แนะนำสำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ++------++บทที่ 12และแล้ววันศุกร์ก็มาถึงไม่รู้เพราะเมื่อคืนนอนดึกหรือใช้พลังงานในการสู้รบปรบมือกับกฤตภาสมากเกินไป ธีระจึงตื่นมาด้วยอาการเจ็บคอยิ่งกว่าเดิม ช่วงเช้าเขาแวะซื้อยาอมที่ร้านขายยาก่อนจะเดินทางไปทำงาน เมื่อถึงบริษัทก็ช่วยรุ่นพี่ทำงานจุกจิกแล้วแต่ว่าใครจะให้ช่วยทำอะไรตลอดทั้งวันวันนี้กฤตภาสมีนัดประชุมกับลูกค้าจึงไม่เข้าบริษัทตั้งแต่เช้า ซึ่งสำหรับธีระแล้วถือเป็นเรื่องดีเพราะยิ่งได้เจอฝ่ายนั้นน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งหายใจปลอดโปร่ง เขาถึงกับภาวนาว่าให้การประชุมยืดเยื้อติดพันจนค่ำมืดดึกดื่นเลยก็ยิ่งดี จะได้ไม่ต้องเจอกันแล้วเขาจะได้หนีกลับก่อนน่าเสียดายที่นอกจากวันนี้โชคจะไม่เข้าข้างเขาในเรื่องสุขภาพ โชคก็ไม่เข้าข้างเขาในเรื่องผู้ชายเอาแต่ใจคนนั้นเหมือนกัน เพราะก่อนจะถึงเวลาเลิกงานเพียงชั่วโมงเดียว กฤตภาสก็กลับมาถึงบริษัทด้วยสีหน้าเคร่งเครียด"เฮ้ยๆ คุณกฤตกลับมาแล้ว"เสียงกระซิบกระซาบส่งต่อกันเป็นทอดๆ เมื่อเห็นกรรมการผู้จัดการเดินขึ้นบันไดมา สีหน้าของเจ้าตัวราวกับหอบความอึมครึมกลับมาเป็นของขวัญให้เหล่าพนักงาน จนกระทั่งร่างสูงใหญ่เดินหายเข้าห้องประจำตำแหน่งไปแล้ว ทุกคนถึงค่อยหันมามองหน้ากันด้วยความสงสัย"เอ๊ะ? วันนี้คุณกฤตไปประชุมกับใครมานะ?""ก็ไอ้ลูกค้าที่เราเคยจัดงานให้เมื่อสามเดือนก่อนที่มันจะเบี้ยวไม่จ่ายเงิน แถมเงินยังตั้งเป็นหลักล้าน คุณกฤตถึงต้องไปทวงด้วยตัวเองไง"เสียงกระซิบกระซาบกันระหว่างรุ่นพี่ดังมาเข้าหูธีระ เนื่องจากเขานั่งติดหน้าต่างจึงเห็นกฤตภาสเดินมาจากลานจอดรถด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับก่อนคนอื่นๆ เสียอีก แต่พอได้รู้สาเหตุแล้วแทนที่จะเห็นใจ เด็กหนุ่มกลับเป็นห่วงสวัสดิภาพของตัวเองมากกว่า ถ้าหากผู้ชายคนนั้นอารมณ์เสียไม่เลิก...คืนนี้ความซวยจะไม่มาตกอยู่ที่เขาซึ่งต้องไปนอนด้วยหรือ...เด็กหนุ่มคิดอย่างหวั่นใจ เหตุการณ์เมื่อคืนทำให้เขารู้ว่ากฤตภาส 'ใจร้าย' กว่าที่คิดได้ถ้าหากไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ดังนั้นยิ่งใกล้จะถึงเวลาเลิกงานเขาก็ยิ่งกระสับกระส่าย ขณะกำลังคิดว่าจะหลบเลี่ยงด้วยวิธีไหนก็มีคนโยนเผือกร้อนมาให้"ตี้ พี่รบกวนเอาเอกสารนี่ไปให้คุณกฤตเซ็นหน่อยสิ เสร็จแล้วแฟกซ์ไปที่เบอร์นี้ได้เลย พอดีพี่มีนัดต้องรีบไป แต่ไอ้นี่ก็รีบเหมือนกันเพราะซัพพลายเออร์เร่งมา รบกวนหน่อยนะจ๊ะ" ธีระมองหน้ารุ่นพี่สาวซึ่งมักไปทานมื้อเที่ยงด้วยกันแทบทุกวัน แล้วก็รู้ว่าคงปฏิเสธไม่ได้เพราะอีกฝ่ายก็เคยซื้อน้ำใจเขาไว้มาก จึงได้แต่ยิ้มแห้งๆ แม้จะไม่อยากรับเลยสักนิด"ได้ครับพี่กิฟท์"รุ่นพี่สาวเอ่ยขอบคุณก่อนจะรีบหันไปฉวยกระเป๋าถือแล้วเดินออกไป เพราะขณะนั้นเหลืออีกไม่กี่นาทีก็จะเลิกงานแล้ว เพื่อนร่วมงานคนอื่นต่างก็เริ่มเก็บของเพื่อกลับบ้านบ้าง ต่างกับธีระที่ใจตุ๊มๆ ต่อมๆ ขณะเดินไปเคาะประตูห้องของกฤตภาสก่อนจะเปิดเข้าไปเจ้าของห้องไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะ แต่ยืนกอดอกสูบบุหรี่อยู่ข้างหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้เล็กน้อย พอได้ยินเสียงเปิดประตูก็เพียงเหลือบตามามองโดยไม่ขยับตัว นัยน์ตาคมวาวดูดุดันจนเด็กหนุ่มเกือบจะก้าวถอยแค่ทำหน้าเฉยๆ ก็ไม่อยากเข้าใกล้พอแล้ว นี่ยังจะมาทำหน้ายักษ์ใส่อีก เขาไม่ใช่ลูกค้าที่ตัวเองเพิ่งไปทวงเงินมานะ!"คุณกฤตครับ พี่กิฟท์ขอให้ช่วยเซ็นไอ้นี่ให้ด้วยครับ ต้องรีบแฟกซ์ให้ซัพพลายเออร์วันนี้"ธีระเอ่ยพลางวางเอกสารลงบนโต๊ะ แต่กฤตภาสกลับหันไปนอกหน้าต่างแล้วก็สูบบุหรี่ต่อราวกับไม่เห็นอะไร สองขาที่ยืนนิ่งไม่ขยับช่างดูไม่ต่างจากต้นไม้ที่ฝังรากแก้วลงในดินเด็กหนุ่มรู้สึกว่าเส้นเลือดบนขมับเต้นตุบ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะรุ่นพี่ขอร้อง ให้ฟ้าถล่มดินทลายเขาก็ไม่ย่างกรายเข้ามาในห้องนี้ด้วยความสมัครใจเด็ดขาด แต่ยังไม่ทันจะออกปากเร่งก็ถูกเจ้าของห้องเอ่ยตัดหน้า"เธอนี่...ใครขอให้ทำอะไรก็ทำหรือไง?"กฤตภาสอัดควันเข้าปอดอีกครั้งก่อนจะเดินมานั่งลงที่โต๊ะ ปลายนิ้วแข็งแรงขยี้ก้นบุหรี่ลงกับที่เขี่ยโลหะทรงเหลี่ยม คำถามนั้นทำให้ธีระนึกโมโหเพราะรู้ว่ากำลังโดนหาเรื่อง"ถ้ามันไม่เหลือบ่ากว่าแรงผมก็ช่วยครับ อีกอย่างถ้าคุณไม่เซ็นผมก็ไม่เดือดร้อนหรอก ถึงยังไงนี่ก็บริษัทคุณ ถ้าอยากแกล้งลูกน้องให้ทำงานไม่ทันก็ตามสบาย"เสียงช่วงท้ายประโยคของเขาแตกพร่าเพราะเจ็บคอจนต้องหันไปกระแอม ฝ่ายกฤตภาสเลิกคิ้วนิดหนึ่งขณะหยิบปากกาขึ้นมาถอดปลอกออก จากนั้นก็ตวัดชื่อเป็นภาษาอังกฤษลงในช่องที่ทำเครื่องหมายไว้ให้"พูดอย่างกับตัวเองไม่ได้เป็นพนักงาน""ก็แค่เด็กฝึกงานที่ไม่ได้เงินเดือนหรือสวัสดิการ ผมไม่นับว่าตัวเองเป็นพนักงานหรอกครับ"ธีระเอ่ยจบก็นิ่วหน้าพลางกลืนน้ำลาย ดูเหมือนอาการเจ็บคอของเขาจะแย่กว่าเดิมจึงรีบเดินเข้าไปหยิบเอกสารเพื่อจะได้รีบออกจากห้อง แต่กฤตภาสกลับดึงกระดาษแผ่นนั้นไปก่อนที่ปลายนิ้วของเขาจะได้สัมผัส พอเขามุ่นคิ้วพลางเหลือบตาขึ้นก็สบตาเข้ากับคนที่กำลังมองมาอยู่แล้ว"บางทีฉันก็นึกสงสัยนะ ว่าเธอช่างต่อปากต่อคำแบบนี้กับทุกคนหรือเป็นแค่กับฉัน""นั่นน่ะ..."ยังไม่ทันเค้นคำโต้ให้จบประโยค ความระคายคอก็ทำให้ธีระชะงักก่อนจะหันหนีไปไอโขลกใหญ่ เขารีบเอามือป้องปากพลางไออย่างแรงจนแสบทั้งคอและหน้าอกไปหมด ขณะกำลังคิดว่าควรถอยไปตั้งหลักนอกห้องก่อนดีกว่าเพราะน้ำตาเล็ดไปหมดแล้ว ร่างสูงใหญ่ก็ลุกมายืนข้างๆ พร้อมกับยื่นแก้วน้ำให้ธีระเหลือบตาขึ้นมองอีกฝ่ายทั้งที่ยังเอามือป้องปาก แต่ก็เห็นเพียงใบหน้าเรียบเฉยจึงรับน้ำมาดื่มเพราะแสบคอจนแทบทนไม่ได้ เด็กหนุ่มพยายามสูดหายใจเข้าออกยาวๆ หลังกลืนน้ำทีละอึกๆ จนกระทั่งรู้สึกว่าอาการระคายคอทุเลาลง จึงค่อยยกหลังมือขึ้นปาดริมฝีปากพร้อมกับยื่นแก้วคืนด้วยความประดักประเดิดน่าขายหน้าเป็นบ้า..."...ขอบคุณครับ"เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างเสียไม่ได้ ไม่ทันไรก็สะดุ้งเมื่อกฤตภาสโน้มตัวลงยันแขนทั้งสองบนขอบโต๊ะโดยกักเขาไว้ตรงกลาง ลมหายใจที่พ่นลงบนหน้าผากทำให้นัยน์ตากลมโตเหลือบขึ้นอย่างระแวง"รู้รึเปล่าว่าทำไมฉันถึงไม่เคยยุ่งกับพนักงานในบริษัท?""ทำไมงั้นเหรอ...ในเมื่อคุณตั้งกฎแบบนั้นเองก็ต้องรู้เหตุผลอยู่แล้วสิ จะมาถามผมทำไม"ธีระตอบขณะถอยหนีขึ้นนั่งบนโต๊ะเพราะอีกฝ่ายขยับตัวเข้าประชิด ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มมุมปากที่ไม่น่าไว้วางใจของคนถาม ลมหายใจของเขาก็ยิ่งติดขัดเพราะรู้สึกถึงเค้าลางที่ไม่ค่อยดี"เหตุผลข้อแรก เพราะฉันไม่อยากให้พนักงานมัวแต่แข่งกันเรียกร้องความสนใจจนไม่เป็นอันทำงาน ส่วนเหตุผลข้อที่สอง เพราะฉันกลัวว่าเดี๋ยวจะตบะแตกในเวลางานซะเอง แต่ในเมื่อเธอไม่นับว่าตัวเองเป็นพนักงานที่นี่ แถมตอนนี้ก็นอกเวลางานแล้ว ดังนั้นก็ไม่ถือว่าฉันแหกกฎล่ะนะ"เด็กหนุ่มเบิกตากว้างเมื่อกฤตภาสดันไหล่เขาให้หงายหลังลงบนโต๊ะ จากนั้นร่างสูงใหญ่ก็แทรกตัวเข้ามายืนกลางหว่างขาแล้วก้มลงมาผนึกริมฝีปากพร้อมกับสอดมือเข้ามาใต้เสื้อ ฝ่ามือหนาใหญ่ป่ายปัดไปทั่วผิวกายขณะที่ปลายลิ้นอุ่นยื่นเข้ามาไล้เพดานลิ้นจนธีระสำลักลมหายใจ แต่แล้วเสียงคนพูดคุยและเสียงฝีเท้าที่ดังลอดประตูเข้ามาก็ทำให้เขาตระหนักว่าด้านนอกยังมีเพื่อนร่วมงานเหลืออยู่ ความตระหนกเพราะกลัวใครจะเข้ามาเห็นทำให้เด็กหนุ่มรวบรวมกำลังแล้วผลักกฤตภาสออกเต็มแรงร่างสูงใหญ่เซถอยไปเล็กน้อย เปิดโอกาสให้เด็กหนุ่มตะเกียกตะกายลงจากโต๊ะโดยมีเป้าหมายคือพุ่งไปที่ประตูห้องให้ไว้ที่สุด แต่ก็ยังช้ากว่ากฤตภาสที่ตั้งหลักได้แล้วและกระชากแขนเขากลับเข้าไปในอ้อมกอดอีกครั้ง "ลืมเอกสารแล้วหรือไง? ไหนบอกว่าต้องรีบเอาไปส่งแฟกซ์?"ผู้สูงวัยกว่าก้มลงกระซิบเสียงเบาก่อนจะไล้ปลายลิ้นบนติ่งหู สัมผัสนั้นทำให้ธีระขนลุกราวกับถูกไฟลวก เขาพยายามจะดันกฤตภาสออกแต่ก็สู้แรงที่โอบรัดไม่ไหว"คุณก็ปล่อยผมสักทีสิ!"ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติเขาคงตะโกนใส่ไปแล้ว แต่นี่เป็นห้องในบริษัทที่หากทำอะไรเสียงดังเกินไปอาจเล็ดลอดถึงหูคนนอกห้องได้ เด็กหนุ่มจึงทำได้เพียงกดเสียงต่ำขณะตะคอกอีกฝ่ายด้วยใบหน้าร้อนฉ่า"คืนนี้ฉันมีธุระเลยยังกลับไม่ได้ เอาคีย์การ์ดไปแล้วก็กลับไปรอที่ห้องซะ คืนนี้ฉันอาจจะกลับดึกหน่อย แต่ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ให้เธอเสียเวลามานอนเฉยๆ แน่"ถ้าหากกฤตภาสเป็นกองไฟ ธีระก็คิดว่าตอนนี้เขาคงถูกเผาจนเหลือแต่เถ้าถ่านไปแล้ว เพราะไม่ว่าจะการกระทำอุกอาจไม่เกรงใจหรือคำพูดหน้าด้านชวนระคายหู คนคนนี้ก็ดูจะไม่สะทกสะท้านกับการแสดงออกของตัวเองสักนิด"ไม่คิดบ้างรึไงว่าผมจะเอาคีย์การ์ดคุณแล้วหนีไปนอนที่อื่น?"เด็กหนุ่มพยายามใช้ศักดิ์ศรีที่เหลืออยู่ตอบโต้เพื่อให้รู้ว่าเขาไม่เต็มใจ แต่กฤตภาสกลับแค่นยิ้มเยือกเย็น"ฉันก็แค่แจ้งตำรวจว่าเธอขโมยทรัพย์สิน รับรองไม่เกินชั่วโมงก็หาตัวเจอแล้ว คืนนี้อยากนอนห้องฉันหรือฝากขังที่สถานีตำรวจล่ะ?"กฤตภาสเอ่ยพลางหยิบคีย์การ์ดออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แต่กลับสอดมันเข้าไปในกระเป๋ากางเกงด้านหลังของธีระก่อนจะตบมือลงบนสะโพกเพรียวเบาๆ จากนั้นก็เหลือบตาขึ้นยิ้มยียวนให้จนเด็กหนุ่มอยากจะเอาปากกาทิ่มลูกตาคู่นั้นให้บอด เวลาอยู่กับพวกผู้หญิงก็ใช้คำพูดคำจาแบบนี้รึไงกัน!?"เอ้า"ร่างสูงใหญ่ปล่อยมือจากเขาแล้วก็หันไปหยิบเอกสารบนโต๊ะมายื่นให้ ธีระจึงได้แต่เม้มปากอย่างข่มอารมณ์ขณะฉวยกระดาษมา แต่ยังไม่ทันก้าวไปถึงประตูก็ถูกสำทับไล่หลังจนอยากหันไปเขวี้ยงของใส่คนพูดซะให้ปากแตก จะได้เลิกพูดจากวนประสาทเขาเสียที"เย็นนี้กินข้าวแล้วก็อาบน้ำรอซะให้เรียบร้อยล่ะ ตอนจะนอนก็ไม่ต้องใส่อะไรนะ เว้นว่าอยากจะให้ฉันเป็นคนถอดให้" โอ๊ย! นี่เขาทำกรรมอะไรไว้ถึงต้องมาเจอกับคนโรคจิตพรรค์นี้นะ!!++------++หลังจากเก็บของและปิดคอมพิวเตอร์เรียบร้อย ธีระก็ติดรถรุ่นพี่มาลงที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งเพราะไม่อยากรีบตรงไปที่คอนโดของกฤตภาส หลังจากกินข้าวเย็นแล้วเขาก็ขึ้นไปที่ชั้นโรงภาพยนตร์เผื่อว่าจะมีหนังน่าสนใจให้ดูฆ่าเวลา แต่ปรากฏว่าเรื่องที่กำลังเข้าฉายนั้นมีแต่แนวสยองขวัญหรือไม่ก็รักโรแมนติกซึ่งไม่เข้ากับสภาพอารมณ์เขาสักเรื่อง สุดท้ายจึงตัดสินใจลงไปเดินเล่นที่แผนกเสื้อผ้าชายระหว่างรอเวลาห้างปิดปกติธีระไม่ค่อยซื้อเสื้อผ้าในห้างสรรพสินค้าเพราะหาแบบและไซส์ที่ถูกใจไม่ค่อยได้ อีกอย่างก็มีร้านที่ไปอุดหนุนประจำคือร้านของลูกพี่ลูกน้องที่ตลาดนัดจตุจักรในวันหยุดอยู่แล้ว แต่เพราะว่าลูกพี่ลูกน้องคนนั้นชอบถามโน่นนี่ซอกแซกจนเกินไปเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว หลังจากเลิกกับณรงค์แล้วเขาจึงไม่ได้แวะไปหามาเป็นเวลาหลายเดือนเสื้อตัวนี้แบบคล้ายๆ กับที่พี่รงค์ชอบใส่เลย ถ้าหากซื้อแล้วส่งไปให้เป็นของขวัญ...จะถูกมองว่าเขายังพยายามจะตามตื๊อหรือเปล่านะ...เด็กหนุ่มคิดขณะหยิบเสื้อตัวหนึ่งออกมาจากชั้นแขวน เสื้อตัวนั้นเป็นผ้ายืดเนื้อดีแขนสามส่วนแบบที่ณรงค์มักใส่เวลาไปทำงาน เขาพลิกดูไซส์แล้วก็เห็นว่าเป็นขนาดเดียวกับเสื้อที่ณรงค์ใส่ประจำจริงๆ จึงลองเอาไปยืนทาบตัวหน้าเสากลางร้านซึ่งติดกระจกเอาไว้"ถ้าเสื้อตัวนั้นอาจไซส์ใหญ่ไปหน่อยนะครับ ถ้าสนใจเดี๋ยวผมไปหยิบไซส์เล็กมาให้""อ๋อ ไม่ต้องหรอกครับ ผมดูไปให้คนอื่นน่ะครับ"ธีระหันไปยิ้มตอบพนักงานที่เดินเข้ามาแนะนำ ก่อนจะตัวแข็งทื่อเมื่อมองเลยไปเห็นใครคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาในร้าน ใบหน้าหล่อคมแบบลูกครึ่งนั้นติดตรึงในความทรงจำจนเพียงแค่ได้เห็นแวบแรกก็จำได้ทันทีผู้ชายคนที่มัดหัวใจของพี่รงค์จนปันใจให้เขาไม่ได้ผู้ชายคนนั้นเดินเข้าร้านมากับหนุ่มลูกครึ่งอีกคนที่ตัวสูงกว่าเล็กน้อย ทั้งสองมัวพูดคุยกันจนไม่ได้สังเกตเห็นเขา ธีระจึงรีบเข้าไปหลบข้างชั้นเสื้อผ้าขณะรอให้ทั้งคู่เดินผ่านไป เมื่อลองยื่นหน้าออกมาอีกครั้งก็เห็นว่าสองคนนั้นกำลังยืนเลือกเสื้ออยู่ชั้นเยื้องๆ กันนี่เอง อะไรกัน...พอลับหลังพี่รงค์ก็ออกมาเที่ยวกับผู้ชายคนอื่นเหรอ นี่เห็นพี่รงค์เป็นของเล่นหรือยังไง...ธีระรู้ดีว่าถึงอย่างไรณรงค์ก็ไม่มีวันเห็นเขาเป็นคนสำคัญ จึงได้พยายามจะมองว่าฝ่ายนั้นเป็นพี่ชายตามที่เจ้าตัวเคยบอกตอนที่พบกันเป็นครั้งสุดท้าย แต่ถ้าหากว่าเจ้าหนุ่มลูกครึ่งนี่แอบมาคบคนอื่นลับหลังให้พี่รงค์เสียใจ เขาไม่มีวันยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปเฉยๆ แน่เด็กหนุ่มหันไปแขวนเสื้อในมือกลับเข้าที่ จากนั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวตามสองหนุ่มลูกครึ่งที่เดินเลือกเสื้อผ้าไปเรื่อยๆ โดยระวังไม่ให้รู้ตัว ขณะที่เข้าไปใกล้พอที่จะแอบถ่ายรูปด้วยโทรศัพท์มือถือจากมุมเฉียงด้านหลัง เสียงสนทนาเป็นภาษาอังกฤษก็ลอยผ่านอากาศมาเข้าหูของเขา"Why don't you bring Narong with you so he can choose whatever he wants to wear himself?""James. I asked you to come with me so you can help me choose his birthday present, if you don't want to help then get the hell out.""Yeah right. I feel so honored to help my cousin pick a gift for his boyfriend.""Shut the fuck up and tell me what you think about this color. He doesn't have any green shirt in his wardrobe."บทสนทนาระหว่างทั้งสองเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงออสเตรเลียที่ค่อนข้างฟังยาก แต่ธีระก็จับใจความได้มากพอที่จะรู้ว่าเรื่องราวไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด ผู้ชายคนนี้ไม่ได้นอกใจณรงค์ และผู้ชายอีกคนที่มาด้วยกันก็เพียงแค่เป็นลูกพี่ลูกน้องนี่เขากำลังทำบ้าอะไรอยู่..."ขอโทษนะครับ เดี๋ยวเสื้อมันจะยับนะครับ""อ๊ะ ขอโทษครับ"ธีระเพิ่งรู้สึกตัวว่าเขาเผลอขยำไหล่เสื้อสูทบนราวแขวนจนยู่ยี่เมื่อมีพนักงานเดินเข้ามาเตือน เสียงของทั้งคู่เรียกความสนใจจากหนุ่มลูกครึ่งทั้งสองให้หันมามอง ทันทีที่สบตากับเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนซึ่งหรี่ตามองเขาเหมือนคุ้นหน้า ธีระก็รีบหันหลังแล้ววิ่งออกไปจากร้านทันทีไม่นะ... ผู้ชายคนนั้นคงจะจำเขาไม่ได้ใช่ไหม...เด็กหนุ่มออกวิ่งผ่านร้านค้าซึ่งอยู่บนชั้นเดียวกันแล้วก็รีบเลี้ยวลงบันไดเลื่อน เขาหันไปมองด้านหลังเป็นระยะราวกับกลัวว่าหนุ่มลูกครึ่งคนนั้นจะตามมา แต่หลังจากที่หนีมาจนถึงชั้นล่างสุด ผลักคนที่ขวางทางไปก็หลายคนจนได้หลบเข้าไปในห้องน้ำชาย เด็กหนุ่มก็หายใจหอบพร้อมกับตระหนักได้ว่าเขาไม่มีเหตุผลที่ต้องวิ่งหนีเลยสักนิดเดียวในห้องน้ำว่างโล่งเพราะใกล้จะถึงเวลาที่ห้างปิดทำการ ธีระจึงเดินอย่างกะปลกกะเปลี้ยไปเปิดก๊อกน้ำเพื่อล้างหน้า หลังจากเอาน้ำเย็นลูบหน้าแรงๆ หลายๆ ครั้งแล้วก็เงยหน้าขึ้นมองกระจก ภาพที่เห็นมีแต่แววตาซึ่งเต็มไปด้วยความละอายและอดสูที่จ้องมองเขากลับมาทำไมเมื่อกี้ถึงได้คิดบ้าๆ ถึงขั้นจะแอบถ่ายรูปสองคนนั้นแล้วส่งไปให้พี่รงค์ได้นะ ถึงชีวิตคู่ของพวกเขาจะไปได้ดีหรือระหองระแหงก็ไม่ใช่ธุระกงการของเขาไม่ใช่หรือไง...อยากให้พี่รงค์มองว่าเราลดตัวลงไปกลายเป็นพวกโรคจิตหรือยังไงกัน...ความคิดนั้นทำให้หัวใจของเด็กหนุ่มหนาวยะเยือก ธีระยังจำได้ดีถึงวันที่ณรงค์นัดพบเพื่อปรับความเข้าใจให้ตรงกันเรื่องสถานะของพวกเขา ตอนนั้นเขาแอบหลบพวกเพื่อนๆ ออกไปพบอีกฝ่ายตามนัดเพราะไม่อยากให้มาก่อกวนณรงค์ และเนื่องจากว่าเขาร้องไห้ไปก่อนหน้านั้นเป็นอาทิตย์ตั้งแต่ตอนที่เห็นจดหมายซึ่งณรงค์เขียนทิ้งไว้ให้ในเช้าวันสุดท้ายที่ยังเป็น 'คนรัก' กัน เขาจึงไม่เหลือน้ำตาจะหลั่งยามที่ได้เห็นหน้าเจ้าตัวอีก"ไม่มีอะไรที่พี่จะทำแล้วชดเชยความผิดให้กับตี้ได้เลยนอกจากเป็นพี่ชายที่ดีให้ แต่ว่าตี้ยังต้องเติบโตไปทำความรู้จักคนอื่นอีกมาก และพี่รู้ว่าน้องชายคนนี้เข้มแข็งพอที่จะเดินต่อไปได้ถึงแม้จะไม่มีพี่""พี่รงค์...ตอนที่คบกัน...มีสักแวบไหมที่พี่รงค์ไม่ได้มองว่าตี้เป็นแค่น้องชาย?"เด็กหนุ่มถามด้วยเสียงแหบโหย ขณะที่คนถูกถามหลุบตาลงมองมือสองข้างที่ประสานกันอยู่บนโต๊ะครู่หนึ่ง"...ถึงตอนนี้คำตอบของพี่ก็คงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว พี่อยากให้ตี้มองไปถึงอนาคตข้างหน้ามากกว่า อนาคตที่ตี้มีโอกาสที่จะมีความสุขมากกว่าตอนนี้"ณรงค์ตอบก่อนจะยื่นมือมาลูบผมเขาเบาๆ และธีระก็รู้ดี...นั่นเป็นความอ่อนโยนที่มากที่สุดเท่าที่อีกฝ่ายจะมอบให้ได้ก่อนจากกัน จะไม่มีอ้อมกอด รอยจูบ หรือการกระทำที่มากกว่านั้นเพื่อปลอบโยนหลังจากถ้อยคำที่บอกชัดว่าชีวิตของพวกเขานับแต่นี้จะต่างคนต่างไปถึงแม้จะคิดว่าน้ำตาเหือดแห้งไปหมดแล้วตลอดหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่ณรงค์จะนัดพบ แต่ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดเหล่านั้นจะสามารถเปิดทำนบน้ำตาของเขาให้ไหลทะลักอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีเพียงหยาดน้ำที่ไหลพรากโดยที่ธีระไม่ฟูมฟายหรือกรีดร้องเลยสักแอะเดียวรักครั้งแรกของเขาจบแล้ว...จบลงที่บทสรุปว่าเขาคืออุบัติเหตุซึ่งบังเอิญจับพลัดจับผลูเข้าไปขวางเส้นทางรักของคนอื่น สุดท้ายจึงต้องถูกดีดออกมาในฐานะที่เป็นส่วนเกินตอนนั้นเขาไม่รู้ว่าศันสนีย์กับสุเมธรู้ได้อย่างไรว่าเขานัดคุยกับณรงค์ที่ไหน แต่หลังจากที่พวกเขาคุยกันเสร็จและแยกย้ายกันเรียบร้อย เพื่อนทั้งสองก็เดินเข้ามาหาเขาพลางจูงกลับไปที่รถของศันสนีย์ ก่อนที่ทั้งคู่จะโอบกอดและลูบหลังไหล่เขาที่ก้มหน้าร้องไห้จนตัวโยนด้วยความเข้าอกเข้าใจ ไม่มีคำปรามาศว่าเขาโง่หรือด่าทอณรงค์ให้ได้ยิน มีเพียงถ้อยคำให้กำลังใจและขอให้เขาระบายความอัดอั้นตันใจออกมาเสียให้พอแล้วหลังจากนั้นเขาก็ไม่ร้องไห้ให้ใครเห็นอีกเลย...เด็กหนุ่มก้าวออกมานอกห้างสรรพสินค้าขณะที่พายุฝนกำลังซัดกระหน่ำ กระแสลมโบยตีจนกิ่งไม้ลู่ลมไปในทิศเดียวกัน เสียงน้ำฝนเม็ดใหญ่ๆ ที่ร่วงกระทบพื้นแข่งกับเสียงฟ้าร้องเบื้องบนจนดังเสียดแก้วหู แต่เขาไม่อาจกลับเข้าไปหลบฝนในห้างได้เพราะเป็นเวลาปิดทำการแล้ว แถวผู้โดยสารที่ต่างพยายามโบกเรียกรถแท็กซี่อย่างไร้ผลก็ทำให้เขารู้ว่าตนคงไม่อาจไปไหนได้ด้วยวิธีนั้นเช่นเดียวกัน เด็กหนุ่มหยีตาขึ้นมองสายฟ้าที่แลบเป็นสายคดเคี้ยวก่อนจะตามมาด้วยเสียงกัมปนาท ไม่นานเสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ชุ่มน้ำฝนจนเปียกไปถึงผิวกาย เขารู้ดีว่าเสื้อผ้าที่อยู่ในกระเป๋าเป้ก็คงเปียกโชกไปหมดแล้วแต่หาได้ใส่ใจ เพราะความหนาวเหน็บในยามนี้ดูจะเป็นยาชาที่ดีที่สุดให้แก่ใจที่บอบช้ำจากความทรงจำครั้งเก่าก่อน จริงสิ...ต้องไปห้องคุณกฤต...ความคิดนั้นผุดขึ้นในสมองอันมึนชาราวกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เพิ่งถูกกู้ได้สำเร็จ เด็กหนุ่มหันหนีจากแถวของผู้คนนับร้อยที่กำลังยืนเบียดเสียดริมถนนเพื่อแย่งรถแท็กซี่ จากนั้นก็ออกเดินไปบนฟุตบาทเพื่อมุ่งสู่สถานที่ที่เขารู้ดีว่าจะช่วยให้ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ได้ชะงัดที่สุด++--------++ป่านนี้แล้วยังไม่มา...ไปติดฝนอยู่ที่ไหนนะ...กฤตภาสคิดขณะนั่งมองพายุฝนซึ่งโหมกระหน่ำอยู่ด้านนอกจากภายในห้องนั่งเล่น เขาไม่ได้เปิดไฟสักดวงเพราะจู่ๆ ก็นึกอยากซึมซับความงามในความพิโรธของธรรมชาติ หลังจากกลับมาถึงห้องจึงเพียงแค่อาบน้ำแล้วก็หยิบเสื้อคลุมอาบน้ำมาใส่ จากนั้นก็เทวิสกี้ใส่แก้วมานั่งดื่มพลางชื่นชมการแสดงแสงเสียงของท้องฟ้าไปเรื่อย ชายหนุ่มไม่คิดจะโทรศัพท์ตามธีระ เขาเดาได้ว่าเด็กหนุ่มคงเจตนาจะเล่นแง่เพื่อไม่มาที่ห้อง หรือไม่เช่นนั้นก็รั้งเวลาเพื่อมาให้ดึกที่สุด และบังเอิญที่พายุฝนซึ่งเทเป็นฟ้ารั่วก็เหมาะที่ฝ่ายนั้นจะใช้เป็นข้ออ้างพอดี เพราะขนาดเขาเองยังต้องใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงกว่าจะขับรถกลับมาถึงคอนโดมือใหญ่หยิบแก้ววิสกี้ขึ้นดื่มก่อนจะหลับตาแล้วเอนพิงพนัก ความว้าวุ่นใจเมื่อช่วงบ่ายสงบลงหลังได้เจอเพื่อนซึ่งเป็นทนายความและมีเส้นสายที่จะช่วยให้เขาได้เงินค่าจ้างจากลูกค้าที่พยายามจะบิดพลิ้ว ถึงแม้ในการทำธุรกิจนั้นการรักษาหน้าของลูกค้าจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่หากลูกค้ารายนั้นเป็นลูกค้าชั้นเลว เขาก็มีวิธีจัดการในแบบของเขาเพื่อไม่ให้น้ำพักน้ำแรงที่ทุ่มไปต้องเสียเปล่าเช่นกันนัยน์ตาคมกริบปรือขึ้นเมื่อได้ยินเสียง 'ฟืด' เบาๆ เหมือนมีคนรูดคีย์การ์ดที่หน้าห้อง ตามมาด้วยเสียงเปิดและปิดบานประตู เขาได้ยินเสียงเฉอะแฉะจากรองเท้าชุ่มน้ำซึ่งถูกถอดออก ก่อนจะตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาในห้องโดยไม่เปิดไฟ"ไม่กลัวเดินชนอะไรเข้าหรือไง? หรือไม่รู้ว่าสวิทช์ไฟอยู่ตรงไหน?"กฤตภาสเอ่ยถามด้วยระดับเสียงที่ดังกว่าปกติเพื่อให้ดังกว่าเสียงฝน เขาได้ยินเสียงคล้ายกับคนอุทานด้วยความตกใจจึงหันไปทางนั้น สายฟ้าซึ่งสว่างวาบขึ้นเผยให้ทั้งสองมองเห็นกันและกันได้อย่างชัดเจนวูบหนึ่ง"ผมน่าจะถามคุณมากกว่าว่าทำไมไม่เปิดไฟ มานั่งทำอะไรอยู่ได้ในห้องมืดๆ"เสียงของคนถามเหนื่อยอ่อนและดูเหมือนฟันจะสั่นกระทบกัน ซึ่งไม่น่าแปลกใจหากพิจารณาจากสภาพเปียกปอนที่กฤตภาสได้เห็นเมื่อครู่ เขาหมุนแก้วให้ความเย็นจากน้ำแข็งกระจายทั่วแล้วกระดกวิสกี้ขึ้นดื่มจนหมด"นานๆ ทีฉันก็นึกครึ้มอยากมองฟ้าแลบฟ้าร้องไปตามเรื่อง เธอนั่นแหละทำไมตัวเปียกได้ขนาดนั้น หรืออยากรีบมาหาฉันจนไม่นั่งแท็กซี่เลยหรือไง?"ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืนก่อนจะก้าวไปหาธีระ เนื่องจากเขานั่งในความมืดมานานพอสมควร สายตาจึงชินกับความมืดสลัวจนมองเห็นร่างของเด็กหนุ่มที่ยืนเป็นเงาตะคุ่มๆ อยู่กลางห้องนั่งเล่น เขาเดินเข้าไปแล้วก็ยกมือแนบบริเวณผิวแก้มเนียนลื่น และพบว่าสัมผัสที่ได้รับเย็นเฉียบจนเรียวคิ้วหนาขมวดมุ่นตัวเย็นขนาดนี้คงไม่ใช่ว่าเพิ่งจะตากฝนมาไม่นานแน่ เด็กคนนี้มาถึงนี่ด้วยวิธีไหนกัน"เมื่อเย็นไปไหนมา?""ไปเดินเล่นในห้าง พอห้างปิดผมเลยออกมาก็เห็นว่าฝนตกหนักแล้ว จะเรียกแท็กซี่ก็คิวยาว เลยเดินฝ่าฝนไปลงรถไฟฟ้า แล้วก็โบกมอเตอร์ไซค์ให้มาส่งหน้าคอนโด"ธีระตอบอย่างว่าง่ายผิดปกติ แต่กฤตภาสฟังแล้วกลับไม่สบอารมณ์ เพราะดูเหมือนคนพูดจะไม่ได้ตระหนักเลยว่าตัวเองทำเรื่องอันตรายเพียงใดที่นั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ในสภาพอากาศเลวร้ายเช่นนี้"ไปอาบน้ำซะ ฉันไม่อยากกอดคนเป็นหวัด"กฤตภาสรู้ตั้งแต่เมื่อตอนเย็นแล้วว่าธีระไม่ค่อยสบาย แต่ก็ไม่ได้คาดว่าเด็กหนุ่มจะบ้าบิ่นถึงขั้นไม่ใส่ใจอาการของตัวเองแล้วตากฝนมาหา แต่พอจะเดินไปทางสวิทช์ไฟก็ชะงักเพราะถูกอ้อมแขนของคนตัวเล็กกว่ารั้งเอวไว้ร่างสูงใหญ่หยุดการเคลื่อนไหวทันที ทุกครั้งจะมีแต่เขาที่เป็นฝ่ายเข้าหาและสัมผัสเด็กหนุ่มก่อนเสมอ นี่เป็นครั้งแรกที่ธีระเป็นฝ่ายเริ่ม ความแปลกใจทำให้กฤตภาสอึ้งไปอึดใจหนึ่ง"เป็นอะไรไป?""อย่าเปิดไฟนะ"คนพูดไถศีรษะไปมาบนแผ่นหลังเขาราวกับเด็กน้อยที่กำลังออดอ้อน แต่กฤตภาสรู้ว่าธีระไม่มีวันทำเช่นนี้กับเขาในสภาพอารมณ์ปกติแน่ จึงค่อยๆ ดึงอ้อมแขนที่โอบรอบเอวออกแล้วหมุนตัวกลับไปหา"ทำไม?"ฟ้าแลบปลาบอีกครั้ง เผยให้เห็นเสี้ยวหน้าของธีระซึ่งกำลังเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาเว้าวอน ภาพที่เห็นทำให้กฤตภาสขมวดคิ้วอีกครั้ง "เธอ..."ชายหนุ่มได้แปลกใจอีกคำรบเมื่ออ้อมแขนเย็นเฉียบโน้มลำคอเขาลงไปหา ขณะที่เจ้าตัวเขย่งเท้าขึ้นเพื่อจูบเขา สัมผัสของปลายลิ้นร้อนผ่าวซึ่งตัดกับริมฝีปากเย็นชืดเป็นเพียงสิ่งเดียวที่บ่งบอกว่าคนตรงหน้าไม่ใช่ร่างลวงของภูตพรายที่มากับสายฝน"อย่าเปิดไฟ...แล้วคืนนี้ผมจะให้ทุกอย่างที่คุณต้องการ ผมขอร้อง"คำขออันไม่เป็นเหตุเป็นผลทำให้กฤตภาสตามความคิดของเด็กหนุ่มไม่ทัน แต่เมื่อธีระเริ่มสอดมือเข้ามาใต้เสื้อคลุมอาบน้ำของเขาแล้วลูบไล้ไปมา ขณะเดียวกันก็พรมจูบไปตามซอกคอและแผ่นอก เขาก็ไม่คิดจะสืบสาวราวเรื่องอีกว่าอะไรทำให้เด็กหนุ่มแปลกไปในคืนนี้"แน่ใจนะว่าทุกอย่าง แม้กระทั่ง...."กฤตภาสก้มลงกระซิบคำพูดที่เหลือข้างหูของเด็กหนุ่ม ขณะเดียวกันก็ยกมือขึ้นปลดกระดุมบนเสื้อที่เปียกจนแนบเนื้อตัวให้ เขาได้ยินเสียงลมหายใจที่ติดขัดของอีกฝ่ายหลังจากเอ่ยคำขอของตัวเองจบ แต่แล้วก็เห็นศีรษะที่ผงกให้ในความสลัว"ได้...ขอแค่อย่าเปิดไฟก็พอแล้ว"เสียงนั้นเบาและแหบพร่า กฤตภาสจึงแค่นยิ้มพลางถอดเสื้อผ้าที่เปียกโชกของธีระออกจนร่างกายที่เย็นเฉียบเปลือยเปล่า จากนั้นก็ช้อนตัวเด็กหนุ่มขึ้นอุ้มแล้วเดินเข้าไปในห้องนอน ธีระเบียดตัวเข้าหาเขาพร้อมกับยกสองแขนขึ้นมาโอบรอบคอราวกับจะขอแบ่งปันไออุ่น ท่าทางออดอ้อนนั้นทำให้กฤตภาสนึกเอ็นดูจนก้มลงไปแนบริมฝีปากบนเรือนผมที่เปียกชื้นทีหนึ่ง สายฟ้าภายนอกที่วาบขึ้นเป็นระยะสั้นๆ เผยให้เขาเห็นนัยน์ตากลมโตบนใบหน้าเนียนที่กำลังหลุบต่ำกฤตภาสวางเด็กหนุ่มบนเตียงก่อนจะขยับขึ้นนั่งแล้วเอนหลังพิงหมอน เขารั้งท้ายทอยธีระเข้ามาจูบพร้อมกับใช้ฝ่ามือลูบไล้ไปทั่วเพื่อให้ผิวกายที่เย็นชืดอบอุ่นขึ้น กระทั่งเริ่มรับรู้ได้ว่าคนในอ้อมแขนไม่หนาวสั่นเหมือนตอนแรกที่เข้ามาในห้องแล้ว ชายหนุ่มจึงค่อยๆ ดันไหล่ของเด็กหนุ่มที่นั่งคร่อมบนตักให้ถอยต่ำลงพลางแยกขาออกกว้างลมหายใจซึ่งร้อนผ่าวและหนักหน่วงเป่ารดบนหน้าท้องของเขา ก่อนที่ปลายนิ้วเรียวจะค่อยช้อนความเป็นชายของเขาขึ้นและลูบไล้ไปมา จากนั้นสัมผัสอุ่นชื้นก็ตวัดไล้บนส่วนปลายก่อนที่โพรงปากอุ่นจะค่อยๆ ดูดกลืนความแข็งแกร่งเมื่อธีระขยับศีรษะขึ้นลงเป็นจังหวะกฤตภาสแหงนหน้าขึ้นหลับตาพลางดื่มด่ำกับกามารมณ์ที่เด็กหนุ่มมอบให้ ลมหายใจของเขากระชั้นถี่ขณะสอดมือข้างหนึ่งเข้าในเรือนผมหมาดชื้นของคนที่กำลังปรนเปรอเพศรสให้ตามที่ถูกขอ จนเมื่อธีระเร่งจังหวะเร็วและรับแก่นกายของเขาเข้าในช่องปากมากขึ้น สายฟ้าที่แลบเป็นช่วงก็ทำให้กฤตภาสได้เห็นภาพของเด็กหนุ่มที่กำลังก้มหัวปรนนิบัติแก่นกายของเขาจนอารมณ์ดิบพุ่งทะยานเกินจะทนไหวมือใหญ่รั้งศีรษะธีระให้อยู่กับที่ขณะบังคับให้ดูดกลืนไอรักของเขาให้หมด กระทั่งรับรู้ได้ว่าไม่หลือหยาดหยดตกค้างอีกแล้วจึงค่อยผ่อนแรงที่กดคออีกฝ่ายไว้ เขามองเด็กหนุ่มลุกจากเตียงแล้วเดินหายไปในห้องน้ำพลางฟังเสียงเปิดก๊อกและบ้วนปากโดยไม่ได้ลุกตามไป กระทั่งเมื่ออีกฝ่ายเดินกลับมานั่งบนเตียง เขาจึงค่อยดันร่างเพรียวสมส่วนให้เอนหงายก่อนจะเป็นฝ่ายเข้าทาบทับบ้าง เขาไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มจงใจหรือไม่ แต่ท่วงท่าเร่าร้อนที่เจ้าตัวแสดงออกยามถูกล่วงล้ำก็ราวกับคำเชิญชวนให้เขาตักตวงความสุขได้ตามใจจนกว่าจะอิ่มหนำ และกฤตภาสก็พร้อมจะให้ตามที่ขอในเมื่อเขาทนอึดอัดยามค่ำคืนเพื่อรอวันนี้มาตลอดหนึ่งสัปดาห์เต็มๆเขาไม่รู้หรอกว่าคืนนี้ธีระแปลกไปเพราะอะไร ในเมื่อการยอมตามใจอีกฝ่ายจะทำให้เขาได้กำไรขนาดนี้ เรื่องสาเหตุอะไรนั่นค่อยไปสืบหาเอาภายหลังก็ยังไม่สาย... ++---TBC---++A/N: ตอนนี้ใครที่คิดถึงณรงค์กับไรอันคงได้กรี๊ดกันที่ได้เห็นสองคนนี้โผล่มากันคนละแว้บ (รวมถึงตาเจมส์อีกคน) ส่วนใครที่ไม่ชอบณรงค์ตั้งแต่เรื่องก่อน คาดว่ามาอ่านตอนนี้คงยิ่งรังเกียจเฮียเข้าไปใหญ่ (เขาก็เอาแต่ใจเพราะพิษรักจากไรอันล่ะนะ เอิ๊ก) จากตอนนี้ก็จะเข้าสู่จุดเปลี่ยนในความสัมพันธ์ของตากฤตกับน้องตี้แล้วล่ะค่ะ มีซีนอารมณ์ที่เขียนไปต้องถอนหายใจเฮือกๆ ตามเลยทีเดียว ใน "แค่สบตา ก็รู้ว่ารัก" นึกว่าน้องภัทรเจ็บแล้วที่โดนทิ้ง แต่ตอนนี้รู้สึกว่าน้องตี้จะขึ้นแท่นนายเอกสุดโศกอันดับหนึ่งของเราไปแล้วนะนี่ ยังไงฝากตามให้กำลังใจน้องตี้กันต่อไปนะคะ ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ในตอนก่อนและสำหรับตอนนี้ด้วยค่ะ