|
เล่ห์ลวงใจ บทที่ 26
สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็ชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมรื่องแนว Boy's Loveดังนั้นหากไมชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ
++------++
เล่ห์ลวงใจ บทที่ 26
"ลุงขอโทษด้วยนะกฤต เพราะลุงไม่ได้เอาใจใส่เนตรมาตั้งแต่เขายังเด็ก ถึงได้กลายเป็นคนเอาแต่ใจจนสุดท้ายก็ทำให้ทุกคนเดือดร้อนกันไปหมด"
"เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ช่างมันเถอะครับ ถึงยังไงช่วงหลายปีมานี้เนตรก็ลำบากกว่าผม"
"ก็จริงนะ...ถ้าหากลุงอนุญาตให้เมฆกับเนตรแต่งงานกันทันทีตั้งแต่กลับจากเมืองนอกก็อาจไม่เกิดเรื่องแบบนี้ก็ได้ ตอนนี้แม้แต่จะไปเรียกร้องความรับผิดชอบจากคนที่เนตรท้องด้วยก็ยังทำไม่ได้เลยเพราะไม่มีหลักฐาน ส่วนเมฆก็ติดคุกโดยไม่รอลงอาญาไปแล้ว ชีวิตคนเรานี่บางทีก็โดนโชคชะตาทำร้ายยิ่งกว่าในละครอีกนะ"
กฤตภาสหวนนึกถึงเมื่อวันก่อนที่เข้าไปเคารพศพของหญิงสาวซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเพื่อน พ่อของเจ้าหล่อนเห็นเขาก็จำได้ทันทีและเข้ามาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ดูเหมือนความแค้นเคืองที่เคยมีให้จะหมดสิ้นไปแล้วเมื่อได้รับรู้ว่าอะไรเป็นอะไรหลังจากลูกสาวเสียชีวิต
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คนที่เขารู้จักเลือกที่จะลาจากโลกนี้ไปก่อนวัยอันควร ทุกครั้งที่พบพานเรื่องแบบนี้จะทำให้กฤตภาสหยุดคิดถึงความหมายของชีวิต แต่มันมักจะเป็นความรู้สึกที่วูบมาแล้วก็หายไป เพราะเขารู้ว่าตัวเองจะไม่มีวันอ่อนแอถึงขั้นปล่อยให้ความรู้สึกอยากทำร้ายตัวเองมาครอบงำเด็ดขาด
ฟี้...
เสียงกรนขึ้นจมูกที่แสนเบาจากด้านหลังเรียกให้กฤตภาสพลิกตัวกลับไปมอง ธีระยังคงหลับสนิทแม้จะเป็นเวลาสายมากแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้ปลุกเพราะรู้ว่าช่วงหลายวันที่ผ่านมาเด็กหนุ่มคงเหนื่อย ไหนจะงานที่บริษัทและยังภารกิจดูแลเขาที่โรงพยาบาลอีก
เมื่อคืนนี้หลังจากธีระร้องไห้กับอกเขาจนหมดแรง กฤตภาสก็ให้เด็กหนุ่มอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยให้ใส่เสื้อยืดกับกางเกงบ็อกเซอร์ของเขา จากนั้นก็ตั้งใจว่าจะเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าเองเพราะไหนๆ อีกฝ่ายก็เพลียมากแล้ว แต่ธีระกลับทำให้เขาประหลาดใจด้วยการเสนอตัวช่วยเหลือ เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็เดินตามมานอนบนเตียงโดยไม่อิดออดสักคำ ถึงแม้ว่าจะเอาแต่ตะแคงหันหลังให้เขาทั้งคืนก็ตาม
ท่าทีของธีระเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดหลังได้ฟังเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในอดีต มันอาจเป็นความสงสาร หดหู่ใจหรืออะไรก็ตาม แต่มันช่วยกร่อนความรู้สึกระแวดระวังยามอีกฝ่ายอยู่ต่อหน้าเขาให้ลดลง ซึ่งเป็นไปได้ว่าเพราะธีระก็เคยผ่านเรื่องราวสะเทือนความรู้สึกมาแล้ว และเป็นไปได้ว่าคงไม่พ้นเป็นเรื่องของผู้ชายที่เคยเผลอเรียกต่อหน้าเขาบ่อยๆ ตอนที่ได้เจอกันแรกๆ
ซึ่งถ้าหากธีระตั้งใจจะไม่ลืมผู้ชายคนนั้นไปตลอดชีวิต...มันก็ไม่ใช่กงการของเขาที่จะไปห้าม หรือเก็บเอามาคิดให้ปวดหัวเลยแม้แต่นิดเดียว
จู่ๆ กฤตภาสก็รู้สึกหงุดหงิดเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมผุดขึ้นในใจ ทั้งที่หายากเหลือเกินที่เขาจะนอนตื่นขึ้นมาข้างใครสักคนแล้วจะไม่นึกอยากหาความอิ่มหนำทางกามรสเพื่อกำจัดความเบื่อหน่าย แต่นับตั้งแต่เช้าที่เขาตื่นมาเห็นธีระนอนอยู่บนโซฟาที่โรงพยาบาลหลังจากวันที่เขาโดนยิง นั่นเป็นครั้งแรกที่เกิดความรู้สึกว่า...การได้ตื่นมาเห็นใครบางคนคอยอยู่ข้างๆ ก็เพียงพอแล้ว
กฤตภาสไม่เคยรู้จักความรู้สึกนี้ และเขาไม่แน่ใจว่าถ้าเคยชินกับมันขึ้นมาแล้วจะสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปหรือไม่
"อืม..."
ธีระย่นหัวคิ้วก่อนจะค่อยๆ ปรือตาขึ้น ในแววตากลมโตที่ยังฉาบด้วยความง่วงงุนสบตากับกฤตภาสที่นอนมองอยู่ก่อนราวชั่วอึดใจ จากนั้นก็หลับตาลงอีกครั้งแล้วพลิกตัวหันหลังให้เหมือนตอนที่เข้านอนเมื่อคืนนี้
ภาพนั้นทำให้กฤตภาสทั้งขำทั้งฉุน เพราะท่าทีเมื่อครู่ของธีระช่างต่างจากตอนที่ถูกใช้เงื่อนไขบีบให้มานอนด้วยช่วงแรกๆ อย่างหน้ามือเป็นหลังมือ ตอนนั้นเจ้าตัวแสดงออกชัดเจนว่าทั้งเกลียดทั้งกลัวเขา ตอนเช้ากฤตภาสจึงต้องคอยตื่นก่อนแล้วกอดเด็กหนุ่มเพื่อไม่เปิดโอกาสให้ลุกหนี แต่เมื่อครู่นี้เด็กนี่กลับกล้าหลับต่อทั้งที่เห็นเขาอยู่ข้างๆ แถมยังหันหลังหนีเหมือนวางใจว่าเขาคงไม่ทำอะไรเสียอีก
"สายแล้วนะ จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหน?"
กฤตภาสกระเถิบตัวเข้าไปซ้อนด้านหลังธีระแล้วก็ยกแขนขึ้นเท้าศีรษะ โชคดีว่าอีกฝ่ายนอนตะแคงไปด้านที่เขาชันศอกขวาขึ้นได้จึงไม่ทุลักทุเลเกินไปนัก
"....ง"
"หืม?"
กฤตภาสได้ยินเสียงงึมงำตอบจึงแกล้งกดจมูกลงบนเรือนผมที่ยุ่งหน่อยๆ จากนั้นก็เม้มใบหูที่โผล่พ้นผมจนธีระย่นคอหนีมากขึ้น
"ผมง่วง ถ้าคุณไม่ง่วงก็ลุกไปสิ..."
ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะยังไม่อยากตื่นจริงจัง กฤตภาสจึงหัวเราะหึแล้วยื่นแขนออกไปรั้งเอวอีกฝ่ายเข้าหาตัว คราวนี้ธีระเบิกตาโพลงเมื่อถูกมือใหญ่ล้วงเข้าไปขยำแผ่นอกใต้เสื้ออย่างไม่ออมแรง
"คุณกฤต! ผมไม่เล่นด้วยนะ"
"แต่ฉันอยากเล่นกับเธอนี่ ไม่ได้เล่นด้วยมาตั้งไม่รู้กี่วันแล้ว"
ชายหนุ่มเอ่ยพลางเกี่ยวขาของอีกฝ่ายไม่ให้ดิ้นหนี บาดแผลบนไหล่ซ้ายทำให้กฤตภาสออกแรงกับมือข้างนั้นได้ไม่เต็มที่ แต่เขาก็สอดมือขวาลงใต้ขอบกางเกงบ็อกเซอร์แล้วลูบคลำส่วนอ่อนไหวของธีระจนเด็กหนุ่มตัวงอ
"คุณกฤต..."
เสียงที่เรียกชื่อเขาอ่อนแรงลงเมื่อถูกความหวามไหวจู่โจมดั่งอาวุธ กฤตภาสแกล้งกัดต้นคอของธีระเบาๆ จนเจ้าตัวต้องพยายามดิ้นให้เป็นอิสระอีกครั้ง
"เรียกชื่อฉันอีกสิ"
กฤตภาสเอ่ยเสียงต่ำเมื่อธีระเอี้ยวหน้าอันแดงซ่านมาหา นัยน์ตากลมโตหรี่เชื่อมและหม่นมัวด้วยความรู้สึกที่ถูกปลุกปั่น ริมฝีปากซึ่งเผยอหอบดึงดูดกฤตภาสให้ก้มลงใช้ริมฝีปากของตัวเองเกลี่ยซับความหวานจากกลีบปากนุ่มเอาไว้
"คุณกฤต พอก่อน...อื๊ออออ"
"จะพอได้ยังไง เพิ่งเริ่มเล่นกันได้ไม่เท่าไหร่เองไม่ใช่เหรอ?"
ชายหนุ่มกระเซ้าพลางเร่งมือที่สอดเข้าใต้กางเกงอีกฝ่ายจนโดนทุบกลับ แต่มือที่ทุบเขาก็เลือกทุบแค่ไหล่ขวาที่ไม่บาดเจ็บจนกฤตภาสยิ้ม เขาก้มลงลิ้มรสไออุ่นจากผิวบริเวณซอกคอของเด็กหนุ่มอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรมากไปกว่านั้นก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงออดจากประตูหน้า
การเคลื่อนไหวของทั้งสองหยุดชะงักทันควัน กฤตภาสชันศอกขึ้นพลางสบตากับนัยน์ตากลมโตที่ทอดมองเขาพลางกะพริบตาปริบๆ ผิวแก้มเนียนยังคงแดงก่ำเช่นเดียวกับรอยปื้นบนซอกคอที่เพิ่งถูกไรเคราของเขาถูไถ กฤตภาสเห็นแล้วให้นึกอยากกินคนตรงหน้าเข้าไปทั้งตัว แต่ติดที่เสียงออดซึ่งดังถี่จนเขานึกอยากทุบหัวผู้มาเยือนให้สลบ
"จะให้ผมไปดูว่าใครมามั้ยครับ?"
ธีระเสนอตัวเมื่อเห็นกฤตภาสทำหน้าตึง แต่เจ้าของห้องกลับส่ายหน้าก่อนจะยอมลุกขึ้นในที่สุด
"เดี๋ยวฉันออกไปดูเอง มีแค่คนเดียวเท่านั้นแหละที่จะถือวิสาสะมากดออดตอนเช้าวันหยุดแบบนี้น่ะ ส่วนเธอ...ไปเปลี่ยนชุดก่อนถ้าหากจะออกไปข้างนอก ชุดนี้มันไม่เรียบร้อย"
ธีระหน้าแดงยิ่งขึ้นเมื่อจู่ๆ ก็ถูกหอมแก้ม เด็กหนุ่มรีบลุกจากเตียงแล้วก็เดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างขัดเขิน ฝ่ายกฤตภาสเพียงแต่ยิ้มก่อนจะออกจากห้องนอนแล้วเดินเนือยๆ ไปเปิดประตูให้คนที่กดออดอย่างไม่ลดละ
"โอ๊ะโอ หน้าตาไม่รับแขกเต็มขั้นเลยนะครับคุณชาย ไม่ทราบว่าผมมาขัดจังหวะรึเปล่าครับ?"
ผู้มาเยือนคือศุภวัฒน์จริงดังคาด ชายหนุ่มมองเพื่อนด้วยแววตาเอือมระอาแต่ก็ผลักประตูให้ เขาไม่รอให้อีกฝ่ายถอดรองเท้าเสร็จก็เดินนำเข้าไปในครัว
"ก็ยังดีที่รู้ตัวว่ามาขัดจังหวะ แล้วมีความจำเป็นอะไรถึงต้องมาตั้งแต่เช้า?"
"บ๊ะ! นี่มันจะเที่ยงอยู่แล้วโว้ย! อีกอย่างกูก็เป็นหมอนะมึง จะมาดูอาการคนไข้ก็ปกติไม่ใช่รึไง แต่ถ้ามึงมู้ดดี้ได้ขนาดนี้ก็แสดงว่าคงไม่ต้องพึ่งหมอแล้วล่ะมั้ง"
กฤตภาสตักผงกาแฟใส่เครื่องชงอย่างไม่รู้สึกรู้สากับคำเหน็บแนม ระหว่างที่รอให้หยดกาแฟกลั่นลงในแก้วก็จุดบุหรี่สูบจนนายแพทย์หนุ่มต้องแกล้งยกมือขึ้นปัดควันอย่างหมั่นไส้
"จริงๆ เรื่องอาการมึงน่ะกูไม่ห่วงหรอก แต่ที่ถ่อมาหาวันนี้เพราะไอ้นี่ต่างหาก"
ศุภวัฒน์วางหนังสือพิมพ์ที่ถือติดมาลงบนโต๊ะ ฝ่ายกฤตภาสเพียงแต่เหลือบตาลงมองแล้วก็พ่นควันออกช้าๆ
"ไอ้นี่ของมึงคือ?"
"กูก็ดูออกนะว่ามึงเอ็นดูเด็กคนนั้นเป็นพิเศษ แต่รู้ตัวรึเปล่าว่าเมื่อคืนโดนถ่ายรูปไว้ตอนกำลังทำอะไรน่ะ?"
กฤตภาสไม่แม้แต่จะแสดงสีหน้าตกใจ ชายหนุ่มเพียงแต่กระตุกยิ้มมุมปากแล้วก็หันไปหยิบถ้วยกาแฟที่ชงเสร็จแล้วขึ้นจิบ
ตกลงนักข่าวถ่ายรูปไว้ทันด้วยเหรอ? แสดงว่ากูกะจังหวะถูกน่ะสิ
หา??
ศุภวัฒน์ทำหน้าเหลอขณะมองเพื่อนเดินมานั่งที่โต๊ะ ท่าทางของกฤตภาสที่สูบบุหรี่พลางจิบกาแฟอย่างสบายใจทำให้เขางงสุดขีด
นี่มึงรู้รึเปล่าว่ากูหมายถึงรูปแบบไหน?
รูปตอนที่กูจูบเด็กคนนั้นใช่ไหมล่ะ? ยกเว้นว่าไม่ใช่ กูจะได้เปิดดู
ศุภวัฒน์ยกมือขึ้นตบหน้าผากเมื่อคิดได้ว่าอะไรเป็นอะไร ดูเหมือนเขาจะเดือดร้อนแทนเพื่อนผิดกาลเทศะเสียแล้ว แต่ที่เขาประหลาดใจไม่หายคือทั้งที่กฤตภาสรู้อยู่แล้วว่ามีนักข่าวคอยติดตาม ทำไมถึงยังทำพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงต่อการถูกบันทึกหลักฐานไปเผยแพร่อีก
บางทีกูก็ตามมึงไม่ทันว่ะกฤต ตกลงมึงจงใจทำแบบนั้นให้นักข่าวเก็บภาพงั้นเหรอ? เพื่ออะไรวะ?
กฤตภาสสูบบุหรี่เข้าปอดอึกใหญ่ก่อนจะค่อยพ่นควันออกอย่างช้าๆ เขาไม่แปลกใจที่จะไม่มีใครเข้าใจความคิดของเขา ในเมื่อเขาก็เพิ่งคิดจะทำเรื่องนี้ได้เมื่อคืนก่อน
กูคิดว่าควรจะหาทางให้นิกกี้ออกไปจากชีวิตกูเสียที แต่กับผู้หญิงที่บอกปัดนัดไปหลายครั้งแล้วก็ยังไม่ยอม take a clue ก็มีแต่ต้องบอกด้วยวิธีนี้แหละถึงจะได้ผลที่สุด
หา??? ตกลงว่ามึงแค่รำคาญแฟนเก่าก็เลยจะเขี่ยเขาทิ้งนี่นะ? ทำไมไม่เรียกมาคุยดีๆ ล่ะวะ ไม่ใช่เด็กๆ กันแล้วสักหน่อย
เสียเวลา อีกอย่างในเมื่อนักข่าวอยากได้สกู๊ปกันนักกูก็จัดให้ อย่างน้อยคราวนี้ข่าวกูกับนิกกี้จะได้เงียบสักที คงมีผู้ชายคนอื่นรอจีบเขาเยอะอยู่หรอก
เฮ้อไอ้กฤต...มึงนี่มัน...
สวัสดีครับคุณหมอ
บทสนทนาของทั้งสองสะดุดลงเมื่อธีระเดินเข้ามาในห้องครัว ศุภวัฒน์ปรายตามองหนังสือพิมพ์ที่ยังพับอยู่บนโต๊ะอย่างรวดเร็วก่อนจะยิ้มตอบ
"หวัดดีตี้ เมื่อคืนคนเจ็บมันคงไม่ได้งอแงมากใช่ไหม?"
"อ๋อ ไม่หรอกครับ" ผิวแก้มของคนพูดเรื่อสีชมพูเล็กน้อยก่อนจะหันไปทางกฤตภาส "คุณกฤต ผมว่าจะลงไปซื้อข้าวที่ร้านตามสั่งหน้าปากซอย อาจจะแวะตลาดด้วย จะฝากซื้ออะไรมั้ยครับ?"
"เธอกินอะไรฉันก็กินนั่นแหละ ถ้าเงินไม่พอก็หยิบจากกระเป๋าสตางค์ฉันไปก่อนก็ได้ รู้ใช่มั้ยว่าวางไว้ตรงไหน?"
"ได้ครับ แล้วหมอเหวินจะกินอะไรมั้ยครับผมจะได้ซื้อมาให้"
"ไม่ต้องๆ หมอแค่แวะมาดูอาการไอ้คุณชาย เดี๋ยวก็ต้องกลับไปคลินิกแล้ว"
เด็กหนุ่มพยักหน้าแล้วก็เดินออกไปจากห้อง หลังจากประตูหน้าปิดลงแล้วศุภวัฒน์ก็หันกลับมาทำตาโตมองเพื่อนที่นั่งสูบบุหรี่แกล้มกาแฟเหมือนเพิ่งทำเรื่องธรรมดาที่สุดในชีวิต
"เฮ่ย!! ทำไมบรรยากาศเมื่อกี้มันเหมือนคู่รักกำลังฮันนีมูนเลยวะ!? ตกลงเมื่อคืนกูพลาดอะไรไปมั่งเนี่ย!?"
กฤตภาสขยี้ก้นบุหรี่ที่เหลือด้วยสีหน้าเอือมระอา "ไม่ใช่อย่างที่มึงคิดก็แล้วกัน อีกอย่างบรรยากาศคู่รักฮันนีมูนอะไรนั่นไม่มีหรอก เด็กนั่นแค่ชินกับกูแล้วก็เท่านั้นแหละ"
"หือ? แต่กูดูยังไงเลเวลของมึงกับเขาก็เกินเจ้านายลูกน้องไปแล้วนี่หว่า มึงถึงกับจูบเขาให้นักข่าวเอารูปไปลงหนังสือพิมพ์ จะมาบอกว่าไม่รักไม่ชอบนี่กูไม่เชื่อนะเว่ย"
กฤตภาสจุดบุหรี่มวนที่สองขึ้นสูบ เขาหันไปพ่นควันอีกทางแล้วก็นึกถึงคำสอนที่ถูกพร่ำเตือนในอดีตจนบางครั้งก็นึกรำคาญที่ไม่ลืมคำพูดเหล่านั้นเสียที
"จำไว้นะกฤต ความรักเป็นแค่เรื่องเพ้อฝันที่จบลงเมื่อเราตื่น สิ่งที่ทำให้คนเราอยู่ด้วยกันมีแค่ความหลงใหล ถ้าหากความหลงใหลถูกใช้ไปจนหมดเมื่อไหร่ เราก็หมดค่าในสายตาอีกฝ่ายเมื่อนั้นนั่นแหละ"
นั่นเป็นคำพูดที่แม่เคยบอกเขาหลังจากเลิกกับสามีคนที่สาม นับตั้งแต่บุพการีหย่าร้างกัน กฤตภาสก็ถูกแม่พาไปอยู่ที่อังกฤษด้วยตั้งแต่ยังเรียนชั้นประถม เขาได้เห็นความสัมพันธ์ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปของผู้เป็นแม่จนเคยชิน กระทั่งวันหนึ่งที่เห็นว่าเขาเริ่มเป็นหนุ่มและมีผู้หญิงมาติดพัน หม่อมหลวงมุกตาภาก็เรียกเขาไปคุยเพื่อถ่ายทอดบทเรียนที่ได้กลั่นกรองด้วยตัวเองจากรักอันผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเขาจำขึ้นใจ
ทั้งที่ความจริงแล้ว...ต่อให้ไม่มีใครพูดเรื่องนี้ด้วย กฤตภาสก็ตระหนักมาตั้งแต่ย่างเข้าวัยแตกพานว่าความรักอันมั่นคงและยืนยาวไม่ใช่เป้าหมายในการดำเนินชีวิตของเขาเลยสักนิด
"...ความรักมันไม่มีอยู่จริงหรอก"
"หือ?"
ศุภวัฒน์เลิกคิ้วเหมือนได้ยินไม่ถนัด กฤตภาสจึงยกกาแฟที่เหลือขึ้นดื่มแล้วก็ตัดบท "การถูกใจใครสักคนไม่ได้หมายความว่ารัก ถ้ากูเบื่อเด็กคนนั้นหรือเขาทนกูไม่ไหวเมื่อไหร่ก็จบ การที่คนสองคนมีความต้องการบางอย่างตรงกันในช่วงเวลาหนึ่งมันเรียกว่าความรักไม่ได้หรอก"
นายแพทย์หนุ่มยิ่งเลิกคิ้วสูงจนหน้าผากย่นไปถึงตีนผม เขารู้จักกฤตภาสมาตั้งแต่เด็กจึงตระหนักดีว่าทำไมอีกฝ่ายจึงมีมุมมองเกี่ยวกับความสัมพันธ์บิดเบี้ยวไม่เหมือนคนอื่น กระนั้นพอนึกถึงสีหน้าท่าทางของธีระเวลาอยู่ใกล้เพื่อนของเขาแล้วก็รู้สึกสงสาร
"ถึงมึงจะคิดแบบนั้นก็เถอะ ทำไมไม่ลองเปิดใจดูหน่อยวะกฤต เด็กคนนั้นอาจช่วยให้มึงเปลี่ยนความคิดแล้วหัดรักใครสักคนบ้างก็ได้นะ มึงเอาแต่คบคนนั้นทีคนนี้ที แบบนี้มีแต่จะผลักไสคนที่เขารู้สึกดีกับมึงจริงๆ ออกจากชีวิตนะเว่ย"
"มึงดูละครเยอะไปจริงๆ ว่ะเหวิน" กฤตภาสแค่นหัวเราะพลางขยี้ก้นบุหรี่ที่เพิ่งสูบไม่ถึงครึ่งมวน จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากครัว "ถ้าไม่มีธุระอะไรอีกกูขอไปเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนล่ะ ถ้าอยากกินกาแฟหรืออะไรในตู้เย็นก็หยิบเอาได้เลย แล้วก็ขอบใจที่เอาข่าวมาบอก ช่วยเก็บหนังสือพิมพ์นั่นกลับไปด้วยก็แล้วกัน กูยังไม่อยากให้ตี้เห็น"
ศุภวัฒน์มองแผ่นหลังของเพื่อนที่เดินหายเข้าไปในห้องนอนแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เขาหยิบหนังสือพิมพ์มากางหน้าที่พับไว้ออกดูรูปอีกครั้ง จากนั้นก็ฉีกหน้านั้นจนเป็นริ้วแล้วขยำทิ้งในถังขยะข้างเคาน์เตอร์
เรื่องที่ควรเตือนในฐานะเพื่อนก็ได้เตือนไปแล้ว คงได้แต่หวังว่าสักวันกฤตมันจะรู้ตัวว่าการเล่นกับความรู้สึกคนอื่นไม่ใช่เรื่องธรรมดาสามัญอย่างที่ชอบทึกทักก็แล้วกัน เพราะดูเหมือนว่าต่อให้เขาพูดอะไรมากกว่านี้ก็คงส่งไปไม่ถึงหัวใจที่ปิดประตูขังตัวเองเอาไว้อีกแล้ว...
++---++
ธีระกลับมาที่คอนโดหลังจากออกไปข้างนอกร่วมหนึ่งชั่วโมง ดูเหมือนวันนี้ผู้คนต่างพร้อมใจออกมาจับจ่ายใช้สอยจนทั้งตลาดและร้านอาหารเนืองแน่นด้วยลูกค้า ขนาดเขาเลือกร้านที่น่าจะคิวสั้นที่สุดแล้วก็ยังต้องรอเกินสิบนาที และเพราะนึกได้ว่าในตู้เย็นที่ห้องกฤตภาสแทบไม่มีอะไร เขาเลยแวะซื้อทั้งของสดและของแห้งสำหรับให้คนเจ็บได้ตุนเอาไว้ด้วย
เมื่อกลับถึงคอนโดแล้วเด็กหนุ่มก็กดลิฟต์ขึ้นไปชั้นบน เมื่อเปิดประตูห้องเข้าก็ไปแปลกใจที่เห็นเจ้าของห้องนอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟา เขาเลิกคิ้วแล้วเดินเข้าไปใกล้ๆ กระทั่งได้เห็นแผ่นอกที่กระเพื่อมขึ้นลงสม่ำเสมอจึงรู้ว่าอีกฝ่ายหลับจริง
คงยังเหนื่อยละมั้ง...เมื่อคืนกว่าจะได้นอนกันก็ดึกแล้วนี่นา...
เด็กหนุ่มคิดพลางหอบหิ้วสิ่งที่ซื้อมาเข้าไปในครัว เขาเก็บของสดและแห้งเข้าตามตู้ต่างๆ โดยวางกล่องโฟมที่ใส่อาหารตามสั่งไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็ล้างมือแล้วเดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่น
"คุณกฤตครับ ผมซื้อข้าวไก่อบมานะ จะกินเลยหรือเปล่า?"
ธีระนั่งลงบนขอบโซฟาที่กฤตภาสนอนอยู่พลางเอ่ยถามเพราะเห็นอีกฝ่ายขยับตัว นัยน์ตาสีนิลปรือขึ้นมองเขาแล้วก็ส่ายหน้า
"ไว้อีกสักพักก็แล้วกัน ตอนนี้ยังไม่ค่อยอยากกินข้าวเท่าไหร่"
"แต่มียาที่ต้องกินหลังอาหารนะครับ อีกอย่างนี่บ่ายโมงกว่าแล้วด้วย ข้าวเช้าคุณก็ยังไม่ได้กิน ถ้าไม่กินข้าวเที่ยงแล้วเมื่อไหร่จะได้กินยาล่ะ"
เด็กหนุ่มเตือนราวอีกฝ่ายเป็นเด็กที่กำลังงอแงอย่างไม่เข้าท่า กฤตภาสจึงหรี่ตามองเขาจนธีระเสียวสันหลัง แต่ยังไม่ทันจะลุกหนีก็ถูกฉุดแขนลงไปบนโซฟาแล้วถูกคนตัวใหญ่กว่าขึ้นคร่อม
"สงสัยฉันจะนอนเยอะไปเลยไม่ค่อยหิว แต่ถ้าได้ออกกำลังสักหน่อยก็อาจอยากอาหารมากขึ้นก็ได้นะ"
"แต่หมอเหวินบอกไว้ว่าห้ามออกแรงเกินตัวนะครับ! คุณกฤต...!!"
ธีระยังค้านไม่ทันจบก็ถูกริมฝีปากอุ่นรุกไล่ ปลายลิ้นที่ยังเจือรสขื่นของนิโคตินยื่นเข้ามาพัวพันกับลิ้นของเขาจนมือไม้ที่พยายามดันอีกฝ่ายอ่อนแรง เนื่องจากรู้ดีว่าแผลบนไหล่ซ้ายของกฤตภาสยังไม่หายจึงทำให้เขายิ่งไม่กล้าผลักอีกฝ่ายมากขึ้นไปอีก เปิดทางให้กฤตภาสทำสิ่งที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย
"หนวดคุณกฤต...คัน"
"หืม? แต่ก่อนหน้านี้ไม่เคยบ่นนี่"
กฤตภาสรู้ดีว่าวันไหนที่เขาไม่ได้โกนหนวดแล้วไรเคราจะขึ้นค่อนข้างเยอะ ยิ่งพอได้ยินธีระบ่นเขาก็ยิ่งจงใจเลิกชายเสื้ออีกฝ่ายแล้วตะโบมจูบไปบนแผ่นอกและหน้าท้องแบนราบมากขึ้น
"ก็มัน..." ธีระก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงบ่นเรื่องนี้ขึ้นมาตอนนี้ ความจริงเขาไม่ชอบเวลาโดนตอหนวดแข็งๆ ของกฤตภาสซุกไซ้ตั้งแต่ครั้งแรกๆ ที่นอนด้วยกัน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเหมือนกับใกล้ชิดอีกฝ่ายมากพอจะบอกเรื่องนี้ได้ ทว่ายังไม่ทันจะคิดหาคำอธิบายก็พบว่าคนเจ็บรูดซิปกางเกงเขาลงแล้ว และตอนนี้ริมฝีปากได้รูปก็กำลังจูบส่วนอ่อนไหวของเขาผ่านเนื้อผ้าบางๆ ของกางเกงบ็อกเซอร์
นัยน์ตาสีนิลที่เหลือบขึ้นมองเขาทั้งที่กำลังใช้ฟันขบส่วนที่กำลังมีปฏิกิริยาใต้เนื้อผ้าจุดความร้อนให้แล่นไปทั้งร่างของธีระ เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับมีลาวาเหลวไหลวนอยู่ในหัว และมันทำให้การยับยั้งชั่งใจของเขาเริ่มหลอมละลายตามไปทุกที ใบหน้าเนียนแดงก่ำมากยิ่งขึ้นเมื่อกฤตภาสเกี่ยวนิ้วบนยางยืดของบ็อกเซอร์ลงแล้วไล้ปลายลิ้นผะแผ่วไปบนส่วนไวสัมผัส
ไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับเขา แม้แต่ตอนที่คบกับณรงค์ ฝ่ายนั้นก็ไม่เคยใช้ริมฝีปากกับส่วนนี้ให้เลยสักครั้ง
"ยังอยากให้หยุดอีกรึเปล่า?"
กฤตภาสถามยิ้มๆ พลางจรดริมฝีปากลงบนส่วนปลายที่เริ่มชุ่มฉ่ำจนร่างเพรียวกระตุก ธีระหอบหายใจพลางหลบตาคนถามด้วยความอาย แต่สติส่วนที่รับรู้ความผิดชอบชั่วดียังสั่งการให้เขาคัดค้านด้วยเสียงอ้อมแอ้ม
"ผมไม่อยากให้แผลคุณเป็นอะไรมากขึ้นแล้วโดนคุณหมอว่าเอานะ"
"ไม่เห็นจะยาก ในเมื่อเหวินมันบอกว่าห้ามฉันออกแรงเกินตัว เธอก็ช่วยไม่ให้ฉันต้องออกแรงสิ"
กฤตภาสดึงแขนธีระให้ลุกขึ้นนั่ง จากนั้นก็เอนหลังแล้วดึงร่างเพรียวให้ขึ้นคร่อม ท่าทางล่อแหลมเช่นนั้นทำให้เด็กหนุ่มเข้าใจความคิดของอีกฝ่ายได้ทันที
"คุณกฤต...ขี้โกง"
น้ำเสียงและใบหน้าตัดพ้อของธีระทำให้กฤตภาสหัวเราะ ชายหนุ่มโน้มคออีกฝ่ายลงจูบ ส่วนมืออีกข้างก็ค่อยๆ ร่นกางเกงของเด็กหนุ่มลง ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้สะโพกที่แน่นตึงพลางกระซิบข้างหูคนที่หน้าแดงก่ำ
"เด็กดี ไม่ต้องคิดมากหรอก เราไม่บอกใครก็พอแล้วนี่"
ธีระไม่ได้ตอบ ทว่าก็ไม่ได้ขัดขืนอีกเมื่อถูกถอดกางเกงและเสื้อจนเหลือเพียงร่างที่ถูกแสงไฟในห้องย้อมจนเป็นสีผ่องนวลตา กฤตภาสยิ้มยามได้เห็นอีกฝ่ายมีปฏิกิริยาเมื่อถูกสัมผัส และความเร่าร้อนของคนที่ยอมเป็นฝ่ายอยู่ข้างบนก็ทำให้เขาลืมเรื่องที่ศุภวัฒน์เตือนเมื่อเช้าไปสนิทใจ
ไม่มีอะไรอื่นที่สำคัญอีกแล้วในเวลานี้ ขอแค่แววตาที่อ่อนเชื่อมด้วยแรงปรารถนาบนผิวหน้าซ่านสีกลีบกุหลาบ และผิวเนื้ออุ่นซึ่งเคลื่อนไหวตามจังหวะการชี้นำของเขาก็เพียงพอ ส่วนความรักอะไรนั่น...มันไม่ใช่เรื่องที่เขาอยากจะเสียเวลาคิดหาคำตอบเลยสักนิด
++---TBC---++
A/N: ตอนนี้คาดว่ากฤตภาสคงเปิดตู้ ปณ.เตรียมรอรับ hate mail จากคนอ่านแล้วค่ะ สามารถทิ้งความเห็นเอาไว้ได้ แล้วเดี๋ยวคนเขียนจะรวบรวมไปส่งให้นะคะ >_<
Create Date : 11 พฤษภาคม 2557 |
Last Update : 11 พฤษภาคม 2557 11:11:44 น. |
|
3 comments
|
Counter : 2583 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: JIRA IP: 182.52.23.185 วันที่: 12 พฤษภาคม 2557 เวลา:12:09:27 น. |
|
|
|
โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 13 พฤษภาคม 2557 เวลา:19:08:59 น. |
|
|
|
โดย: จุ๋ม IP: 61.90.70.64 วันที่: 15 กรกฎาคม 2557 เวลา:14:12:12 น. |
|
|
|
| |
|
|