ถ้าพระเจ้าไม่มีจริง คุณได้หรือเสียอะไร? แต่ถ้าพระเจ้ามีจริง คุณได้หรือเสียอะไร?

<<
มกราคม 2555
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
14 มกราคม 2555
 

รู้จักพระเยซูผ่านพระธรรม 1 เธสะโลนิกา

18 ธันวาคม 2011
คริสตจักรยะลา

1เธสะโลนิกา 5:1-3
1ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย เรื่องวันและเวลาที่ทรงกำหนดไว้นั้น ไม่จำเป็นจะต้องเขียนบอกให้ท่านรู้ 2เพราะท่านเองก็รู้ดีแล้วว่า วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า จะมาเหมือนอย่างขโมยที่มาในเวลากลางคืน 3เมื่อเขาพูดว่า "สงบสุขและปลอดภัยแล้ว" เมื่อนั้นแหละความพินาศก็จะมาถึงเขาทันที เหมือนกับความเจ็บปวดมาถึงหญิงที่มีครรภ์ เขาจะหนีก็ไม่พ้น


อธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ เราทั้งหลายขอบพระคุณสำหรับน้ำพระทัยอันดีเลิศที่ทรงมีเพื่อคนบาปในโลกนี้ ขอบพระคุณที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงเสด็จมาเพื่อทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน รับโทษแห่งความผิดบาปแทนเราทั้งหลาย และทรงเป็นขึ้นจากความตาย ยืนยันให้เรารู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ช่วยได้ ขอบพระคุณสำหรับพระสัญญาของพระเยซูคริสต์ที่จะทรงเสด็จกลับรับเราทั้งหลายผู้เชื่อในพระองค์ ให้ไปอยู่กับพระองค์ในแผ่นดินสวรรค์ ขอทรงโปรดให้เรามีความเชื่อ และความหวังใจในพระสัญญานี้ เพื่อเราจะมั่นคงอยู่ในยุคสุดท้ายที่กำลังมาถึง


ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ พระเจ้าได้ทรงให้ผู้รับใช้ของพระองค์ได้เข้าสู่การพำนักอันถาวร หลังจากที่ท่านเหล่านั้นได้ทุ่มเทชีวิตด้วยความสัตย์ซื่อในการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า ทั้งการประกาศข่าวประเสริฐอย่างกล้าหาญและอดทน รวมถึงการเลี้ยงดูเอาใจใส่ผู้เชื่อเหล่านั้นด้วยพระวจนะของพระเจ้า เพื่อคนของพระเจ้าจะมีความเชื่อที่หยั่งราก และเติบโตขึ้น เป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้การได้

ผู้รับใช้พระเจ้าเหล่านี้ได้แก่
คุณลุงจวน ซึ่งรับใช้พระเจ้ามาหลายสิบปี ท่านถูกรับไปอยู่กับพระเจ้าเมื่อวันที่ 5 ธันวาคมที่ผ่านมา ท่านเคยเป็นผู้ป่วยโรคเรื้อน ร่างกายไม่สมบูรณ์ แต่จิตใจของท่านนั้นก็เข้มแข็ง และเต็มด้วยความรักที่มีต่อพระเยซูคริสต์ ท่านเป็นผู้รับใช้พระเจ้าที่ตระเวณไปตามคริสตจักรต่างๆ ซึ่งส่วนมากเป็นคริสตจักรเล็กๆ อยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อเทศนา สั่งสอนพระวจนะของพระเจ้า และประกาศข่าวประเสริฐแก่ผู้คนในพื้นที่

ท่านที่ 2 คือ อาจารย์บุตร พระเจ้าได้ทรงรับท่านไปอยู่กับพระองค์ในวันที่ 13 ธันวาคมที่ผ่านมา พี่น้องคริสตจักรยะลาส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกับท่าน เนื่องจากท่านได้ร่วมปรนนิบัติรับใช้พระเจ้ากับคริสตจักรยะลาตั้งแต่ 40 กว่าปีก่อน แม้ว่าจะได้ย้ายไปทำงานในพื้นที่อื่นๆด้วย แต่ท่านก็ยังคงผูกพันกับคริสตจักรยะลาอย่างลึกซึ้ง และยังคงแวะเวียนมาเยี่ยมเยียน หนุนใจ และแบ่งปันพระวจนะของพระเจ้าอยู่เสมอ อาจารย์บุตรเป็นแบบอย่างที่ดีมากในการใช้พระวจนะของพระเจ้า สร้างคนงานของพระเจ้าที่รับใช้อยู่ในพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศไทย รวมทั้งในคริสตจักรของเราที่นี่

ท่านที่ 3 คือ คุณป้าจันทร์เพ็ญ ที่คริสตจักรนาสีทอง พระเจ้าได้ทรงรับท่านไปอยู่กับพระองค์เมื่อวันที่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา แม้ว่าคริสตจักรนาสีทองจะไกลจากยะลามากกว่า 150 กิโลเมตร แต่ก็เหมือนผูกพันใกล้ชิด เพราะพี่น้องคริสเตียนจากคริสตจักรนาสีทองได้มาเติบโตที่คริสตจักรยะลาจำนวนกว่า 10 คน คุณป้าจันทร์เพ็ญเป็นครูวรีวารศึกษาที่ทำหน้าที่อย่างสัตย์ซื่อ และอดทนอย่างมาก เมล็ดพันธ์แห่งข่าวประเสริฐที่ท่านได้หว่านลงในชีวิตของเด็กรวีฯของท่านได้เกิดผลงอกงาม

ในโลกนี้ ผู้รับใช้พระเจ้าทั้ง 3 ท่านอาจไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดัง ไม่เป็นที่รู้จัก แต่เชื่อว่าบนแผ่นดินสวรรค์นั้น ท่านเหล่านี้เป็นที่รู้จักมากกว่าดาราดังทั้งหลายที่อยู่ในโลกปัจจุบัน เมื่อท่านกลับสู่ที่พำนักอันถาวร เชื่อว่าจะมีการต้อนรับที่เต็มไปด้วยความยินดี ยิ่งกว่างานฉลองใดๆในโลกนี้ เราทั้งหลายอยากจะขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับชีวิตของผู้รับใช้ทั้ง 3 ท่านนี้ ขอให้พระนามของพระเจ้าได้รับเกียรติทั้งสิ้น

วันนี้เรามาติดตามหาพระเยซูคริสต์กันต่อ เราได้มาถึงพระธรรม 1 เธสะโลนิกา ซึ่งเป็นจดหมายฝากอีกฉบับหนึ่งของอัครทูตเปาโล เขียนขึ้นในขณะที่ท่านอยู่ที่เมืองโครินธ์ในปี คศ. 51

อัครทูตเปาโลได้ไปประกาศข่าวประเสริฐที่เมืองเธสะโลนิกาในการออกเดินทางครั้งที่ 2 มีผู้เชื่อหลายคน ทั้งยิวและชาวต่างชาติที่นับถือรูปเคารพ แต่ก็มีการต่อต้านมาก ทำให้อัครทูตเปาโลอยู่ในเมืองเธสะโลนิกาได้ไม่นานนัก ยังไม่มีโอกาสได้วางรากฐานคริสตจักรได้อย่างที่ตั้งใจก็จำใจต้องจากไป แต่ก็ได้ส่งทิโมธีกลับมาเพื่อดูแลผู้เชื่อ คริสตจักรที่เธสะโลนิกาเป็นคริสตจักรที่อัครทูตเปาโลมีความชื่นชมยินดี มีปัญหาเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับการใส่ร้ายเปาโล และความกังวลในเรื่องการเสด็จกลับมาของพระเยซู ทำให้อัครทูตเปาโลต้องเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้น

เรื่องราวสำคัญของจดหมาย 1 เธสะโลนิกา เกี่ยวกับการยืนยันถึงความรักความจริงใจที่อัครทูตเปาโลมีต่อกลุ่มผู้เชื่อที่นั่น การอธิบายเรื่องการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์ และการดำเนินชีวิตอย่างเหมาะสมเพื่อพร้อมสำหรับการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์

ดังนั้นเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ที่เราจะพบได้ในจดหมายฝากฉบับนี้ก็เกี่ยวข้องกับคำสัญญาที่บอกกล่าวไว่ล่วงหน้า ในเรื่องการเสด็จกลับมาของพระองค์

ผมเชื่อว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เรามาถึงจดหมายฝาก 1 เธสะโลนิกา ในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกับการเข้าสู่การพำนักอันถาวรของผู้รับใช้พระเจ้าทั้ง 3 ท่านที่ผมกล่าวถึงในตอนต้น ปกติแล้วในพิธีศพ และในวันระลึกถึงการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ เราก็มักจะใช้ข้อความจาก 1 เธสะโลนิกา บทที่ 4 ข้อ 13-18


1 เธสะโลนิกา 4:13-18
13ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย เราไม่อยากให้ท่านไม่ทราบความจริงเรื่องคนที่ล่วงหลับไปแล้ว เพื่อท่านจะไม่เป็นทุกข์โศกเศร้า อย่างคนอื่นๆที่ไม่มีความหวัง 14เพราะในเมื่อเราเชื่อว่าพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ และทรงคืนพระชนม์แล้ว โดยพระเยซูนั้น พระเจ้าจะทรงนำบรรดาคนที่ล่วงหลับไปแล้วนั้น มากับพระองค์ 15ในข้อนี้เราขอบอกให้ท่านทราบ ตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า เราผู้ยังเป็นอยู่และคอยองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จะล่วงหน้าไปก่อนคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปแล้วก็หาไม่ 16ด้วยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาจากสวรรค์ ด้วยพระดำรัสสั่ง ด้วยสำเนียงเรียกของเทพบดีและด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และคนทั้งปวงในพระคริสต์ที่ตายแล้วจะเป็นขึ้นมาก่อน 17หลังจากนั้นเราทั้งหลายซึ่งยังเป็นอยู่ จะถูกรับขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น และจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหละ เราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์ 18เหตุฉะนั้นจงปลอบใจกันด้วยถ้อยคำเหล่านี้เถิด


พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์จริงๆ บนไม้กางเขน นี่เป็นความจริง และเป็นข้อเท็จจริงซึ่งปรากฏอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ ทั้งในพระคริสตธรรมคัมภีร์ และในหนังสือประวัติศาสตร์อื่นๆ แม้ว่าจะมีผู้ไม่เชื่อบางกลุ่มพยายามที่จะบิดเบือนเรื่องราวออกไปเช่น บางกลุ่มบอกว่า พระเจ้าได้ทรงกระทำการมหัศจรรย์ คือเปลี่ยนร่างและหน้าตาของพระเยซูกับยูดาส อิสคาริโอท ทำให้พระเยซูรอดพ้นจากการถูกตรึงบนไม้กางเขน บางก็ว่า พระเจ้าทรงหาคนหนึ่งที่หน้าตาคล้ายพระเยซูมาเปลี่ยนตัวกับพระองค์ ให้คนนั้นไปตายแทนพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน ซึ่งล้วนแต่ขาดน้ำหนักและหลักฐานที่หนักแน่น

ประเด็นที่ทำให้เราต้องสนใจเรื่องนี้อย่างมากก็คือ ทำไมจึงต้องมีความพยายามบิดเบือนเรื่องการตายของพระเยซูคริสต์ คำตอบก็คือ เพื่อให้เรื่องการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์กลายเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้นั่นเอง และก็จะนำไปสู่การปฏิเสธสภาพความเป็นพระเจ้าของพระเยซูคริสต์ ซึ่งนั่นก็คือเป้าหมายของซาตาน ที่จะปิดบังข่าวประเสริฐของพระเยซูไว้จากคนบาปในโลกนี้

สำหรับคนที่ไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ การที่เขากล่าวถึงพระเยซูว่าเป็นศาสดาที่มีคำสอนน่าประทับใจ มีชีวิตที่เป็นตัวอย่างที่ดี หรือเป็นผู้นำที่มีความคิดก้าวหน้า หรือเป็นผู้ที่เสียสละเพื่อผู้ยากไร้ เขาคิดว่านั่นเป็นการยกย่องให้เกียรติพระองค์ แต่สำหรับเราทั้งหลายที่รู้จักพระองค์ในฐานะของพระบุตรของพระเจ้า การกล่าวถึงพระเยซูคริสต์เพียงเท่านั้น เป็นการลดฐานะของพระองค์ต่างหาก

ส่วนการกล่าวถึงการทนทุกข์ของพระเยซูคริสต์ การที่พระองค์ถูกสาวกทอดทิ้ง ถูกคนชาติเดียวกันดูหมิ่นเหยียดหยาม ถูกทำร้ายอย่างสาหัส และตรึงตายบนไม้กางเขนอย่างนักโทษชั้นเลว ซึ่งในสายตาของคนทั่วไปที่ไม่รู้จักพระเยซูคริสต์ การจะกล่าวถึงใครสักคนที่ถูกกระทำอย่างนี้ เป็นเรื่องน่าสยดสยองที่ไม่ควรเกิดกับมนุษย์ที่เป็นคนดี จึงมักคิดไปว่า เป็นเรื่องที่ควรหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึง เพราะเป็นเหมือนการดูหมิ่นเหยียดหยามว่ามนุษย์คนนั้นเป็นคนที่เลวทราม

แต่สำหรับคริสเตียนแล้ว การไม่พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับพระเยซูคริสต์นั้น จะกลับกลายเป็นการปฏิเสธพระองค์โดยไม่รู้ตัว เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับพระองค์คือสิ่งที่สำแดงให้เราเห็นถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่มีต่อเรา เพราะพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์ ได้ทรงแบกรับสิ่งเหล่านั้นเพื่อคนบาปเช่นเรา เป็นการประกาศถึงชัยชนะที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว เพื่อคนบาปทั้งหลาย

คริสเตียนจึงไม่อายที่จะพูดถึงความจริงที่ว่า พระเยซูคริสต์ทรงถูกตรึงตายบนไม้กางเขน ในสภาพที่เจ็บปวดทรมาน และเราจะกล่าวถึงการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ด้วย เพราะพระเจ้าได้ทรงยืนยันว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่พระองค์ทรงประทานให้กับโลกตามพระสัญญาของพระองค์

สำหรับเราที่เป็นผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ เรามีความหวังใจในพระสัญญาของพระเจ้า ทำให้พิธีศพของคริสเตียนไม่ใช่พิธีแห่งความสูญเสีย ความเศร้าโศกอาลัยอาวรณ์อันเนื่องจากความผูกพันอาจเกิดขึ้นได้ แต่เรามีความหวังที่จะได้พบกันอีกในแผ่นดินของพระเจ้า ไม่ใช่เป็นการจากไปอย่างไม่รู้ว่าจะไปไหนจะไปเป็นตัวอะไร

ญาติพี่น้องของเราซึ่งล่วงหน้าไปก่อนนั้น จะเป็นขึ้นจากความตาย ในร่างกายใหม่ ในวันที่พระเยซูเสด็จมารับคนของพระองค์ และบรรดาคนของพระองค์ที่ยังมีชีวิตอยู่ในเวลานั้นก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลงร่างกายใหม่เช่นกัน และลอยขึ้นไปพบกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราในฟ้าอากาศ


2โครินธ์ 5:1-5
1เพราะเรารู้ว่า ถ้าเรือนดินคือกายของเรานี้จะพังทำลายเสีย เราก็ยังมีที่อาศัยซึ่งพระเจ้าทรงโปรดประทานให้ ที่มิได้สร้างด้วยมือมนุษย์ และตั้งอยู่เป็นนิตย์ในสวรรค์ 2เพราะว่าในร่างกายนี้เรายังครวญคร่ำอยู่ มีความอาลัยที่จะสวมที่อาศัยของเราที่มาจากสวรรค์ 3เพื่อว่าเมื่อเราสวมแล้ว เราก็จะมิได้เปลือย 4เพราะว่าเราผู้อาศัยในร่างกายนี้จึงครวญคร่ำเป็นทุกข์ มิใช่เพราะปรารถนาที่จะอยู่ตัวเปล่า แต่ปรารถนาจะสวมกายใหม่นั้น เพื่อว่าร่างกายของเราซึ่งจะต้องตายนั้นจะได้ถูกชีวิตอมตะกลืนเสีย 5แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้เตรียมเราไว้สำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้ และพระองค์ได้ทรงโปรดประทานพระวิญญาณเป็นมัดจำไว้กับเรา

ฟิลิปปี 3:18-21
18เพราะว่า มีคนหลายคนที่ประพฤติตัวเป็นศัตรูต่อกางเขนของพระคริสต์ ซึ่งข้าพเจ้าได้บอกท่านถึงเรื่องของเขาหลายครั้งแล้ว และบัดนี้ยังบอกท่านอีกด้วยน้ำตาไหล19ปลายทางของคนเหล่านั้นคือความพินาศ พระของเขาคือกระเพาะ เขายกความที่น่าอับอายของเขาขึ้นมาโอ้อวด เขาสนใจในวัตถุทางโลก20แต่บ้านเมืองของเรานั้นอยู่ที่สวรรค์ เรารอคอยผู้ช่วยให้รอด ซึ่งจะเสด็จมาจากสวรรค์คือพระเยซูคริสตเจ้า 21พระองค์จะทรงเปลี่ยนแปลงกายอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนพระกายอันทรงพระสิริของพระองค์ ด้วยฤทธานุภาพซึ่งทำให้พระองค์ปราบสิ่งสารพัดลงใต้อำนาจของพระองค์


พระวจนะของพระเจ้าได้บอกเรื่องราวเหล่านี้แก่เราอย่างชัดเจนแล้ว ขอให้เราได้มีความเชื่อและความหวังใจในพระสัญญาของพระองค์

1เธสะโลนิกา 5:1-3
1ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย เรื่องวันและเวลาที่ทรงกำหนดไว้นั้น ไม่จำเป็นจะต้องเขียนบอกให้ท่านรู้ 2เพราะท่านเองก็รู้ดีแล้วว่า วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า จะมาเหมือนอย่างขโมยที่มาในเวลากลางคืน 3เมื่อเขาพูดว่า "สงบสุขและปลอดภัยแล้ว" เมื่อนั้นแหละความพินาศก็จะมาถึงเขาทันที เหมือนกับความเจ็บปวดมาถึงหญิงที่มีครรภ์ เขาจะหนีก็ไม่พ้น4แต่พี่น้องทั้งหลาย ท่านไม่ได้อยู่ในความมืดแล้ว วันนั้นจะมาถึงท่านอย่างขโมยมา 5ท่านเป็นบุตรของความสว่าง และเป็นบุตรของกลางวัน เราทั้งหลายไม่ได้เป็นของกลางคืนหรือของความมืด 6เหตุฉะนั้นเราอย่าหลับเหมือนอย่างคนอื่น แต่ให้เราเฝ้าระวังและไม่เมามาย 7เพราะว่าคนนอนหลับก็ย่อมหลับในเวลากลางคืน และคนเมาก็ย่อมเมาในเวลากลางคืน 8แต่เมื่อเราเป็นของกลางวันแล้วก็อย่าให้เราเมามาย จงสวมความเชื่อกับความรักเป็นเกราะป้องกันอก และสวมความหวังที่จะได้ความรอดเป็นหมวกเหล็ก 9เพราะว่าพระเจ้ามิได้ทรงกำหนดเราไว้สำหรับพระอาชญา แต่สำหรับให้เข้าสู่ความรอด โดยพระเยซูคริสตเจ้าของเรา 10ผู้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา เพื่อว่าถึงเราจะตื่นอยู่หรือจะหลับ เราจะได้มีชีวิตกับพระองค์


ผมได้เคยเล่าให้พี่น้องฟังหลายครั้ง เกี่ยวกับกลุ่มคนที่เชื่อว่าเขาสามารถล่วงรู้กำหนดวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมา วันนี้ขอยืนยันอีกครั้งว่า กลุ่มใดๆก็ตาม นักเทศน์จะมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างไรก็ตาม หากบอกว่าเขารู้กำหนดวันเวลาในการเสด็จมาของพระเยซู เขาเหล่านั้นกำลังเป็นผู้สอนเท็จ เพราะพระวจนะของพระเจ้าได้ยืนยันหลายครั้งว่า ไม่มีผู้ใดสามารถรู้ได้ เพราะไม่ใช่ธุระของมนุษย์ที่จะรู้

แม้เราไม่ได้รับการเปิดเผยกำหนดวันเวลา แต่พระวจนะก็แนะนำให้เราสังเกตหมายสำคัญบางประการ นั่นคือ พระองค์จะเสด็จมาเหมือนอย่างขโมย ที่จะมาในเวลาที่เจ้าของบ้านขาดความระมัดระวัง บางทีสิ่งเหล่านี้กำลังเกิดขึ้นแล้ว นั่นคือการที่คริสเตียนประกาศว่าพระเยซูจะเสด็จกลับมา แรกๆคนทั้งหลายก็ฟังอย่างสนใจ และเฝ้าดูว่าพระองค์จะมาหรือไม่ และยิ่งเมื่อมีการทำนายว่าพระเยซูจะมาในวันโน้นวันนี้ และก็ไม่เกิดอะไรขึ้น ก็ทำให้คนจำนวนมากพากันชะล่าใจ และขาดความระมัดระวัง

เราทั้งหลายที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว พระวจนะได้บอกว่าเราเป็นลูกของความสว่างแล้ว ตามปกติเราไม่ควรจะมีสภาพเหมือนกับคนอื่นๆที่ไม่ได้เชื่อในพระเยซู เพราะเขาเหล่านั้น เป็นเหมือนคนที่หลับไหล หรือกำลังเมาขาดสติ แต่เราก็พบเห็นว่า มีผู้คนจำนวนไม่น้อยในชุมชนคนของพระเจ้าที่ดำเนินชีวิตอย่างขาดความระมัดระวัง ยังคงสร้างบ้านของตนไว้บนหาดทราย คือการฟังพระวจนะของพระเจ้าแล้วไม่ได้เชื่อฟัง เมื่อลมพายุพัดมา บ้านนั้นก็พังทลายลง หลายคนเมื่อเห็นว่าคริสเตียนกลุ่มโน้นกลุ่มนี้ทำนายผิด ก็พลอยทำให้ชะล่าใจ และไม่สนใจที่จะเตรียมพร้อมตามที่พระวจนะได้แนะนำไว้

พระเจ้าได้ทรงเตือนสติมนุษย์ทุกคนในโลกนี้ว่า การเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์นั้นจะส่งผลกับมนุษย์ทุกคน แต่จะเป็นผล อย่างไรก็ขึ้นกับว่า คนคนนั้นอยู่ในฐานะอะไร คนที่ได้รับการไถ่ไว้แล้วโดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ วันขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะเป็นวันแห่งความชื่นชมยินดี เพราะเราจะได้รับการต้อนรับเข้าสู่แผ่นดินของพระเจ้า ส่วนคนทั้งหลายที่ยังไม่ได้รับเอาความรอดที่พระเจ้าได้ทรงประทานในโดยทางพระเยซู วันแห่งพระเจ้ากำลังจะมาถึงเขาพร้อมกับความพินาศ

การดำเนินชีวิตอย่างเหมาะสม เพื่อพร้อมสำหรับการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์ ก็โดยการสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า อันประกอบไปด้วย ความรอดเป็นหมวกเหล็ก ความชอบธรรมเป็นทับทรวงเครื่องป้องกันอก ความจริงคาดเอว ข่าวประเสริฐเป็นรองเท้า ความเชื่อเป็นโล่ห์ และพระวจนะของพระเจ้าเป็นดาบ

ผมเคยยกตัวอย่างว่า ในกองทหารมีฝ่ายต่างๆที่รับผิดชอบงานที่แตกต่างกัน อาจทำให้พี่น้องเข้าใจไปว่า การที่เราอยู่ในฝ่ายแนวหลัง เราไม่จำเป็นต้องมีอาวุธก็ได้ ไม่ต้องฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรงเพื่อออกไปรบกับข้าศึกก็ได้ ซึ่งนั่นเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง จริงอยู่ในความเป็นจริง เราเห็นตำรวจทหารไทยหลายนายที่อยู่ในสภาพอ้วนพุงพลุ้ย แต่นั่นไม่ใช่ภาพลักษณ์ที่ถูกต้อง แม้ว่าทหารแต่ละฝ่ายจะมีหน้าที่รับผิดชอบแตกต่างกัน แต่ทุกคนต้องอยู่ในสภาพที่พร้อมเสมอในการรับมือกับข้าศึก ทหารที่ทำงานธุรการ ก็ต้องมีร่างกายที่แข็งแรง และยิงปืนได้เช่นกัน ทหารที่อยู่ฝ่ายซ่อมบำรุง ก็ต้องมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง ใช้อาวุธเป็น และสามารถรับมือกับศัตรูได้หากถูกจู่โจม ทหารฝ่ายสื่อสาร ก็ไม่ได้รับข้อยกเว้น แต่จะต้องมีร่างกายที่แข็งแกร่ง ใช้อาวุธได้ และพร้อมเสมอกับการต่อสู้

เราทุกคนก็เช่นกัน ในฝ่ายวิญญาณเราทั้งหลายก็เป็นทหารของพระเยซูคริสต์ สมัยหนึ่งเราถูกกระตุ้นว่า อย่าปล่อยให้จิตวิญญาณของเราผอมแห้ง แรงน้อย ซึ่งเป็นสภาพของการขาดอาหารฝ่ายวิญญาณ เป็นสภาพที่ไม่พร้อมสำหรับยุคสุดท้าย แต่ในอีกด้านหนึ่ง สภาพจิตวิญญาณที่อ้วยอุ้ยอ้ายพุงพลุ้ย ใช้อาวุธยุทธภัณฑ์ไม่เป็น ก็ไม่ใช่สภาพที่พร้อมสำหรับการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์เช่นกัน

พระเยซูคริสต์ทรงสัญญาว่าจะเสด็จกลับมา พระองค์จะกลับมาแน่นอน ให้เราเตรียมพร้อม ตื่นตัวอยู่เสมอ ไม่หลับไหล ไม่หลงมัวเมา เหมือนคนที่กำลังจะพินาศ




Create Date : 14 มกราคม 2555
Last Update : 14 มกราคม 2555 20:30:39 น. 1 comments
Counter : 1443 Pageviews.  
 
 
 
 

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับคำเทศนาได้รับการหนุนใจ
 
 

โดย: นิเวศน์ IP: 203.107.146.2 วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:15:23:48 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

ksk
 
Location :
ยะลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ผมเป็นคริสเตียนครับ
เป็นชาวยะลา เกิดปัตตานี ลูกจีนไหหลำ
จบวิศวกรรมไฟฟ้า(ระบบควบคุม) จากพระจอมเกล้าพระนครเหนือ EL รุ่น 24 รหัส 31 (เคยเรียน ป.วส. IE ห้องอิเล็ก ที่ วทอ. 2 ปี รหัส 29 ห้องเดียวกับ ศิริ แว่น สมชาย สุกิตติ จั๊บ ไพบูลย์ จ่าบุญเลิศ ก่อนย้อนไปเริ่มต้นป.ตรี ปี 1 ใหม่กับรุ่นน้องในคณะวิศวฯ พูดง่ายๆว่า ซิ่ว 2 ปี)
ป.โท วิศวกรรมการบิน(Avionique) จาก SUPAERO
Toulouse FRANCE ปี 1994
เคยรับราชการเป็นอาจารย์ในคณะวิศวฯที่พระนครเหนือ 8 ปี ผลงานก็ไม่มีอะไรมาก KMITNB Robot Camp เป็นสิ่งที่ยังพอให้ภาคภูมิใจเมื่อมองกลับไปที่เทคโนฯ ด้วยความคิดถึง 14 ปี อันแสนหวานกับชีวิตในพระนครเหนือ(มิย.ปี 29 - มิย.ปี 43)
ตอนนี้ลาออกจากราชการ มาหากินด้วยลำแข้ง(ไม่ใช่เป็นนักมวยไทยนะ)
ที่จังหวัดยะลาบ้านเกิด ตั้งแต่มิถุนายน ปี Y2K
กำลังจะรุ่งเรืองแล้วเชียว 4 มกราคม 2547
สถานการณ์ไฟใต้ก็เริ่มขึ้น
สิ่งที่เคยคิดว่าสักวันหนึ่งจะต้องเกิด มันก็เกิด
และยาวมาจนถึงตอนนี้
ผมยังนึกไม่ออกมันจะจบลงแบบไหน free counter

free counter

New Comments
[Add ksk's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com