|
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
แสวงหาพระเจ้า
14 ตุลาคม 2007 คริสตจักร ยะลา
เยเรมีย์ 29:11-14 11พระเจ้าตรัสว่า เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ เพื่อจะให้อนาคตและความหวังใจแก่เจ้า 12แล้วเจ้าจะทูลขอต่อเรา และมาอธิษฐานต่อเรา และเราจะฟังเจ้า 13เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า 14พระเจ้าตรัสว่า เราจะให้เจ้าพบเรา และเราจะให้เจ้ากลับสู่สภาพดีและรวบรวมเจ้ามาจากบรรดาประชาชาติและจากทุกที่ที่เราขับไล่เจ้าให้ไปอยู่นั้น พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ และเราจะนำเจ้ากลับมายังที่ซึ่งเราเนรเทศเจ้าให้จากไปนั้น
อธิษฐาน ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่พระองค์ทรงรักมนุษย์ทุกคน เราทั้งหลายที่อยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระองค์ที่นี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ได้รับพระคุณจากพระองค์ทั้งสิ้น พระองค์ทรงรักเราแม้ขณะที่เราเป็นคนบาป เป็นผู้ที่ไม่รู้จักพระองค์ เคยเป็นผู้ที่เย้ยหยันพระองค์ และทำความผิดบาปอย่างไม่เกรงกลัว แต่พระเจ้าได้ทรงอดกลั้นพระทัย และเปิดโอกาสที่ดีให้กับเรา จนกระทั่งเราได้มาพบกับความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระองค์ได้ทรงโปรดอภัยโทษความบาปของเราทั้งสิ้น และรับเราเป็นบุตรของพระองค์ ให้เราได้เข้าส่วนในแผ่นดินของพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า เราอยากจะบอกพระองค์ว่า เรารักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน ในเวลานี้เราทุกคนกำลังรอฟังการตรัสสอนของพระองค์ ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงเปิดเผยความจริงจากพระวจนะของพระองค์ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นความสว่าง ให้เราได้เดินตามพระเยซูคริสต์ไป เพื่อเราจะไม่เดินในความมือ แต่มีความสว่างแห่งชีวิต ขอให้เรามีใจที่เปิดออก เพื่อพระวจนะนั้นจะนำมาซึ่งการปรับปรุงแก้ไขส่วนที่บกพร่องในชีวิตของเรา
วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งซึ่งสังคมไทยถือว่ามีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะในด้านการเมืองการปกครอง เพราะวันนี้เมื่อปี 2516 ได้เกิดเหตุการณ์นองเลือดครั้งใหญ่ นักศึกษาและประชาชนจำนวนมากที่ทำการชุมนุมประท้วงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ได้ถูกผู้ปกครองบ้านเมืองในสมัยนั้นปราบปรามขั้นรุนแรง มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตมากมาย สมัยนั้นผมเรียนอยู่ชั้น ป.เตรียม ที่โรงเรียนจีน ยังไม่รับรู้ความเป็นไปใดๆเลย จำได้เพียงว่า วันที่ 15 ตุลาคมปีเดียวกัน ขณะที่อยู่ในห้องเรียน ช่วงบ่ายๆ คุณพ่อก็มารับตัวกลับจากโรงเรียนก่อนเวลา แล้วพากันไปที่โรงพยาบาลคริสเตียน อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี เพื่อเยี่ยมคุณแม่ที่คลอดน้องสาวในวันที่ 15 นั่นเป็นหน้าประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งในความทรงจำของผม
เมื่อเดือนที่แล้วผมได้แบ่งปันในหัวข้อ เติบโตขึ้นในพระเจ้า โดยในตอนสุดท้ายผมได้อ้างถึงพระธรรมเยเรมีย์ 29:11-14 ดังที่ได้อ่านไปเมื่อตอนต้น
สิ่งที่ทิ้งท้ายไว้เมื่อคราวก่อนมีข้อความดังนี้คือ
การติดตามพระเจ้าจนถึงขนาดความไพบูลย์ในพระคริสต์นั้น ไม่มีเส้นทางลัดใดๆ ไม่อาจได้มาด้วยการวางมือของผู้วิเศษใดๆ ไม่อาจได้มาโดยการเข้าร่วมกลุ่มกิจกรรมหรือการอบรมคอร์สพิเศษใดๆ แต่ท่านต้องแสวงหาพระเจ้าด้วยสุดใจ ดำเนินกับพระเจ้าวันต่อวัน ร่วมแบกแอกของพระเยซูคริสต์ เข้าส่วนในศักดิ์ศรีกับพระองค์ มีชีวิตที่ครอบครองโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์
วันนี้เราจะมาพิจารณาในรายละเอียดที่เจาะจงมากขึ้นถึงความหมายของการ แสวงหาพระเจ้า
พระธรรมเยเรมีย์เป็นเรื่องราวในประวัติศาสตร์ของชาวอิสราเอล ในสมัยนั้นชาวอิสราเอลได้ดำเนินชีวิตอย่างไม่เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าได้ส่งผู้เผยพระวจนะหลายคนไปตักเตือนเขา ผมได้เคยแบ่งปันเรื่องนี้ไปเมื่อ 21 พฤษภาคมปีก่อน หากใครยังพอจะจำได้ พระเจ้าทรงส่งผู้เผยพระวจนะไปเตือนพวกเขา อย่างไม่หยุดยั้ง พระธรรมเยเรมีย์ มีคำว่า อย่างไม่หยุดยั้ง อยู่หลายตอน แสดงให้เห็นถึงความรักความห่วงใยที่พระเจ้าทรงมีต่อประชากรของพระองค์ ในที่สุดพวกอิสราเอลก็ยังไม่หันกลับจากการประพฤติชั่วร้ายในสายพระเนตรพระเจ้า ทำให้พระเจ้าตัดสินใจที่จะพิพากษาลงโทษเขา โดยให้ตกไปเป็นทาสของบาบิโลน ในขณะที่พวกอิสราเอลตกเป็นทาสนั้นเขาก็มีความหวังว่าพระเจ้าจะทรงเมตตา นำพวกเขากลับไปสู่ความรุ่งเรืองยังบ้านเมืองของตนอีก แต่พระวจนะของพระเจ้าที่มาถึงพวกเขานั้นกลับบอกให้พวกเขายอมตกเป็นทาสต่อไป อย่าได้พยายามกบฏต่อบาบิโลน เมื่อผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์นำความมาแจ้งให้พวกเขาทราบ โดยได้แบกแอกไว้ด้วย เพื่อเป็นหมายสำคัญว่าพระเจ้าจะยังคงให้พวกอิสราเอลอยู่ใต้ปกครองของบาบิโลน ก็เกิดมีผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จ ลุกขึ้นต่อต้านพระคำของพระเจ้า ในบทที่ 28 ผู้เผยพระวจนะนั้นก็ตู่เอาเองว่าพระเจ้าจะทรงทำลายพวกบาบิโลนและหักแอกเสีย ซึ่งขัดแย้งกับพระดำรัสของพระเจ้า ลองมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้เผยพระวจนะเท็จคนนั้น
เยเรมีย์ 28:13-17 13 "จงไปบอกฮานันยาห์ว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เจ้าได้หักแอกไม้ แต่เราจะทำแอกเหล็กไว้แทน 14เพราะพระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า เราได้วางแอกเหล็กไว้บนคอบรรดาประชาชาติเหล่านี้ทั้งสิ้น ให้เป็นทาสของเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน และเขาทั้งหลายจะปรนนิบัติเขา เพราะเราได้ยกให้เขาแล้วถึงแม้ว่าสัตว์ป่าทุ่งด้วย" 15และผู้เผยพระวจนะได้พูดกับฮานันยาห์ผู้เผยพระวจนะว่า "ฮานันยาห์ขอท่านฟัง พระเจ้ามิได้ทรงใช้ท่านและท่านได้กระทำให้ชนชาตินี้วางใจในความเท็จ 16เพราะฉะนั้น พระเจ้าตรัสว่า 'ดูเถิด เราจะย้ายเจ้าไปจากพื้นโลก ในปีเดียวนี้เองเจ้าจะต้องตายเพราะเจ้าได้กล่าวถ้อยคำเป็นการกบฏต่อพระเจ้า' 17ในปีเดียวกันนั้น ในเดือนที่เจ็ดฮานันยาห์ผู้เผยพระวจนะก็ตาย
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ตามปกติแล้วการปลอบขวัญหรือการให้กำลังใจกันนั้น เป็นสิ่งที่ดีและพระคัมภีร์ก็แนะนำให้เรากระทำด้วย แต่ในบริบทนี้ พระเจ้าต้องการให้อิสราเอลได้รับบทเรียน จากการที่เขากบฏต่อพระเจ้า และไม่ฟังคำเตือนสติที่พระเจ้าได้ส่งผู้เผยพระวจนะไปอย่างไม่หยุดยั้ง แม้ว่าในขณะที่พระเจ้าทรงลงโทษเขานั้นพระเจ้าก็ยังทรงรักพวกเขาอยู่ แต่การทึกทักเอาเองด้วยการอ้างพระนามของพระเจ้า ทำให้ฮานันยาห์ซึ่งก็เป็นหนึ่งในผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า ต้องถึงจุดจบเพราะตั้งตัวอยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า
พระเจ้าได้สั่งให้เยเรมีย์เขียนจดหมายไปถึงชาวอิสราเอลเหล่านั้น เพื่อปลอบเขาว่า พระเจ้ายังทรงรักพวกเขาอยู่ แม้ว่าเวลานี้ดูเหมือนว่าชนชาติของเขามาถึงการวิบัติ ถูกข้าศึกรุกรานและกวาดต้อนไปเป็นเฉลย แต่เมื่อถึงเวลากำหนดของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงนำเขาออกจากบาบิโลนแน่ ที่สำคัญตอนนี้ให้เชื่อฟังและไว้ใจพระเจ้า เมื่อถึงเวลานั้นชนชาติอิสราเอลจะหันกลับมาแสวงหาพระเจ้าอย่างสิ้นสุดใจ และพระเจ้าจะทรงช่วยกู้เขาไว้ ซึ่งในที่สุดก็เป็นดังนั้นเมื่อครบกำหนด 70 ปีที่พระเจ้าดำริไว้
เอาล่ะครับ ที่เล่ามาเป็นการปูพื้นให้เข้าใจที่มาที่ไปของพระธรรมเยเรมีย์ 29:11-14 ที่เราจะศึกษาด้วยกันในวันนี้
สิ่งที่พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้เกิดขึ้นกับประชากรของพระองค์ ซึ่งหมายถึงชนชาติอิสราเอลในสมัยนั้น และหมายถึงพวกเราในสมัยนี้ด้วย ก็คือการที่เราจะแสวงหาพระองค์อย่างสิ้นสุดใจ เพื่อจะได้พบกับพระเจ้า และได้กลับคืนสู่สภาพดี
ทุกวันนี้ ชีวิตของคริสเตียนจำนวนไม่น้อยกำลังตกอยู่ในสถานะเหมือนกับชาวอิสราเอลในเวลานั้น นั่นก็คือการตกเป็นทาส ไม่ว่าจะเป็นทาสของกระแสสังคม, เป็นทาสของความคิดและเหตุผลจอมปลอมซึ่งต่อสู้กับพระวจนะของพระเจ้า, เป็นทาสของความทุกข์ระทมใจ, ทาสของอารมณ์เคียดแค้นชิงชัง และอีกหลายประการ
สาเหตุของการตกเป็นทาสนั้น ก็อาจเกิดขึ้นซ้ำรอยเดิมกับที่เกิดขึ้นกับชนชาติอิสราเอลในเวลานั้นดังปรากฏในบทที่ 7 นั่นคือ เกิดการข่มเหงหญิงหม้ายและเด็กกำพร้า รังแกคนต่างด้าว เป็นการอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในสังคมของอิสราเอล นอกจากนี้ยังมีการกระทำให้พระวิหารของพระเจ้าเป็นถ้ำของพวกโจร โดยการที่ไม่เห็นความสำคัญของการดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์ แต่ใช้วิธีซื้อเครื่องบูชาเพื่อการลบล้างความผิดของตน และการกราบไหว้นมัสการรูปเคารพ หลังจากที่พระเจ้าได้เตือนสติหลายครั้งหลายคราด้วยผู้รับใช้ของพระเจ้าคนแล้วคนเล่า แต่เขาเหล่านั้นยังคงดื้อดึง พระเจ้าจึงทรงตัดสินใจที่จะปล่อยให้เขาเหล่านั้นตกไปเป็นทาส จนกว่าจะครบกำหนดเวลาของพระองค์
เมื่อกำหนดเวลาของการช่วยกู้มาถึง สิ่งสำคัญประการหนึ่งจะต้องเกิดขึ้น นั่นคือการแสวงหาพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ ไม่ใช่การนั่งอยู่เฉยๆ
วันนี้เราจะดูว่า การ แสวงหาพระเจ้า นั้นเป็นอย่างไร
- การแสวงหาพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ ไม่ได้เป็นการแสวงหาผลประโยชน์จากพระเจ้า เมื่อพูดถึงคำว่าแสวงหา คริสเตียนเกือบทุกคนจะนึกถึงพระธรรม มัทธิว 6:33 จงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้ ดังนั้นคริสเตียนจำนวนหนึ่งก็จะมีแนวทางชีวิตอย่างนี้คือ พยายามมีส่วนร่วมในสิ่งที่เรียกว่าการรับใช้พระเจ้า เพื่อหวังว่าพระเจ้าจะทรงอวยพรให้มีทรัพย์สินเพิ่มพูนขึ้น เหมือนกับการยื่นหมูยื่นแมว กับพระเจ้า นี่ไงผมรับใช้พระองค์แล้วนะ แสวงหาพระองค์แล้วนะ จ่ายค่าตอบแทนมาซะดีๆ หากเราจะพิจารณาพระธรรมมัทธิวตอนนั้นอย่างรอบคอบ เราจะพบว่า สิ่งทั้งปวงเหล่านี้ ที่พระเยซูทรงสัญญาไว้ หมายถึงสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีพ เราไม่ต้องเป็นกังวลอีกต่อไป พระเจ้าจะเป็นผู้เลี้ยงดูเราแน่ การตีความอย่างคลาดเคลื่อน หวังการร่ำรวยจากการกระทำที่เรียกว่าแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า ทำให้พระวจนะของพระเจ้าถูกคาดหวังไปอย่างผิดๆ และในที่สุด เมื่อไม่ได้เกิดขึ้นตามนั้น ความท้อใจก็จะเกิดขึ้นและความไว้วางใจในพระเจ้าก็จะเสื่อมถอยไป จะเป็นเรื่องน่าเสียใจอย่างยิ่ง ถ้าหากผู้สอนพระวจนะของพระเจ้าไม่สัตย์ซื่อในการตีความหมายพระธรรมข้อนี้ ด้วยหวังว่าการตีความหมายของคำว่า สิ่งทั้งปวงเหล่านี้ อย่างเอาใจตลาดเสียหน่อย จะเป็นที่ดึงดูดให้สมาชิกมีความหวังใจและจริงจังกับการแสวงหาพระเจ้า แต่การแสวงหาพระเจ้าอย่างจริงจังจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากคำโกหกเหล่านั้น
ดังนั้นผู้ที่แสวงหาพระเจ้า เพื่อประสงค์ในทรัพย์สินและลาภยศ จะไม่ได้พบกับพระองค์ จนกว่าเขาจะยอมหันกลับจากสิ่งนั้น
-การแสวงหาพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ คือการยอมรับ ไม่ใช่บังคับ หมายความว่า ผู้นั้นยอมรับพระเจ้าในฐานะเจ้านาย การมีพระเจ้าสำคัญยิ่งกว่าการมีทุกสิ่ง ไม่ใช่มีพระเจ้าเพื่อจะได้มีทุกสิ่ง คริสเตียนจำนวนไม่น้อยเลย ที่โกรธพระเจ้า งอนพระเจ้า แถมอาจมีบางรายถึงขนาดขู่พระเจ้าว่าจะไม่มาโบสถ์อีกต่อไปถ้าพระเจ้าไม่ประทานให้เป็นไปตามที่อธิษฐานไว้ เป็นเรื่องน่าเศร้าใจจริงๆ ตกลงว่าเขาต้องการพระเจ้าหรือต้องการอะไรกันแน่
มีเรื่องเปรียบเทียบเรื่องหนึ่งที่ผมได้อ่านพบในอินเตอร์เน็ต เป็นคำบ่นของแพทย์ท่านหนึ่ง เกี่ยวกับผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ แทนที่ผู้ป่วยจะเล่าอาการให้แพทย์ฟัง เพื่อแพทย์จะได้วินิจฉัยและตรวจรักษา ผู้ป่วยกลับพยายามวินิจฉัยอาการของตัวเองและบอกให้แพทย์ทำการรักษาตามความคิดของตัวผู้ป่วยเอง เช่นจะขอ X-Ray บ้าง จะขอผ่าตัดบ้าง จะขอยาโน้นยานี้บ้าง ทั้งๆที่แพทย์รู้ดีว่าไม่ใช่หาทางตรวจรักษาที่ถูกต้อง อย่างนี้บอกได้ว่า ผู้ป่วยไม่ได้ต้องการให้แพทย์รักษา แค่แสดงความเห็นให้แพทย์ฟังเท่านั้น เมื่อคริสเตียนตกอยู่ในบาป หรือตกอยู่สภาวะที่ทุกข์ใจ การแสวงหาความช่วยเหลือจากพระเจ้าไม่ใช่การบอกพระองค์ว่าให้พระองค์ช่วยทำอย่างโน้นอย่างนี้ให้หน่อย การกระทำอย่างนั้นไม่ใช่ต้องการพระเจ้า แต่ต้องการคนรับใช้ การแสวงหาพระเจ้าด้วยสุดใจต้องยินยอมที่จะมอบไว้เรื่องราวทั้งหมดไว้กับพระเจ้า พระองค์จะเป็นผู้ดำเนินการเองด้วยแผนการของพระองค์
ผู้ที่แสวงหาพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ จะยินยอมมอบชีวิตทั้งหมดให้กับพระเจ้า น้ำพระทัยของพระเจ้าอยู่เหนือความปรารถนาส่วนตัว ไม่ใช่ตั้งเงื่อนไขบังคับว่าพระองค์จะต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้ สุภาษิต 3:6 จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น
-การแสวงหาพระเจ้าอย่างสุดใจ ไม่ใช่ด้วยการเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนา ปัญหาใหญ่ประการหนึ่งในท่ามกลางคริสเตียนทั่วโลก ที่ยังมีความเข้าใจผิดว่า การมีส่วนร่วมในกิจกรรมของสังคมคริสเตียนเป็นการแสวงหาพระเจ้า จึงเกิดนักกิจกรรมขึ้นมากมาย แต่เป็นสิ่งที่ไม่มีคุณค่าใดๆในสายพระเนตรของพระเจ้าเลย พระเจ้าไม่ได้ต้องการนักกิจกรรมที่เก่งกาจ แต่ต้องการผู้ที่แสวงหาพระองค์อย่างสิ้นสุดใจ
การแสวงหาพระเจ้าอย่างสิ้นสุดใจ อย่างที่พระเจ้าประสงค์ให้เกิดขึ้นในคริสเตียนทุกคนนั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายใน จากจิตวิญญาณที่หิวกระหายหาพระเจ้า ใช้เวลากับการใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า มีใจที่เชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า จนเป็นการกระทำที่ออกมาภายนอก โดยการดำเนินชีวิตตามพระวจนะนั้น ไม่ใช่เพื่อสร้างคะแนนนิยมให้เป็นที่ยกย่องสรรเสริญของมนุษย์ แต่เพื่อเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า
โรม 2:28-29 28เพราะว่ายิวแท้ มิใช่คนที่เป็นยิวแต่ภายนอกเท่านั้น และการเข้าสุหนัตแท้ก็ไม่ใช่การเข้าสุหนัตซึ่งปรากฏที่เนื้อหนังเท่านั้น 29คนที่เป็นยิวแท้ คือคนที่เป็นยิวภายใน และการเข้าสุหนัตแท้นั้นเป็นเรื่องของจิตใจ ตามพระวิญญาณมิใช่ตามตัวบทบัญญัติ คนอย่างนั้นพระเจ้าสรรเสริญ มนุษย์ไม่สรรเสริญ
-การแสวงหาพระเจ้าอย่างสิ้นสุดใจ ไม่ใช่เพื่อการมีอะไรๆที่เหนือกว่าผู้อื่น คริสเตียนจำนวนหนึ่ง คาดหวังว่าการเป็นผู้ที่แสวงหาพระเจ้าอย่างสุดใจ จะทำให้เป็นผู้ที่มีสถานะทางจิตวิญญาณสูงส่งกว่าผู้อื่น มีฤทธิเดชอำนาจ เป็นที่เคารพยกย่อง ไปไหนก็มีคนให้ความนับถือ ให้การปรนนิบัติ เป็นผู้ปกครองควบคุมดูแลอยู่เหนือพี่น้องคนอื่นๆในคริสตจักร แต่แท้ที่จริงแล้ว การแสวงหาพระเจ้านั้นเพื่อจะทำตามที่พระองค์ประสงค์คือ เพื่อรับใช้ผู้อื่น
มัทธิว 24:45-51 45"ใครเป็นทาสสัตย์ซื่อและฉลาด ที่นายได้ตั้งไว้เหนือพวกบ่าวทาสสำหรับแจกอาหารตามเวลา 46เมื่อนายมาพบเขากระทำอยู่อย่างนั้น ทาสผู้นั้นก็จะเป็นสุข 47เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า นายจะตั้งเขาไว้ให้ดูแลบรรดาข้าวของของท่าน 48แต่ถ้าทาสนั้นชั่วและคิดในใจว่า "นายของข้ามาช้า" 49แล้วจะตั้งต้นโบยตีเพื่อนทาสและกินดื่มอยู่กับเพื่อนขี้เมา 50นายของทาสผู้นั้น จะมาในวันที่เขาไม่คิดในโมงที่เขาไม่รู้ 51และจะทำโทษเขาถึงสาหัส ทั้งจะขับไล่ให้เขาไปอยู่ในที่ของพวกคนหน้าซื่อใจคด ซึ่งที่นั่นจะมีแต่การร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน คริสเตียนหลายคนเมื่อเห็นว่าการแสวงหาพระเจ้าคือสิ่งเหล่านี้ ก็อาจคิดในใจว่า "ข้าไม่ต้องการพระเจ้าแบบนี้ ข้าจะอยู่ของข้าอย่างที่ข้าพอใจ และชื่นชมนมัสการพระเจ้าที่เป็นแบบที่ข้าต้องการเท่านั้น" ซึ่งเป็นเรื่องน่าเศร้าใจ
Create Date : 14 ตุลาคม 2550 |
|
8 comments |
Last Update : 14 ตุลาคม 2550 13:36:51 น. |
Counter : 4559 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: ตังเมย์ฯ IP: 61.7.179.225 วันที่: 14 ตุลาคม 2550 เวลา:15:30:46 น. |
|
โดย: สมชาย IP: 125.27.113.38 วันที่: 9 ธันวาคม 2550 เวลา:6:40:21 น. |
|
โดย: น้องเปิ้ล (trying4christ@hotmail.com) IP: 65.93.135.229 วันที่: 30 มกราคม 2551 เวลา:11:11:53 น. |
|
โดย: anucha IP: 203.107.154.2 วันที่: 27 เมษายน 2554 เวลา:9:40:12 น. |
|
โดย: jarunun IP: 223.207.151.34 วันที่: 22 ตุลาคม 2555 เวลา:7:50:41 น. |
|
โดย: sawlei sadatoo IP: 118.172.200.109 วันที่: 16 ตุลาคม 2556 เวลา:11:11:15 น. |
|
โดย: sawlei sadatoo IP: 118.172.200.109 วันที่: 16 ตุลาคม 2556 เวลา:11:51:23 น. |
|
โดย: วิทย์ IP: 1.47.220.11 วันที่: 5 สิงหาคม 2558 เวลา:20:37:21 น. |
|
| |
|
ksk |
|
|
Location :
ยะลา Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]
|
ผมเป็นคริสเตียนครับ เป็นชาวยะลา เกิดปัตตานี ลูกจีนไหหลำ จบวิศวกรรมไฟฟ้า(ระบบควบคุม) จากพระจอมเกล้าพระนครเหนือ EL รุ่น 24 รหัส 31 (เคยเรียน ป.วส. IE ห้องอิเล็ก ที่ วทอ. 2 ปี รหัส 29 ห้องเดียวกับ ศิริ แว่น สมชาย สุกิตติ จั๊บ ไพบูลย์ จ่าบุญเลิศ ก่อนย้อนไปเริ่มต้นป.ตรี ปี 1 ใหม่กับรุ่นน้องในคณะวิศวฯ พูดง่ายๆว่า ซิ่ว 2 ปี) ป.โท วิศวกรรมการบิน(Avionique) จาก SUPAERO Toulouse FRANCE ปี 1994 เคยรับราชการเป็นอาจารย์ในคณะวิศวฯที่พระนครเหนือ 8 ปี ผลงานก็ไม่มีอะไรมาก KMITNB Robot Camp เป็นสิ่งที่ยังพอให้ภาคภูมิใจเมื่อมองกลับไปที่เทคโนฯ ด้วยความคิดถึง 14 ปี อันแสนหวานกับชีวิตในพระนครเหนือ(มิย.ปี 29 - มิย.ปี 43) ตอนนี้ลาออกจากราชการ มาหากินด้วยลำแข้ง(ไม่ใช่เป็นนักมวยไทยนะ) ที่จังหวัดยะลาบ้านเกิด ตั้งแต่มิถุนายน ปี Y2K กำลังจะรุ่งเรืองแล้วเชียว 4 มกราคม 2547 สถานการณ์ไฟใต้ก็เริ่มขึ้น สิ่งที่เคยคิดว่าสักวันหนึ่งจะต้องเกิด มันก็เกิด และยาวมาจนถึงตอนนี้ ผมยังนึกไม่ออกมันจะจบลงแบบไหน
free counter
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|