Group Blog
 
All blogs
 

ขอเพียงเอ่ยว่ารัก ตอนพิเศษ คำหวานคืนปีใหม่ (ไทย)

แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ


++------++


ขอเพียงเอ่ยว่ารัก ตอนพิเศษ คำหวานคืนปีใหม่ (ไทย)


ในวันที่สิบสองเมษาซึ่งบางหน่วยงานเริ่มหยุดเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ไทย พนักงานบางคนก็ลางานไว้ล่วงหน้าเพื่อกลับไปเยี่ยมบ้านที่ต่างจังหวัด แต่ในบริษัทที่ดูแลด้านการขนส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์กลับไม่ปิดทำการตลอดวันหยุดยาว และพนักงานต้องผลัดเปลี่ยนกันมาทำงานในวันที่คนอื่นๆ ได้รื่นเริงกับเทศกาลกันแล้ว

หลังกลับจากทานข้าวกลางวันที่ตลาดซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริษัท ขณะที่เกื้อวรุณกำลังตรวจสอบความเรียบร้อยของใบนำส่งสินค้าในช่วงบ่าย พนักงานสาวรุ่นน้องคนหนึ่งก็เดินมาข้างโต๊ะแล้วสะกิดไหล่เขา

"พี่เกื้อขา ยุ่งอยู่หรือเปล่าคะ?"

"หือ? ไม่หรอก เอิงมีอะไรเหรอ?"

เกื้อวรุณเงยหน้าขึ้นยิ้มให้คนถาม รุ่นน้องสาวจึงยื่นมือมาดึงแขนเขาให้ยืนขึ้นด้วยท่าทางกระตือรือร้น

"ไปรดน้ำดำหัวคุณมนตรีกันค่ะ นี่ฝ่ายบุคคลเพิ่งดักแกไว้ที่ชั้นล่างตอนกลับจากไปหาลูกค้า เอิงเลยมาตามพี่เกื้อให้ลงไปด้วยกัน"

ชายหนุ่มเลิกคิ้วอย่างงุนงง แต่ก็ยอมลุกขึ้นและเดินตามรุ่นน้องลงไปชั้นล่างแต่โดยดี วันนี้พนักงานในบริษัทค่อนข้างบางตาเนื่องจากบางคนลาหยุดไปแล้ว แต่ก็ยังเหลือคนที่มาทำงานอยู่เกือบยี่สิบคน

"อ้าว คุณเกื้อมาแล้ว"

แพรวพรรณซึ่งเพิ่งเข้ามาทำตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายบุคคลได้ไม่นานแย้มยิ้มเมื่อเห็นเกื้อวรุณเดินมาถึงโถงชั้นล่าง ความจริงแล้วตำแหน่งนี้เมื่อก่อนเขาก็ต้องดูแลควบไปกับตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป แต่เพราะจำนวนพนักงานที่เพิ่มขึ้น ทำให้ต้องปรึกษากับมนตรีเพื่อหาคนที่มีความถนัดทางด้านนี้มารับผิดชอบโดยตรง

"อ้อ...เข้ากันดีนะครับพี่มนตรี"

เกื้อวรุณเอ่ยยิ้มๆ เมื่อเห็นว่ากรรมการผู้จัดการถูกแต่งตัวในเสื้อเชิ้ตแขนสั้นลายดอกสีชมพูสดใส รอบคอมีพวงมาลัยดอกดาวเรืองสีเหลืองเข้มคล้องอยู่ ส่วนแก้มสองข้างก็ถูกประแป้งน้ำเป็นลายนิ้วมือ ซึ่งเขาเดาได้ไม่ยากว่าเป็นฝีมือของใคร

เป็นหัวหน้าฝ่ายบุคคลที่ไฟแรงดีจริงๆ...

มนตรีทำหน้ายิ้มแบบเสียไม่ได้ เพราะผู้สูงวัยไม่รู้มาก่อนว่าจะถูกพนักงานจัดเซอร์ไพรส์ให้เช่นนี้ เนื่องจากตั้งแต่เปิดบริษัทมาเมื่อหกปีก่อนก็ไม่เคยทำกิจกรรมในวันปีใหม่ไทยกันสักครั้ง

"ไม่ใช่พี่คนเดียวก็แล้วกัน ไหนคุณแพรวบอกว่าเตรียมเสื้อกับพวงมาลัยให้เกื้อไว้ด้วยไม่ใช่เหรอ?"

ท้ายประโยคมนตรีหันไปถามหัวหน้าฝ่ายบุคคลสาว ซึ่งได้รับคำตอบเป็นรอยยิ้มกว้าง พร้อมกับเสื้อเชิ้ตลายดอกสีฟ้าสดใสบนพื้นขาวที่มีคนเอามายื่นส่งให้เธอถึงมือ

"ใช่แล้วค่า ไหนๆ คุณเกื้อก็เป็นพนักงานอาวุโสที่อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เริ่มเปิดบริษัท ถ้างั้นก็มานั่งเป็นผู้ใหญ่คู่กันกับคุณมนตรีให้น้องๆ รดน้ำขอพรกันดีกว่าค่ะ"

"เอ๋? เอ่อ...คุณแพรวพูดจริงเหรอครับ?"

เกื้อวรุณกะพริบตาปริบด้วยไม่อยากเชื่อหู แต่แล้วก็ถูกยื่นเสื้อเชิ้ตมาให้พร้อมกับมีคนรุนหลังไปทางห้องน้ำ ครั้นจะปฏิเสธก็เกรงจะดูเหมือนไม่ยอมมีส่วนร่วมกับบริษัท จึงได้แต่เดินเข้าห้องน้ำเพื่อไปเปลี่ยนเสื้ออย่างจนใจ

"...อ้าว? เกื้อ ทำไมใส่เสื้ออย่างนั้นล่ะ?"

น้ำเสียงอันคุ้นเคยที่แสดงความแปลกใจดังขึ้นจากด้านหลัง เกื้อวรุณที่เพิ่งเปลี่ยนเสื้อเสร็จและกำลังมองตัวเองในกระจกห้องน้ำจึงหันไปทางต้นเสียง

"ก็ถูกบังคับให้ต้องไปนั่งคู่กับพี่มนตรีให้น้องๆ รดน้ำขอพรวันสงกรานต์น่ะสิ คริษฐ์อยู่ชั้นล่างนี่ ไม่เห็นเขาตั้งโต๊ะเตรียมให้รดน้ำที่ห้องรับแขกเหรอ?"

เกื้อวรุณถามพลางเอามือลูบรอยพับบนเสื้อที่บ่งบอกว่าเป็นของใหม่ไปด้วย คริษฐ์จึงส่ายหน้าโดยไม่ละสายตาจากคนตรงหน้า มุมปากได้รูปยกขึ้นเล็กน้อยอย่างชอบใจ

"ไม่เห็น ผมเพิ่งกลับจากไปข้างนอกมาแล้วเข้ามาทางประตูหลัง ว่าจะเข้าห้องน้ำมาล้างหน้าซะหน่อย ว่าแต่เกื้อแต่งแบบนี้น่ารักดีนะ"

คำชมนั้นทำให้เกื้อวรุณยิ้มเขินๆ อย่างอดไม่ได้ ก็ผู้ชายอายุสามสิบมาโดนผู้ชายด้วยกันชมว่าน่ารักมันคุ้นหูอยู่เสียเมื่อไหร่

ต่อให้คนชมจะมีสถานะพิเศษสำหรับเขาอยู่แล้วก็เถอะ...

"งั้นเดี๋ยวขอออกไปก่อนก็แล้วกันคนอื่นจะได้ไม่รอนาน คริษฐ์ล้างหน้าเสร็จก็ตามมาล่ะ"

ชายหนุ่มที่เด็กกว่าหลายปี แต่รูปร่างสูงใหญ่บึกบึนเกินอายุพยักหน้าพลางเบี่ยงตัวให้เขาได้ออกจากห้องน้ำ เมื่อเกื้อวรุณมาถึงห้องรับแขกก็พบว่าตนถูกจัดให้นั่งเก้าอี้ข้างๆ มนตรี บนโต๊ะตัวเตี้ยด้านซ้ายของอีกฝ่ายมีขันเงินใบใหญ่ใส่น้ำที่เหยาะแป้งหอมไว้และมีขันเล็กสำหรับตักอยู่ข้างใน ส่วนตรงหน้าทั้งคู่มีถังน้ำพลาสติกคนละใบสำหรับไว้รองน้ำที่เด็กๆ จะมารด

"งั้นแพรวเริ่มก่อนเลยแล้วกันนะคะ สวัสดีปีใหม่ค่ะคุณมนตรี ปีนี้ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ"

"ขอบคุณมาก ขอให้เป็นปีที่ดี เจอแต่สิ่งดีๆ นะ"

มนตรีกล่าวตอบขณะให้พรกลับ ฝ่ายเกื้อวรุณรู้สึกเก้ๆ กังๆ เนื่องจากปกติเคยแต่เป็นฝ่ายรดน้ำคนอื่น พอมาเป็นฝ่ายที่โดนรดเสียเองจึงตระหนักทันทีว่าตนไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว

หลังจากแพรวพรรณรดน้ำเขาเสร็จแล้วชายหนุ่มก็ให้พรคืนบ้าง จากนั้นพนักงานคนอื่นๆ ก็เริ่มทยอยเรียงคิวกันเข้ามารดน้ำขอพรทั้งคู่ ครู่หนึ่งคริษฐ์ก็เดินเข้ามาในห้องรับแขก เกื้อวรุณเงยหน้าขึ้นเห็นพอดีจึงยิ้มให้ แต่แล้วก็ต้องเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าไม่สบอารมณ์

เป็นอะไรไปอีกล่ะ เมื่อกี้ยังคุยกันดีๆ อยู่เลยนี่นา

ใช่ว่าเกื้อวรุณไม่คุ้นเคยกับความใจร้อนและอารมณ์เปลี่ยนบ่อยวันละหลายเวลาของคริษฐ์ แต่ส่วนมากเขาจะพอรู้ที่มาที่ไปว่าอีกฝ่ายอารมณ์ไม่ดีเพราะอะไร แต่ครั้งนี้เขายอมรับว่าเดาใจไม่ถูกจริงๆ

คริษฐ์เข้าแถวมารอรดน้ำเป็นคนสุดท้าย และยังคงใบหน้าบึ้งตึงเอาไว้แบบไม่แยแสสายตาใคร เมื่อถึงคิวเนื่องจากคนอื่นรดน้ำกันเสร็จหมดแล้ว เขาก็จ้วงตักน้ำจากขันเงินใบใหญ่มาเทลงบนมือของมนตรีซึ่งเป็นอาแท้ๆ แบบไม่ค่อยนุ่มนวลนัก แถมไม่กล่าวคำสวัสดีปีใหม่หรือคำขอพรใดๆ นอกจากพนมมือไหว้เหมือนที่เห็นคนอื่นทำเท่านั้นเอง

ผู้เป็นอาเห็นอากัปกริยาของหลานชายก็ได้แต่เหลือบมองเกื้อวรุณก่อนจะถอนหายใจยาว ไม่อยากจะคาดเดาว่าที่ไอ้ตัวแสบมันทำท่าเหมือนโดนใครบีบคอให้มารดน้ำนี่เป็นเพราะคนที่นั่งอยู่ข้างตนเองตอนนี้หรือไม่

"สวัสดีปีใหม่ ขอให้เจริญๆ ไหนๆ เรียนจบทำงานแล้วก็ขอให้ใจเย็น เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นนะ"

คริษฐ์ทำปากยื่นแบบไม่ค่อยชอบใจกับคำอวยพรที่ฟังดูเหมือนคำสั่งสอนมากกว่า แต่ก็พนมมือขึ้นขอบคุณก่อนจะหันมาทางเกื้อวรุณบ้าง ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่งก่อนที่คริษฐ์จะหลบตาแล้วเทน้ำในขันลงบนมือเขาด้วยท่าทางที่...อ่อนโยนลงกว่าตอนรดน้ำให้อาตัวเองมาก แต่รอยคิ้วที่ขมวดจนเเป็นรอยย่นบนหน้าผากก็ยังไม่คลายตัวอยู่ดี

เกื้อวรุณมองคนตรงหน้าอย่างงุนงง เขาไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ ท่าทีอารมณ์ดีในห้องน้ำของคริษฐ์จึงกลายเป็นมู่ทู่แบบนี้ได้ เมื่อน้ำในขันใบเล็กที่รดบนมือของตัวเองหมดลง เขาจึงได้แต่ยื่นนิ้วที่หมาดชื้นและกรุ่นกลิ่นหอมของแป้งน้ำแตะบนหน้าผากอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา

"สวัสดีปีใหม่ ปีนี้ก็ขอให้คริษฐ์มีความสุข การงานก้าวหน้า เจอแต่เรื่องดีๆ นะ"

"....แค่นั้นเองเหรอ?"

คำตอบที่สวนกลับมาทันควันยิ่งทำเอาเกื้อวรุณอ้ำอึ้งเข้าไปใหญ่ เขามองแววตาตัดพ้อของคนที่เหลือบมองตัวเองจากตำแหน่งที่เจ้าตัวนั่งยองๆ อยู่ แล้วก็รู้สึกเหมือนกำลังมองเด็กที่เรียกร้องอยากกินขนมเพิ่มเพราะท้องไม่อิ่มอย่างไรอย่างนั้น

"อะแฮ่ม! เอาล่ะ สวัสดีปีใหม่นะทุกคน ใครทำงานค้างไว้ก็รีบกลับไปเคลียร์ให้เสร็จเถอะ ไหนๆ แล้ววันนี้จะให้เลิกงานตั้งแต่สี่โมงก็แล้วกัน"

เสียง "เฮ!!" ดังขึ้นแทบจะพร้อมเพรียงจากทุกคนในห้องรับแขก เว้นก็แต่คริษฐ์ที่ตวัดสายตามองมนตรีเหมือนรู้ตัวว่าผู้เป็นอาจงใจขัดจังหวะเขา ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืนแล้วก็จ้ำเท้าออกจากห้องรับแขกไปเป็นคนแรก ทิ้งให้เกื้อวรุณมองตามหลังด้วยใบหน้าที่บ่งบอกว่างุนงงสุดขีด

ชายหนุ่มดึงสติกลับมาได้เมื่อรู้สึกถึงมือที่วางลงบนไหล่ เมื่อเหลียวไปมองก็พบว่ามนตรีกำลังยิ้มให้อย่างเข้าใจ

"ไม่รู้มันไปโดนใครเหยียบหางมาถึงได้งุ่นง่านนัก ยังไงวันนี้ได้เลิกงานเร็วทั้งที เกื้อก็หาโอกาสง้อมันให้จบๆ ไปซะล่ะ"

"เอ่อ...ครับ"

เกื้อวรุณรู้ดีว่ามนตรีเคยเป็นห่วงเขามากเรื่องที่มาคบกับคริษฐ์เพราะความเจ้าอารมณ์ของฝ่ายนั้น แต่หลังจากเห็นว่าพวกเขาทั้งคู่อยู่ด้วยกันดีเนื่องจากเขาเป็นคนใจเย็น หลังจากนั้นจึงเปลี่ยนท่าทีเป็นปล่อยวางและเพียงมองดูอาการหงุดหงิดงุ่นง่านยามคริษฐ์ไม่ได้อะไรอย่างใจด้วยความสนุกแทน

แต่ว่า...เขาจะไปง้ออีท่าไหนล่ะ ในเมื่อฝ่ายนั้นโกรธเรื่องอะไรก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ....


++------++


เมื่อถึงเวลาสี่โมงเย็นที่มนตรีบอกว่าให้เลิกงานได้เป็นกรณีพิเศษ พนักงานสาวๆ ก็พากันกรี๊ดกร๊าดขณะเก็บกระเป๋าและปิดคอมพิวเตอร์เพื่อกลับบ้าน เนื่องจากเวลาเลิกงานปกติของบริษัทคือหกโมงเย็น แถมบางวันก็ต้องอยู่ทำล่วงเวลากันด้วยซ้ำ ดังนั้นวันที่ได้เลิกเร็วจึงเหมือนกับได้โบนัสย่อยๆ เลยทีเดียว

เกื้อวรุณปิดคอมพิวเตอร์บ้างก่อนจะเดินลงมาที่ลานจอดรถด้านหน้า และพบว่าคริษฐ์ยืนสูบบุหรี่พิงรถอยู่แล้ว การสูบบุหรี่นี่ก็เป็นอีกสัญญาณหนึ่งว่าเจ้าตัวยังไม่หายอารมณ์เสีย เพราะเขาเคยขอไว้แล้วว่าบุหรี่ไม่ดีต่อสุขภาพและขอให้ลดการสูบลง ซึ่งเจ้าตัวก็เคยตอบรับแต่โดยดี

"กลับกันเถอะคริษฐ์ อยากแวะหาอะไรกินก่อนรึเปล่า? หรือจะซื้อของที่ตลาดแล้วกลับไปทำกับข้าวที่บ้านดีกว่า?"

"ยังไงก็ได้"

คำตอบทั้งห้วนทั้งกระชับก่อนคนตอบจะดีดก้นบุหรี่ทิ้งแล้วใช้ส้นรองเท้าผ้าใบขยี้กับพื้น เกื้อวรุณจึงได้แต่ส่ายหน้าขณะปลดล็อครถแล้วก้าวเข้าไปนั่งที่คนขับ เพราะวันนี้เขาเป็นคนเอารถมาขณะที่คริษฐ์จอดรถของตัวเองไว้ที่บ้าน

"ถ้างั้นแวะตลาดซื้อของไปทำกับข้าวก็แล้วกันนะ"

"อื้อ"

คนอายุน้อยกว่าตอบพลางยกมือขึ้นเท้าขอบหน้าต่างแล้วมองไปนอกรถ เกื้อวรุณจึงได้แต่กลอกตาขณะขับรถออกสู่ถนนใหญ่ ความจริงแล้วเขาก็ค่อนข้างเพลียจากการทำงานมาทั้งวัน แต่เมื่อคิดว่าถ้าพาคนหน้าดุไปกินข้าวตามร้านอาหารก็น่าสงสารพนักงาน จึงเลือกซื้อของไปทำกับข้าวจะได้มีกิจกรรมอะไรทำตอนเย็นด้วยดีกว่า

ทั้งคู่แวะซื้อของที่ตลาดสดไม่ไกลจากบ้านของเกื้อวรุณนัก หลังจากซื้อเสร็จแล้วก็ขับรถตรงกลับบ้านโดยที่เกื้อวรุณเหมาหน้าที่พ่อครัวคนเดียวเพราะรู้ว่าคริษฐ์หยิบจับทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง หลังจากทำอาหารสามอย่างอันประกอบด้วยผัดกระเพราไข่เยี่ยวม้า แกงจืดสาหร่ายกับผัดบวบใส่ไข่เสร็จแล้วจึงเรียกคริษฐ์ให้มาทานข้าว

มื้อเย็นยังคงผ่านไปแบบเงียบเชียบโดยที่ไม่ว่าเกื้อวรุณจะชวนคุยอย่างไร คริษฐ์ก็เอาแต่ก้มหน้ากินข้าวและถามคำตอบคำ ท่าทางเหมือนเด็กที่ดื้อเงียบเพื่อเรียกร้องความสนใจทำให้เกื้อวรุณตัดสินใจเลิกชวนคุยและกินข้าวเงียบๆ บ้าง

โกรธอะไรมาก็ไม่บอก ชวนคุยก็ไม่อยากคุย งั้นจะไม่ถามก็แล้วกันว่าเป็นอะไรมา งอนได้ก็งอนไปทั้งคืนเลยแล้วกัน

"ถ้างั้นฝากคริษฐ์ล้างจานด้วยนะ เดี๋ยวขอไปอาบน้ำก่อน"

"อือ"

คนที่เด็กกว่าแปดปีก็ยังตอบคำเดียวเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้เกื้อวรุณไม่หยุดมองแล้วก็เดินดุ่มๆ ขึ้นบันไดไปเลย จากหางตาเขาเห็นได้ว่าอีกฝ่ายมองตามมาอยู่ เลยได้แต่ต้องพยายามปั้นหน้าเฉยเอาไว้ จนมาถึงบันไดขั้นบนสุดได้แล้วจึงค่อยหลุดหัวเราะออกมา

เฮ้อ...มีแฟนเด็กนี่ชวนให้เหนื่อยดีชะมัด

ชายหนุ่มยิ้มขำกับความคิดตัวเองก่อนจะเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า หลังจากเสร็จเรียบร้อยก็กลับเข้ามาในห้องนอนและเอนหลังเปิดหนังสืออ่าน เขาคิดว่าอีกไม่นานคริษฐ์ก็คงตามขึ้นมา แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าขึ้นบันได และเวลาก็ล่วงไปสี่ทุ่มกว่าแล้ว ชายหนุ่มเริ่มตาลายจากหนังสือที่อ่านจึงหันไปปิดไฟและคิดว่าเข้านอนเร็วบ้างก็ดีเหมือนกัน

สุดท้ายก็ไม่รู้อยู่ดีว่างอนเพราะอะไร แต่ถ้าอยากเล่นสงครามเงียบก็เอาไว้ต่อพรุ่งนี้ก็แล้วกันนะ...คริษฐ์

เกื้อวรุณไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน แต่เมื่อรู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงเปิดและปิดประตูห้องนอนอย่างแผ่วเบา ตามด้วยเสียงฝีเท้าคนที่เดินมาทิ้งตัวลงบนเตียงอีกฝั่ง กลิ่นสบู่ที่โชยมาแตะจมูกทำให้รู้ว่าคริษฐ์คงอาบน้ำเสร็จและเตรียมจะนอนแล้ว แต่ความง่วงงุนทำให้เขาไม่ได้ส่งเสียงทัก และผล็อยหลับต่อแทบจะในทันทีนั้นเอง

ชายหนุ่มรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อถูกไออุ่นจัดทาบบนร่างจากด้านหลัง สัมผัสจากลำแขนที่ร่นเสื้อของเขาขึ้นและลูบไล้แผ่นอกไปมาในความมืดบอกให้รู้ว่าคริษฐ์คงไม่ได้ใส่เสื้อนอน เสียงครางแผ่วหลุดจากลำคอของเกื้อวรุณเบาๆ เมื่อริมฝีปากอุ่นแนบลงบนต้นคอด้านหลัง

"เกื้อ...ตื่นอยู่หรือเปล่า?"

"...อืม"

เขาได้แต่ตอบในคอเสียงเบาเพราะความสะลึมสะลือ ชายหนุ่มรีบตะปบมือหนาที่ชักจะลวนลามแผ่นอกเขาหนักข้อขึ้นทุกทีให้หยุด จากนั้นก็หันไปหยีตาอย่างงัวเงียใส่คนข้างหลังที่เห็นหน้าเพียงเลือนลางในความมืด

"ฉันง่วงนะคริษฐ์... ไว้วันอื่นแล้วกัน..."

เกื้อวรุณพูดเสียงแหบยานเนื่องจากยังไม่ตื่นดี กระนั้นสายตาที่เริ่มปรับให้เข้ากับแสงจันทร์อันน้อยนิดในห้องได้ก็เห็นว่าคนข้างกายทำหน้าเหมือนเด็กโดนดุ

"...นี่จะไม่ถามผมเลยเหรอว่าเมื่อบ่ายงอนอะไร?"

น้ำเสียงนั้นชุ่มด้วยประกายตัดพ้อ มือใหญ่ที่โดนจับไว้ยังพยายามจะขยำอกเขาอีกจนเกื้อวรุณต้องออกแรงดึงมืออีกฝ่ายมากขึ้น

"แล้วตกลงงอนเรื่องอะไรล่ะ? ฉันให้โอกาสตั้งหลายครั้งแล้วคริษฐ์ก็ไม่ยอมบอกเองนี่นา"

ความงัวเงียเริ่มเลือนหายไป เกื้อวรุณเลยพลิกตัวกลับมาแล้วตัดสินใจคุยกับอีกฝ่ายให้รู้เรื่องไปเลย เพราะดูเหมือนถ้าไม่เคลียร์กันให้จบคืนนี้เขาก็คงไม่ได้นอนพักผ่อนเสียที

"ก็..."

"หือ?"

เกื้อวรุณเลิกคิ้วกับท่าทางอ้ำๆ อึ้งๆ ของคนตรงหน้า คริษฐ์มองสีหน้าของเขาในความสลัวแล้วก็เบ้ปาก

"ก็ตอนเกื้อนั่งให้เด็กที่บริษัทรดน้ำขอพรคู่กับอา มันดูยังกับคู่แต่งงานรอรดน้ำสังข์เลยนี่นา ขนาดคนข้างหน้าผมยังกระซิบกระซาบกันแบบนั้นเลย ทำไมต้องไปนั่งคู่กันด้วย ให้อาเป็นผู้ใหญ่คนเดียวไปก็พอแล้ว"

"ฮะ??"

คราวนี้เกื้อวรุณอ้าปากค้าง เป็นอันว่าความสงสัยว่าอีกฝ่ายโกรธเพราะอะไรได้รับการคลี่คลายเสียที แต่พอได้รู้เหตุผลแบบนี้ เขาก็อดจะหัวเราะออกมาไม่ได้

"โอ้ย คริษฐ์ นายนี่...ทำไมคิดมากขนาดนี้"

ชายหนุ่มพูดไปก็หัวเราะจนตัวงอ เขาไม่อยากนึกเลยว่าถ้ามนตรีได้รู้สาเหตุที่หลานชายทำท่ากะบึงกะบอนเมื่อบ่ายจะมีปฏิกิริยาอย่างไร เพราะขนาดเขาได้รู้สาเหตุจริงๆ ยังอดจะนึกเอ็นดูไม่ได้ แถมการถูกเอ็นดูก็เป็นสิ่งที่คริษฐ์เกลียดที่สุดเสียด้วย เพราะเจ้าตัวชอบทำเหมือนพวกเขาอายุเท่ากันอยู่เรื่อย

แล้วที่หมอนี่เพิ่งพูดถึงคนอื่นที่บริษัทว่าเป็นเด็กน่ะ แทบทั้งหมดนั่นมีแต่คนอายุมากกว่าเจ้าตัวอย่างน้อยสองสามปีขึ้นไปทั้งนั้น

"ไม่ได้คิดมากนะ ก็มันเห็นแล้วหงุดหงิดจริงๆ นี่ อีกอย่างพอผมไปรดน้ำให้เกื้อ เกื้อก็ให้พรอะไรก็ไม่รู้ ไม่เห็นจะพิเศษจากคนอื่นตรงไหนเลยนี่นา"

"เฮ้อ..."

คราวนี้เกื้อวรุณระบายลมหายใจยาวพลางลุกขึ้นนั่ง จากนั้นก็ชันเข่าขึ้นแล้วเอี้ยวคอกลับไปใช้มือข้างหนึ่งลูบศีรษะของคริษฐ์ที่ตัดผมสกินเฮดจนสั้นเกรียนเบาๆ ตอนแรกเขาก็ไม่ค่อยคุ้นกับสัมผัสนี้ แต่พอเริ่มชินกับผมทรงใหม่ของอีกฝ่าย เขาก็รู้สึกว่าสัมผัสชวนจั๊กจี้ของผมเส้นสั้นๆ ยามสัมผัสฝ่ามือก็เพลินดีเหมือนกัน

"นี่นะ เรื่องแบบนี้ใครเขาพูดในที่สาธารณะกัน อีกอย่างตอนนั้นสถานการณ์มันเหมาะให้ฉันมาพูดอะไรหวานๆ ใส่นายซะที่ไหน หัดแยกเรื่องงานกับเรื่องของพวกเราจากกันซะมั่งสิ คริษฐ์เป็นผู้ใหญ่แล้วไม่ใช่เหรอ?"

เขาเกือบหลุดพูดไปว่า "ไม่ใช่เด็กๆ สักหน่อย" แต่โชคดีที่คิดเปลี่ยนคำได้ทัน ไม่อย่างนั้นคนตัวใหญ่นิสัยเด็กแถมยังเด็กกว่าเขาตั้งหลายปีจริงๆ อาจจะงอนหนักยิ่งกว่าเดิม

"ก็...มัน...ก็ยังไม่ชอบอยู่ดีแหละ"

แม้จะจนต่อถ้อยคำแต่คริษฐ์ก็ยังปากแข็ง เกื้อวรุณเลยได้แต่เลิกคิ้ว มือที่ลูบศีรษะอีกฝ่ายหยุดไปก่อนที่เขาจะทิ้งตัวลงบนเตียงแล้วนอนตะแคงหันหลังในท่าเดิม

"ถ้างั้นก็ช่วยไม่ได้นะ ถ้าคริษฐ์รักฉันจริงก็ต้องทำใจว่าฉันก็เป็นแบบนี้แหละ"

เกิดความเงียบในห้องครู่ใหญ่ ไม่นานคนอายุน้อยกว่าก็กระถดตัวมาซ้อนหลังเขาไว้แล้วยกแขนขึ้นโอบรอบเอว

"งั้นถ้าหากว่าไม่ได้อยู่ต่อหน้าคนอื่น เกื้อจะให้พรผมว่าอะไรล่ะ?"

คำถามนั้นทำให้เกื้อวรุณอมยิ้มในความมืด เขารู้สึกได้ถึงไออุ่นที่เกือบจะร้อนจากคนที่ทาบอยู่ด้านหลังทั้งตัว แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดหรืออยากผลักไสเหมือนตอนเริ่มรู้จักกันใหม่ๆ สักนิด

ตอนนี้...เขารู้สึกว่าชอบยามที่ได้อยู่ในอ้อมแขนนี้ด้วยซ้ำ

"อืม...ไว้บอกพรุ่งนี้ได้มั้ย? ตอนนี้ฉันง่วงแล้วน่ะ"

เกื้อวรุณแกล้งตอบด้วยเสียงงัวเงีย เพราะว่าพอได้เอนตัวลงหนุนหมอนนุ่มๆ แถมมีคนมากอดแบบนี้อีก เขาก็ชักอยากจะหลับตาต่อให้เต็มอิ่มสักที แต่ดูเหมือนคนด้านหลังจะยังไม่พอใจ

"ไม่เอา ถ้าเกิดพรุ่งนี้เกื้อลืมว่าจะพูดอะไรจะทำยังไงล่ะ"

ขนาดลูกชายของพี่ลีที่ออฟฟิศอายุห้าขวบแล้วก็ยังไม่งอแงขนาดหมอนี่เลย ให้ตายสิ...

เกื้อวรุณคิดอย่างกึ่งขำกึ่งจนใจ เขาเพียงแต่เอี้ยวคอกลับไปแนบจุมพิตบนริมฝีปากช่างกระเง้ากระงอดของคนด้านหลังเบาๆ ก่อนจะยิ้มให้

"ถ้าคืนนี้เลิกกวน พรุ่งนี้คริษฐ์อยากให้พูดอะไรหรืออยากให้ทำอะไรจะยอมทุกอย่างเลย เพราะงั้นคืนนี้ขอนอนก่อนได้มั้ย นะ?"

ปกติเขาไม่ใช่คนขี้อ้อน ตั้งแต่คบกับคริษฐ์มาก็เป็นฝ่ายถูกอ้อนอยู่คนเดียวด้วยซ้ำ แต่หลังจากเริ่มเรียนรู้ว่าคนข้างกายชอบใช้วิธีนี้มาตะล่อมให้เขายอมโอนอ่อนผ่อนตาม เกื้อวรุณจึงเริ่มใช้วิธีเดียวกันดัดหลังเสียบ้าง

คริษฐ์กะพริบตาปริบมองคนที่หันหน้ากลับไปอีกด้านแล้วด้วยความงุนงง ท่าทีออดอ้อนของเกื้อวรุณเมื่อครู่จะว่าไม่คุ้นก็ไม่คุ้น แต่ที่แน่ๆ น่ารักน่าใคร่จนเขาแทบไม่อยากนอนกอดอีกฝ่ายเฉยๆ แต่เมื่อนึกทบทวนคำพูดที่ได้ยินเมื่อครู่ เขาก็ได้แต่รัดเอวของเกื้อวรุณแน่นขึ้นแล้วเอาคางเกยลงบนไหล่

"สัญญาแล้วนะว่าพรุ่งนี้เกื้อจะยอมทำทุกอย่าง?"

"ครับ อะไรก็ได้ที่คริษฐ์อยากให้ทำ"

อาจเป็นเพราะความง่วงที่ทำให้เกื้อวรุณตอบรับเพื่อตัดปัญหา ที่ใดที่หนึ่งในจิตใต้สำนึกส่งเสียงเตือนเขาว่าพรุ่งนี้มีหวังได้เตรียมรับศึกหนักแน่ แต่ความเหน็ดเหนื่อยที่มีมากกว่าก็กลบเสียงนั้นเสียสนิทและทำให้เขาหลับใหลในไม่ช้า

ประโยคสุดท้ายที่เกื้อวรุณได้ยินเป็นเสียงอันแสนแผ่วเบาแต่กระจ่างชัดข้างใบหู ซึ่งตามมาด้วยสัมผัสจากริมฝีปากที่แนบลงบนกลุ่มผมพร้อมๆ กับอ้อมแขนที่กอดรัดเขาแน่นขึ้น ประโยคนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนหวานจนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะมาจากคนที่อารมณ์แปรปรวนบ่อยคนนี้ได้ แต่ประโยคนั้นก็ทำให้เขาหลับสนิทพร้อมรอยยิ้มได้ทั้งคืน

"ขอบคุณนะเกื้อ ผมรักเกื้อที่สุดเลย"



++---End---++



A/N: สวัสดีวันสงกรานต์ค่า ที่มาของตอนนี้คือ...ความจริงตั้งใจอยากใช้วันหยุดนี้เขียนตอนพิเศษสำหรับรวมเล่มให้แค่สบตา ก็รู้ว่ารัก แต่เนื่องจากมีงานอื่นเบียดเบียนและจำเป็นต้องทำให้เสร็จก่อนซึ่งน่าจะกินเวลายันสิ้นเดือนทีเดียว ก็เลยทำให้ต้องวางโปรเจ็คต์แค่สบตาฯ ไว้ชั่วคราว แต่พอทำงานที่ว่านั่นไป มันก็คันไม้คันมืออยากเขียนเรื่องอะไรสำหรับเทศกาลบ้าง จะเขียนเรื่องสั้นใหม่แบบ stand alone ก็ไม่มีเวลาคิดตัวละคร เลยขอเอาคู่ที่ชอบมากแต่นานๆ เขียนทีมาถ่ายทอดเทศกาลนี้ก็แล้วกัน หวังว่าอ่านแล้วจะมีความสุขกับวันหยุดยาวกันทุกคนนะคะ




 

Create Date : 14 เมษายน 2556    
Last Update : 14 เมษายน 2556 10:07:04 น.
Counter : 1618 Pageviews.  

ขอเพียงเอ่ยว่ารัก ตอนพิเศษ ขอย้ำคำว่ารัก

แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ


++------++


ขอเพียงเอ่ยว่ารัก ตอนพิเศษ ขอย้ำคำว่ารัก


ในช่วงกลางสัปดาห์ ถึงแม้ว่าจะเข้าเดือนสิบเอ็ดแล้ว ทว่าบริษัทที่ดูแลด้านการขนส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ก็ยังคงงานยุ่งไม่ว่างเว้น ทั้งๆ ที่วันนี้มีเทศกาลพิเศษที่ปีหนึ่งจะเวียนมาเพียงหนึ่งครั้ง

เมื่อเข้าช่วงบ่ายคล้อย เกื้อวรุณที่เพิ่งออกไปทำธุระข้างนอกก็กลับเข้าบริษัทมาทำใบเสนอราคาให้ลูกค้า ความจริงแล้วตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปเช่นเขา จะสั่งให้พนักงานคนอื่นทำให้แล้วค่อยเอามาตรวจสอบความถูกต้องก็ได้ แต่เพราะว่าพนักงานฝ่ายขายต่างก็ทำงานกันแทบไม่ทันอยู่แล้ว เขาจึงไม่คิดจะไปรบกวนใครและทำสิ่งที่รู้ว่าทำเองได้เร็วกว่าไปเลย

ขณะที่กำลังเช็คข้อมูลในใบนำเสนอราคาว่าถูกต้องหรือไม่ แม่บ้านประจำบริษัทก็เดินถือถาดพลาสติกขนาดกะทัดรัดมาวางให้บนโต๊ะ บนถาดมีกาแฟร้อนกับขนมเค้กวนิลาประดับเชอร์รี่สีแดงสด ชายหนุ่มจึงเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ

"คุณคริษฐ์ให้พี่เอามาให้ค่ะคุณเกื้อ"

คำอธิบายนั้นทำให้เรียวคิ้วของคนสงสัยผ่อนคลายลง พร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ ผุดขึ้นบนมุมปาก "อ้อ...งั้นขอบคุณครับพี่เอี่ยม"

พอแม่บ้านวัยกลางคนเดินจากไป เกื้อวรุณจึงค่อยเบนสายตาลงมองขนมเค้กและถ้วยกาแฟที่ควันกรุ่นด้วยนัยน์ตาอ่อนโยน พลันโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะก็ส่งสัญญาณว่ามีข้อความเข้า

‘ได้ขนมเค้กหรือยัง’

ชายหนุ่มหัวเราะเสียงเบากับข้อความนั้น ก่อนจะค่อยจรดปลายนิ้วพิมพ์ตอบ

‘ทำไมไม่เอาขึ้นมาให้เอง’

เพราะเมื่อกี้ตอนเขากลับเข้ามาที่บริษัทก็สวนกันที่ชั้นหนึ่งแท้ๆ... หลังจากส่งข้อความไปไม่ถึงหนึ่งนาที สัญญาณเตือนว่ามีข้อความเข้าก็ดังอีกครั้ง

‘ติดงานอยู่นี่นา :(’

คนอ่านได้แต่ยิ้มกับข้อความที่ได้รับ ยังไม่ทันจะได้พิมพ์อะไรตอบ เสียงโทรศัพท์สายในก็ดังขึ้น พอเขาปรายตามองก็พบว่ามาจากหมายเลขประจำโต๊ะของกรรมการผู้จัดการ จึงรีบหยิบหูฟังมาตอบรับทันที

“ครับพี่มนตรี”

“เกื้อมาหาพี่ที่ห้องหน่อยสิ พอดีทิพย์เขาเอาเอกสารมาให้เซ็นต์บางตัวที่ตัวเลขมันดูแปลกๆ”

“ได้ครับ ไปเดี๋ยวนี้ล่ะครับ”

เกื้อวรุณเก็บโทรศัพท์มือถือลงลิ้นชัก จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องของกรรมการผู้จัดการซึ่งอยู่ด้านในสุดของชั้นสี่ เขานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเมื่ออีกฝ่ายผายมือให้ จากนั้นก็เหลือบตาลงมองเอกสารในแฟ้มที่ถูกยื่นมาตรงหน้า ความคุ้นเคยทำให้มองปราดเดียวก็เห็นจุดที่ผิดพลาดทันที

“อื๋อ? ใบเสนอราคาพวกนี้...ยังไม่ได้รวมภาษีเข้าไปด้วยนี่ครับ”

ผู้สูงวัยกว่าเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พลางถอนหายใจอย่างหน่ายๆ “ใช่ไหมล่ะ? พี่ก็เคยบอกเจ้าพวกเซลส์ที่เข้ามาใหม่ๆ แล้วนะว่าถ้าทำโควทราคาเสร็จให้ส่งให้เกื้อเช็คก่อน ไม่ใช่รวบรวมส่งให้เลขาพี่เอามาให้เซ็นต์กันแบบหลับหูหลับตา สงสัยคงต้องเรียกมาอบรมกันสักที ว่าบริษัทนี้มีผู้จัดการทั่วไปให้ดูดำดูดีอยู่อีกคน”

ประโยคสุดท้ายของนายใหญ่ทำให้เกื้อวรุณทำได้เพียงยิ้มอ่อนๆ เนื่องจากทำงานกันมาหลายปีตั้งแต่สมัยที่มนตรียังเป็นเจ้านายของเขาที่บริษัทเก่า เกื้อวรุณจึงรู้ว่าผู้สูงวัยไม่ได้ตั้งใจกระทบกระเทียบที่เขาไม่ทำตัวให้พนักงานใหม่เกรงใจกันมากกว่านี้ กระนั้นเขาก็รู้ดีว่าบุคลิกของตัวเองเนิบนาบเกินไป ถึงแม้ว่าจะทำงานได้ไร้ข้อบกพร่อง แต่ก็ยังไม่น่าเกรงขามพอที่พนักงานใหม่ไฟแรงทั้งหลายจะให้ความเคารพ

“ผมผิดเองแหละครับที่ไม่ได้กำชับพวกเด็กๆ ให้ส่งใบเสนอราคามาให้ตรวจก่อน ไว้เดี๋ยวผมเรียกคุยเองดีกว่า ไม่ต้องให้ถึงพี่มนตรีหรอกครับ”

เกื้อวรุณเอ่ยพลางปิดแฟ้มลง นายใหญ่ของบริษัทมองรอยยิ้มของเขาแล้วก็ส่ายหน้า

“เพราะเกื้อชอบยิ้มแบบนี้น่ะสิ ใครๆ เขามองแล้วถึงได้นึกว่าคงเป็นพวกใจดี ด่าว่าใครไม่เป็น ยังไงก็น่าจะหัดเก๊กหน้าดุๆ ให้พวกเด็กๆ มันกลัวกันซะมั่ง”

เกื้อวรุณกะพริบตาปริบๆ เมื่อโดนทัก จริงอยู่ว่าใบหน้าของเขาดูอ่อนวัยจนแทบไม่มีใครเชื่อว่าอายุสามสิบแล้ว แถมยังเป็นคนที่บุคลิกเรียบๆ ไม่ก้าวร้าว แต่นับตั้งแต่เริ่มทำงานเป็นต้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่มีใครบอกให้เขาทำหน้าดุดูบ้าง

ถ้าหมอนั่นมาได้ยินประโยคเมื่อกี้ จะพูดว่าอะไรนะ...

ชายหนุ่มอดคิดถึงเจ้าของขนมเค้กที่วางอยู่บนโต๊ะไม่ได้ ป่านนี้กาแฟที่ยังไม่ได้จิบสักอึกก็คงหายร้อนไปแล้ว

“เอาเถอะ เรื่องงานก็ส่วนเรื่องงาน พี่มั่นใจว่าเกื้อคงรับผิดชอบได้ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ดึงตัวมาตั้งแต่ตอนเริ่มเปิดบริษัทหรอก”

ประโยคนั้นค่อยทำให้คนฟังยิ้มออก เกื้อวรุณจึงค้อมศีรษะน้อยๆ “ขอบคุณครับพี่มนตรี”

ช่วงเวลาที่เกื้อวรุณเคยทำงานภายใต้บังคับบัญชาของมนตรีที่บริษัทเก่านั้นสั้นเพียงสองปี และนั่นก็เป็นบริษัทแรกที่เขาได้เข้าทำหลังเรียนจบ จากวันที่มนตรีตัดสินใจแยกตัวมาเปิดบริษัทเองโดยชักชวนเขามาด้วยก็ผ่านมาหกปีแล้ว แม้ปีแรกๆ จะล้มลุกคลุกคลานบ้าง แต่ปัจจุบันนี้บริษัทขยายธุรกิจได้ถึงขั้นที่ต้องจ้างพนักงานเพิ่มหลายตำแหน่ง

“จะว่าไป...ช่วงนี้หลานพี่เป็นไงมั่งล่ะ? ยังทำตัวเกเรน่ารำคาญอยู่หรือเปล่า?”

คำถามนั้นทำให้เกื้อวรุณเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่ก็พยายามควบคุมการแสดงออกจนอีกฝ่ายไม่ทันสังเกต

“คริษฐ์เขาเปลี่ยนไปเยอะแล้วครับพี่มนตรี ไม่เกเรเหมือนสมัยยังเป็นนักศึกษาฝึกงานแล้วล่ะครับ”

เกื้อวรุณตอบพร้อมกับยิ้มอ่อนๆ เช่นเคย เขารู้ดีถึงความเป็นห่วงของมนตรีที่มีต่อหลานชายจอมพยศเพียงคนเดียว ซึ่งความเป็นห่วงนั้นก็เผื่อแผ่มาถึงเขาที่คบกับหลานชายคนที่ว่าด้วย เพราะแรกเริ่มที่ได้รู้จักกันเมื่อเกือบสองปีก่อนนั้น อาจเรียกได้ว่าคริษฐ์เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเขาก็ว่าได้ ทว่าหลังจากเกิดเหตุการณ์พลิกผันที่เกื้อวรุณเองก็ไม่อยากจดจำเท่าไหร่ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองเปลี่ยนไป คริษฐ์กลับเป็นคนแรกที่ไม่คิดจะปกปิดเรื่องที่พวกเขาคบหากันกับผู้เป็นอา หรือคนอื่นๆ ในบริษัทแม้แต่น้อย

"ได้ยินอย่างนั้นก็ดี ว่าแต่พี่ก็ไม่อยากทักหรอกนะเพราะมันเป็นเรื่องของรสนิยม แต่ช่วยบอกหลานพี่หน่อยว่าให้ทำหน้าโหดให้มันน้อยลงมั่ง แค่ที่ทุกวันนี้สกินเฮดกับเจาะหูข้างเดียวนี่ก็ดูนักเลงจะแย่อยู่แล้ว"

คราวนี้เกื้อวรุณหัวเราะอย่างไม่กลั้นเสียง เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมนตรีถึงได้บ่นเรื่องนี้ เพราะขนาดเขาเอง ตอนแรกที่ได้เห็นทรงผมใหม่ของคริษฐ์เมื่อเดือนก่อนก็อึ้งไปเหมือนกัน แต่เจ้าตัวกลับอธิบายสั้นๆ ว่ารำคาญที่ต้องไปร้านตัดผมบ่อยๆ เลยให้ช่างไถเกรียนเสียเลย แถมยังซื้อปัตตาเลี่ยนมาไว้ให้เขาคอยช่วยเล็มผมเวลาที่เริ่มยาวออกมาอีก ส่วนหูข้างขวานั้นเจ้าตัวเจาะมาตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาแล้ว แต่ที่ทำให้ต่างหูแบบห่วงซึ่งใส่เป็นประจำเด่นขึ้นจนเตะตาก็เพราะผมทรงนี้นี่เอง

ถ้าหากไม่ใช่ว่าได้มาทำงานในบริษัทของอาแท้ๆ ก็น่าคิดเหมือนกันว่าคริษฐ์จะทำตัวแหกคอกแบบนี้ไหม...แต่ดูพื้นนิสัยที่ไม่ชอบเอาใจใคร...หมอนั่นอาจจะทำก็ได้...

ความคิดของชายหนุ่มสะดุดลงเมื่อประตูกระจกของห้องกรรมการผู้จัดการถูกเลื่อนเปิดอย่างแรง เรียกสายตาของคนสองคนในห้องให้หันไปมองพร้อมกันด้วยความประหลาดใจ และคราวนี้มนตรีรู้สึกเหมือนเส้นชีพจรบนขมับเต้นตุบจนต้องยกนิ้วขึ้นนวด ความจริงแล้วเขาเป็นชายวัยห้าสิบที่ดูกระฉับกระเฉงกว่าอายุมาก แต่ดูเหมือนตั้งแต่รับหลานชายคนเดียวมาอยู่ในความดูแลเมื่อสองปีก่อน เรือนผมที่เคยดกดำก็จะเผยบางส่วนที่เปลี่ยนเป็นสีดอกเลาให้เห็นชัดเจนจนคร้านจะไปย้อมทับ

“นักเลงไม่พอ ตายยากอีกต่างหาก”

ถึงแม้เสียงของคนพูดจะเบา แต่ถ้าใครไม่ได้หูตึงหรือยืนอยู่ห่างไปเป็นสิบเมตรก็ต้องได้ยิน ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ใส่เสื้อยืดคอกลมกับแจ็กเกตที่พับแขนขึ้นถึงข้อศอกจึงเลิกคิ้วข้างหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์

“อาหมายถึงผมเหรอครับ?”

น้ำเสียงของคนพูดแฝงแววหงุดหงิดจนเกื้อวรุณแปลกใจ พอมองสบตากับมนตรีที่เอนพิงเบาะแล้วมองเขาอย่างเหนื่อยๆ เหมือนจะขอร้องว่า ‘ช่วยจัดการให้หน่อย’ ชายหนุ่มจึงหันกลับไปหาคนตัวใหญ่เป็นยักษ์ปักหลั่นที่ยืนอยู่หน้าประตู

“คริษฐ์มีธุระกับคุณมนตรีเหรอ?”

ดูเหมือนน้ำเสียงอ่อนโยนดุจสายน้ำไหลจะช่วยบรรเทาความร้อนระอุของอารมณ์คนถูกถามได้บ้าง นัยน์ตาสีนิลลึกล้ำซึ่งเบนมาทางเกื้อวรุณจึงคลายความกร้าวลงเล็กน้อย

“พอดีแบ่งงานของคนขับรถที่ต้องไปส่งของต่างจังหวัดวันนี้หมดแล้ว ผมก็เลยเอารายงานขึ้นมาให้อา”

มนตรีได้ยินดังนั้นจึงค่อยเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็รับรายงานที่หลานชายปริ๊นท์ใส่แฟ้มมาพลิกดู นัยน์ตาคมกริบลอบเหลือบขึ้นสังเกตชายหนุ่มสองคนที่กำลังส่งยิ้มอ่อนๆ ให้กัน จากนั้นผู้สูงวัยก็กระแอมนิดหนึ่งก่อนจะปิดแฟ้มดังปัง

“ขอบใจที่เอาขึ้นมาให้เอง คราวหลังฝากให้แม่บ้านเขาเอามาให้ก็ได้ ถ้าไม่มีธุระอะไรอีกก็ไปทำงานต่อได้แล้ว”

คนถูกไล่หน้าตึงขึ้นมาทันที แววตาดุดันจนถ้าใครได้เห็นก็คงรีบถอยห่าง แต่สำหรับเกื้อวรุณแล้ว ภาพนั้นกลับทำให้เขานึกถึงเด็กเล็กๆ ที่กำลังขัดใจเพราะโดนไล่ให้ไปทำการบ้านเสียมากกว่า

"คริษฐ์ไปคุมงานต่อก่อนเถอะ เผื่อข้างล่างเขาจะมีเรื่องให้ช่วยจัดการ นะ?"

คนตัวใหญ่เบนสายตามาหาเกื้อวรุณ จากนั้นริมฝีปากบางก็เม้มแน่นก่อนจะเดินออกจากห้อง แต่เกื้อวรุณคลับคล้ายคลับคลาว่าเห็นประกายของความน้อยใจในแววตาสีนิลคู่นั้น ทว่าก็ไม่ได้สบตากันนานพอที่จะฟันธงให้แน่ใจ

"นอกจากเธอแล้วคริษฐ์มันไม่ฟังใครจริงๆ นะเนี่ย ขนาดพี่เป็นอามันยังไม่ค่อยฟังเลย"

เสียงของมนตรีดึงสายตาเกื้อวรุณกลับมาจากแผ่นหลังของคนที่เพิ่งเดินออกไป เขาจึงพยายามพูดให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้น

"ท่าทางคงอารมณ์ไม่ค่อยดีอยู่แล้วน่ะครับ พี่มนตรีอย่าคิดมากเลย"

อีกครั้งที่น้ำเสียงเรียบเย็นของคนพูดทำให้คนฟังผ่อนคลายจิตใจลงได้ มนตรีมองหน้าชายหนุ่มที่เขาเอ็นดูเหมือนกับเป็นลูกหลานอีกคน แล้วก็ได้แต่ผ่อนลมหายใจยาว

"ถึงตอนแรกพี่จะไม่ค่อยเห็นด้วยที่คริษฐ์มันมาคอยเกาะแกะเกื้อก็เถอะ แต่ตอนนี้พี่คงต้องบอกว่าขอบคุณที่มันไม่ได้ตาถั่วแล้วไปคว้าใครก็ไม่รู้มาทำให้คนเป็นอาลำบากใจ เพราะถ้าไม่ใช่เกื้อ พี่ก็ไม่รู้ว่าใครจะเอาไอ้คนหัวแข็งแบบนั้นไหวอีกแล้ว"

เกื้อวรุณฟังแล้วก็ยิ้มบาง จริงอยู่ว่าเขาไม่เคยเล่าให้ใครฟังว่าจุดพลิกผันที่ทำให้เขากับคริษฐ์คบกันนั้นเกิดจากอะไร แต่ด้วยอุปนิสัยใจร้อน ปากไว ช่างหาเรื่องที่เมื่อก่อนคริษฐ์เคยเป็นหนักกว่านี้เสียอีก จึงไม่น่าแปลกที่มนตรีจะแสดงความเป็นห่วงเป็นใยเขาโดยไม่คำนึงด้วยซ้ำว่าเขากับหลานชายเป็นผู้ชายเหมือนกัน

"พี่มนตรีก็พูดเกินไปแล้วล่ะครับ งั้นถ้าไม่มีอะไร ผมขอไปทำงานต่อนะครับ"

ชายหนุ่มขอตัวออกมาจากห้องทำงานของนายใหญ่แล้วเดินกลับไปที่โต๊ะซึ่งอยู่อีกฟากของชั้นเดียวกัน แต่แล้วเมื่อนั่งลงก็ต้องแปลกใจที่พบว่าถ้วยกาแฟบนโต๊ะยังคงมีควันกรุ่น ทั้งๆ ที่นับจากเวลาซึ่งเขาเข้าไปคุยงานกับมนตรี กาแฟก็น่าจะเย็นชืดไปแล้วแท้ๆ

และที่สำคัญ...ลายบนถ้วยกาแฟก็ไม่ใช่ลายเดียวกับใบที่แม่บ้านยกมาให้ด้วย...

เกื้อวรุณรู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างที่เขายังไม่ออกมาจากห้องของกรรมการผู้จัดการ และเพื่อไม่ให้คนที่อุตส่าห์ไปชงกาแฟถ้วยใหม่มาให้ต้องเสียน้ำใจ เขาจึงจัดการกาแฟร้อนถ้วยนั้นและขนมเค้กอย่างรวดเร็วก่อนจะยกถาดเข้าไปล้างในห้องครัว


++------++


เมื่อถึงเวลาหกโมงเย็นซึ่งเป็นเวลาเลิกงาน เกื้อวรุณก็ปิดคอมพิวเตอร์แล้วเดินลงไปยังลานจอดรถด้านหน้าอาคาร ตรงนั้นมีใครบางคนยืนพิงรถรออยู่แล้ว ชายหนุ่มจึงหยิบรีโมทออกมาเพื่อปลดล็อคประตู

"ให้ผมขับมั้ย?"

คริษฐ์ถามเมื่อเห็นเจ้าของรถเดินมายังประตูฝั่งคนขับ เกื้อวรุณจึงส่ายหน้า

"นายขับขากลับก็แล้วกัน ขาไปเดี๋ยวฉันขับเอง"

ทั้งสองสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงจุดประทัดจากบ้านหลังใดสักหลังที่อยู่ในซอยเดียวกับบริษัท ก่อนจะมองหน้ากันยิ้มๆ แล้วเปิดประตูเข้านั่งในรถ

"ผมนึกว่าเดี๋ยวนี้เขาห้ามจุดประทัดวันลอยกระทงแล้วซะอีก"

คริษฐ์เปรยเมื่อเกื้อวรุณขับรถออกมาถึงสามแยก คนที่กำลังขับรถจึงตอบพลางคอยมองรถที่เลี้ยวสวนไปด้วย

"ก็คงมีคนแอบจุดไปเรื่อยล่ะ ปีนึงมีลอยกระทงแค่ครั้งเดียวนี่นา"

"อืม"

คนตัวใหญ่กว่าครางรับในคอ ก่อนจะยื่นนิ้วไปกดเปิดวิทยุแล้วนั่งเท้าคางกับขอบหน้าต่าง ส่วนเกื้อวรุณรับหน้าที่สารถีระหว่างกำลังเดินทางไปยังจุดหมายของค่ำคืน 'ลอยกระทง' นี้ด้วยกัน

ความจริงแล้วชายหนุ่มทั้งสองต่างก็มีรถยนต์ของตัวเอง แต่เพื่อประหยัดค่าเชื้อเพลิง จึงตกลงกันว่าจะสลับกันขับรถของแต่ละฝ่ายเวลามาทำงาน จะได้ไม่ต้องต่างคนต่างเอารถมาให้เปลืองพื้นที่จอดซึ่งมีอยู่จำกัด

ท่ามกลางการจราจรที่ติดเป็นแพเพราะเป็นวันทำงานกลางสัปดาห์ หลังจากนั่งฟังเพลงจากวิทยุกันครู่ใหญ่ เกื้อวรุณก็หันไปถามคนที่นั่งอยู่ข้างๆ

"ตกลงเมื่อตอนบ่ายหงุดหงิดอะไร?"

คนถูกถามย่นจมูกโดยไม่หันมาสบตา เกื้อวรุณจึงต้องใช้วิธีที่รู้ว่าจะทำให้คนรักที่อายุน้อยกว่ายอมตอบคำถามแต่โดยดี

"ว่าไง? ไม่บอกฉันก็ง้อคริษฐ์ไม่ถูกนะ"

พอโดนบีบต้นขาเบาๆ จากฝ่ามือที่แสนคุ้นเคย ชายหนุ่มที่เพิ่งจะผ่านพ้นสถานะของการเป็นนักศึกษามาไม่นานก็เม้มปาก

"ก็เกื้อไม่ยอมกินเค้กที่ผมเอาไปให้ แล้วยังไปนั่งจู๋จี๋กับอาในห้องอีกนี่นา"

คำตัดพ้อของคนข้างตัวทำเอาเกื้อวรุณเกือบลืมตัวเหยียบคันเร่งทั้งที่รถติดไฟแดง ชายหนุ่มทำตาโตพลางหันไปมองคนที่ยังไม่ยอมหันมาหาเหมือนกำลังมองตัวประหลาดจากต่างดาว

"จะบ้าเหรอคริษฐ์! ถ้าใครมาได้ยินว่าฉันนั่งจู๋จี๋กับพี่มนตรีนี่ได้เป็นขี้ปากคนทั้งบริษัทเลยนะ! อีกอย่างใครๆ เขาก็รู้ว่าฉันคบนายอยู่ จะไปทำแบบนั้นกับพี่มนตรีได้ยังไงกัน!"

"ไม่รู้ล่ะ ก็เกื้อไม่กินเค้กที่ผมซื้อให้นี่"

คนพูดกอดอกแล้วทำหน้ามู่ทู่ยิ่งกว่าเดิม ทำเอาเกื้อวรุณไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้กับสถานการณ์ตรงหน้า

ตกลงนี่เขากำลังคบกับชายหนุ่มที่อายุย่าง 22 หรือว่าเด็ก ม.ปลายกันนี่...

แค่ที่เคยมีชีวิตสงบและสันโดษมาตลอด จนกระทั่งมนตรีแนะนำให้รู้จักกับหลานชายที่จู่ๆ ก็เป็นกำพร้าเอาตอนอายุสิบเก้าเนื่องจากทั้งพ่อและแม่ประสบอุบัติเหตุทางเครื่องบิน ทิ้งมรดกไว้หลายสิบล้านที่ยังไม่มีสิทธิ์ใช้จนกว่าจะบรรลุนิติภาวะและให้เขาช่วยสอนงานช่วงปิดเทอม ตั้งแต่นั้นเขาก็ต้องเผชิญกับความสัมพันธ์ลุ่มๆ ดอนๆ กับคริษฐ์มาตลอดเพราะบุคลิกหัวแข็งเข้าใจยาก จนสุดท้ายก็ถึงวันที่ความสัมพันธ์ถึงจุดแตกหักเมื่อคริษฐ์ใช้กำลังฝืนใจเขา

หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้น เกื้อวรุณโกรธและคิดจะลาออกจากบริษัทเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อพยายามทำความเข้าใจถึงสาเหตุของพฤติกรรมก้าวร้าวที่คริษฐ์แสดงออกว่าเป็นเพราะพื้นฐานครอบครัวที่ขาดความอบอุ่น และสิ่งที่เขาเสียไปก็ใช่ว่าถูกเก็บไว้เพื่อมอบให้กับใคร เขาจึงไม่ทอดทิ้งงานและพยายามทำตัวปกติเสมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้น โดยไม่ได้คาดคิดว่านั่นกลับดึงดูดเด็กหนุ่มให้เริ่มหันมาสนใจเขาอย่างจริงจัง

จากวันที่คริษฐ์หันมาตามจีบเขา จนสุดท้ายเขาก็ตอบรับความรู้สึก แถมต้องอดทนกับความไม่มั่นใจของอีกฝ่ายที่ร้องขอฟังคำรักจากเขาบ่อยๆ จนกระทั่งได้รับความเชื่อใจในที่สุด บัดนี้เวลาผ่านมาร่วมปี และทั้งคู่ก็ได้เริ่มใช้ชีวิตในบ้านเดียวกันซึ่งก็คือบ้านของเขาเพราะคริษฐ์เล่นหักดิบด้วยการขายคฤหาสน์ซึ่งเป็นหนึ่งในมรดกทิ้งเมื่อไม่กี่เดือนก่อน แต่หมอนี่กลับยังน้อยใจกับเรื่องแค่นี้ได้อีก...

หลังจากคิดวนมาหลายตลบ ในที่สุดเกื้อวรุณก็ได้แต่หัวเราะออกมา และคราวนี้คนที่ประหลาดใจกลับเป็นคนที่เพิ่งจะแสดงอาการน้อยใจจนเข้าขั้นวิตกจริตไปเมื่อครู่

"มีอะไรน่าขำเหรอเกื้อ?"

น้ำเสียงของคนถามจะว่าเอ็ดก็ไม่ใช่ จะว่าอายที่โดนหัวเราะก็ไม่เชิง เกื้อวรุณจึงพยายามสูดหายใจลึกๆ เข้าปอดให้ทันก่อนจะหันไปตอบทั้งที่ยังยิ้ม

"ขำอะไรล่ะ ก็ขำคริษฐ์น่ะสิ มาหาว่าคนอื่นไม่ได้กินเค้ก ทั้งที่ไม่ได้มาคอยนั่งดูสักหน่อยว่าเขากินเค้กไปตอนไหน"

"ก็ผมโดนอาสั่งให้ไปทำงานต่อนี่ จริงๆ ตอนนั้นที่ขึ้นไปน่ะผมตั้งใจไปหาเกื้อต่างหากแต่พอดีหยิบรายงานติดไปด้วย ที่ไหนได้ดันเจอเกื้อนั่งหัวร่อต่อกระซิกอยู่กับอาในห้อง"

หมอนี่...บางทีเกื้อวรุณก็ไม่รู้จะใช้วิธีไหนให้เลิกหึงหวงไม่เข้าท่ากับคนใกล้ตัวและเลิกใช้คำที่ชวนให้คนอื่นตีความผิดเสียที

"ไม่ได้หัวร่อต่อกระซิก แค่คุยงานต่างหาก นายนี่นะ...เมื่อไหร่จะเลิกทำนิสัยเหมือนเด็กสักที ไหนบอกว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วไง"

เกื้อวรุณเอ่ยพลางยื่นกำปั้นไปดุนไหล่หนาเบาๆ ฝ่ายคนถูกติงจึงยิ่งแสดงอาการ 'งอน' หนักเข้าไปอีก

"ใช่สิ ผมเลือกให้ตัวเองเกิดก่อนเกื้อไม่ได้นี่ ถึงได้ยังทำนิสัยเหมือนเด็กขี้อิจฉาอยู่แบบนี้แหละ"

ช่องว่างระหว่างวัยแปดปีไม่ใช่สิ่งที่จะใช้ด้ายเย็บตรึงให้หดเข้าหากันได้ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เกินวัยตระหนักถึงข้อนี้ดี และทั้งที่รู้อยู่แก่ใจถึงความรู้สึกที่เกื้อวรุณมีให้เพราะเขาเองที่ชอบถาม แต่พอเห็นคนรักไปทำดีกับคนอื่น ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ชอบใจอยู่ดี

"น่าเสียดายนะที่คิดแบบนั้น ฉันชอบเด็กแบบคริษฐ์ออก"

ประโยคเอาใจนั้นทำให้คนฟังหูผึ่ง เมื่อผินหน้าไปหาก็พบว่าคนพูดกำลังใช้สองมือเท้าพวงมาลัยรถแล้วเอียงคอมองเขายิ้มๆ ราวกับไม่ได้ตระหนักเลยสักนิดว่านัยน์ตาและรอยยิ้มอ่อนโยนเช่นนั้นสั่นคลอนหัวใจเขาได้มากเพียงไหน

ชายหนุ่มตัดสินใจทันที

"...เกื้อ ผมไม่อยากลอยกระทงแล้ว"

"อ้าว?"

คราวนี้เกื้อวรุณเป็นฝ่ายงุนงงบ้าง เขาขมวดคิ้วมองหน้าคนที่เปลี่ยนใจปุบปับจนตามอารมณ์ไม่ทัน

“แต่เมื่อเช้านายเป็นคนชวนเองนะว่าอยากไปลอยกระทงด้วยกันคืนนี้”

“ผมเปลี่ยนใจแล้ว ใครๆ ก็ตั้งใจจะไปลอยกระทงกันจนรถติดไปหมด ถ้างั้นแทนที่จะเสียเวลาไปที่เดียวกับคนอื่น ทำอะไรเหมือนๆ ที่คนอื่นทำ สู้ผมกลับบ้านไปใช้เวลากับเกื้อสองคนไม่ดีกว่าเหรอ?”

“ถ้าจะพูดอย่างนั้น มันก็...”

เหตุผลที่ได้ฟังทำให้เกื้อวรุณไม่รู้จะโต้แย้งอย่างไร ความจริงแล้วเขาก็ไม่ค่อยได้ทำกิจกรรมตามวันสำคัญมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่เพราะเมื่อเช้าคริษฐ์บอกว่าอยากไปลอยกระทง ตอนนี้ทั้งคู่ถึงได้มานั่งติดแหง็กอยู่ท่ามกลางการจราจรที่แสนย่ำแย่กลางเมืองนี่แหละ

“...งั้นกลับบ้านก็ได้”

สุดท้ายเกื้อวรุณก็ตามใจคนขอที่ชอบเปลี่ยนใจไปเรื่อย พอสัญญาณไฟเปลี่ยนสีจึงเร่งเครื่องไปยูเทิร์นใต้สะพานเพื่อกลับบ้านแทนที่จะตรงไปยังสถานที่ที่ตั้งใจกันไว้ พอถึงบ้านและจอดรถเรียบร้อย เกื้อวรุณก็ไขกุญแจประตูบ้านพลางหันไปถามคนตัวใหญ่กว่า

“เข้าหน้าหนาวแล้วฟ้ามืดเร็วชะมัด คริษฐ์หิวรึยังจะได้ทำมื้อเย็นให้…อื้อ”

เสียงท้ายประโยคเลือนหายเมื่อถูกคนตัวใหญ่แต่เด็กกว่าหลายปีก้มลงใช้ริมฝีปากดูดซับไว้ บั้นเอวถูกอ้อมแขนแข็งแรงรั้งเข้าหาขณะที่กลีบปากถูกปลายลิ้นไล้เลียแผ่วเบา

“ตอนนี้ยังไม่อยากกินมื้อเย็น อยากกินคนทำมื้อเย็นมากกว่า”

เสียงกระซิบแผ่วพร่าชิดริมฝีปากจุดความร้อนให้ลามไปทั่วผิวหน้าของเกื้อวรุณ ชายหนุ่มเหลือบตาขึ้นมองเจ้าของนัยน์ตาสีนิลลึกล้ำที่กำลังจ้องตนอยู่ ถึงแม้รอบตัวจะสลัว แต่ความใกล้ชิดก็ทำให้เขาเห็นความปรารถนาในแววตาของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน

“...ตกลงที่ให้รีบกลับบ้านเพราะอย่างนี้รึไง?”

แววตาที่หลุบหนีลงเพราะความเขินทำให้คนที่กำลังมองกระตุกยิ้ม “ผมก็พูดตั้งแต่อยู่ในรถแล้วนี่ว่าอยากใช้เวลากับเกื้อสองคน”

นัยน์ตาของคนพูดทอประกายเจ้าชู้กรุ้มกริ่ม แววตาเช่นนั้นทำให้เกื้อวรุณทั้งเขินทั้งหมั่นไส้ แต่ก็ไม่ได้ห้ามเมื่ออีกฝ่ายยื่นมืออ้อมตัวเขาไปผลักประตูบ้านให้เปิดออก และรั้งตัวให้เดินตามเข้าไปโดยมีจุดหมายอยู่บนห้องนอนซึ่งอยู่บนชั้นสอง

ห้องที่เป็นสถานที่ส่วนตัวที่สุดสำหรับการ ‘ใช้เวลาร่วมกัน’ ของพวกเขาสองคน


++------++


ฟ้าภายนอกมืดครึ้ม พระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นอยู่นอกหน้าต่าง รอบพระจันทร์ทรงกลมมีรัศมีอ่อนจางเหลือบสีรุ้งล้อมเป็นวง อากาศที่เริ่มเย็นลงหลังพระอาทิตย์ลับขอบฟ้ามิได้ส่งผลให้เรือนร่างของชายหนุ่มทั้งสองที่ก่ายเกยกันภายในห้องนอนรู้สึกเหน็บหนาวแต่อย่างใด

“เกื้อ...พระจันทร์มันทรงกลดได้ยังไง?”

คำถามนั้นมาจากคนตัวใหญ่ที่กำลังนอนคว่ำและหนุนแผ่นอกของเขาต่างหมอน เกื้อวรุณซึ่งกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหมอนและเพิ่งจะได้ปรับลมหายใจให้เป็นปกติจากกิจกรรมเมื่อไม่กี่อึดใจก่อนจึงชำเลืองมองไปนอกหน้าต่าง จากนั้นก็เบนสายตากลับมาหาคนที่กำลังเท้าคางบนแขนที่ประสานกันบนอกของเขา

เกื้อวรุณชอบดูรายการสารคดี แทบทุกครั้งที่เปิดโทรทัศน์ก็จะเลือกดูช่องที่ฉายสารคดีเป็นหลัก หนังสือที่ชอบอ่านก็ยังเป็นแนวความรู้รอบตัว ตอนแรกคริษฐ์ทั้งแปลกใจทั้งทึ่งเมื่อรู้ความสนใจของเขา หลังจากนั้นมา เวลาที่ชายหนุ่มสงสัยในเรื่องที่ถามคนอื่นไม่ได้ เขาก็จะถามเกื้อวรุณเพราะรู้ว่าต้องได้ความกระจ่างอย่างแน่นอน

“คุ้นๆ ว่าเพราะการหักเหของแสงจากดวงจันทร์เวลาสะท้อนกับเกล็ดน้ำแข็งในชั้นบรรยากาศนะ แต่ถ้าอยากให้ชัวร์คงต้องไปเปิดหนังสือดู”

“ไม่ต้องหรอก ได้รู้คร่าวๆ ก็พอแล้ว ผมยังไม่อยากให้เกื้อลุกไปไหน”

เพราะตัวเองกำลังสบายน่ะสิ...เกื้อวรุณมองคนที่เอียงหน้าลงหนุนแผ่นอกของเขาอีกครั้งแล้วก็ยิ้ม ความเอ็นดูทำให้ยกมือขึ้นลูบศีรษะทุยที่ปกคลุมด้วยผมสั้นเกรียนเบาๆ โชคดีว่าคริษฐ์เป็นคนผมเส้นเล็กแถมยังหยักศก ดังนั้นแม้ผมขึ้นใหม่ก็ไม่แทงมือเวลาลูบให้รำคาญใจ

“…ช่วยบอกหลานพี่หน่อยว่าให้ทำหน้าโหดให้มันน้อยลงมั่ง แค่ที่ทุกวันนี้สกินเฮดกับเจาะหูข้างเดียวนี่ก็ดูนักเลงจะแย่อยู่แล้ว"

เกื้อวรุณอดนึกไปถึงบทสนทนากับมนตรีเมื่อตอนบ่ายไม่ได้ แต่ก็รู้ว่าขืนพูดตรงๆ กับคนที่โดนฝากมาบอก สงสัยจะมีแต่ทำให้คริษฐ์ยิ่งทำหน้าดุมากขึ้นเพื่อประชดผู้เป็นอาแน่ๆ ความจริงตั้งแต่บรรลุนิติภาวะเป็นต้นมา คริษฐ์ไม่จำเป็นจะต้องมาช่วยงานที่บริษัทของมนตรีก็ได้เพราะมีทรัพย์สินจากมรดกจนเหลือใช้ แต่เหตุผลเดียวที่เจ้าตัวเคยให้ตอนเขาถามว่าทำไมถึงยังมาทำงานอยู่อีก คำตอบที่ได้ก็คือ

'ก็เกื้อทำอยู่ที่นี่'

เมื่อหวนนึกถึงคำพูดประโยคนั้น แววตาที่ทอดมองคนที่หนุนตัวเองอยู่ก็ฉายแววลุ่มลึกขึ้น เขาไม่รู้ว่าคริษฐ์จะยึดติดเขาไปได้อีกนานแค่ไหน จะมีวันหนึ่งที่อีกฝ่ายเติบโตขึ้น พบใครคนอื่นที่ถูกใจมากกว่า แล้วหันมามองว่าเขาเป็นแค่ตาลุงที่เคยควงด้วยหรือเปล่า...

และหากวันนั้นมาถึง เขาจะทนรับความเสียใจได้ไหม...

เกื้อวรุณรู้ดีว่าไม่ควรจะคิดมาก แต่ความแตกต่างของวัยที่กว้างถึงแปดปี แล้วไหนยังจะรูปลักษณ์ของคริษฐ์ที่ยิ่งเป็นหนุ่มก็ยิ่งดึงดูดใจคนที่ได้เห็นด้วยเสน่ห์อันดิบเถื่อนที่แทบไม่ต้องพยายามปรุงแต่ง ซึ่งต่างกับความจืดชืดและเรื่อยเฉื่อยของเขาเป็นคนละขั้ว เกื้อวรุณจึงไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าความสุขที่ดำเนินอยู่นี้จะหมดอายุลงเมื่อไร

"นี่เกื้อ..."

"หือ?"

เสียงเรียกของคริษฐ์ช่วยทำลายความเงียบงัน ขณะเดียวกันก็ดึงเขาออกห่างจากวงจรความคิดอันฟุ้งซ่าน เกื้อวรุณจึงขานรับในคอโดยที่ยังไม่หยุดมือซึ่งลูบศีรษะของอีกฝ่าย

"ถ้าในอนาคตผมเปิดบริษัทของตัวเองบ้างแล้วชวนเกื้อมาทำด้วยกัน เกื้อจะยอมมาร่วมหัวจมท้ายกับผมมั้ย?"

เกื้อวรุณหยุดมือที่ลูบผมอีกฝ่ายเมื่อคนถามเงยหน้าขึ้นสบตาเขาอีกครั้ง แววตาเอาจริงเอาจังที่ได้เห็นทำให้อึ้งไปครู่ใหญ่

"คริษฐ์อยากเปิดบริษัทของตัวเองเหรอ?"

ชายหนุ่มถามโดยไม่หลบตา กลับเป็นคนที่นอนคร่อมเขาอยู่เสียอีกที่กลอกตาอย่างใช้ความคิด

"ก็ยังไม่รู้เหมือนกัน แต่เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตใช่ไหมล่ะ? ถึงอามนตรีจะไม่มีครอบครัวก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยกธุรกิจให้ผมสืบทอด อีกอย่างถ้าหากได้ทำอะไรที่เป็นชื่อของผมกับเกื้อก็ดีเหมือนกัน จะได้เป็นหลักประกันอนาคตของพวกเราทั้งคู่ไง ระหว่างนี้ก็เก็บประสบการณ์จากบริษัทของอาไปก่อน"

ความคิดอ่านที่แสดงออกถึงการมองการณ์ไกลสู่อนาคตทำให้เกื้อวรุณแปลกใจ และนั่นคงสะท้อนออกมาทางสีหน้าเช่นกัน เพราะคริษฐ์หัวเราะแล้วเลื่อนตัวขึ้นยันแขนคร่อมเขาไว้ ชายหนุ่มจึงต้องแหงนหน้าขึ้นเพื่อสบตากับคนตัวใหญ่กว่าตรงๆ

ไม่ใช่เกื้อวรุณเหลือบลงหาและคริษฐ์เงยหน้าขึ้นราวจะสะท้อนความต่างวัยของทั้งคู่อีก

"ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ? หรือคิดไม่ถึงว่าผมจะคิดเรื่องแบบนี้ไว้ด้วย?"

ท้ายประโยคมีกังวานหัวเราะเจือในน้ำเสียงแหบทุ้ม สอดรับกับนัยน์ตาพราวระยับที่มองตรงมา และความสดใสของใบหน้านั้นก็ทำให้เกื้อวรุณรู้สึกเหมือนกำลังตาพร่า

เขารักผู้ชายคนนี้มากจริงๆ...

"ก็ฉันแปลกใจนี่นา"

ลมหายใจของเกื้อวรุณขาดห้วงเมื่อมือใหญ่ลูบเรียวขาของเขาไปมา ก่อนจะจับยกขาทั้งสองข้างให้เกาะเกี่ยวเอวหนาของตนไว้ จากนั้นก็ทาบตัวลงมาจนแผ่นอกของทั้งสองแนบชิด

"ผมบอกก่อนนะเกื้อ ผมเป็นพวกยึดติด รักแรง หึงแรง แล้วถ้ารักใครก็จะไม่มีวันปล่อยมือง่ายๆ หรอก"

ชายหนุ่มเอ่ยพลางปัดริมฝีปากบนกลีบปากเขาแผ่วๆ ฝ่ามือใหญ่ทั้งสองข้างประคองใบหน้าของคนรักอย่างทะนุถนอม ขณะเดียวกันการล่วงล้ำอย่างแช่มช้าจากความร้อนระอุเบื้องล่างก็ทำให้เกื้อวรุณส่งเสียงราวสำลักลมหายใจ

หากไม่นับครั้งแรกสุดของทั้งคู่ที่เกื้อวรุณจำได้แต่ความเจ็บและพายุอารมณ์อันเกรี้ยวกราดของอีกฝ่าย หลังจากนั้นคริษฐ์ก็ไม่เคยใช้ความรุนแรงหรือบังคับเขาอีกเลย และนอกจากเขาก็ไม่มีใครรู้ว่าคนตัวใหญ่และหน้าเข้มดุเสมอคนนี้สามารถมอบความทรมานอันแสนหอมหวานได้อย่างอ่อนโยนเพียงไร

เพียงแค่เผลอจินตนาการไปว่าวันหนึ่งความอ่อนโยนนี้อาจถูกมอบไปให้ใครอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง เกื้อวรุณก็รู้สึกเจ็บแน่นไปทั้งอกจนแทบทนไม่ได้

"...ฉันก็เหมือนกัน"

ถึงแม้นั่นจะไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ยินดีปล่อยมือถ้าหากคริษฐ์หมดความต้องการในตัวเขาสักวัน แต่ถ้าหากอีกฝ่ายยืนยันว่าจะไม่มีวันตีจาก เขาก็พร้อมจะทำทุกอย่างให้คริษฐ์มีความสุข และไม่เสียดายที่ได้มอบหัวใจให้เขา ต่อให้จะถูกมองว่าคอยให้ท้ายคนรักที่อ่อนวัยกว่าคนนี้ไปบ้าง แต่ถ้าหากพวกเขาไม่ได้ไปทำให้ใครเดือดร้อน นั่นก็ควรจะเพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ

ร่างสูงใหญ่คำรามต่ำเมื่อรับรู้ถึงการบีบรัดจากช่องทางที่ตนรุกราน รวมทั้งอ้อมแขนที่โอบรอบคอและสะโพกเพรียวที่ขยับส่ายราวจะยั่วเย้าให้ช่วยระบายความอึดอัดอันแสนหวาน ชายหนุ่มพยายามสูดหายใจเข้าลึกเพื่อควบคุมตัวเองก่อนจะค่อยหรี่ตาลงมองร่างในอ้อมกอด

ทั้งผิวกายอุ่นที่ฉาบด้วยหยาดเหงื่อจนล้อแสงจากโคมไฟ ใบหน้าเรื่อสีชมพูฝาดและนัยน์ตาเชื่อมปรอยที่ทอดมองเขา ปอยผมสีดำยุ่งเหยิงที่แนบติดหน้าฝาก ริมฝีปากสีส้มอมชมพูที่เผยอขึ้นน้อยๆ และมีลมหายใจอุ่นหวานพวยออกมาอย่างแผ่วเบา

ถ้าได้เห็นภาพนี้ ได้สัมผัสเรือนร่างนี้ และได้ซึมซับความสุขจากการได้ถ่ายทอดความในใจให้กันทุกวัน คริษฐ์ก็ไม่คิดว่าชั่วชีวิตนี้จะปล่อยให้ตัวเองลุ่มหลงมัวเมาไปกับใครอื่นนอกจากคนในอ้อมแขนได้อีก

คนที่สอนให้ผมรู้จักความรักก็คือคุณ...

"ดูเหมือนคืนนี้ผมได้กินคนทำมื้อเย็นอย่างเดียวก็อิ่มจริงๆ ด้วยล่ะเกื้อ ให้ผมรักเกื้อทั้งคืนนะ"

น้ำเสียงออดอ้อนทำให้เกื้อวรุณได้แต่พยักหน้าเขินๆ เมื่อคนเบื้องบนเพิ่มความลึกล้ำให้แก่ร่างกายที่กำลังถูกบดเบียด ชายหนุ่มก็ปรือตาลงและปล่อยให้ตนเองเคลื่อนไหวตามการชี้นำโดยไม่ทัดทาน ทุกครั้งที่ร่างสูงใหญ่ถอยห่างเพียงเพื่อจะโถมตัวกลับมา เขาจะยิ่งกอดกระชับบ่ากว้างแน่นขึ้นเพื่อให้มั่นใจว่าความอบอุ่นนั้นจะไม่ผละจากไปไหน

กลิ่นอายแห่งรักในบ้านหลังเล็กๆ ย่านชานเมืองอวลฟุ้ง ความในใจที่ถูกแลกเปลี่ยนให้แก่กันจนข้ามคืนแจ่มชัดไม่ต่างจากแสงจันทร์ที่ทวีความสว่างไสวในคืนสิบสองค่ำ ไม่ว่าจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์นี้จะมีที่มาอันไม่น่าจดจำอย่างไร ชายหนุ่มทั้งสองก็ตระหนักแก่ใจแล้วว่าคงไม่มีวันปล่อยอีกฝ่ายไปจากชีวิต ไม่ว่าจะในอนาคตอันยาวนานเพียงใดก็ตาม

เพราะในค่ำคืนนี้...หัวใจของพวกเขาได้หลอมรวมเป็นดวงเดียวภายใต้แสงจันทร์กระจ่างแล้ว...



++---End---++



A/N: เนื้อหาตอนนี้มาจาก...อยากเขียนนิยายสำหรับเทศกาลลอยกระทง ไปๆ มาๆ ก็นึกถึงคู่นี้ที่เคยเขียนไว้ รู้สึกว่าเรื่องราวและคาแรคเตอร์ของคริษฐ์กับเกื้อมีความพิเศษที่อยากเขียนเป็นเรื่องยาว แต่ยังไม่มีเวลาได้เริ่มสักที ก็เลยเอามาเขียนเป็นตอนพิเศษสั้นๆ ก็แล้วกัน แต่พอเขียนเสร็จแล้วก็รู้สึกหลุดธีมลอยกระทงชอบกล ยังไงอ่านแล้วแปะคอมเม้นต์ติชมกันไว้ได้นะคะ คิดถึงคนอ่านทุกคนค่า (ไม่ได้เขียนอะไรใหม่มาลงบล็อกนานมากเลย )




 

Create Date : 24 พฤศจิกายน 2555    
Last Update : 14 เมษายน 2556 10:00:37 น.
Counter : 842 Pageviews.  

[เรื่องสั้น] ขอเพียงเอ่ยว่ารัก

แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ



++------++



เอ่ยคำว่ารักไม่ยากเท่าไหร่ เพียงเธอไม่มีหัวใจ ปากคอยพูดไป

ไม่ต้องใส่ใจถ้อยคำ ว่าทำลายใจใครที่มัวงมงายว่าจริง

เอ่ยคำว่ารักไม่ยากเท่าไหร่ ใครๆก็พูดกันได้

หากใครเชื่อใจ ก็ปล่อยให้ทนช้ำใจ..ไปเอง



ผมเคยได้ยินเนื้อเพลงที่บอกว่าการเอ่ยคำว่ารักไม่ใช่เรื่องยาก ทว่าคนพูดจะหมายความตามที่พูดหรือเปล่านั้นเป็นอีกเรื่อง ตอนที่เคยได้ยินเพลงนี้แรกๆ ผมก็เคยนึกว่ามันเป็นไปได้หรือที่คนเราจะบอกว่ารักใครสักคนได้ทั้งที่ไม่ได้รู้สึกแบบนั้นจริง แต่ไม่นานมานี้ ผมก็เริ่มคิดได้ว่า บางที...การบอกคำว่ารักอาจไม่ได้หมายความว่าคนพูดอยากหลอกลวงคนฟังเพื่อเก็บคนคนนั้นไว้กับตัว แต่เพื่อรักษาความรู้สึกของเขาคนนั้น จนกว่าจะถึงวันที่เขาคิดได้เองว่าคำพูดนั้นว่างเปล่าไร้ความหมาย และสุดท้ายก็ยอมออกไปจากชีวิตของคนพูดเสียที อาจจะเรียกได้ว่าเป็นความกรุณาที่โหดร้ายก็เป็นได้

เหมือนที่ผมรู้สึกกับคำพูดนั้นของคุณในตอนนี้

ผมไม่รู้ว่าเคยถามคำถามนี้กับคุณไปกี่ครั้งแล้ว อาจจะมากพอๆกับจำนวนครั้งที่เรามีอะไรกัน ท่ามกลางเสียงหอบหายใจและไอร้อนผ่าวจากสองร่างที่เพิ่งได้สอดประสานกันเป็นหนึ่ง เมื่ออารมณ์ของเราสองบรรลุถึงจุดสิ้นสุดและร่างกายของเราทั้งคู่ผละจากกัน ผมจะยังคงนอนลืมตาแล้วกุมมือข้างหนึ่งของคุณเอาไว้ มือที่บางครั้งจิกเล็บลงมาบนไหล่ผมเพื่อช่วยลดความเจ็บปวดยามที่ถูกผมโหมกระแทกร่างกายเข้าใส่ มือที่บางครั้งก็ลูบผมและใบหน้าให้อย่างอ่อนโยนยามที่ผมค่อยๆชื่นชมกับร่างกายของคุณเหมือนกำลังแตะต้องของมีค่าที่ผมไม่คู่ควร ทุกครั้งที่ผมถามคำถามนี้ คุณจะเงียบไปอึดใจหนึ่งทุกครั้งเหมือนต้องค้นหาใจตัวเองว่าควรจะตอบผมอย่างไร ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงที่แผ่วจนบางครั้งผมไม่แน่ใจว่าได้ยินคำตอบจริงๆ

“รักสิ”

ทุกครั้งที่พูดคำนั้นออกมา คุณรู้สึกแบบเดียวกับที่พูดจริงหรือเปล่า?

และทำไม...ถึงมีแต่ผม...ที่เป็นฝ่ายเฝ้าถามอยู่เรื่อยมา?


++------++


ฝนตกอีกแล้ว วันนี้ผมมัวแต่คุยเรื่องรายงานกับเพื่อนๆจนดึกก่อนจะโบกเรียกแท็กซี่เพื่อกลับบ้าน จริงอยู่ว่าตั้งแต่เข้ามหา’ลัยมา ผมก็สนใจเรียนบ้างเกเรบ้างไปตามประสา แต่เพราะตั้งแต่พบคุณและถูกคุณสอนว่าให้เอาใจใส่อนาคตตัวเองให้มากกว่านี้ ผมก็เลยเริ่มปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น ขยันเข้าห้องเรียนมากขึ้นและเกเรน้อยลง เผื่อว่ามันจะทำให้ผมคู่ควรกับคุณมากขึ้นอีกนิด ถึงกับมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนที่คบกันมานานเพียงเพราะมันดูถูกคุณที่ทำให้ผมเปลี่ยนไป โดยที่ไม่เคยปริปากเล่าเรื่องนี้ให้คุณฟังเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะผมไม่อยากให้คุณรู้สึกผิดและคบกับผมเพราะความสงสารเท่านั้น

ผมมองผ่านกระจกหน้ารถแท็กซี่ที่พร่ามัวเพราะฝนที่ตกกระหน่ำไม่หยุด ทั้งที่สี่ทุ่มกว่าแล้ว แต่บนถนนกลับเต็มไปด้วยรถยนต์ที่พร้อมใจมาติดฝนในเส้นทางเดียวกัน ผมนั่งมองไฟท้ายรถสีแดงจากเหล่ารถยนต์ที่เรียงกันเป็นแพอยู่ข้างหน้า แล้วก็ตัดสินใจว่านั่งต่อไปก็เปล่าประโยชน์

“ลุง...เดี๋ยวผมลงตรงนี้แล้วกัน”

ผมเอ่ยขึ้นพลางควักกระเป๋าสตางค์ออกมาหยิบหาค่าแท็กซี่ ลุงคนขับที่กำลังนั่งเคาะนิ้วบนพวงมาลัยเลยเหลือบมองผมผ่านกระจกมองหลังแล้วขมวดคิ้ว

“จะเอางั้นก็ตามใจ ว่าแต่น้องมีร่มมาเหรอ? ดูท่ามันจะไม่หยุดตกง่ายๆนา”

ผมส่ายหน้าแล้วก็ยื่นเงินเท่าตัวเลขบนมิเตอร์ให้คนขับ “ไม่มีครับ แต่ไม่เป็นไรหรอก”

เมื่อก้าวลงมาจากรถแท็กซี่ เสียงพายุฝนและฟ้าร้องที่ได้ยินมาตั้งแต่ครู่ก่อนก็ดูจะดังขึ้นอีกหลายเท่า ผมรีบเดินเลาะหน้ารถคันที่จอดอยู่ข้างๆแล้วก็วิ่งเหยาะๆไปจนถึงป้ายรถเมล์ใกล้กับสะพานลอยข้างถนน ตรงป้ายนั้นมีคนที่กำลังยืนเบียดเสียดกันอยู่ใต้หลังคาเพื่อหลบฝนที่สาดเฉียงลงมาระหว่างรอรถจนแน่นไปหมด และตอนนี้ผมเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องเข้าไปขออาศัยพื้นที่ที่เหลือเพื่อหลบเลี่ยงจากความเปียกด้วยเหมือนกัน ถึงแม้ตอนนี้เสื้อของผมจะเริ่มเปียกโชกเพราะเพิ่งวิ่งฝ่าฝนมาก็ตาม

ผมยืนเอามือสองข้างกอดแขนตัวเองด้วยความหนาว เพราะว่าผมมาทีหลัง พื้นที่ส่วนที่ไม่โดนฝนใต้หลังคาป้ายรถเมล์จึงแทบไม่เหลือแล้ว ผมยืนอยู่ครู่หนึ่งก็หันไปด้านหลังเมื่อรู้สึกว่าโดนสะกิด และเห็นหญิงสาวร่างเล็กคนหนึ่งกำลังยิ้มให้และพยักหน้าเหมือนจะบอกให้กระเถิบไปด้านหลังอีกนิดได้ ผมจึงพยักหน้าขอบคุณและถอยไปยืนตรงที่ข้างๆเธอ

ระหว่างที่พวกเรายืนหลบฝนและดูการจราจรตรงหน้าที่แทบจะเป็นอัมพาต พายุฝนก็ยังคงเทลงมาอย่างสม่ำเสมอโดยไม่มีวี่แววว่าจะหยุด หลังจากเบื่อกับภาพที่แทบไม่มีอะไรเคลื่อนไหวตรงหน้า ผมก็เหลือบตาไปมองผู้หญิงคนที่ยืนอยู่ข้างๆแทน ความที่ผมเป็นคนตัวค่อนข้างสูง ส่วนเธอก็น่าจะไม่ได้สูงไปกว่าผู้หญิงมาตรฐานทั่วไป สายตาของผมที่เหลือบไปจึงตกลงบนเนินอกของเธอพอดี ความจริงแล้วเสื้อเชิ้ตมีระบายตรงคอปกของเธอนั้นถือว่าเรียบร้อยและมิดชิดทีเดียว แต่คงเพราะเธอไม่มีร่มและเดินตากฝนมาก่อนเหมือนกัน เสื้อเชิ้ตผ้าบางที่ชุ่มน้ำจึงแนบกับเนินเนื้ออิ่มและขับให้เห็นโครงและขอบเสื้อชั้นในลูกไม้ได้ถนัดตา

ผมไม่รู้ว่าสายตาของผมตกอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหน แต่ดูเหมือนเธอจะพอรู้ตัวว่ากำลังโดนจ้องมอง ผิวแก้มเนียนทั้งสองข้างจึงแต้มสีกลีบกุหลาบขึ้น ส่วนมือที่ถือแฟ้มพลาสติกก็ยกขึ้นมากอดไว้ราวกับต้องการจะปิดบังเรือนร่างของตัวเอง นัยน์ตากลมโตของเธอเหลือบขึ้นมองผมนิดหนึ่งก่อนจะก้มหนีด้วยท่วงท่าเหมือนอาย และนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ จึงกระแอมออกมาแล้วละสายตาขึ้นมองถนนตรงหน้าเช่นเดิม

ผมรู้ดีว่าตัวเองเสียมารยาทที่เผลอจ้องมองร่างกายของหญิงสาวแปลกหน้าแบบนั้น แต่หากใครได้รู้ว่าผมมองภาพเมื่อครู่โดยไม่รู้สึกว่าถูกกระตุ้นเร้าทางเพศเลยอาจจะแปลกใจมากกว่า ใช่ว่าผมจะไม่เคยผ่านการได้ลิ้มลองความยั่วยวนของร่างกายผู้หญิงมาก่อน บางทีอาจจะมากกว่าที่ผมอยากจะนับด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนหลังจากที่ผมได้เริ่มทำความคุ้นเคยกับร่างกายของคุณเป็นต้นมา หลังจากนั้นผมกลับไม่รู้สึกอะไรเวลาได้มองร่างกายของผู้หญิงอีกเลย แต่กับร่างเปลือยของผู้ชายคนอื่นก็ไม่ทำให้ผมหายใจติดขัด หรือรู้สึกร้อนรุ่มไปทั้งตัวได้เหมือนเวลาที่มองคุณเลยสักนิด

ผมเหลือบตาลงอีกครั้งเมื่อรู้สึกว่าถูกคนข้างตัวเบียด และทำให้รู้ว่ามีคนที่เพิ่งลงมาจากสะพานลอยเข้ามาอาศัยหลบฝนเพิ่มขึ้น เธอเลยต้องขยับเข้ามาชิดผมมากขึ้นเพื่อเปิดพื้นที่ให้ผู้มาใหม่ เจ้าของใบหน้าเนียนรูปไข่เหลือบตาขึ้นแล้วก็ยิ้มอย่างเขินอายให้ผมอีกครั้ง เพราะการขยับตัวเมื่อครู่ทำให้เนินอกของเธอชนเข้ากับศอกของผมอย่างจัง ผมจึงยกมุมปากนิดหนึ่งแล้วเก็บศอกเข้ามาให้ชิดตัวมากขึ้น ทั้งเพราะไม่อยากให้เธอคิดว่าผมฉวยโอกาส ทั้งเพื่อไม่ให้ความหวังในกรณีที่เธอกำลังคิดอะไรเกินเลยด้วย

เข็มนาฬิกาบนข้อมือชี้บอกเวลาสี่ทุ่มครึ่ง และผมก็ไม่รู้ว่าถ้าหากผมโทรไปหาตอนนี้คุณจะโกรธไหม เพราะว่าคุณเคยบอกผมเองว่าช่วงนี้งานยุ่งมากจนบางครั้งต้องทำงานที่ออฟฟิศข้ามคืน และตอนแรกที่ตัดสินใจลงมาจากแท็กซี่ก็เพียงเพราะผมเบื่อกับการต้องนั่งอยู่ในที่แคบๆที่ไม่มีการเคลื่อนไหว แต่ในตอนนี้ ผมกลับรู้สึกว่า...ขอเพียงได้เห็นบ้านของคุณ...ถึงแม้คุณจะไม่อยู่...ก็ยังดี

สายฟ้าแลบเป็นเส้นใหญ่ติดๆกันราวกับท้องฟ้ากำลังปริแตก ก่อนจะตามด้วยเสียงฟ้าร้องที่ดังสนั่นจนหลายคนส่งเสียงกรีดร้องอย่างตกใจ และในวินาทีนั้นผมก็ตัดสินใจเดินออกจากป้ายรถเมล์ที่แออัดไปทางสะพานลอยทันที

ฝนที่ตกกระหน่ำทำให้เสื้อเชิ้ตสีขาวของผมเปียกชุ่ม และตอนนี้ความเปียกนั้นก็ซึมไปทั้งกางเกงและถุงเท้าที่อยู่ใต้รองเท้าหนังสีดำ หลังจากผมเดินข้ามสะพานลอยมาถึงอีกฝั่งแล้ว ผมก็หันกลับไปมองป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง และเห็นว่าหญิงสาวที่ผมยืนอยู่ข้างๆเมื่อครู่กำลังมองมาทางผมด้วยสีหน้าที่แสดงความห่วงใย แต่ผมก็เพียงหันหลังกลับแล้วเดินเข้าในซอยที่เป็นทางลัดไปบ้านของคุณโดยไม่หันหลังกลับไปอีก

ผมยอมรับว่าวูบหนึ่ง...ชั่ววูบเดียวเท่านั้น...ที่ผมเผลอคิดไปว่า ถ้าหากผมชวนเธอขึ้นแท็กซี่ไปหาที่หลบฝนด้วยกัน ค่ำคืนนี้จะจบลงอย่างไร แต่ก็รู้ดีว่านั่นคงเป็นการกระทำที่ต่ำช้าที่สุด เพราะเท่ากับว่าผมกำลังดูถูกเธอคนนั้น เช่นเดียวกันกับที่กำลังดูถูกความรู้สึกของตัวเองที่มีให้กับคุณ ไม่ว่าคุณจะเห็นค่าของมันหรือไม่ก็ตาม

เสียงแตรจากวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างดังมาเข้าหูขณะที่ผมกำลังเดินเข้าซอย ผมจึงหันไปแล้วโบกมือเป็นเชิงปฏิเสธ เพราะเมื่อเปียกขนาดนี้แล้ว ไม่ว่าจะเดินหรือนั่งรถไปก็มีค่าเท่ากัน และที่สำคัญที่สุด...ผมก็อยากใช้ช่วงเวลานี้คิดทบทวนเรื่องราวระหว่างเราไปด้วย

ตั้งแต่ที่ได้รู้จักกันครั้งแรกเพราะอาทนความเรื่อยเฉื่อยของผมไม่ไหวจนให้ไปฝึกงานในแผนกของคุณ ผมก็รู้ดีว่าตัวเองมีแต่เพิ่มภาระให้คุณเพราะความเกเรและไม่ใส่ใจ แต่คุณกลับไม่เคยดุด่าหรือเอาเรื่องไปฟ้องอาของผมเพื่อให้ผมโดนย้ายไปฝึกงานที่แผนกอื่นเลยสักครั้ง ผมเคยคิดว่านั่นเป็นเพราะความเป็นคนใจดีจนเกือบจะเหมือนซื่อ...ที่ทำให้คุณยอมออกหน้าปกป้องแม้กระทั่งเวลาที่ผมตั้งใจทำงานผิด และผมก็เกือบจะใจอ่อนจนเชื่อแล้วว่าเพราะคุณหวังดีและอยากให้ผมกลับเนื้อกลับตัวจากที่เคยเอาแต่เที่ยวเล่นไม่สนใจเรียนอย่างจริงจัง จนกระทั่งวันหนึ่งผมไปแอบได้ยินบทสนทนาของคุณกับอา ที่ทำให้ผมรู้ว่าอาเล่าเรื่องที่ผมโตมาในครอบครัวที่พ่อแม่ไม่ดูดำดูดีจนกลายเป็นเด็กรวยที่มีปัญหา และทำให้ผมฉุนขาดว่าคุณไม่ได้เห็นใจผมเพราะตัวผมเอง แต่แค่สงสารเพราะเรื่องราวชีวิตบัดซบที่คุณได้ยิน กับเพราะอาฝากฝังคุณมาให้ช่วยดูแลผมก็เท่านั้น

ผมยอมรับว่าผมเสียใจที่ชวนทะเลาะและใช้กำลังขืนใจคุณในห้องทำงานของคุณเอง แต่เพราะผมไม่คุ้นเคยกับการใช้ความอ่อนโยนเพื่อแสดงความรู้สึกในใจ ผมจึงไม่เคยขอโทษหรือแสดงความสำนึกผิดกับสิ่งที่ทำกับคุณเลยสักครั้ง และทั้งๆที่คิดว่าหลังจากเรื่องราวเลวๆที่ทำลงไป คุณคงจะตัดหางปล่อยวัดผมอีกคนแทนการชดใช้ความผิด วันถัดมาคุณกลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและขอให้ผมช่วยงานเหมือนเดิม และแม้แต่ชวนผมออกไปเลี้ยงข้าวกลางวันด้วย และพอผมมาใคร่ครวญดูอีกที ผมก็คิดว่าบางที...นั่นอาจจะเป็นจุดพลิกผันที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ผมเริ่มรักคุณขึ้นมาจริงๆ

ความสัมพันธ์ของเราพัฒนามากขึ้นจากจุดนั้นเป็นต้นมา ผมเริ่มตั้งใจช่วยงานคุณตามที่ได้รับมอบหมายมากขึ้น ยอมให้คุณสั่งสอนให้เลิกนิสัยชอบเที่ยวสำมะเลเทเมาและใส่ใจการเรียนมากขึ้น ผมยังจำสีหน้าของคุณตอนที่ผมถามว่าถ้าผมทำตามแล้วคุณจะยอมคบกับผมไหม ตอนนั้นคุณทำตาโตแล้วก็ทำหน้าตื่นๆเหมือนตกใจ แต่จากนั้นก็ถอนหายใจแล้วตอบรับอุบอิบด้วยการให้ผมสัญญาว่าจะกลับตัวจริงๆตามที่คุณขอ ผมเลยขอมีอะไรกับคุณอีกครั้ง และถึงแม้จะดูออกว่าคุณไม่ค่อยเต็มใจ แต่ผมก็พยายามที่สุดที่จะไม่ให้ความทรงจำเลวร้ายของครั้งแรกมาทำให้คุณไม่มีความสุข ผมอ่อนโยนกับคุณอย่างที่ผมไม่เคยทำกับผู้หญิงคนไหนในชีวิต และนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณยอมโอนอ่อนเวลาที่ผมขอมีอะไรกับคุณในครั้งหลังๆก็เป็นได้

จากตอนนั้นก็ผ่านมาครึ่งปีแล้ว ความสัมพันธ์ของเรายังคงเหมือนเดิม ผมไม่มีใครนอกจากคุณ และคุณก็ไม่มีใครนอกจากผม และดูเหมือนอาของผมที่เป็นคนฝากฝังผมกับคุณก็จะรู้เรื่องที่ดำเนินไประหว่างเราแต่ไม่ได้ทักท้วง ทุกอย่างน่าจะจบลงด้วยดี เมื่อในตอนนี้ผลการเรียนในปีที่สี่ของผมก็กระเตื้องขึ้น และอนาคตที่จะเข้าไปทำงานในบริษัทเดียวกับคุณก็ไม่น่าจะมีอุปสรรคใดมาขัดขวาง

ถ้าไม่ใช่เพียงเพราะ...ผมยังทำใจเชื่อกับคำว่า ‘รัก’ ของคุณไม่ลง


++------++


ตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งกิโลเมตรที่ผมเดินมาจากปากซอยโดยที่พายุฝนไม่ลดความรุนแรง สมองผมที่เอาแต่คิดเรื่องของเราสองคนวนไปมาก็ดูเหมือนจะเริ่มตื้อเพราะน้ำฝน บางทีผมควรจะทำเป็นไม่มองจุดนี้เสีย บางทีผมควรจะปล่อยให้ความสัมพันธ์ของเราเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ คลุมเครือแต่ก็ไม่มีอะไรให้หนักใจ และบางทีผมคงไม่นึกสะกิดใจกับคำว่ารักของคุณที่ผมอ้อนขอฟังอยู่บ่อยครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะจู่ๆวันนี้เพื่อนผมก็ถามขึ้นมาว่า ผมกับคุณ...เราคือ ‘คนที่ใช่’ ของกันและกัน...แน่แล้วหรือ?

ผมรู้ว่าผมเป็นคนเอาแต่ใจ แล้วก็รู้ด้วยว่าทรัพย์สินเงินทองที่มีไม่ช่วยอะไรได้เลยหากคุณไม่เคยนึกรักผมจริงๆ ก็ผมจะทำอะไรได้ถ้าหากทุกสิ่งที่คุณทำเป็นไปเพื่อเอาใจไอ้เด็กที่มันขาดความอบอุ่นมาทั้งชีวิตคนหนึ่งเท่านั้น และผมจะมีอำนาจไปบังคับหรือกะเกณฑ์อะไรได้ ถ้าหากความรู้สึกที่อยู่ในใจของคุณ...มันตรงข้ามกับสิ่งที่คุณพร่ำตอบผมมาตลอด

ผมควรจะพอใจที่คุณยอมอยู่กับผม ยอมพูดว่ารักให้ผมฟังตามที่ขอ...หรือว่าควรจะปล่อยคุณไป ให้คุณมีโอกาสกับใครคนอื่นที่คุณอาจจะอยากเปิดหัวใจรับมากกว่ากันแน่?

ผมไม่รู้ว่าตัวเองใช้เวลาเดินมานานแค่ไหน แต่เมื่อรู้ตัวอีกครั้ง เท้าที่อุ้มน้ำจนชุ่มในรองเท้าก็พาผมมาถึงรั้วบ้านที่คุ้นเคย ด้านข้างซ้ายขวาของบ้านสองชั้นถูกขนาบด้วยต้นไม้ต้นใหญ่ที่คุณเคยบอกว่าพ่อกับแม่ของคุณช่วยกันปลูกไว้ตั้งแต่ก่อนคุณเกิด แต่หลังจากท่านทั้งสองจากไป คุณก็กลายเป็นผู้อาศัยในบ้านหลังนี้เพียงลำพังตลอดมา และผมก็ไม่กล้าคิดว่าถ้าหากพวกท่านยังอยู่ คุณจะยังพาผมมาเยี่ยมบ้านและกล้าเปิดตัวให้พวกท่านทราบหรือเปล่าว่าผมเป็นใคร บางทีสาเหตุหนึ่งที่คุณเห็นใจและยอมคบกับผม...อาจเป็นเพราะเราทั้งคู่ต่างก็โดดเดี่ยว ไร้ซึ่งครอบครัวที่คอยค้ำจุนก็เป็นได้

รถที่จอดอยู่หน้าบ้านและแสงไฟภายในทำให้ผมรู้ว่าคุณกลับมาแล้ว แต่เพราะเสียงฝนที่ยังเทลงจากฟ้าอย่างไม่ลืมหูลืมตา ผมเลยไม่รู้ว่าคุณกำลังดูโทรทัศน์หรือทำอะไรอยู่ ความเหน็บหนาวจากน้ำฝนทำให้ผมนึกอยากเข้าไปหาไออุ่นภายในบ้าน แต่ขณะเดียวกัน ผมก็ไม่กล้าจะกดกริ่งหรือส่งเสียงเรียก เพราะกลัวว่าถ้าหากได้เจอหน้ากัน ผมอาจจะถามคำถามที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเราต้องเปลี่ยนไปออกมา

ผมยืนมองห้องนั่งเล่นของคุณอยู่ครู่ใหญ่จนกระทั่งไฟดับลง และอึดใจถัดมาก็เห็นแสงไฟบนห้องนอนที่ชั้นสองสว่างขึ้น ตอนนี้ฝนเริ่มซาลงกว่าเมื่อครู่นี้แล้ว แต่ความขี้ขลาดก็ทำให้ผมยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่กล้าที่จะกดกริ่งเรียก และไม่กล้าที่จะเดินหนีและกลับบ้านไปเสียที ได้แต่คิดว่าขอแค่คืนนี้ได้ส่งคุณเข้านอนจากตรงนี้ก็พอใจแล้ว

ผมหรี่ตาสู้ฝนขณะแหงนหน้าขึ้นมองห้องนอนของคุณ แต่ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างผมที่ตั้งใจว่าจะกลับไปเงียบๆหลังจากที่ไฟในห้องดับลง เพราะว่าจู่ๆคุณก็เดินมาเลิกม่านหน้าต่างออก และสายตาของเราสองคนก็ประสานกันเข้าพอดี

ผมไม่กล้าคิดว่าตอนที่เห็นผมนั้นคุณโกรธหรือเปล่า แต่คุณก็รีบหันหลังกลับเข้าไปข้างในแทบจะทันที จากนั้นไฟในห้องนั่งเล่นก็สว่างขึ้น พอผมรู้แล้วว่าคุณกำลังจะเดินออกมาหา ผมเลยรีบหมุนตัวแล้วก็เดินออกมาเพราะว่าไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับคุณในเวลานี้เลยสักนิด

“เดี๋ยวก่อนสิ! จะรีบไปไหนของนายน่ะ แล้วมายืนตากฝนตั้งแต่เมื่อไหร่!?”

คุณตะโกนถามพลางใช้อุ้งมืออุ่นๆคว้าจับมือข้างหนึ่งของผมไว้ พลันผมก็รู้สึกเหมือนหยดน้ำที่เทลงมาจากเบื้องบนหายไป พอหันกลับไปหาจึงได้รู้ว่าคุณกำลังกางร่มออกบังฝนให้

“ไม่ต้องกางให้ผมหรอก เดี๋ยวคุณจะเปียก”

ผมรีบผลักร่มกลับไป เพราะเนื้อตัวผมตอนนี้ จะเปียกเพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่ก็ไม่ต่างกันแล้ว แต่กับคุณที่อยู่ในชุดนอนแล้วไม่ควรจะต้องมาลำบากกับผมเลยสักนิด สายตาของคุณเพ่งมองหน้าผมอย่างค้นหา จากนั้นก็บีบมือผมแน่นขึ้นแล้วฉุดให้เดินตามเข้าไปในบ้าน

“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้เลย พรุ่งนี้ก็ต้องไปเรียนไม่ใช่หรือไง เดี๋ยวก็ไม่สบายเอาหรอก”

ผมได้แต่ปล่อยให้คุณจูงเข้าบ้านโดยถือร่มกันฝนให้เหมือนตัวเองเป็นเด็กเล็กๆโดยไม่ขัดขืน ทั้งที่คุณก็สูงแค่ปลายจมูกผมเท่านั้นเอง แถมเพราะโครงหน้าของคุณที่เกลี้ยงเกลาเหมือนเด็กหนุ่มๆด้วย ไม่แปลกหรอกที่ใครมาเห็นเวลาเราเดินด้วยกันแล้วจะเดาไม่ออกว่าคุณอายุมากกว่าผมตั้งแปดปี

“ทำไมถึงไม่ขับรถมา?”

หลังจากเข้ามาในบ้านแล้ว คุณก็เข้าไปหยิบผ้าขนหนูมาโปะลงบนหัวผมแล้วขยี้ให้ คำถามของคุณทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าเราไม่ได้คุยกันมาหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ

“พอดีแอร์มันเสีย เลยเอาไปเข้าอู่ซ่อมอยู่”

ผมตอบเนือยๆพร้อมกับยกมือขึ้นคว้ามือของคุณที่กำลังเช็ดผมให้ ทั้งที่เมื่อครู่ก่อนผมยังไม่พร้อมจะเจอ แต่เพียงแค่ได้เห็นคุณใกล้ๆเท่านั้น ผมก็รู้สึกเหมือนกำลังจะเสียการควบคุมตัวเองเข้าไปทุกที

ไม่ต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมา...

“ไปอาบน้ำไป ตัวนายเย็นไปหมดแล้ว”

ผมชะงักเมื่อคุณเบนหน้าหนี ร่างกายท่อนบนที่ถอยห่างเล็กน้อยทำให้รู้ตัวว่าเผลอก้มลงไปหาคุณโดยไม่ทันได้หักห้ามใจ และภาษากายที่คุณแสดงออกก็ราวกับจะบอกผมเป็นนัยๆว่า ‘ไม่ใช่คืนนี้’

ทั้งที่ผมจะเอาแต่ใจแล้วฝืนคุณเหมือนทุกครั้งก็ได้ และก็รู้ดีว่าสุดท้ายคุณก็คงจะยอมตามใจแม้จะไม่ได้อยาก แต่ผมไม่อยากให้คุณมองว่าผมเป็นเด็กเอาแต่ใจที่พอไม่ได้อะไรก็จะโวยวายและใช้กำลัง ผมจึงยอมพยักหน้าแต่โดยดี

“ถ้างั้น...อาบน้ำให้ผมได้ไหม?”

คุณตวัดสายตาขึ้นมองผมทันทีที่ได้ยิน แต่ดูเหมือนแววตาของผมคงแสดงอะไรบางอย่างออกไป ผมจึงเห็นคุณเลิกคิ้วเหมือนประหลาดใจนิดหนึ่ง จากนั้นก็เม้มปากก่อนจะพยักหน้า

“ก็ได้...ถ้างั้นใช้ห้องน้ำชั้นบนก็แล้วกัน ถอดกางเกงออกแล้วพันผ้าขนหนูซะ บันไดจะได้ไม่เปียก”

ผมทำตามที่คุณบอกโดยถอดเข็มขัดแล้วก็รูดกางเกงแสล็คและกางเกงในที่ชุ่มน้ำจนเปียกแนบเนื้อลง จากนั้นก็เอาผ้าขนหนูที่วางอยู่บนไหล่มาพันรอบเอวแล้วถอดเสื้อเชิ้ตออกส่งให้คุณที่ยืนรออยู่ ผมไม่แน่ใจว่าคุณคิดอะไรในวินาทีนั้นอยู่หรือเปล่า แต่คุณก็ไม่เหลือบตามาทางผมเลยจนกระทั่งเอาผ้าขนหนูมาทบรอบเอวเสร็จแล้ว

“ขึ้นไปเปิดน้ำในอ่างรอก่อน เดี๋ยวฉันเอาเสื้อผ้าใส่เครื่องซักแล้วจะตามขึ้นไป”

ผมพยักหน้าแล้วก็เดินขึ้นบันไดไปยังชั้นบน เนื่องจากบ้านของคุณไม่ได้หลังใหญ่ และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มา ผมจึงรู้อยู่แล้วว่าอะไรอยู่ตรงไหน หลังจากเปิดสวิตช์ไฟในห้องน้ำที่อยู่ติดกับห้องนอนของคุณแล้ว ผมก็เปิดน้ำอุ่นใส่อ่าง จากนั้นก็ดึงผ้าขนหนูออกแขวนไว้บนราวข้างประตูแล้วค่อยๆก้าวลงนั่งในอ่างที่ขนาดพอดีสำหรับนั่งแช่คนเดียว

อุณหภูมิจากน้ำร้อนที่ไหลอยู่รอบตัวทำให้ผิวกายที่เย็นชืดเมื่อครู่รู้สึกดีขึ้น ผมเหยียดตัวยาวแล้วก็แหงนหน้าพิงกับขอบอ่างระหว่างที่รอให้คุณขึ้นมาหา สักพักก็ได้ยินเสียงบานพับประตูห้องน้ำที่เปิดอ้าออก

“สบายตัวขึ้นมั้ย?”

คุณถามผมขณะที่ม้วนขากางเกงขึ้นไปด้วย ผมเลยพยักหน้าให้แล้วก็นั่งตัวตรงขึ้น

“อืม...สระผมให้ผมหน่อยสิ”

ผมขอร้องพลางก็จับขอบอ่างเพื่อขยับตัวไปข้างหน้า จากนั้นก็พยักหน้าเป็นเชิงบอกให้คุณไปนั่งบนขอบอ่างด้านหลัง คุณมองตาผมแวบหนึ่งแล้วก็ส่ายหน้า แต่ผมก็ทันเห็นมุมปากที่ยกขึ้นตอนที่คุณหยิบขวดแชมพูแล้วก้าวเข้ามาใกล้ คงไม่ต่างอะไรกับพี่เลี้ยงที่ระอาใจกับเด็กน้อยที่งอแงไม่ยอมอาบน้ำเองกระมัง

“ถ้างั้นเขยิบไปข้างหน้านิดนึงก่อน โอเค เอ้า เอนลงมาสิ”

หลังจากที่คุณก้าวเข้ามายืนด้านหลังผมและนั่งลงบนขอบอ่างแล้ว ผมจึงค่อยๆขยับตัวถอยไปด้านหลังแล้วส่งฝักบัวให้เพื่อให้คุณสระผมได้ถนัดขึ้น แรงบีบนวดจากปลายนิ้วที่กำลังพอดีทำให้ความรู้สึกตึงเครียดเมื่อครู่ค่อยๆละลายออกไปจากร่างกายทีละน้อย

“ทำไมไม่โทรบอกก่อนล่ะว่าจะมา แล้วทำไมต้องเดินตากฝนมาด้วย เกิดเป็นหวัดขึ้นมาจะทำยังไง”

คุณเอ่ยถามระหว่างที่เปิดฝักบัวมาล้างฟองแชมพูออกให้ พอหมดฟองแล้วก็เทแชมพูลงมาขยี้บนผมให้อีกครั้ง และคราวนี้นอกจากนวดบนหัวกับต้นคอให้แล้ว ปลายนิ้วของคุณก็เลื่อนลงนวดบนไหล่ให้ด้วย

“ขอโทษ ตอนแรกผมก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะมา…รบกวน”

ความเงียบโรยตัวเข้าครอบคลุมหลังจากผมเอ่ยประโยคนั้นออกไป ผมไม่รู้ว่าตอนนี้คุณกำลังทำสีหน้าแบบไหนเพราะไม่กล้าหันไปมอง แต่ที่แน่ๆ ผมได้แต่อยากกัดลิ้นตัวเองที่เผลอหลุดประโยคนั้นออกไปก่อนจะทันได้คิด

มือของคุณที่บีบอยู่บนไหล่ชะงักไปนิดหนึ่ง ผมไม่รู้ว่านั่นเป็นเพราะสิ่งที่ผมพูดออกไปหรือเปล่า แต่อึดใจเดียวเท่านั้นคุณก็ละมือออกและเปิดฝักบัวมาล้างฟองแชมพูให้อีกครั้ง

“คิดมากไปได้น่ะ เดี๋ยวนั่งแช่น้ำอุ่นอีกสักพักแล้วก็เป่าผมให้แห้งค่อยเข้าไปนอนก็แล้วกัน ฉันวางเสื้อผ้าไว้หน้าอ่างล้างหน้าให้แล้ว”

ผมไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่าน้ำเสียงที่คุ้นเคยนั้นแผ่วกว่าปกติตอนที่บอกว่าผม ‘คิดมาก’ แต่ขณะที่มองตามร่างคุณที่กำลังลุกขึ้นจากอ่างและกำลังจะเดินออกจากห้องน้ำ ผมก็รู้สึกถึงแรงกระตุ้นที่ก่อตัวขึ้นอย่างรุนแรงจนต้องรีบลุกขึ้นบ้าง

“คริษฐ์”

เสียงคุณที่เอ่ยเรียกชื่อผมหลังจากที่จู่ๆก็โดนสวมกอดจากด้านหลังฟังดูตื่นตระหนก และความตกใจนั้นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณไม่ดิ้นหนี แต่ความต้องการของผมในตอนนี้ไม่ใช่การได้ครอบครองร่างกายของคุณ แต่เป็นความรู้สึกที่โหยหาความมั่นใจว่าคุณยังอยู่ในระยะที่ผมเอื้อมมือถึงได้จริงๆต่างหาก

“ขอโทษ...ขอผมอยู่แบบนี้สักพัก”

ผมรู้สึกได้ว่าหยาดน้ำอุ่นที่เกาะอยู่บนร่างกายกำลังไหลลงไปนองบนพื้น และอุณหภูมิบนผิวที่เริ่มเย็นขึ้นหลังลุกขึ้นมาจากอ่าง ผมสัมผัสได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นรัวเร็วขึ้นของตัวเองที่กำลังโอบกอดคุณไว้ในอ้อมแขน และอยากถ่ายทอดให้คุณรับรู้ถึงแรงเต้นนั้นผ่านแผ่นอกที่แนบชิดกับร่างของคุณอยู่

เพราะตั้งแต่เกิดมา...มีแต่คุณที่ทำให้ความรู้สึกของผมสั่นคลอนได้ขนาดนี้

ผมได้ยินเสียงคุณสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ และรู้ดีว่าตอนนี้เสื้อผ้าของคุณก็กำลังโดนร่างกายที่เปียกโชกของผมทำให้ชื้นตามไปด้วย แต่แม้จะรู้ดีว่ากำลังทำให้ไม่สบายตัว ผมก็ยังอยากจะขอเอาแต่ใจเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะคุยเรื่องของเราสองคนให้ชัดเจน และก่อนที่ผมจะไม่มีโอกาสได้ชิดใกล้จนรับรู้ถึงจังหวะเต้นของหัวใจของคุณแบบนี้อีก

กลิ่นสบู่กับแชมพูอ่อนๆอวลจากตัวคุณมาเข้าจมูก ผมเลยกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นแล้วก้มหน้าลงแนบบนบ่าของคุณ และเราก็คงจะยืนนิ่งอยู่ในความเงียบเช่นนั้นกันอีกนาน ถ้าไม่ใช่เพราะคุณยกมือขึ้นมาแล้วค่อยๆปลดแขนทั้งสองข้างของผมออกจากตัวเอง และการเคลื่อนไหวนั้นก็ทำให้ผมรู้สึกเย็นยะเยือกในใจขึ้นมาทันที

“เกื้อ...ผม”

“ไปอาบน้ำให้เสร็จแล้วเช็ดตัวเช็ดผมให้แห้งซะ แล้วเราค่อยคุยกัน”

คุณเอ่ยออกมาโดยไม่ได้หันมามองผมแม้แต่แวบเดียว จากนั้นก็เบี่ยงตัวออกแล้วเดินกลับไปที่ห้องนอนของตัวเอง และผมก็ได้แต่ยืนมองความว่างเปล่าตรงที่ที่คุณเพิ่งจะเดินจากไปเหมือนไอ้บ้าคนหนึ่ง นี่ผมกำลังจะทำลายสิ่งที่เราเคยมีร่วมกันเพียงเพื่อสนองความอยากครอบครองคุณทั้งตัวและหัวใจ...อย่างนั้นหรือ?

ผมทำตามที่คุณบอกด้วยอาการใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เพียงแต่อาบน้ำฟอกสบู่ เช็ดตัวและใส่เสื้อผ้าเหมือนร่างกายเคลื่อนไหวไปโดยอัตโนมัติ ในใจคิดทบทวนกลับไปกลับมาด้วยความสับสนว่าผมกำลังทำอะไร ผมมาที่นี่ทำไม และผม...กำลังคาดหวังอะไร

ผมใส่เสื้อกับกางเกงนอนที่คุณเอามาวางให้ตรงอ่างล้างหน้า พอเดินออกมาจากห้องน้ำก็เห็นว่าไฟที่ชั้นล่างดับไปแล้ว ดังนั้นหมายความว่าคุณคงจะรอผมอยู่ในห้องนอน และผมก็ได้แต่ยืนมองลูกบิดประตูอย่างคิดไม่ตกว่าควรจะเข้าไปดีหรือไม่

หรือว่า...ผมกล้าพอที่จะเปิดประตูบานนี้ด้วยมือตัวเองหรือเปล่า...

ขณะที่ผมยังตัดสินใจไม่ได้เพราะความขี้ขลาด บานประตูตรงหน้าก็เปิดออกอย่างกะทันหันจนผมสะดุ้ง และใบหน้าที่ดูเหมือนไม่สบอารมณ์เล็กน้อยของคุณก็ยื่นออกมา

“เป็นอะไรไป อาบน้ำเสร็จตั้งนานแล้วไม่ใช่รึไง งั้นก็รีบๆเข้ามาซักทีสิ”

คุณเอ่ยขึ้นแล้วก็ฉุดแขนผมให้เข้าไปในห้อง จากนั้นก็ปิดประตูตามหลังแล้วจูงผมไปที่เตียง ซึ่งต่างกับทุกครั้งที่ผมต่างหากที่จะเป็นคนทำแบบนั้น แต่ดูเหมือนวันนี้ผมคงดูแล้วไร้พลังชีวิตจนแม้แต่คุณยังจับสังเกตได้

ผมนั่งลงบนเตียงตามมือที่กดลงบนไหล่ จากนั้นก็ยืนมองคุณเดินไปปิดไฟโดยทิ้งไว้แต่โคมไฟสีส้มบนหัวเตียง เสียงเปาะแปะที่ดังช้าๆจากด้านนอกทำให้รู้ว่าฝนคงซาเม็ดระหว่างที่ผมอาบน้ำไปแล้ว แต่ทั้งๆที่คุณเดินกลับมาที่เตียงและซุกตัวลงใต้ผ้าห่มแล้ว ผมก็ยังได้แต่นั่งมองคุณเหมือนคนบ้าใบ้ จนสุดท้ายเป็นคุณเองที่ต้องยื่นแขนออกมาดึงผมให้ล้มลงนอนข้างกันแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้

เราสองคนนอนตะแคงหันหน้าเข้าหากันขณะฟังเสียงฝนที่โปรยเม็ดอยู่ภายนอก มือของคุณยังคงจับมือของผมอยู่แล้วนวดคลึงให้เบาๆ และสำหรับผม ความอบอุ่นนั้นมันมากกว่าที่ผมเคยคิดว่าจะมีสิทธิ์ขอจากใครได้เสียอีก แต่เมื่อนึกได้ว่าความอ่อนโยนทั้งหลายที่คุณมอบให้มีที่มาจากความสงสารเห็นใจแค่นั้น ผมก็รู้สึกว่าในอกหดเกร็งจนแทบหายใจไม่ออกขึ้นมา

“มีอะไรหรือเปล่า? วันนี้นายเงียบจนผิดปกติแล้วนะ”

คุณบีบมือผมแน่นขึ้นทีหนึ่งแล้วเอ่ยทัก ผมที่เอาแต่เลี่ยงการสบตาคุณมาตลอดจึงเหลือบตาขึ้น แต่แค่แวบเดียวก็เบนสายตาลงมองมือของเราที่เกาะกุมกันอยู่เหมือนเดิม

ความรู้สึกในใจผมตอนนี้มันสับสนปนเปจนวุ่นวายไปหมด ทั้งไม่แน่ใจว่าอะไรกันแน่คือสิ่งที่ตัวเองต้องการ ไม่แน่ใจว่าการถามคำถามที่ติดค้างอยู่ในใจออกไปจะได้อะไรขึ้นมา หรือว่ามันจะทำให้มีอะไรเปลี่ยนไปจากตอนนี้ไหม เพราะผมมั่นใจว่าถ้าหากผมถามว่า ‘รักผมไหม’ ออกไป คำตอบที่ได้ก็คงไม่ต่างจากทุกๆครั้งที่เคยถามอยู่ดี

“คริษฐ์?”

ผมเหลือบตาขึ้นอีกครั้งเมื่อคุณบีบมือผมแน่นขึ้นแล้วเรียกด้วยน้ำเสียงมีคำถาม นัยน์ตาของคุณสะท้อนความห่วงใยอย่างเต็มเปี่ยม แต่ผมกลับสัมผัสได้แต่ความว่างเปล่าในก้นบึ้งของหัวใจ

“เกื้อ...รักผมมั้ย?”

ผมเอ่ยถามคุณเสียงแผ่วขณะที่ดึงมือคุณมาแนบแก้ม และคราวนี้ก็สบตากับคุณตรงๆโดยไม่หลบหนีอีกต่อไป ถ้าหากผมจะต้องได้ยินคุณโกหกคำเดิมซ้ำเป็นครั้งที่ร้อย ผมก็อยากจะขอฟังคำนั้นโดยได้เห็นว่าคุณกำลังทำสีหน้าแบบไหนตอนที่พูดมากกว่า

คุณขมวดคิ้วแล้วก็เงียบไป นัยน์ตาทั้งสองข้างที่ฉ่ำแสงจนราวกับมีประกายข้างในมองตาผมอย่างค้นหา และผมก็แทบจะกลั้นใจฟังว่าคุณจะตอบอย่างไร ทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่าผมจะได้ยินคำว่าอะไรก็ตาม แต่สิ่งที่ไม่ได้คาดคิดก็คือ การที่คุณสะบัดมือผมอย่างแรงแล้วก็ผลุนผลันลุกขึ้นจากเตียง ผมเลยรีบเลิกผ้าห่มขึ้นแล้วตามไปปิดประตูทันก่อนที่คุณจะเดินออกไป

“ที่อุตส่าห์ตากฝนมาถาม...เพราะว่าอยากรู้แค่นี้ใช่มั้ย?”

น้ำเสียงกราดเกรี้ยวทำให้ผมตกใจ แต่ที่ทำให้รู้สึกแน่นหน้าอกจนเหมือนหัวใจโดนบีบ ก็คือหยาดน้ำที่กำลังเอ่อคลออยู่ในตาของคุณจนเป็นประกายวาว และริมฝีปากที่เม้มแน่นจนบิดเบ้ ภาพที่เห็นทำให้ผมตระหนักทันทีว่าคนที่ทำให้คุณเป็นแบบนี้ก็คือผมเอง

“เกื้อ ขอโทษ ผมขอโทษ”

ผมพยายามจะดึงคุณเข้ามากอด แต่คุณก็เอาแต่เบี่ยงตัวหนีแล้วก็ทั้งทุบทั้งเตะผมเป็นพัลวัน น้ำตาที่ดูเหมือนคุณพยายามจะกลั้นไว้ไหลลงอาบเต็มหน้า และผมก็ได้แต่ยอมให้คุณทำร้ายร่างกายอยู่แบบนั้น แต่ไม่ยอมปล่อยมือทั้งสองข้างจนกระทั่งคุณหอบด้วยความเหนื่อยและหยุดไปเอง

“ฉันรักนาย ฉันรักนาย ฉันรักนาย...พอใจหรือยัง?”

คุณเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว แต่เพราะผมรู้สึกได้ถึงน้ำตาที่ไหลชุ่มบ่าตัวเองจึงเพิ่มแรงกอดคุณแน่นขึ้น

“พอแล้วเกื้อ...พอแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว”

ร่างในอ้อมแขนหอบหายใจถี่แรง แผ่นอกที่แนบชิดทำให้สัมผัสได้ถึงเสียงเต้นของหัวใจที่รัวเร็วจนน่ากลัวว่าคุณจะหายใจไม่ทัน และจู่ๆขาทั้งคู่ของคุณที่เหมือนจะยืนไม่อยู่ก็ทำให้ผมต้องทรุดตัวลงนั่งกับพื้นตามไปด้วย

“ทำไม...ฉันต้องพูดอีกกี่ครั้ง...นายถึงจะเชื่อว่าฉันหมายความตามนั้นจริงๆ?”

คุณพูดด้วยน้ำเสียงหอบปนสะอื้น และนั่นก็ทำให้ใจผมกระตุกอย่างรุนแรง นี่ผมทำผิดไปแล้วใช่ไหมที่ถามคำถามนั้นออกไป?

“บอกฉันสิคริษฐ์...ที่ผ่านมาฉันทำตัวไม่มีความน่าเชื่อใจเลยรึไง?”

คุณยกมือขึ้นทุบอกผมอีกครั้ง แต่ทั้งๆที่หมัดนั้นอ่อนเปลี้ยไร้เรี่ยวแรง ผมกลับรู้สึกเจ็บยิ่งกว่าที่โดนกระหน่ำทุบอย่างแรงเมื่อครู่เสียอีก

“ขอโทษ เกื้อ ขอโทษ ผมจะไม่ถามแล้ว ผมผิดเอง ผมขอโทษ”

ผมกอดคนในอ้อมแขนแน่นขึ้นและลูบแผ่นหลังที่สั่นเพราะแรงสะอื้นไปมา ไม่คิดเลยว่าคำถามที่สะท้อนความไม่มั่นใจของตัวเองจะส่งผลกับคนถูกถามถึงเพียงนี้ จวบจนรู้สึกว่าตัวคุณเริ่มสั่นน้อยลงแล้ว ผมจึงค่อยแนบริมฝีปากลงบนขมับที่ชื้นเหงื่อเบาๆ และก็รู้สึกได้ว่าเสื้อตัวเองถูกกำเอาไว้แน่น

“...เมื่อไหร่?”

ผมรู้สึกเหมือนคุณกำลังถามอะไรสักอย่าง แต่เพราะได้ยินแค่ท้ายประโยคเลยต้องขอให้พูดซ้ำ “อะไรนะ?”

“ที่นายสงสัยความรู้สึกของฉัน...มันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่?”

คุณเอ่ยถามแล้วก็ค่อยๆดันตัวเองออกเพื่อสบตากับผม และคราวนี้ผมเองที่เป็นฝ่ายหลบตาเพราะทนมองสายตาตัดพ้อของคุณไม่ได้ คำตอบนั้นมีอยู่แล้ว แต่ผมก็รู้ว่าหากพูดออกไปอาจทำให้คุณโกรธมากขึ้นไปอีก ผมเลยได้แต่อึกอัก และคราวนี้ก็เป็นคุณเองที่ยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาแล้วจ้องผมเขม็ง

“คริษฐ์”

เสียงเรียกของคุณทำให้ผมเหลือบตาขึ้นช้าๆเหมือนเด็กที่กำลังสำนึกผิด และไม่ได้ออกแรงยื้อเมื่อคุณเบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนผมแล้วดึงมือทั้งสองข้างไปจับไว้

“ถ้าหากนายถามคำถามนี้กับฉันตอนที่เราเพิ่งเริ่มคบกัน ฉันอาจจะไม่โกรธขนาดนี้ แต่เพราะทั้งๆที่เราคบกันมานานขนาดนี้แล้ว แต่นายยังไม่มั่นใจกับความรู้สึกของฉันอีก...ฉันผิดหวังนะ เพราะนั่นเท่ากับทุกสิ่งที่ฉันทำให้นาย...นายไม่เคยซาบซึ้งกับมันจากใจเลย”

“ไม่ใช่นะเกื้อ! ผมไม่เคยคิดแบบนั้นเลยนะ ผมเพียงแต่...”

ผมพูดได้แค่นั้นแล้วก็พูดอะไรต่อไม่ออก เพราะไม่ว่าจะคิดหาคำแก้ตัวอย่างไร ท้ายที่สุดผมก็ไม่อาจโต้แย้งได้ว่าสิ่งที่คุณพูดมาคือความจริง

“ผมขอโทษ...”

สุดท้ายผมก็ได้แต่ทวนคำเดิมเหมือนคนโง่ที่คิดคำพูดอื่นไม่ออก แต่ผมก็ไม่รู้จะหาคำพูดไหนมาใช้เพื่อให้คุณรู้ว่าผมเสียใจกับสิ่งที่ถามออกไป รวมทั้งที่เคยสงสัยในความรู้สึกของคุณได้อีกแล้ว และได้แต่ก้มมองมือใหญ่ของผมที่ถูกประคองในอุ้งมือของคุณเหมือนเด็กตัวโตที่ไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกของตัวเองอย่างไรเท่านั้น

“ฟังนะ...ฉันยอมรับว่าตอนที่เริ่มคบกันใหม่ๆ...ฉันไม่ได้มองนายมากไปกว่าน้องชายคนหนึ่งจริงๆ”

ผมรู้สึกว่าลำคอแห้งผากเมื่อได้ยินคำสารภาพนั้น...เพราะนี่เป็นครั้งแรกจริงๆที่คุณเปิดปากบอกความคิดและความรู้สึกของตัวเองให้ผมรู้

“แต่ความรู้สึกนั้นมันเป็นอดีตไปแล้ว...ตลอดมาฉันได้เห็นว่านายพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง ยอมทำตามที่ฉันสอนทั้งที่ไม่จำเป็นต้องทำ แล้วก็พยายามที่จะทำให้ตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้น ฉันยอมรับว่าทุกอย่างนั่นทำให้ฉันมองนายต่างไป และตอนนี้...ฉันก็ไม่ได้มองนายว่าเป็นแค่น้องชายอีกต่อไปแล้ว”

น้ำเสียงที่ได้ยินอ่อนโยนลงพร้อมๆกับแรงบีบของมือที่แน่นขึ้น ความรู้สึกชืดชาที่เกาะกุมหัวใจตลอดช่วงเวลาหลายเดือนราวกับถูกคำพูดนั้นกลืนให้ละลายหายไป และความรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างกำลังเบ่งบานในอกก็แทรกเข้ามาแทนที่

“ถ้าอย่างนั้น...ตอนนี้เกื้อ...รักผมใช่มั้ย?”

ผมบีบมือที่เกาะกุมมือของตัวเองกลับ คำถามคราวนี้ไม่ได้มาจากความต้องการตอกย้ำความรู้สึกที่ว่างเปล่าอีกต่อไป แต่เพื่อเตือนตัวเองให้เชื่อและมั่นใจ...ว่าต่อจากนี้ผมจะไม่ระแวงสงสัยความรู้สึกของคุณอีกแล้ว

คุณบิดมือทั้งสองข้างออกจากมือผม จากนั้นก็ยกขึ้นมาประคองหน้าของผมไว้แล้วไล้ปลายนิ้วไปมา ผมรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นจากใบหน้าของคุณที่ขยับเข้ามาใกล้ ก่อนที่ริมฝีปากของคุณจะแนบลงมาบนริมฝีปากของผมอย่างแผ่วเบา

ผิวปากนุ่มที่แนบลงมาราวกับหยาดน้ำค้างที่แตะต้องและพร้อมจะเลือนหาย แต่สัมผัสนั้นกลับค่อยๆแนบแน่นขึ้น และผมก็รู้สึกได้ว่าคุณกำลังใส่ความรู้สึกทั้งหมดที่มีให้กับผมในจูบนี้เพื่อทำให้ผมมั่นใจกับสิ่งที่ได้รับจริงๆ

ความอ่อนโยนที่คุณถ่ายทอดมาให้ทำให้ผมจูบตอบด้วยความรู้สึกเหมือนสิ่งที่เคยขาดหายได้รับการเติมเต็ม เสียงริมฝีปากของเราที่แนบสัมผัสและผละออกซ้ำๆเกิดเป็นเสียงแผ่วเบาในห้องที่มีเพียงแสงจากโคมไฟ ผมค่อยๆใช้แขนทั้งสองข้างรวบร่างของคุณให้เข้ามาใกล้ตัวมากขึ้น และรู้สึกได้ถึงความยินยอมพร้อมใจจากร่างที่โอนอ่อนเข้าหาโดยไม่ขัดขืน และนั่นก็ทำให้เศษเสี้ยวของความระแวงสงสัยที่เหลือมลายไปจนหมดสิ้น

เนิ่นนานกว่าจูบที่อ่อนหวานและตอกย้ำความรู้สึกของเราทั้งคู่จะจบลง และเมื่อผมลืมตาขึ้นอีกครั้ง ผมก็ไม่คิดว่าชีวิตนี้ผมจะหลงรักใครได้มากกว่าผู้ชายที่กำลังส่งยิ้มทั้งน้ำตามาให้คนนี้อีกแล้ว

“เลิกสงสัยแล้วใช่มั้ย?”

คุณเปล่งเสียงถามออกมาอย่างแผ่วหวิว และผมก็ได้แต่ยิ้มตอบก่อนจะโน้มคอคุณเข้าหาให้หน้าผากของเราสัมผัสกัน ก่อนจะใช้แขนทั้งสองโอบเอวคุณไว้แน่นแทนคำสัญญาว่านับจากนี้ผมจะไม่มีวันตั้งคำถามกับความรู้สึกของคนที่รักอีก

“แน่นอน”



++--- End ---++



A/N: อนึ่ง เรื่องนี้เริ่มจากการถูกร่างไว้เพื่อเป็นตอนพิเศษให้พล็อตนิยายที่ยังไม่ได้เริ่มเขียนค่ะ (และจากเรทของการอัพเดทอีกสองเรื่องที่กำลังลงอยู่ ก็ไม่แน่ใจว่าจะได้เริ่มเขียนเรื่องนั้นเมื่อไหร่ หุหุ =w=") ทีนี้ช่วงนี้พอจะมีเวลานิดหน่อย เลยอยากลองเปลี่ยนอารมณ์ตัวเองด้วยการเขียนเรื่องสั้นที่พระ-นายใหม่ๆดูบ้าง ตอนแรกก็กะว่าจะให้จบแบบกุ๊กกิ๊ก ไปๆมาๆ ไหง angsty ซะขนาดนี้ก็ไม่รู้ แต่กลับเป็นเรื่องสั้นที่เขียนจบได้เร็วที่สุดเป็นประวัติการณ์ ใครอ่านแล้วคิดยังไงก็เม้นต์บอกกันมั่งนะคะ

ปล. เครดิตเนื้อเพลงตอนต้นมาจากเพลง "คำมักง่าย" ของพี่อู๋ ธรรพ์ณธร ทุ่มเท ฟังได้ตรงนี้เลยค่ะ


ฟังเพลง โหลดเพลง mp3 MV โค้ดเพลง




 

Create Date : 16 กันยายน 2553    
Last Update : 14 เมษายน 2556 9:58:18 น.
Counter : 987 Pageviews.  


Applebee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 29 คน [?]






ลายปากกา



~ สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ~
ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิดโดยนำข้อความทั้งหมดหรือส่วนใดไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด!!

Friends' blogs
[Add Applebee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.