|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
พอดีจะหาแหล่งเงินทุนแบบหมุนเวียนระยะสั้นให้ลูกค้าอยู่คะ และแล้ว Facebook ผู้ล่วงรู้ว่าคิดเราก็ฟีดข้อความนี้ผ่านหน้าเรามาคะ
ใช่คะ น่าสนใจมาก มากแบบ โอ้ยยย เศรษฐกิจแบบนี้ คนรวยก็รวยเอาเนอะคะสู รวยจริงรวยจังเลยนะคะช่วงนี้ คือ อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างนิติบุคคลกับบุคคลธรรมดาน่าเกิน 15% ต่อปีคะ แต่ไม่เคยทราบว่า 33% เนี่ย มันเป็นอัตราดอกเบี้ยอัตราปกติที่ไม่ใช่อัตราเบี้ยปรับรึป่าวคะ อ่อคะ ไม่ต้องฟ้องนะคะ กลับไปตรวจสอบคะ มันเป็นเฟสปลอมรึป่าวคะ แค่สงสัยและบ่นคะว่า มันแพงเกิ้นนน บ่นๆๆๆๆ
เพราะถ้าเฟสไม่ปลอม มันก็แพงจริงอ่ะเธอออออ 33 %มันแพงไป๊คะ อันนี้เค้าปรับขึ้นตามค่าขั้นต่ำที่กำลังจะขึ้นเหรอคะ เค้าปรับรอไว้เลยเหรอคะ 555
ในความรู้สึกแรกที่อ่านเจอเลย รู้สึกหดหู่คะ คือ อยากเห็นน้ำใจของคนรวยในช่วงนี้อ่ะคะ ถ้าใครก่ำกึ่งๆว่าจะรอดหรือร่วง เราว่าถ้าหลายสิ่งแพงไปซะทุกอย่างขนาดนี้ คงร่วงในไม่ช้าคะ ใช่คะคนเรามักเปลี่ยนวิกฤตของคนอื่นให้เป็นโอกาสของตัวเองคะ
ช่วงนี้ใครๆก็แย่คะ และคนส่วนใหญ่ก็เข้าถึงแหล่งเงินทุนยากมากกว่าปกติคะ เพราะงั้น ขอเสนอความคิดโง่ๆคะ คนรวยๆกำไรหลายหมื่นๆๆๆๆๆๆ ก็ควรแสดงความโอบอ้อมอารีแก่ผู้ประสบภัยบ้าง หลังจากก็ตักตวงหลายสิ่งจากคนพวกนี้มานาน
จริงๆเราควรช่วยเหลือให้คำแนะนำเพื่อที่จะให้ลูกค้าที่กำลังประสบปัญหาการเงิน รู้วิธีบริหารจัดการเงินเค้า เช่น ถ้ามีคนชำระล่าช้า แทนที่จะโทรไปทวงเงินอย่างเดียว ก็ควรจะสอบถามถึงปัญหาที่ลูกค้าเจออยู่ ประมาณว่าไม่ทราบว่าติดขัดหรืออยากให้เราช่วยอะไรไหม เพื่อจะได้เข้าถึงปัญหาของเค้า แล้วจะได้ช่วยเค้าจัดการปัญหาการเงินได้ โดยไม่ต้องไปกู้โน้นกู้นี่กู้นั้นมาโปะ สรุปคือช่วยเค้าแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ แล้วควรจัดโปรแกรมหรือโครงการคล้ายๆการให้ความช่วยเหลือแบบโควิด โดยไม่กระทบเครดิตบูโรคะ เพราะมันวิกฤตจริงคะช่วงนี้
ที่ไม่ให้กระทบเครดิตบูโร เพราะมันวิกฤตจริงคะ ล้มกันเยอะแยะ ครั้งนี้คนรวยก็ล้ม หุ้นกู้ผิดนัดชำระบานเบอะคะ คนรวยก็เป็นเจ้าของธุรกิจนั่นแหละคะ และก็มีห่วงโซ่ค้าขายกันเป็นระลอกๆคะ และการทำลายเครดิตบูโรนั้นหมายถึงเค้าจะทำธุรกรรมการหรือเข้าถึงแหล่งที่เป็นสถาบันการเงินใดๆไม่ได้อีก 2-3 ปีอ่ะคะ เพราะงั้นถ้าเกิด 1 ปีดีขึ้นเศรษฐกิจดีขึ้น จะทำมาหากินเพิ่มขึ้นหรือมีลู่ทางทำมาหากินทางอื่นอยากได้เงินทำการค้า ก็ทำไม่ได้คะ ต้องไปกู้นอกระบบแล้วคะ เข้าใจไหมคะการติดเครดิตบูโรคือการต้องกู้นอกระบบมาใช้คะ
ในช่วงวิกฤตแบบนี้ มันก็วิกฤตกันหมดอ่ะคะ ถ้าไม่ช่วยกัน มันก็เหมือนซ้ำเติมกันอ่ะคะ อัตราดอกเบี้ยแพงขนาดนี้ 33% ในวิกฤตแบบนี้อีกไม่นานหนี้ก็เน่าอ่ะคะ เพราะเค้าก็สู้กันไม่ไหวอ่ะคะ ไม่ประคับประคองกันก่อน แล้วจะให้ติดเครดิตบูโรกันเกลื่อนเมืองเหรอคะ แล้วไปกู้นอกระบบเหรอคะ ช่วยให้คำปรึกษาประคับประคองเค้าก็ไม่เสียหายหรอกคะ แนะนำให้มีการให้ความช่วยเหลือคนอย่างเราๆคะ หลายแบ็งค์ตอนนี้บางโปรดักส์ไม่ขายแล้วนะคะ กลัวหนี้เสียคะ แสดงว่าแบ็งค์เองก็รับทราบว่าเศรษฐกิจแย่ เจ้าของธุรกิจก็เหมือนหัวหน้าครอบครัวของบ้านหนึ่งหลังอ่ะคะ ถ้าไปไม่รอดมันก็ต้องลอยแพคนในบ้านอ่ะคะ เพราะงั้นจำเป็นมากนะคะที่จะต้องจุนเจอหรือดูแล SME รายย่อยคะ ดีกว่าเอาเงินไปแจกกันอีกคะ เพราะมันเป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างแท้จริงคะ
วงจรมันจะเป็นแบบนี้นะคะ พนักงานประจำที่เงินไม่พอใช้ จะกู้เงิน กู้ไม่ผ่านจะใช้เงินในบัตรเครดิต และบัตรกดเงินสด เสนอให้มีความจริงใจในการแก้ปัญหา ด้วยการรวมหนี้ด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำและสามารถปิดหนี้ของอีกสถาบันได้เลยจากปลายทางคะ มันจะได้ไม่ก่อหนี้เพิ่ม และมีเงินเหลือใช้ในชีวิตประจำวันคะ ทำให้ไม่ต้องกู้วงนอกมาใช้จ่าย หรือใช้อัตราดอกเบี้ยแพงขนาดที่โฆษณานี้คะ
ยกตัวอย่างนะเงินคะ เป็นหนี้บัตร 1 ล้าน ต้องจ่าย 8% เท่ากับ 80,000'- คะ แต่ถ้ารวมหนี้มาเป็นเงินก้อน จะจ่ายประมาณ 20,000.- บาทคะ ชีวิตจะดีขึ้นมากเลยคะ อัตรา NPL จะน้อยลงมากเลยคะ
เขียนขนาดนี้ ขออนุญาต SAVE ตัวเองนะคะ เพื่อเค้าฟ้องมาคะ
#วิกฤตมันจะเป็นโอกาส #SAVE ตัวเองนะคะ #สำนึกดี สังคมดี รีเจนซีคะ
Create Date : 10 พฤษภาคม 2567 |
Last Update : 10 พฤษภาคม 2567 0:11:44 น. |
|
0 comments
|
Counter : 178 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|