้งคู่นั่งดื่มน้ำเต้าหู้กับกินปาท่องโก๋ไปด้วยกันโดยมีเสียงเพลงที่ปิยพลเปิดคลอไว้จากคอมพิวเตอร์ ครู่หนึ่งคนที่กินปาท่องโก๋จิ้มนมข้นหวานจนอิ่มแล้วก็ถามขึ้นตี้เป็นยังไงบ้าง? หลังมาอยู่ที่นี่ได้สองอาทิตย์?อืม...ก็...ตี้ว่าตี้ชอบที่นี่นะ ทั้งที่ตอนแรกไม่รู้จักใครเลยนอกจากพี่ปิ๊ก แต่พอตอนนี้เริ่มคุ้นเคยกับคนที่นี่แล้วก็รู้สึกว่า...เหมือนตี้ได้มาล้างหัวใจเลยล้างหัวใจเหรอ...ใช้คำแปลกดี พี่ไม่เคยได้ยินใครพูดแบบนี้ปิยพลเอ่ยพลางมองเขาพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ ทว่านัยน์ตากลับดูครุ่นคิด ธีระจึงรีบเปลี่ยนเรื่องเพราะเกรงจะถูกซักไซ้เออใช่ เมื่อเช้านี้ตอนที่ตี้ไปซื้อน้ำเต้าหู้ พี่มิ่งฝากบอกว่าวันหลังจะชวนพี่ปิ๊กไปกินเหล้าด้วยล่ะหือ? ไอ้มิ่งน่ะนะ? ลูกก็โตจนจะขวบอยู่แล้ว มันคงไม่ได้จะหลอกพี่ไปมอมเหล้าแล้วฆ่าหั่นศพนะชายหนุ่มเอ่ยแล้วก็หัวเราะร่วน ธีระจึงกะพริบตาปริบอย่างงุนงงหา? ทำไมพี่มิ่งต้องอยากฆ่าพี่ปิ๊กด้วยล่ะ?ปิยพลหยิบทิชชู่มาเช็ดมือที่เปื้อนคราบน้ำมันปาท่องโก๋พลางส่ายหน้า ทว่ายังมีเสียงหัวเราะอยู่ในลำคอเปล่าๆ พี่พูดเล่น ไอ้มิ่งมันไม่ทำอย่างนั้นหรอก พอดีตอนที่พี่มาซื้อบ้านที่นี่ใหม่ๆ ตอนนั้นไอ้มิ่งมันเพิ่งจะจีบน้ำ แต่น้ำคงเห็นพี่ไม่ใช่คนแถวนี้ก็เลยมาคอยช่วยแนะนำ ไอ้มิ่งมันเลยนึกว่าพี่จะแย่งผู้หญิงกับมัน โชคดีที่ตอนหลังน้ำก็ยอมรับรักแล้วแต่งงานกับมัน ไม่งั้นทุกวันนี้พี่คงไม่ได้มานั่งเย็บกระเป๋าสุขสบายยังงี้หรอก เมื่อก่อนไอ้มิ่งมันนักเลงจะตายไปธีระฟังแล้วก็ทำท่าห่อไหล่ เขาพอจะดูออกว่าพี่มิ่งตอนที่ยังหนุ่มกว่านี้คงเฮี้ยวน่าดู ทั้งหุ่นล่ำสันและทรงผมสั้นเกรียนแบบทหาร ไหนยังจะลายสักพร้อยตลอดทั้งสองแขนที่ดูแล้วน่าเกรงขามนั่นอีกแต่บางทีอาจไม่ใช่เพียงแค่รอยสักหรอกที่ทำให้เขาเกร็งเวลาเจอฝ่ายนั้น เพราะแม้ว่าลายสักจะคนละลายกัน แถมคนที่สักก็บุคลิกและรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกันเลยสักนิดเดียว แต่เมื่อใดที่เจอกัน มันก็ทำให้เขาลืมใครบางคนที่มีรอยสักรูปแมงป่องบนหัวไหล่ไม่ได้เสียที...ขอโทษนะคะ ผ้าพันคอลายนี้มีสีอื่นอีกมั้ยคะ?เสียงจากหญิงสาวซึ่งคงเป็นลูกค้าดังขึ้นที่หน้าร้าน ธีระจึงลุกขึ้นแล้วออกไปต้อนรับ เนื่องจากที่ร้านไม่ได้วางขายแค่กระเป๋าหนังของปิยพลแต่มีสินค้าอื่นๆ ที่คนรู้จักมาฝากขายด้วย ดังนั้นเวลาที่ญาติผู้พี่ไม่ว่างเพราะง่วนกับการเย็บกระเป๋า เด็กหนุ่มจะเป็นคนออกไปช่วยขายเพราะแต่ละอย่างมีราคาติดไว้อยู่แล้ว ดูเหมือนจะมีคณะทัวร์มาลงเพราะแถวใกล้ๆ นี้มีวัดที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง นอกจากหญิงสาวคนนั้นแล้วจึงมีลูกค้าคนอื่นเดินตามเข้ามาเลือกชมอีกประปราย แต่บางคนก็เพียงหยิบของไปดูแล้วไม่ซื้อ ที่อุดหนุนบ้างก็เป็นเพียงสินค้าชิ้นเล็กๆ ที่ราคาเพียงไม่กี่ร้อยบาทขายผ้าพันคอกับเสื้อยืดได้ล่ะพี่ปิ๊กธีระร้องบอกปิยพลเมื่อลูกค้าเดินออกไปหมดแล้ว ชายหนุ่มจึงพยักหน้าพลางใช้ค้อนอันเล็กตอกแผ่นหนังต่อไปงั้นจดไว้ให้พี่หน่อย ตอนเจ้าของเขามาเคลียร์เงินจะได้รู้เด็กหนุ่มพยักหน้าพลางหันไปบันทึกรายการสินค้าที่ขายได้ลงในสมุดบัญชี ที่ร้านอื่นอาจใช้ระบบเครื่องแสกนบาร์โค้ด แต่ที่นี่ยังเขียนลงกระดาษ ตอนมาอยู่ที่ร้านวันแรกๆ ธีระก็เคยถามว่าทำไมถึงไม่เปลี่ยนไปใช้วิธีที่เหนื่อยน้อยกว่า แต่ปิยพลกลับตอบว่าเพราะวิธีนี้ทำให้จำได้ง่ายกว่าว่าขายอะไรไปแล้วบ้าง หลังจดบันทึกเสร็จแล้วธีระก็หยิบการ์ตูนมานั่งอ่านที่เคาน์เตอร์ไปพลางๆ ขณะที่ปิยพลทำงานไปเรื่อย ตอนที่เดินทางมาถึงวันแรกๆ และยังไม่มีอะไรทำ เขาเคยขอให้ญาติผู้พี่สอนเย็บกระเป๋าจนได้ผลงานเป็นกระเป๋าใส่เศษเหรียญมาแล้วหนึ่งใบ แต่ปกติแล้วปิยพลจะค่อนข้างยุ่งเพราะต้องทำงานตามออเดอร์อยู่ตลอดเวลา ธีระไม่อยากกวนจึงอาสาทำหน้าที่เฝ้าร้านกับคอยช่วยงานอย่างอื่นแทนจะว่าไปแล้ว...สิ่งที่เขากำลังทำอยู่ก็อาจนับได้ว่าเป็นการฝึกงานอย่างหนึ่งเหมือนกัน ถึงแม้ว่ารูปแบบจะแตกต่างจากที่เคยทำก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิงก็ตามทีเถอะจู่ๆ ธีระก็วางหนังสือการ์ตูนลงเมื่อนึกไปถึงชีวิตที่เคยใช้ก่อนหน้านี้ ไม่น่าเชื่อว่าในเวลาสั้นๆ เพียงเท่านั้นจะทำให้เขาพบเรื่องราวมากมายเหลือเกิน ถึงแม้จะไม่ได้มีแต่เรื่องที่น่าจดจำก็ตาม กระนั้นเขาก็ยังอดจะคิดถึงพวกรุ่นพี่ไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...คนที่ทำให้เขาต้องหนีจากกรุงเทพฯ มาอยู่ไกลถึงน่านตลอดช่วงเวลาปิดเทอมที่เหลือนี้คุณกฤต...ได้พยายามตามหาเขาบ้างหรือเปล่านะ? หรือว่า...ไม่ได้คิดว่าการที่เขาหายไปเป็นเรื่องสลักสำคัญ แล้วตอนนี้ก็หาคนที่จะคอยรองรับอารมณ์อยู่ข้างๆ แทนเขาได้แล้ว? แต่ถ้าคิดถึงนิสัยของคุณกฤตล่ะก็ มันก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายเลยนี่นา... มือของเด็กหนุ่มกำหนังสือแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขาก็ไม่เข้าใจความขัดแย้งนี้เหมือนกัน ทั้งที่ตัวเองเป็นคนตัดความสัมพันธ์แล้วเดินจากมาเอง แต่ในบางขณะที่ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาในร้าน แค่ชั่ววูบเท่านั้น...ที่เขาอดจะคาดหวังไม่ได้ว่าจะได้เห็นเจ้าของนัยน์ตาคมดุที่ชอบบังคับแล้วก็ทำให้เขาใจเต้นผิดจังหวะอยู่เสมอนี่เรากลายเป็นพวกชอบทรมานตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่นะ ตอนพี่รงค์ก็ทีนึงแล้ว ทั้งที่ควรจะจำใส่หัวสักทีว่าการรักใครข้างเดียวมีแต่จะทำให้ใจเป็นแผลเหวอะหวะแท้ๆ..."ตี้...เฮ้ย ตี้!"เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงตะโกนข้างหู เขาหันไปมองปิยพลอย่างตกใจ จึงได้เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังหัวเราะ"ขวัญเอ๊ยขวัญมา ทำหน้าทำตายังกับโดนผีหลอก พี่จะถามว่าจะบ่ายโมงแล้ว หิวรึยัง?""อ้าว! จะบ่ายโมงแล้วจริงๆ ด้วย! ตี้ก็มัวแต่อ่านการ์ตูนจนไม่ได้ดูเวลาเลย งั้นพี่ปิ๊กอยากกินอะไร เดี๋ยวตี้ออกไปซื้อให้ก็ได้""หืม..."ปิยพลเหลือบตาลงมองมือทั้งสองของเด็กหนุ่มที่เปิดหน้าการ์ตูนค้างไว้ ลักษณะที่กำมือแน่นจนหน้ากระดาษย่นนั้นไม่ใช่ท่าทางของคนที่กำลังอ่านการ์ตูนแล้วติดพันเพราะใจจดจ่อกับเนื้อหาแน่ๆ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งที่คิดและเพียงแต่หยิบเงินออกมาให้"เอาง่ายๆ ก็แล้วกัน ผัดกระเพราหมูสับไข่ดาวพิเศษ ส่วนตี้อยากกินอะไรก็ซื้อมาเลย""ได้ครับ งั้นเดี๋ยวตี้ขี่จักรยานไปร้านป้าแป๋วดีกว่า พี่ปิ๊กจะได้ไม่รอนาน""ร้านป้าแป๋วเหรอ อ้อ...วันนี้ไอ้ขลุ่ยก็น่าจะอยู่นี่นะ"ปิยพลพูดพลางกอดอกแล้วมองธีระยิ้มๆ ส่วนเด็กหนุ่มได้แต่ทำหน้างงเพราะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะสื่ออะไร"เอาเถอะ ยังไงขับจักรยานก็ระวังด้วยล่ะ ถึงแถวนี้รถจะไม่เยอะแต่ก็ประมาทไม่ได้ เกิดตี้เป็นอะไรไปน้าตาลได้เอาพี่ตายแน่"น้าตาลหรือแม่ตาลก็คือแม่ของธีระ เด็กหนุ่มจึงหัวเราะก่อนจะเดินไปจูงจักรยานออกจากโรงจอดรถหลังบ้าน จากนั้นก็ขับออกมาบนถนนโดยพยายามเลียบทางเท้าเพื่อไปยังร้านขายอาหารตามสั่งที่อยู่ห่างไปไม่ไกลเขาใช้เวลาเพียงห้านาทีก็ถึงจุดหมาย เนื่องจากร้านอาหารตามสั่งร้านนี้ค่อนข้างเป็นที่นิยมของคนท้องถิ่นเพราะราคาถูกและให้กับข้าวเยอะ ทำให้เวลาพักกลางวันมีคนมาต่อคิวรอซื้อค่อนข้างมาก"อ้าว พี่ตี้ มาซื้อข้าวให้พี่ปิ๊กเหรอ?"หลังจากธีระจอดจักรยานที่หน้าร้านแล้วก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยร้องถาม พอหันไปตามเสียงก็เห็นเด็กหนุ่มรูปร่างสูงโย่งคนหนึ่งใส่ผ้ากันเปื้อนเดินออกมา"อื้อ ทั้งของพี่ปิ๊กแล้วก็ของพี่แหละ ต้องรอนานมั้ยน่ะขลุ่ย?""ไม่นานๆ พี่ตี้จะเอาอะไร เดี๋ยวขลุ่ยแอบไปลัดคิวให้ก็ได้""เฮ่ย! ไม่เอาน่า ถ้าไม่นานมากพี่รอได้ ขอกระเพราหมูสับไข่ดาวราดข้าวสองกล่องก็แล้วกัน อันนึงพิเศษนะ อีกอันธรรมดา""กระเพราหมูสับไข่ดาวสองกล่อง พิเศษหนึ่งธรรมดาหนึ่งนะ ได้ๆ นั่งรอแป๊บนึง ตรงนี้ก็ได้ พัดลมลงด้วย จะได้เย็นๆ"เด็กหนุ่มจดรายการที่เขาสั่งลงกระดาษแล้วก็ถือวิสาสะจูงมือไปนั่งตรงโต๊ะที่อยู่ใกล้พัดลม จากนั้นก็เดินเอากระดาษใบนั้นไปหย่อนลงตะกร้าหน้าเตาซึ่งแม่ของตัวเองกำลังทำอาหาร ธีระนั่งรอพลางดูรถราที่ขับผ่านหน้าร้านไปพลางๆ ราวสิบนาทีถัดมาเขาก็ได้อาหารที่สั่ง"ขอบคุณมากขลุ่ย สองกล่องนี้เท่าไหร่เหรอ?""เอ...พิเศษ 35 ส่วนธรรมดา 30 ก็เท่ากับ 65 บาทครับ"เมื่อจ่ายเงินและได้เงินทอนเรียบร้อย ธีระก็ถือถุงใส่กล่องข้าวทั้งสองออกจากร้าน แต่พอขึ้นจักรยานและเริ่มปั่นห่างออกจากร้านได้เล็กน้อย เด็กหนุ่มก็วิ่งตามมาส่งเสียงเรียก"พี่ตี้ๆ รอแป๊บนึงสิ""หือ?"ธีระยันเท้าไว้กับขอบฟุตบาทแล้วหันไปเลิกคิ้วมอง เขานึกว่าอีกฝ่ายทอนเงินผิดถึงได้วิ่งตามออกมา แต่แล้วก็ต้องเลิกคิ้วเมื่อได้ยินประโยคถัดไป"คือ...ช่วงนี้พี่ตี้ยุ่งมั้ย?""ยุ่งมั้ยเหรอ...เอ ก็ไม่รู้จะเรียกว่ายุ่งได้รึเปล่านะ ก็แค่คอยไปซื้อของกับช่วยทำธุระให้พี่ปิ๊กน่ะ"เด็กหนุ่มเอ่ยกลั้วหัวเราะ เพราะแต่ละวันนั้นหากไม่ช่วยทำธุระเล็กๆ น้อยๆ ให้ปิยพลแล้วเขาก็แทบจะไม่มีอะไรทำ แถมถ้าหากจะออกไปเดินเล่นหรือนอนกลางวันก็ทำได้โดยที่ญาติผู้พี่ไม่ว่าด้วยซ้ำไป"เหรอ...ถ้างั้น...ไว้วันไหนเราไปกินไอติมด้วยกันมั้ย?"เด็กหนุ่มถามพลางซุกมือทั้งสองข้างลงในกระเป๋าผ้ากันเปื้อน รอยยิ้มบนใบหน้าอ่อนเยาว์ของหนุ่มน้อยวัยสิบเจ็ดดูเขินอายนิดหน่อยแต่ก็กระตือรือร้น และนั่นทำให้ธีระนึกขึ้นได้ว่าทำไมปิยพลถึงได้ยิ้มเจ้าเล่ห์ตอนที่เขาบอกว่าจะมาซื้อข้าวที่ร้านนี้ "...อ้อ วันนี้ไอ้ขลุ่ยก็คงอยู่ที่ร้านนี่นะ"นี่พี่ปิ๊กนึกว่าเรามาซื้อข้าวที่ร้านนี้เพราะอย่างนี้หรอกเหรอ...ธีระคิดพลางเขม้นมองใบหน้าของคู่สนทนาที่มีสีแดงแต้มบนโหนกแก้ม ร่างสูงโย่งนั้นยังค่อนข้างผอมเหมือนร่างกายยังโตไม่เต็มที่ แต่ช่วงบ่าที่กว้างก็บ่งบอกว่าอีกหน่อยคงเป็นหนุ่มหุ่นลำสันทีเดียวหากยังเล่นกีฬาต่อไปและเลิกเดินหลังงุ้มเสียทีเอาเถอะ...คิดซะว่าไปเที่ยวกับน้องชายก็ได้มั้ง ถึงยังไงเขาก็ไม่ค่อยมีเพื่อนที่นี่อยู่แล้วนี่นา"อื้อ ได้สิ ไว้ค่อยนัดกันวันหลังก็แล้วกันนะ""ฮะ! จริงๆ นะ!? เย่!! โอเคครับผม งั้นเดี๋ยวค่อยนัดกันอีกที ผมขอกลับไปช่วยงานแม่ก่อนล่ะ"ท่าทางดีอกดีใจของอีกฝ่ายทำให้ธีระอดจะยิ้มตามไม่ได้ เขาโบกมือให้เด็กหนุ่มที่หันหลังวิ่งจากไปก่อนจะหันกลับมาถีบจักรยานต่อ ทว่าจู่ๆ เมื่อมาถึงสามแยกก็มีรถเก๋งคันหนึ่งขับตัดหน้าอย่างกะทันหัน ความตกใจทำให้เขาเสียหลักจนจักรยานล้มลงกระแทกพื้น ข้าวกล่องทั้งสองที่ถือมาก็หล่นจนอาหารกระจัดกระจายเช่นกัน"ซื้ดดด"ธีระร้องพลางเอามือยันพื้นเพื่อลุกขึ้นนั่ง โชคยังดีที่เขาไม่ได้ล้มหัวฟาดแต่ว่ามือก็ครูดกับพื้นจนถลอก นัยน์ตากลมโตกวาดมองกล่องข้าวที่หล่นเกลื่อนแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือก นี่ยังดีว่าเขาแค่ถูกเฉี่ยวจนจักรยานล้ม ถ้าหากถูกชนจังๆ เข้าล่ะก็...แค่คิดเท่านั้นก็เสียวไส้แล้วรถคันที่เพิ่งตัดหน้าเขาเมื่อกี้ชะลอจอดเลียบทางเท้าก่อนที่ใครบางคนจะเปิดประตูลงมา ส่วนธีระพยายามใช้ฝากล่องโฟมช้อนเศษข้าวที่กระจัดกระจายบนพื้นเพื่อเอาไปทิ้งถังขยะ เขาได้ยินเสียงฝีเท้าที่วิ่งเหยาะๆ เข้ามาหาแต่ก็ยังไม่ได้หันไปมองเพราะง่วนกับการพยายามกวาดเศษอาหารให้มากที่สุด"ขอโทษนะครับน้อง! เป็นอะไรมากรึเปล่า...""ไม่เป็นไรครับ ผมแค่ล้ม..."ธีระเงยหน้าขึ้นจากพื้นถนน แต่แล้วเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่เข้ามาถามได้ถนัดตาก็นิ่งอึ้ง ส่วนอีกฝ่ายก็ทำตาโตเหมือนไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเช่นเดียวกัน"ตี้?""พี่รงค์?"ทำไมโลกถึงได้กลมแบบนี้...กับคนที่คิดว่าคงไม่ได้เจออีกแล้ว...จู่ๆ กลับได้มาพบกันอีกในสถานที่อันไม่คาดฝันเลยสักนิดธีระหัวตื้อไปชั่วขณะ แต่แล้วก็ฉุกนึกขึ้นได้ว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่ณรงค์จะเดินทางไกลมาจากกรุงเทพฯ เพียงคนเดียว และก็เป็นดังคาดเมื่อเขาได้ยินเสียงประตูรถเปิดอีกครั้งก่อนที่ใครบางคนจะเดินมาทางพวกเขาทั้งสอง และแล้วคำถามเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงออสเตรเลียก็ดังขึ้นจากด้านหลังของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเพราะยังมองไม่เห็นว่าคนที่ถูกเฉี่ยวคือใคร"Narong, is he ok?"++---TBC---++A/N: หวังว่าเนื้อหาตอนนี้จะยาวคุ้มค่าการรอคอยนะคะ จะรออ่านคอมเม้นต์จากทุกคนค่ะ