สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็ชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมรื่องแนว Boy's Loveดังนั้นหากไมชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ++------++เล่ห์ลวงใจ บทที่ 30เสียงจ้อกแจ้กจอแจดังไปทั่วสถานีขนส่งในยามเช้า ธีระลากกระเป๋าเดินทางไปที่ช่องซื้อตั๋ว เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็เดินไปหาที่นั่งรอเนื่องจากยังไม่ถึงเวลารถออกโชคดีชะมัดที่พี่ปิ๊กไม่ถามอะไรเลย...ธีระนึกถึงบทสนทนากับปิยพลซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องเมื่อคืนที่ผ่านมา ตอนแรกน้ำเสียงของอีกฝ่ายฟังดูแปลกใจที่ได้รับโทรศัพท์กลางดึก แต่พอเขาบอกว่าอยากไปเยี่ยมแล้วก็อาจจะขออยู่ด้วยจนกว่าจะเปิดเทอม ฝ่ายนั้นก็ตอบรับโดยไม่ขัดข้อง"เอาสิ บ้านพี่ก็มีห้องว่างอยู่ ปัดกวาดซะหน่อยก็เป็นห้องนอนได้แล้วล่ะ ว่าแต่บอกแม่เขารึยัง? ไม่ใช่ว่าตี้ทะเลาะกับแม่เลยจะหนีมาอยู่บ้านพี่นะ?"ปิยพลทักแล้วก็หัวเราะ ฝ่ายธีระได้แต่หัวเราะตอบอย่างเจื่อนๆ เพราะสาเหตุที่เขาขอไปอยู่ด้วยนั้นมาจากคนอื่นต่างหาก แต่ก็คร้านจะอธิบายเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเห็นข่าวในหนังสือพิมพ์หรือยัง"ตี้กะว่าถ้าพี่ปิ๊กโอเคถึงค่อยโทรบอกแม่ แต่คิดว่าแม่คงไม่ว่าหรอก เผลอๆ อาจจะเห็นดีด้วยซ้ำ""เห็นดีด้วย? เอ้อ...เรานี่พูดจาแปลกๆ แฮะ เอาเถอะ เอาเป็นว่าพี่ไม่มีปัญหาก็แล้วกัน"น้ำเสียงแปลกใจบอกธีระว่าปิยพลคงไม่รู้เรื่องข่าวนั้น เขาลอบผ่อนลมหายใจ จากนั้นก็พยายามทำเสียงให้สดใสเพื่อเบี่ยงประเด็น"ถ้างั้นเดี๋ยวตี้ไปหาพรุ่งนี้เลยนะพี่ปิ๊ก แต่คงขึ้นรถไปเพราะตี้ไม่มีค่าตั๋วเครื่องบิน ไว้ถ้าถึงสถานีทางโน้นแล้วจะโทรให้พี่ปิ๊กไปรับนะ""ฮะ!? จะมาพรุ่งนี้เลยเรอะ? วัยรุ่นนี่ใจร้อนจังวุ้ย เอ้า...อยากมาก็มา เดี๋ยวพี่จัดห้องไว้ให้""ขอบคุณมากครับพี่ปิ๊ก แล้วก็ขอโทษด้วยที่จู่ๆ ก็มารบกวนแบบนี้""ไม่เป็นไรน่า พี่ก็เคยชวนเราให้มาเที่ยวหลายทีแล้วนี่ ได้มาซักทีก็ดีเหมือนกัน พี่จะได้มีเพื่อนคุยที่บ้านบ้าง"นั่นเป็นบทสนทนาเมื่อคืนวานนี้ ธีระรู้ตัวดีว่าเสียมารยาทที่จู่ๆ ก็ไปขอที่พักจากลูกพี่ลูกน้องที่ไม่ได้เจอกันมานาน แต่เขาคิดว่าเมืองเล็กๆ ทางเหนือที่ไม่มีใครรู้จักเขาเลยอย่างจังหวัดน่านน่าจะเป็นสถานที่เยียวยาจิตใจในตอนนี้ได้ดีที่สุดจู่ๆ โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าก็ดังขึ้น ธีระหยิบออกมาดูชื่อคนที่โทรเข้าแล้วก็มุ่นคิ้ว พวกเขาไม่ได้คุยกันมาหลายวันเพราะต่างคนต่างยุ่ง แต่การที่สุเมธโทรมาเช้านี้ก็ทำให้เดาได้ไม่ยากเลยว่าเพราะอะไร เด็กหนุ่มสูดหายใจยาวก่อนจะกดรับสาย"ฮัลโหล?""ตี้! แก!! กรี๊ดดดดด!!! ฉันเพิ่งเห็นข่าวในหนังสือพิมพ์ล่ะ!! ตกลงมันอะไรยังไง นั่นแกจริงๆ ใช่มั้ย!? ทำไมไปจูบกับคุณเขาได้!? โอ๊ย! นี่ถ้าแม่ไม่ถามฉันว่ารูปในข่าวนั่นใช่แกรึเปล่าฉันก็คงพลาดไปแล้ว ตกลงว่าไงฮึ!? ไหนเล่าให้ฟังหน่อยซิ!"เพื่อนหนุ่มร่างใหญ่ใจสาวรัวคำถามใส่จนธีระแทบฟังไม่ทัน ความจริงแล้วเขาควรจะดีใจที่เพื่อนเป็นห่วงเป็นใย แต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะอธิบายอะไรเลย"เมธ ตอนนี้เราไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้เท่าไหร่น่ะ ขอโทษนะ""หือ? อีกแล้วเหรอ? ตี้เอ๊ย แกชักจะมีความลับกับเพื่อนๆ เยอะไปแล้วนะ ตั้งแต่คืนที่ไปเห็นแกนัวเนียกับใครก็ไม่รู้ที่ผับแล้ว ตกลงตอนนี้ยังเจอผู้ชายคนนั้นอยู่รึเปล่าเนี่ย?"ผู้ชายคนนั้นก็คนเดียวกับที่อยู่ในหนังสือพิมพ์ไง...ธีระได้แต่คิด เพราะรู้ว่าถ้าพูดความจริงคงทำให้เพื่อนยิ่งจินตนาการฟุ้งซ่านกว่าเดิม "ไม่แล้วล่ะ และถ้าไม่ได้เจอกันอีกตลอดชีวิตเลยก็คงดี"เขารู้ว่ามันเป็นไปได้ยากที่จะไม่พบเจอกฤตภาสอีกเลย แต่ก็คงจะดีกว่าถ้าถึงตอนนั้นเขาจะไม่เหลือเยื่อใยให้อีกแล้ว สุเมธเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงที่ขรึมกว่าตอนแรก"นี่ตี้...ถามหน่อย แกยังเห็นฉันกับยายซันเป็นเพื่อนอยู่หรือเปล่า?""หา? ทำไมถามอย่างนั้นล่ะ?"ธีระงุนงงกับคำถามที่ไร้ที่มาที่ไป เพราะสุเมธและศันสนีย์คือคนที่คอยอยู่ข้างๆ และให้กำลังใจเขามาตลอดหลังจากเลิกกับณรงค์ ดังนั้นสำหรับเขาแล้วทั้งคู่คือเพื่อนที่สนิทมากที่สุด ทำไมน่ะเหรอ ฉันรู้สึกเหมือนช่วงหลังนี้แกชอบทำตัวมีลับลมคมใน เวลาแชทกันก็มีแต่ฉันกับยายซันที่เล่าเรื่องตัวเอง แต่แกกลับไม่เคยเล่าเลยว่าไปฝึกงานเป็นไง ได้เจอใครบ้าง อย่างข่าวนี่ฉันก็รู้เพราะมีคนมาบอก ถามจริงๆ เถอะ แกไม่เชื่อใจพวกฉันแล้วใช่มั้ย?"เฮ้ย! เมธคิดมากไปใหญ่แล้ว! เราไม่เคยคิดแบบนั้นเลยนะ นอกจากเมธกับซันเราก็ไม่ไว้ใจใครเท่านี้อีกแล้ว""แต่แกก็จะไม่เล่าเรื่องข่าวนี่ให้ฟังอยู่ดีสินะ?""เมธ..." ธีระปวดหัวจี๊ด เพราะสาเหตุแท้จริงที่เขาไม่เล่าก็เพราะไม่อยากตอกย้ำว่าตัวเองน่าสมเพชมากไปกว่านี้ต่างหาก และถ้าไม่หยุดพูดถึงกฤตภาสเสียที เขาก็คงจะเอาแต่คิดถึงคนใจดำแบบนั้นอยู่ร่ำไป"ฟังนะเมธ เราไม่เคยคิดอยากปิดบังอะไรเพื่อน แต่เราไม่พร้อมจะอธิบายตอนนี้จริงๆ บางทีถ้าในอนาคตเราทำใจได้แล้วก็อาจจะบอก แต่ตอนนี้อย่าเพิ่งเร่งรัดให้เราพูดอะไรเลยนะ ขอร้องล่ะ"น้ำเสียงของธีระหม่นหมองจนแม้แต่ตัวเองยังรับรู้ได้ ส่วนสุเมธถอนใจเฮือกใหญ่"ตี้เอ๊ย...เอาเถอะ ถ้าแกยังไม่อยากเล่าก็ไม่ต้องเล่า แต่ฟังเสียงแกแล้วฉันอยากให้แกร้องไห้ระบายความรู้สึกเหมือนตอนที่เลิกกับพี่รงค์มากกว่า เพราะเท่าที่ฉันได้ยินนี่มันเหมือนแกกำลังอดกลั้นอยู่ยังไงก็ไม่รู้"ธีระรู้สึกเหมือนมีก้อนแข็งแล่นขึ้นมาจุกคอเพราะสิ่งที่เพื่อนพูดช่างตรงเหลือเกิน แต่ก็รีบกล้ำกลืนก้อนนั้นลงไปเพราะรู้ว่าจะอ่อนแอตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด"ขอบคุณนะเมธ เราคิดถึงเมธกับซันนะ อยากให้เปิดเทอมไว้ๆ จะได้เจอกันซักที""ฉันก็เหมือนกัน ตอนนี้ยายซันคงกำลังตระเวนเยี่ยมญาติที่ยุโรปเลยเงียบหาย ไว้เปิดเทอมแล้วพวกเราไปเที่ยวต่างจังหวัดกันดีกว่า น่าจะมีเรื่องต้องเม้าท์มอยกันเยอะเลย""ฮะๆ ก็ดีเหมือนกัน เอ้อเมธ เดี๋ยวเราต้องขึ้นรถแล้วล่ะ ไว้ค่อยคุยกันใหม่นะ""เพิ่งจะไปทำงานเหรอ? ทำไมวันนี้แกออกสายจัง?""เปล่า เราเลิกฝึกงานแล้วล่ะ ไว้ถึงที่โน่นแล้วจะโทรบอกนะว่าอยู่ที่ไหน"ธีระชิงวางสายเพื่อลากกระเป๋าเดินทางไปที่ชานชาลา หลังจากพนักงานตรวจตั๋วเก็บกระเป๋าของเขาใต้ท้องรถให้แล้ว เด็กหนุ่มก็เดินขึ้นไปนั่งที่ตามหมายเลขที่ระบุไว้บนหน้าตั๋วป่านนี้น่าจะไปส่งถึงที่แล้วล่ะมั้ง...เขาคิดพลางเหลือบดูนาฬิกาข้อมือ ไม่นานพนักงานขับก็ถอยรถออกจากชานชาลาเมื่อผู้โดยสารมาครบ เด็กหนุ่มเหลือบมองตัวสถานีซึ่งเล็กลงเรื่อยๆ ตามระยะห่างของรถที่เคลื่อนออกสู่ถนนใหญ่ ขณะเดียวกันก็รู้สึกใจหายคล้ายหัวใจหดลีบลงทุกทีเช่นกัน++------++ภายในห้องประชุมซึ่งจัดเป็นโต๊ะกลมที่บริษัทของลูกค้า กฤตภาสให้กนิษฐาที่มาด้วยกันรายงานสรุปการจัดอิเว้นท์เปิดตัวโน้ตบุ๊คเมื่อสัปดาห์ก่อนโดยที่เขาเพียงแต่นั่งฟัง ทางฝั่งของลูกค้ามีผู้เข้าประชุมหลายคนรวมทั้งอนุชิต ซึ่งเขารู้ดีว่าตั้งแต่เริ่มการประชุมนั้นอีกฝ่ายมองเขาด้วยแววตาไม่ค่อยเป็นมิตรสักเท่าไหร่ แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะมีเรื่องอื่นที่รบกวนจิตใจมากกว่าเมื่อคืนเด็กคนนั้นเงียบผิดปกติ วันนี้จะรู้สึกดีพอจะเข้ามาที่ออฟฟิศหรือยังนะ...กฤตภาสอาจไม่ใช่คนที่ชอบแสดงออกว่าใส่ใจคนอื่น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่สังเกต ในการทำงานที่ต้องคอยพบปะกับคนร้อยพ่อพันแม่นั้นความช่างสังเกตคือสิ่งที่ทำให้เขาถือไพ่เหนือกว่าหลายๆ คนตลอดมา แต่การจะนำสิ่งที่สังเกตได้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ หรือเพียงแต่รับรู้แล้วอยู่เฉยก็เป็นอีกเรื่อง"ต้องขอบคุณทาง Illumination ที่ช่วยให้งานเปิดตัวสินค้าใหม่ของเราจบลงด้วยดี แต่ดูเหมือนคุณกฤตจะยังไม่หายเหนื่อยเลยนะครับ ทั้งที่ผ่านวันงานมาก็หลายวันแล้วแท้ๆ"กฤตภาสเหลือบตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงของอนุชิต คนพูดแสดงสีหน้ายิ้มแย้มทั้งที่คำพูดติเตียนเป็นนัยว่าเห็นเขาใจลอย แต่ถึงใจเขาจะไม่ได้จดจ่อกับการประชุมก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ฟัง ที่สำคัญกนิษฐาก็เคยส่งรายงานฉบับนี้ให้อ่านล่วงหน้ามาก่อนแล้ว"พอดีช่วงนี้มีลูกค้าเพิ่มขึ้นหลายแอคเคาท์น่ะครับ แต่ไม่ต้องห่วง ถ้าคุณอินมีแผนจะจัดอิเว้นท์อีกก็ติดต่อมาได้เลย อย่างน้อยเราก็รู้ทางกันแล้ว ครั้งต่อไปน่าจะเตรียมงานแบบที่คุณอินชอบได้ไม่ยาก"กฤตภาสตอบพร้อมกับยิ้มบางๆ เขารู้ว่าอนุชิตคงยังไม่หายขุ่นเคืองที่โดนขัดจังหวะก่อนจะทันได้ลวนลามธีระในคืนวันงาน ซึ่งเขาคิดว่าอีกฝ่ายควรจะขอบคุณเขามากกว่าที่ช่วยป้องกันให้ไม่ทำเรื่องงามหน้าระหว่างที่เมา เขาถือธีระว่าเป็นคนของเขาทั้งในและนอกบริษัท...ดังนั้นย่อมไม่มีการอ่อนข้อให้คนที่ถือวิสาสะมาแตะต้องโดยไม่ตอบแทนอย่างสาสม "แหม ผมรู้สึกเป็นเกียรติจริงๆ ว่าแต่ต้องขอบคุณคุณกฤตนะครับเนี่ย ตอนนี้เลยกลายเป็นว่างานเปิดตัวโน้ตบุ๊คของเราได้ลงหนังสือพิมพ์ตั้งหลายฉบับเพราะข่าวของคุณกฤตแท้ๆ"อนุชิตตอบโดยที่ยังคงประดับรอยยิ้มพลาสติกบนใบหน้า นัยน์ตาของกฤตภาสสาดประกายเย็นเยียบออกมาวูบหนึ่ง แต่แล้วเขาก็เพียงยิ้มมุมปากพร้อมกับปิดสมุดบันทึกลง เป็นสัญญาณว่าขอจบการประชุมแต่เพียงเท่านี้"เป็นเรื่องบังเอิญน่ะครับ แต่ถ้าข่าวของผมช่วยให้แบรนด์ของคุณอินได้พีอาร์แวลูมากขึ้นผมก็ยินดี ถ้ามิสเตอร์มิลเลอร์ได้ทราบก็คงพอใจกับผลงานของคุณอินเหมือนกัน"กฤตภาสเลือกที่จะพูดอ้อมๆ ว่าถึงอย่างไรเขาก็สามารถนำเรื่องที่อนุชิตทำมาฟ้องเรียกค่าทำขวัญให้ธีระได้ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นมิสเตอร์มิลเลอร์ซึ่งเป็นนายใหญ่ของอนุชิตที่ปกติจะประจำอยู่ที่อังกฤษคงไม่ชอบแน่ แต่บังเอิญเขามีโอกาสได้พูดคุยกับผู้อาวุโสเมื่อคืนวันจัดงาน เมื่อฝ่ายนั้นรู้ว่าเขาจบมาจากโรงเรียนมัธยมแห่งเดียวกันที่อังกฤษและรู้จักกับอาจารย์ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของเจ้าตัว มิสเตอร์มิลเลอร์ยังออกปากชวนว่าถ้าหากไปอังกฤษอีกให้แวะไปเยี่ยมที่บ้าน และเขามั่นใจว่าอนุชิตไม่เคยมีโอกาสได้พูดคุยสนิทสนมกับนายใหญ่ถึงขั้นนี้ เพราะคนที่คอยประสานงานกับสำนักงานที่เมืองไทยคือผู้ช่วยของเจ้าตัวอนุชิตมีสีหน้าตึงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หลังจากกล่าวลากันแล้วฝ่ายนั้นก็ผลุนผลันออกจากห้องประชุมโดยไม่เดินไปส่งเขากับกนิษฐาที่ลิฟต์ตามที่ควรทำโดยมารยาท ฝั่งลูกน้องที่มาร่วมประชุมจึงมองหน้ากันอย่างเหลอหลาก่อนจะไหว้ลากฤตภาสแล้วเดินตามออกไป"วันนี้คุณอินดูแปลกๆ นะคะคุณกฤต ปกติกิฟท์จะรู้สึกว่าแกชอบถามอะไรซอกแซก แต่วันนี้กลับเหมือนตั้งใจหาเรื่องทั้งที่งานที่พวกเราเพิ่งจัดให้ก็ออกมาดีแท้ๆ"กนิษฐาเอ่ยหลังจากพวกเขาลงลิฟต์มาด้วยกัน หญิงสาวรู้ดีพอที่จะไม่เอ่ยถึงข่าวของกฤตภาสกับธีระหลังจากที่เพิ่งโดนตักเตือนไปเมื่อวันก่อน ฝ่ายกฤตภาสนึกถึงท่าทีของอนุชิตในห้องประชุมเมื่อครู่แล้วก็ยักไหล่"กับคนที่เป็นลูกค้า ต่อให้เราทำดีแค่ไหนก็โดนมองว่าเสมอตัวเท่านั้นแหละ ว่าแต่เดี๋ยวต้องไปประชุมกับลูกค้าอีกรายใช่มั้ย? เตรียมข้อมูลทุกอย่างไว้พร้อมหรือยัง?""พร้อมแล้วค่ะคุณกฤต ถ้างั้นกิฟท์ขอแยกตัวไปก่อนเลยนะคะ แล้วช่วงบ่ายจะกลับเข้าออฟฟิศอีกทีค่ะ""อืม"กฤตภาสพยักหน้าให้ลูกน้องสาวหลังลงลิฟต์มาถึงชั้นล่าง เขาเดินไปที่รถของตัวเองแล้วก็ขับออกมาจากลานจอดด้วยใจที่ไม่สงบ แต่ก็ไม่รู้สาเหตุว่าเป็นเพราะอะไรอาจเพราะตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลก็ยังไม่ได้พักผ่อนเต็มที่เลยล่ะมั้ง ยังดีที่หมอบอกว่าแผลโดนยิงไม่น่าเป็นห่วงแล้ว...เขารีบขับรถตรงกลับบริษัทโดยไม่แวะกินข้าวกลางวัน เมื่อไปถึงก็พบว่าพนักงานทุกคนไปพักกันหมดแล้ว ไม่มีใครอยู่ในอาคารเลยยกเว้นพนักงานต้อนรับที่เคาน์เตอร์ชั้นล่างกับแม่บ้านสองคนที่นั่งกินข้าวอยู่ในห้องครัวกฤตภาสเดินตรงไปที่ห้องประจำตำแหน่ง เขาไขประตูแล้วก็เดินไปนั่งที่โต๊ะพลางเปิดคอมพิวเตอร์ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นห่อกระดาษสีน้ำตาลที่วางอยู่ตรงมุมโต๊ะรวมกับซองจดหมายและเอกสารอื่นๆ'ฝากถึงคุณกฤตภาส'บนห่อไม่มีรายละเอียดอย่างอื่นระบุไว้ บ่งบอกว่าคงมีคนนำมาส่งให้โดยไม่ได้ผ่านไปรษณีย์ เขามุ่นคิ้วขณะหยิบห่อกระดาษห่อนั้นมาฉีกดูของด้านในเสื้อตัวนี้...กฤตภาสหรี่ตาจ้องเสื้อตัวนั้นอยู่อึดใจหนึ่งด้วยความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลา จากนั้นก็ลุกพรวดขึ้นเมื่อนึกได้ว่าใครน่าจะส่งเสื้อตัวนี้มาให้ เขารีบเดินไปที่ครัวแล้วก็กระชากประตูเปิดจนแม่บ้านทั้งสองตกใจ"คุ...คุณกฤตจะเอาอะไรหรือเปล่าคะ?""ใครเป็นคนส่งเสื้อตัวนี้มา?""เอ๋? เสื้อเหรอคะ?"ทั้งสองมองหน้ากันอย่างงุนงง กฤตภาสจึงพยายามข่มใจถามต่อ "มันอยู่ในห่อกระดาษสีน้ำตาลที่ไม่มีชื่อคนส่ง ใครเป็นคนเอามาให้ แล้วเอามาตั้งแต่เมื่อไหร่?"หนึ่งในสองแม่บ้านค่อยแสดงสีหน้าว่าเข้าใจ "อ๋อ เมื่อเช้านี้มีวินมอเตอร์ไซค์ขับเอามาส่งค่ะ เขาบอกว่าคนที่ฝากมาไม่ได้บอกชื่อไว้ แต่เห็นว่าจ่าหน้าถึงคุณกฤตก็เลยเอาไปวางให้ที่โต๊ะ"กฤตภาสกำเสื้อในมือแน่นขึ้น ขณะที่กำลังจะหมุนตัวเดินจากไปก็นึกอะไรได้จึงหันกลับไปถาม"วันนี้ตี้มาทำงานรึเปล่า?""น้องตี้เหรอคะ ไม่เห็นเลยนะคะ แกล่ะเห็นมั้ย?"แม่บ้านอีกคนก็ส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่เห็นเช่นกัน กฤตภาสพยายามสูดหายใจเข้าลึกเพื่อข่มอารมณ์ขณะเดินกลับไปที่ห้อง จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์มือถือมากดโทรออกขออย่าให้ลางสังหรณ์ของเขาถูกก็แล้วกัน...Rrrrrrrrrrrrrr.......เสียงโทรศัพท์มือถือปลุกธีระที่กำลังนั่งหลับให้งัวเงียตื่นขึ้น เขารูดซิปเปิดหาโทรศัพท์ในช่องด้านหน้าของกระเป๋าเป้ออกมาดูแล้วก็ขยี้ตา หมายเลขที่ปรากฏบนหน้าจอช่วยให้ความง่วงงุนแทบจะหายเป็นปลิดทิ้งในชั่ววินาทีคุณกฤต...ธีระนั่งนิ่งอย่างตัดสินใจไม่ได้ แต่เมื่อเห็นคนที่นั่งที่เบาะด้านหน้าหันกลับมามองด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจเพราะหนวกหูเสียงโทรศัพท์ เขาจึงกดปุ่มลดระดับเสียงให้เหลือเพียงระบบสั่น จากนั้นก็เบนสายตาออกไปนอกหน้าต่างตอนนี้เที่ยงกว่าๆ แสดงว่าเพิ่งออกจากกรุงเทพฯมาได้ไม่เท่าไหร่สินะเด็กหนุ่มคิดก่อนจะสัมผัสได้ว่าโทรศัพท์สั่นอีกครั้ง และคนที่โทรเข้ามาก็ยังเป็นกฤตภาสเช่นเดิม เขาเม้มปากขณะที่ในใจเกิดความขัดแย้งว่าควรจะรับแล้วคุยให้จบ หรือไม่รับแล้วปล่อยให้กฤตภาสเลิกโทรไปเองดีแต่คนอย่างคุณกฤตจะเลิกล้มอะไรง่ายๆ ได้หรือ แถมสาเหตุที่โทรมาก็น่าจะเพราะเดาได้แล้วว่าทำไมเขาถึงฝากคนอื่นไปคืนเสื้อตัวนั้นให้ด้วย...ธีระถอนหายใจเฮือกเมื่อโทรศัพท์นิ่งไป แต่เพียงชั่วอึดใจมันก็สั่นขึ้นอีกครั้ง คล้ายจะแทนการสื่อสารจากกฤตภาสว่าให้ 'รับสายเดี๋ยวนี้'คุยให้จบก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้ไม่รู้สึกว่ามีอะไรติดค้างในใจก่อนที่จะไม่ได้เจอกันอีก...เด็กหนุ่มตัดสินใจกดรับสายก่อนที่จะสูญเสียความกล้า จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นแนบหูอย่างไม่รีบร้อน"สวัสดีครับ""นี่อยู่ที่ไหน?"ธีระมองไปนอกหน้าต่าง เขาเห็นป้ายบอกทางที่ระบุว่าถึงไหนแล้วแต่ก็เลือกจะไม่พูดความจริง"กำลังไปสนามบินครับ""หมายความว่ายังไง? แล้วที่คืนเสื้อตัวนี้ก็ด้วย นี่เธอคิดอะไรอยู่!?"น้ำเสียงไม่พอใจของกฤตภาสทำให้ธีระยิ้มบางๆ ออกมาได้ แต่มันกลับเป็นการยิ้มที่ทำให้เขารู้สึกขมเฝื่อนในใจเหลือเกิน"คุณกฤตน่าจะเข้าใจนะครับ ของที่ไม่ใช่ของของผมก็ต้องส่งคืนสิครับ ไม่ต้องห่วง ผมซักแล้วก็รีดให้เรียบร้อยแล้ว""ตี้" น้ำเสียงของกฤตภาสแสดงออกว่าใกล้จะหมดความอดทน "อย่าแกล้งทำเป็นเฉไฉ เธอก็รู้ว่านั่นไม่ใช่คำถามของฉัน ฉันถามว่าคิดยังไงถึงได้จู่ๆ ก็จะหนีไปแบบนี้?"หนีงั้นเหรอ...ในสายตาของคุณกฤตคงเห็นเป็นแบบนั้นสินะ แต่มันอาจเป็นการหนีจริงๆ ก็ได้ เพราะเขาทนถูกทำเหมือนเป็นตุ๊กตาที่ไม่มีหัวใจไม่ไหวแล้วนี่นา"ผมคิดว่าคำตอบน่าจะชัดเจนนะครับ ก่อนหน้านี้ผมยอมทำตามเงื่อนไขเพราะรูปที่คุณกฤตถ่ายไว้ แต่ในเมื่อคุณบอกว่าไม่มีรูปพวกนั้นแล้ว...ผมก็ไม่มีความจำเป็นต้องทนอยู่ต่อไป เรื่องที่ฝึกงานนี่ก็เหมือนกัน ผมขอลาออกเดี๋ยวนี้เลย การที่ผมหายไปสักคนก็น่าจะช่วยให้คุณประหยัดค่าจ้างพนักงานได้ด้วย จะได้ไม่ต้องจ่ายเงินเดือนให้ผมตามที่สัญญากับแม่ไว้"ปลายสายเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนที่กฤตภาสจะถามด้วยเสียงที่ควบคุมอารมณ์ได้อีกครั้ง "เพราะข่าวนั่นใช่มั้ย?""ก็ไม่เชิงครับ ผมแค่คิดว่ามันคงดีกว่าถ้าพวกเราไม่ต้องข้องแวะกันอีก การอยู่กับคุณทำให้ผมเหนื่อยมาก และผมเชื่อว่ามีคนอีกเยอะที่อยากอยู่ในสถานะแบบผมแต่ไม่มีโอกาส คุณกฤตไปหาคนพวกนั้นดีกว่าครับ"กฤตภาสกำโทรศัพท์แน่นขึ้น ความรู้สึกไม่พอใจพลุ่งพล่านดุจมีลาวาร้อนไหลอยู่ในอก และเขาไม่เคยนึกโมโหใครจนปวดหัวจี๊ดเท่านี้มาก่อนเลยเด็กคนนี้...กล้าไล่เขางั้นหรือ..."เธอแน่ใจแล้วเหรอที่จู่ๆ ก็คิดจะหนีไปแบบนี้ คิดว่าฉันจะตามหาไม่เจอหรือไง?""ผมรู้ว่าถ้าคุณกฤตตั้งใจจะหาผมจริงๆ ล่ะก็ยังไงก็เจอ ดังนั้นผมอยากจะขอร้องเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย...ว่าปล่อยผมไปเถอะครับ คุณกฤตเล่นกับความรู้สึกของผมมาเยอะแล้ว"กฤตภาสนิ่งเงียบอย่างไร้คำโต้ตอบ เขาคิดว่าได้ยินเสียงสั่นเครือช่วงท้ายประโยคจากธีระที่แผ่วจนไม่แน่ใจว่าหูเฝื่อนหรือไม่ และมันทำให้เขายิ่งอยากให้เจ้าตัวมาอยู่ตรงหน้ามากขึ้นไปอีกอยากเห็นสีหน้าตอนที่พูดประโยคขอร้องนั้น อยากรู้ว่าเจ้าตัวจะทำแววตาเช่นไรตอนที่มองเขา แต่หลังจากที่รู้แล้วเขาจะทำอย่างไรต่อไป กฤตภาสก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน"เธอคิดมากเกินไปแล้ว""ไม่หรอกครับคุณกฤต ผมอาจจะมองอะไรแบบเด็กๆ ก็ได้ถึงได้คิดแบบนี้ แต่ว่า...ยิ่งอยู่ใกล้คุณผมก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ดังนั้นกรุณาอย่าทำให้ผมรู้สึกอย่างนี้อีกต่อไปเลยครับ อย่างน้อยเราก็จะได้จบกันด้วยดี"พูดไปแล้ว...ธีระคิดก่อนจะกดวางสายและปิดโทรศัพท์ ไม่มีเหตุผลที่จะต้องอธิบายอะไรอีกต่อไป อย่างน้อยคำขอร้องอันน้อยนิดเท่านี้คงไม่ยากเกินกว่าที่อีกฝ่ายจะทำตาม ธีระไม่ได้เอ่ยคำว่ารักเพราะรู้ดีว่ามันไม่มีความหมายกับกฤตภาส และในเมื่อเขาตั้งใจจะจบความสัมพันธ์นี้อยู่แล้วก่อนที่จะถึงวันครบกำหนดสัญญา ยิ่งตัดการอารัมภบทที่ยืดเยื้อออกไปได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น อย่าให้เงาของเขาหลงเหลืออยู่ในใจของอีกฝ่ายได้เลยจะยิ่งดีเข้าไปใหญ่ส่วนเงาของกฤตภาสที่ฝังลงในใจเขาไปแล้วนั้น... ขอเพียงไม่ต้องพบเจอกันอีก ไม่ช้าเงานั้นก็คงจะรางเลือนจนไม่หลงเหลือร่องรอยไปเองตามกาลเวลาธีระเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าแล้วก็เอนเบาะลงมองทิวทัศน์ผ่านกระจกรถอย่างเงียบๆ อีกครั้ง โดยหารู้ไม่ว่าคู่สนทนาที่อยู่ปลายสายยังคงถือโทรศัพท์แนบหู ทั้งที่เสียงเดียวที่ยังได้ยินคือสัญญาณอันว่างเปล่าราวจะตอกย้ำว่าการเชื่อมต่อระหว่างพวกเขาถูกตัดขาดตลอดไป++---TBC---++