ถ้าพระเจ้าไม่มีจริง คุณได้หรือเสียอะไร? แต่ถ้าพระเจ้ามีจริง คุณได้หรือเสียอะไร?

 
มกราคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
25 มกราคม 2550
 

สร้างขึ้นใหม่ (ตอนที่ 3)

7 มกราคม 2007
คริสตจักร ยะลา

1 โครินธ์ 3:9-15
9เพราะว่าเราทั้งหลายร่วมกันทำงานเพื่อพระเจ้า ท่านทั้งหลายเป็นไร่นาของพระเจ้า และเป็นตึกของพระองค์ 10โดยพระคุณของพระเจ้าซึ่งได้ทรงโปรดประทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้วางรากลงแล้วเหมือนนายช่างผู้ชำนาญ และอีกคนหนึ่งก็มาก่อขึ้น ขอทุกคนจงระวังให้ดีว่าเขาจะก่อขึ้นมาอย่างไร 11เพราะว่าผู้ใดจะวางรากอื่นอีกไม่ได้แล้ว นอกจากที่วางไว้แล้วคือพระเยซูคริสต์ 12บนรากนั้นถ้าผู้ใดจะก่อขึ้นด้วยทองคำ เงิน เพชรพลอย ไม้ หญ้าแห้งหรือฟาง 13การงานของแต่ละคนก็จะได้ปรากฏให้เห็น เพราะวันเวลาจะให้เห็นได้ชัดเจน เพราะว่าจะเห็นชัดได้ด้วยไฟ ไฟนั้นจะพิสูจน์ให้เห็นการงานของแต่ละคนว่าเป็นอย่างไร 14ถ้าการงานของผู้ใดที่ก่อขึ้นทนอยู่ได้ ผู้นั้นก็จะได้ค่าตอบแทน 15ถ้าการงานของผู้ใดถูกเผาไหม้ไป ผู้นั้นก็จะขาดค่าตอบแทน แต่ตัวเขาเองจะรอด แต่เหมือนดังรอดจากไฟ

อธิษฐาน
ขอพระเจ้าทรงเมตตาเราทุกคนที่นี่ ให้เราทุกคนได้รับการเปิดเผยจากพระเจ้าถึงสิ่งที่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า เพื่อเราจะดำเนินไปตามนั้น ขอให้เราได้อยู่ในพระเยซูคริสต์และพระเยซูคริสต์ทรงอยู่ในเรา ขอทรงชำระเราให้สะอาด ขอพระองค์ทรงนำสิ่งที่ไม่เป็นของพระองค์ออกไปจากชีวิตของเรา ให้เราเป็นคนที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ ขอทรงเจิมเราด้วยฤทธิ์พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ เพื่อเราจะมีฤทธิ์เดชของพระองค์ในการดำเนินชีวิต


เรื่องที่ได้กล่าวไปใน 2 ครั้งที่แล้วเป็นสิ่งที่สืบเนื่องมาจากหัวข้อค่ายประจำปีที่ผ่านมานั่นคือ “สร้างขึ้นใหม่” ภาพเปรียบเทียบของการก่อสร้างตัวอาคารคริสตจักร กับการสร้างพระวิหารของพระเจ้าซึ่งก็คือชีวิตฝ่ายวิญญาณของคริสเตียนนั้นมีขั้นตอนที่น่าสนใจศึกษาอยู่มากมายพอสมควร คราวที่แล้วผมได้กล่าวถึงเรื่องของการ “รื้อถอนสิ่งเก่าๆออกไป” และ “การวางรากฐานใหม่” พอจะสรุปใจความเพื่อฟื้นความจำได้ดังนี้

ในครั้งแรก ผมได้พูดถึงปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นในกลุ่มผู้เชื่อคือ การไม่เข้าใจว่าการเป็นคริสเตียน จะต้องเป็นที่ปรากฏการณ์ภายใน ไม่ใช่ปรากฏการณ์ภายนอก
พระเยซูได้สนทนากับนิโคเดมัสในยอห์นบทที่ 3 สิ่งที่พระเยซูกล่าวในคืนนั้นเป็นความสำคัญประการแรกๆของชีวิตคริสเตียน นั่นคือ “การบังเกิดใหม่” พระเยซูกำลังพูดถึงสิ่งที่เป็น “ปรากฏการณ์ฝ่ายวิญญาณ” แต่นิโคเดมัสไม่เข้าใจ จึงถามว่า ‘คนชราจะเข้าในครรภ์มารดาแล้วเกิดได้หรือ’ นั่นคือปัญหาเดียวกับคริสเตียนจำนวนมากที่ยังเข้าไม่ถึง “ชีวิต” เพราะมีความเข้าใจตื้นเขินเพียงแค่ “ปรากฏการณ์ภายนอก” เท่านั้น แม้จะได้เหน็ดเหนื่อยกับการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆมากมายในสังคมคริสเตียน แต่น่าเสียดายที่การบังเกิดใหม่ยังไม่ได้ปรากฏในชีวิต

พิธีบัพติสมา และพิธีมหาสนิท ที่พระเยซูได้กำชับไว้ให้คริสเตียนกระทำ ก็เกิดขึ้นแบบผิวเผินเหมือนประเพณีปฏิบัติ ไม่ได้เกิดขึ้นจากภายใน

2 โครินธ์ 5:17 “เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”

แล้วทำไมเราจึงยังไม่ถูกสร้างขึ้นใหม่ ?? เปรียบเทียบให้เห็นอย่างง่ายๆก็คือ ตัวอาคารเก่าที่ทรุดโทรมแห่งนี้ เราต้องการจะสร้างขึ้นใหม่ แต่การก่อสร้างใหม่จะเริ่มไม่ได้ หากสิ่งเก่าไม่ได้ถูกรื้อถอนออก

แล้วเราจะรื้อถอนสิ่งเก่าๆเหล่านี้ออกไปได้อย่างไร ? เราไม่สามารถกระทำได้ด้วยตัวเราเอง มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงกระทำได้ เรามีหน้าที่เพียง ปรารถนาให้พระองค์กระทำ และอนุญาตให้พระองค์ทรงกระทำ ปัญหาก็อยู่ที่ว่า เราปรารถนาแล้วหรือยัง? และ เราอนุญาตแล้วหรือยัง? การรื้อถอนอาจดูยุ่งยาก แต่พระเจ้าทรงเป็นช่างผู้ชำนาญ

ในครั้งที่สอง ผมได้พูดถึงรากฐานใหม่ที่จะต้องถูกวางลงในชีวิตของเราคือ พระเยซูคริสต์ เราได้เรียนรู้มามากมายว่าพระเยซูคริสต์เป็นใคร สามารถช่วยเราได้อย่างไร เป็นผู้ที่เราจะไว้ใจได้อย่างไร แต่เราอาจละเลยสิ่งที่สำคัญที่สุดไป นั่นคือ ทำอย่างไร เราจึงจะได้พระเยซูคริสต์มาเป็นรากฐานของชีวิต ?

หลายคนอยากได้พระเยซูคริสต์ แต่สำคัญผิด คิดว่าการได้เข้ามามีส่วนร่วมในสังคมคริสเตียน ได้ทำกิจกรรมที่คริสเตียนทำกัน ได้อ่านพระคัมภีร์ พยายามใช้ชีวิตอย่างคริสเตียน คิดว่านั่นคือการได้พระคริสต์แล้ว แต่นั่นเป็นเพียงปรากฏการณ์ภายนอกเท่านั้น

ปัญหาที่เราพบก็คือ เราไม่ได้พระคริสต์ เพราะเราไม่ได้มอบชีวิตของเราให้กับพระเจ้า เรายังหวงชีวิตของเราไว้เป็นของเราเอง อยากมีเป้าหมายชีวิตของเราเอง อยากกำหนดอนาคตของลูกหลานของเราเอง อยากจะกระทำตามแผนการของเราเอง อยากจะมีชีวิตเป็นของเราเอง ยังมีเขตแดนระหว่างเรากับพระเจ้า พระเจ้าอย่ามายุ่งกับเรื่องส่วนตัวของฉัน รอรับสิบลดก็พอ

นั่นจึงทำให้เราไม่ได้ตายร่วมกับพระคริสต์ และไม่ได้มีชีวิตใหม่ร่วมกับพระคริสต์ และแปลว่า เรายังไม่ถูกรื้อของเก่าลง เราจึงยังไม่ถูกวางรากใหม่ การก่อสร้างก็ยังไม่สามารถเริ่มขึ้นได้

โรม 6:3-8
3ท่านไม่รู้หรือว่า เราทั้งหลายที่ได้รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมานั้นเข้าในความตายของพระองค์ 4เหตุฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการรับบัพติศมาเข้าส่วนในการตายนั้น เพื่อว่าเมื่อพระคริสต์ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตายโดยเดชพระสิริของพระบิดาแล้ว เราก็จะได้ดำเนินตามชีวิตใหม่ด้วยเหมือนกัน 5เพราะว่าถ้าเราเข้าสนิทกับพระองค์แล้วในการตายอย่างพระองค์ เราก็จะเข้าสนิทกับพระองค์ ในการเป็นขึ้นมาอย่างพระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายด้วย 6เราทั้งหลายรู้แล้วว่า ตัวเก่าของเรานั้นได้ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวที่บาปนั้นจะถูกทำลายให้สิ้นไป และเราจะไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป 7เพราะว่าผู้ที่ตายแล้วก็พ้นจากบาป 8แต่ถ้าเราตายแล้วกับพระคริสต์ เราเชื่อว่าเราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์ด้วย

การมีพระคริสต์ปรากฏในชีวิตของเรา หรือการที่ชีวิตของเราเข้ามีส่วนร่วมกับพระคริสต์ คือความหมายของการมีรากฐานใหม่

วันนี้เราจะมาดูขั้นตอนต่อไป เมื่อได้วางรากลงแล้ว การก่อสร้างก็จะได้เริ่มต้นขึ้น จากพระธรรม 1 โครินธ์ 3:9-15 ที่เราได้อ่านไปในตอนต้น ได้กล่าวถึงสิ่งที่จะถูกสร้างขึ้น

1 โครินธ์ 3:9-15
9เพราะว่าเราทั้งหลายร่วมกันทำงานเพื่อพระเจ้า ท่านทั้งหลายเป็นไร่นาของพระเจ้า และเป็นตึกของพระองค์ 10โดยพระคุณของพระเจ้าซึ่งได้ทรงโปรดประทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้วางรากลงแล้วเหมือนนายช่างผู้ชำนาญ และอีกคนหนึ่งก็มาก่อขึ้น ขอทุกคนจงระวังให้ดีว่าเขาจะก่อขึ้นมาอย่างไร 11เพราะว่าผู้ใดจะวางรากอื่นอีกไม่ได้แล้ว นอกจากที่วางไว้แล้วคือพระเยซูคริสต์ 12บนรากนั้นถ้าผู้ใดจะก่อขึ้นด้วยทองคำ เงิน เพชรพลอย ไม้ หญ้าแห้งหรือฟาง 13การงานของแต่ละคนก็จะได้ปรากฏให้เห็น เพราะวันเวลาจะให้เห็นได้ชัดเจน เพราะว่าจะเห็นชัดได้ด้วยไฟ ไฟนั้นจะพิสูจน์ให้เห็นการงานของแต่ละคนว่าเป็นอย่างไร 14ถ้าการงานของผู้ใดที่ก่อขึ้นทนอยู่ได้ ผู้นั้นก็จะได้ค่าตอบแทน 15ถ้าการงานของผู้ใดถูกเผาไหม้ไป ผู้นั้นก็จะขาดค่าตอบแทน แต่ตัวเขาเองจะรอด แต่เหมือนดังรอดจากไฟ

พระคัมภีร์ตอนนี้คงไม่ได้กำลังกล่าวถึงการก่อสร้างตัวอาคารใดๆ แต่กำลังหมายถึงพระวิหารของพระเจ้าซึ่งกำลังสร้างขึ้นในชีวิตของคริสเตียนทุกคน

16ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน 17ถ้าผู้ใดทำลายวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงทำลายผู้นั้น เพราะวิหารของพระเจ้าเป็นที่บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ และท่านทั้งหลายเป็นวิหารนั้น

สิ่งที่พระคัมภีร์กำลังพูดถึงก็คือ การก่อขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตของผู้เชื่อแต่ละคน ให้สังเกตในข้อที่ 10 ข้าพเจ้าวางรากลง… และอีกคนหนึ่งก็มาก่อขึ้น จะเห็นว่าคริสเตียนแต่ละคนมีหน้าที่ที่ถูกมอบหมายนั้นคือเป็นผู้ที่วางราก หรือเป็นผู้ที่ทำการก่อขึ้น

การวางรากนั้นเหมือนกับการนำข่าวประเสริฐที่แท้จริงไปถึงผู้คน ผู้ที่ทำหน้าที่นี้ต้องซื่อสัตย์ในการใช้วางรากฐานที่เที่ยงแท้ จำเป็นต้องเป็นรากฐานที่ถูกต้องคือพระเยซูคริสต์ เท่านั้น สิ่งอื่นๆไม่ใช่รากฐาน

การก่อขึ้นนั้นคือการเลี้ยงดูจิตวิญญาณให้จำเริญขึ้น ผู้ทำหน้าที่นี้ก็ต้องสัตย์ซื่อเช่นกัน

พระคัมภีร์กำลังชี้ให้เห็นว่า ชีวิตคริสเตียนของเราถูกก่อขึ้นโดยผู้อื่น และขณะเดียวกันผู้อื่นก็กำลังถูกก่อขึ้นโดยเรา

สิ่งสำคัญ พระคัมภีร์เตือนให้เราสังเกตการก่อขึ้น ที่กำลังดำเนินการอยู่ด้วย ในท้ายข้อ 10 กล่าวไว้ว่า …ขอทุกคนจงระวังให้ดีว่าเขาจะก่อขึ้นมาอย่างไร นั่นหมายความว่า ให้เราได้จับตาดูผู้ที่กำลังทำหน้าที่ในการก่อขึ้นบนชีวิตของเรา

หากเรากำลังทำหน้าที่ในการก่อ ให้เราได้สัตย์ซื่อในการทำหน้าที่ โดยการเลือกใช้วัสดุที่ดีที่สุดในการก่อสร้าง เพราะในที่สุดแล้ว ผลงานการก่อสร้างนั้นจะถูกทดสอบด้วยไฟ

หากเรากำลังถูกก่อ ให้เราตื่นตัว ไม่หลับไหล เพื่อจะได้ระมัดระวังว่าการก่อสร้างนั้นได้กระทำโดยใช้วัสดุที่ดีที่สุดหรือไม่ เพราะในที่สุดแล้ว ผลงานการก่อสร้างนั้นจะถูกทดสอบด้วยไฟ


พระคัมภีร์ได้ยกตัวอย่างของสิ่งที่จะถูกก่อขึ้น 6 ประการด้วยกันคือ ทองคำ เงิน เพชรพลอย ไม้ หญ้าแห้ง และฟาง แต่ละสิ่งมีความหมายที่ซ่อนอยู่

เราจะเห็นว่าเมื่อมีการทดสอบด้วยไฟ สิ่งของ 4 อย่าง ไม่มีทางที่จะผ่านการทดสอบไปได้เลย นั่นคือ เพชรพลอย ไม้ หญ้าแห้ง และฟาง

หากเรากำลังก่อขึ้นให้กับผู้อื่นโดยใช้วัสดุเหล่านี้ เท่ากับว่าเรากำลังทำลายเขา ไม่ว่าเราจะทำด้วยความปรารถนาดีอย่างไรก็ตาม ความปรารถนาดีนั้นไม่สามารถช่วยอะไรได้

แต่หากเราเห็นว่าผู้ที่ก่อขึ้นให้เรากำลังใช้วัสดุเหล่านี้ในการสร้างเรา อย่าอยู่นิ่งเฉย นี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย จำเป็นที่จะต้องมีการแก้ไข มิฉะนั้นเราเองจะไม่สามารถผ่านการทดสอบไปได้

ทองคำ โลกนี้กล่าวถึงทองคำในด้านของมูลค่า แต่พระคัมภีร์กำลังกล่าวถึงทองคำในด้านของคุณค่า คนของโลกนี้พยายามสร้างคุณค่าของตัวเองด้วยการสะสมทองคำ แต่คนของพระเจ้าเป็นผู้มีคุณค่ายิ่งกว่าทองคำ(ใน 1 เปโตร 1:7 บอกไว้ว่า ความเชื่อนั้นประเสริฐยิ่งกว่าทองคำ) พระเจ้าจะทรงชำระคนของพระองค์ด้วยการให้เขาได้เข้าส่วนในการทนทุกข์กับพระคริสต์ เหมือนดังที่ทองคำถูกทำให้บริสุทธิ์ด้วยไฟ

ในตำราเกี่ยวกับโลหะวิทยา อธิบายเหตุผลที่ทองคำมีมูลค่าสูง ว่าเป็นเพราะคุณสมบัติ 4 ประการ

1.ความงดงามมันวาว เป็นคุณสมบัติโดยตัวของทองคำเอง ในขณะที่โลหะอื่นๆต้องมีการขัดเงาใส่น้ำยาสารพัด เพื่อให้เป็นประกายแวววาว แต่ทองคำนั้น แวววาวด้วยตัวของมันเอง
2.ความคงทน ทองคำไม่เป็นสนิม แม้จะวางทิ้งไว้เป็นเวลาหลายพันปี ในขณะที่โลหะอื่นๆจะผุกร่อนไป ทองคำจะคงสภาพไว้ได้ไม่หมองคล้ำหรือผุกร่อน
3.ความหายาก การจะได้แร่ทองคำนั้น จะต้องขุดลงไปใต้ดินลึกมาก และนำก้อนแร่ที่ขุดได้มาถลุงปริมาณหลายรถบรรทุก จึงจะได้ทองคำออกมาสัก 1 สลึง ต้องลงทุนลงแรงมาก
4.การนำไปใช้ประโยชน์ ทองคำมีเนื้อที่นิ่มและเหนียว สามารถนำไปขึ้นรูปเป็นเครื่องใช้ต่างๆได้โดยง่ายและสวยงาม สามารถตีให้บางได้มากกว่าโลหะใดๆ สามารถยืดออกเป็นเส้นเล็กขนาดบางกว่าเส้นผม และสามารถชำระให้บริสุทธิ์ได้โดยการหลอมด้วยความร้อนสูงครั้งแล้วครั้งเล่า

ซึ่งทั้งหมดนั้นผมเห็นว่า ตรงกับลักษณะคริสเตียนจะต้องเป็น

การมีลักษณะงดงามมันวาว คือการที่เราจะต้องสามารถสะท้อนพระสิริของพระเจ้าให้ผู้อื่นได้เห็น ทองคำไม่มีแสงในตัวเอง คริสเตียนเช่นกัน ไม่ใช่แสงของเราเองแต่เราต้องสะท้อนชีวิตของพระคริสต์ให้เพื่อนบ้านได้เห็น

การมีลักษณะคงทน มนุษย์ทุกคนในโลกต่างก็ประสพเรื่องยุ่งยาก แต่คริสเตียนจะสามารถอดทนและผ่านไปได้ เพราะคุณสมบัติที่พระเจ้าประทานให้

การเป็นสิ่งหายาก พระคัมภีร์บอกไว้ว่า เพราะว่าประตูซึ่งนำไปถึงชีวิตนั้นก็คับและทางก็แคบ ผู้ที่หาพบก็มีน้อย คริสเตียนแท้มีไม่มาก เป็นสิ่งที่หายาก แต่มีอยู่แน่ ท่านเป็นหนึ่งในนั้นหรือเปล่า

การนำไปใช้ประโยชน์ ชีวิตของคริสเตียนจะต้องอ่อนเหมือนเนื้อทองคำในพระหัตถ์ของพระเจ้า เพื่อพระองค์จะสามารถปรับแต่งชีวิตของเรานำไปใช้ตามพระประสงค์ และเราจะต้องผ่านการชำระให้สะอาด เพื่อจะเป็นทองคำบริสุทธิ์ที่มีค่าอันประเสริฐ

เงิน เป็นโลหะที่มีค่าเช่นกัน แต่คุณค่าของเงินก็ยังไม่อาจเทียบได้กับทองคำ การที่จะทำให้ทองคำหลอมละลาย ต้องใช้อุณหภูมิสูงถึง 1064 C ส่วนการทำให้เงินหลอมละลายนั้น จะใช้อุณหภูมิสูงเพียง 961 C

ะเห็นว่าเงินนั้น สามารถผ่านการทดสอบไปได้เช่นกัน แต่คุณค่าน้อยกว่าทองคำ เพราะมีคุณสมบัติไม่ครบทั้ง 4 ประการ แม้เงินอาจจะมันวาวได้เมื่อผ่านการขัดเงา และเป็นสิ่งหายาก แต่ความคงทน และความอ่อนตัว ยังไม่ดีเท่ากับทองคำ

เพชรพลอย เป็นสิ่งที่มีค่าเช่นกัน เป็นสิ่งที่หายาก การที่จะเป็นเพชรพลอยที่มีราคาจะต้องผ่านกระบวนการเจียรนัยด้วยช่างฝีมือดี แต่เพชรพลอยไม่สามารถรับการชำระให้สะอาดได้ ตำหนิมลทินที่ฝังอยู่ในเนื้อเพชรพลอยไม่สามารถเอาออกได้ อาจพูดได้ว่าเพชรพลอยเป็นสิ่งสวยงามที่เกิดจากค่านิยมของมนุษย์
นี่อาจเป็นภาพเปรียบเทียบให้เราเห็นว่า สิ่งที่มนุษย์ตีราคาไว้สูงนัก ให้ค่านิยมไว้อย่างสูงส่ง แต่.. ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า เป็นสิ่งที่ไม่สามารถใช้การได้ ไม่สามารถผ่านมาตรฐานการทดสอบของพระเจ้าได้

ไม้ เป็นสิ่งมีค่า แม้จะไม่ได้มีมูลค่าสูงมากนัก สามารถใช้ประโยชน์ได้ดีในหลายๆด้าน เป็นวัสดุเอนกประสงค์ การที่จะได้ไม้มาใช้งาน ต้องลงแรงอย่างมาก เข้าไปในป่า เสี่ยงภัย ใช้เครื่องมือ ตัดไม้ ชักลาก เข้าโรงเลื่อย แปรรูป เพื่อนำมาใช้งาน อาจพูดได้ว่านี่คือ พละกำลังและสติปัญญาของมนุษย์
นี่อาจเป็นภาพเปรียบเทียบให้เราเห็นว่า มนุษย์อาจเพียรพยายามด้วยเรี่ยวแรง ความสามารถ สติปัญญาของตัวเอง แต่.. ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า เป็นสิ่งที่ไม่สามารถใช้การได้ ไม่สามารถผ่านมาตรฐานการทดสอบของพระเจ้าได้

หญ้าแห้ง เป็นสิ่งที่ไร้ชีวิต ปกติแล้วทุ่งหญ้าเป็นสิ่งที่มีค่ามากสำหรับมนุษย์และสัตว์ จะเห็นว่าในพระคัมภีร์ได้กล่าวถึงทุ่งหญ้าเขียวสด เป็นสถานที่ที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์และมีชีวิต แต่หญ้าแห้งเป็นภาพที่แสดงให้เห็นถึงความห่อเหี่ยวและไร้ชีวิต
นี่อาจเป็นภาพเปรียบเทียบให้เราเห็นว่า เรามาอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าด้วยสภาพอย่างไร ชีวิตที่พระเจ้าทรงประทานให้กับเรา ขาดการรดน้ำ ขาดการเอาใจใส่ พระวจนะของพระเจ้าไม่เคยตกถึงท้อง ทำให้ชีวิตจนห่อเหี่ยวและเฉาตาย

ฟาง เป็นต้นข้าวที่ตายแล้ว เป็นสภาพของต้นข้าวที่หมดอายุขัย เป็นสิ่งที่เรียกว่ากากเดน ส่วนดีๆถูกเอาไปหมดแล้ว
นี่อาจเป็นภาพเปรียบเทียบให้เห็นว่า เรามาอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าด้วยสภาพอย่างไร ด้วยสภาพที่โลกนี้ได้ใช้ประโยชน์จากชีวิตของเราไปหมดแล้ว เหลือเพียงกากเดนไว้ให้กับพระเจ้า ที่พูดนี้ไม่ได้หมายถึงคนชราแล้วใช้การไม่ได้ เรายังเห็นคนชราหลายท่านที่เป็นเหมือนทองคำส่องประกายและทำหน้าที่อย่างสัตย์ซื่อ ในขณะที่คนหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อยกำลังจะเป็นฟางที่ไร้ค่ามอบให้กับพระเจ้า

ให้เราอ่าน 1 โครินธ์ 3:9-15 อีกครั้งหนึ่ง



Create Date : 25 มกราคม 2550
Last Update : 25 มกราคม 2550 17:40:20 น. 3 comments
Counter : 939 Pageviews.  
 
 
 
 
ตามมาอ่านคร้าบบ
 
 

โดย: Due_n วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:11:25:15 น.  

 
 
 


สุขสันต์วันวาเลนไทน์ครับ มีความสุขมากๆ นะครับ
 
 

โดย: Due_n วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:21:53:53 น.  

 
 
 
ว้าว... ดีใจที่มีคนตามมาอ่าน
ผมแวะไปที่ blog น้อง Due_n เป็นระยะๆเหมือนกันครับ
 
 

โดย: ksk วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:17:36:28 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

ksk
 
Location :
ยะลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ผมเป็นคริสเตียนครับ
เป็นชาวยะลา เกิดปัตตานี ลูกจีนไหหลำ
จบวิศวกรรมไฟฟ้า(ระบบควบคุม) จากพระจอมเกล้าพระนครเหนือ EL รุ่น 24 รหัส 31 (เคยเรียน ป.วส. IE ห้องอิเล็ก ที่ วทอ. 2 ปี รหัส 29 ห้องเดียวกับ ศิริ แว่น สมชาย สุกิตติ จั๊บ ไพบูลย์ จ่าบุญเลิศ ก่อนย้อนไปเริ่มต้นป.ตรี ปี 1 ใหม่กับรุ่นน้องในคณะวิศวฯ พูดง่ายๆว่า ซิ่ว 2 ปี)
ป.โท วิศวกรรมการบิน(Avionique) จาก SUPAERO
Toulouse FRANCE ปี 1994
เคยรับราชการเป็นอาจารย์ในคณะวิศวฯที่พระนครเหนือ 8 ปี ผลงานก็ไม่มีอะไรมาก KMITNB Robot Camp เป็นสิ่งที่ยังพอให้ภาคภูมิใจเมื่อมองกลับไปที่เทคโนฯ ด้วยความคิดถึง 14 ปี อันแสนหวานกับชีวิตในพระนครเหนือ(มิย.ปี 29 - มิย.ปี 43)
ตอนนี้ลาออกจากราชการ มาหากินด้วยลำแข้ง(ไม่ใช่เป็นนักมวยไทยนะ)
ที่จังหวัดยะลาบ้านเกิด ตั้งแต่มิถุนายน ปี Y2K
กำลังจะรุ่งเรืองแล้วเชียว 4 มกราคม 2547
สถานการณ์ไฟใต้ก็เริ่มขึ้น
สิ่งที่เคยคิดว่าสักวันหนึ่งจะต้องเกิด มันก็เกิด
และยาวมาจนถึงตอนนี้
ผมยังนึกไม่ออกมันจะจบลงแบบไหน free counter

free counter

New Comments
[Add ksk's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com