ประสพการณ์ในพระเจ้า ของ อ.บุตร สต๊อฟเบิร์ก

มีมิสชันนารีท่านหนึ่งที่ผมรู้จักมาตั้งแต่ผมยังเป็นเด็กๆ
ในภาพถ่ายงานวันเกิดของผมเมื่ออายุ 1 ขวบก็มีท่านปรากฏอยู่ที่นั่นด้วย
แม้ว่าในวันนั้นผมจะไม่รู้จักว่าใครเป็นใคร แต่วันนี้ผมรู้จักท่านดี
ในฐานะของผู้รับใช้พระเจ้าที่ "ซื่อตรง และจริงจังกับพระเจ้า"

ณ วันนี้ (2007) ท่านอายุ 79 ปี แล้ว แต่ก็ยังประกาศเรื่องของพระเยซูในทุกแห่งที่ท่านไป

เมื่ออยู่ท่ามกลางพวกเรา ท่านก็มักจะเตือนสติเรา ให้มีชีวิตที่จริงจังกับพระเจ้า
และพร้อมเสมอถ้าพระเยซูคริสต์เสด็จกลับมาวันนี้
"อย่าเล่นกับพระเจ้า" นี่เป็นคำที่เราได้ยินบ่อยๆ

ท่านมักจะเล่าประสบการณ์ชีวิตของท่านให้เราฟังเสมอ
แม้เราจะได้ฟังเรื่องราวชีวิตของท่านหลายครั้ง จนจำได้
แต่เราก็ยินดีที่จะรับฟัง เพราะเราเห็นว่านี่คือ "บุรุษที่เดินกับพระเจ้า"
เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับท่าน เป็นสิ่งที่ทำให้เราเห็นฤทธานุภาพและความจริงของพระเจ้า

อ.บุตร สต๊อฟเบิร์ก เป็นฝรั่งชาวอัฟริกาใต้ เข้ามาทำงานเป็นมิสชันนารี
ในประเทศไทยประมาณ 40 กว่าปีมาแล้ว
เริ่มงานกับ OMF (Oversea Missionary Fellowship)
เพื่อนมิสชันนารีรุ่นเดียวกันคือคุณหมอเฮนรี ไบเทนดอล
ที่เป็นที่รู้จักดีในวงการคริสเตียน

ปัจจุบัน อ.บุตร ได้โอนสัญชาติเป็นคนไทยแล้ว
ไม่ได้สังกัดอยู่ในหน่วยงานใด
แต่ไปแวะเวียนไปตามคริสตจักรในหลายๆจังหวัด
ที่ซึ่งลูกศิษย์ของท่านทำงานรับใช้พระเจ้าอยู่

และนี่เป็นเรื่องราวชีวิตของท่านที่เราฟังแล้วฟังเล่าจนจำได้

....สมัยนั้นผมอายุ 30 กว่าปี ทำงานที่ธนาคาร
วันหนึ่งผมชวนเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งว่า 'เราไปกินเบียร์กันไหม?'
เขาตอบว่า 'ไม่ ผมเป็นคริสเตียน'
ผมก็บอกเขาว่า 'ทำไมล่ะ ผมก็เป็นคริสเตียนเหมือนกัน'
เขาถามผมว่า 'คุณมาเป็นคริสเตียนตั้งแต่เมื่อไร?'
ผมตอบว่า 'ตั้งแต่เกิด'
เขาตอบว่า 'ไม่ คุณยังไม่เป็นคริสเตียน และคุณจะต้องตกนรกแน่ '
ผมโกรธเขามาก ไม่คุยกับเขาอีกเลยเป็นเวลา 5-6 เดือน
เพราะผมคิดเหมือนฝรั่งทั่วๆไปว่า คริสเตียนคือการนับถือศาสนา
ตอนเด็กๆผมก็ตามคุณแม่ไปโบสถ์บ้าง แม้ว่าเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้ไป

หลังจากนั้น เพื่อนร่วมงานได้แนะนำให้รู้จักกับชายคนหนึ่ง
ซึ่งจะสามารถสอนผมเรื่องเกี่ยวกับการเงินการธนาคาร
ผมก็ได้ไปพบเขาหลายครั้ง แต่เขามักจะพูดกับผมในเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูมากกว่า
จนกระทั่งผมเริ่มรู้สึกต้องการรู้จักพระเยซูจริงๆ
ผมถามเขาว่า ผมจะต้องทำอย่างไรจึงจะได้พระเยซู
เขาบอกว่า เพียงแต่ผมเอ่ยปากกับพระองค์ว่า ผมต้องการพระองค์
ผมรีบขับรถกลับบ้านในคืนนั้น เมื่อเข้าไปในห้องนอน
ก็คุกเข่าลงอธิษฐานบอกกับพระเจ้าว่าต้องการพบพระองค์
เวลานั้น ความมืดทึบล้อมรอบตัวของผม ผมกลัวมาก
รับรู้ถึงความบาปและความ สกปรกน่าเกลียดน่าชังในชีวิต
ผมขอให้พระเยซูช่วย ทันใดนั้นรอบตัวผมก็เปลี่ยนเป็นความสว่างจ้า
ผมรับรู้ถึงความบริสุทธิ์ของพระเจ้า และผมกลัวมาก
กลัวว่าจะต้องตาย บอกกับพระองค์ว่า
อย่าเข้ามาใกล้ ไม่งั้นผมต้องตายแน่
และได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ในคืนนั้น

ผมหยิบพระคัมภีร์ขึ้นมาอ่าน เพราะอยากรู้จักพระองค์
พระเจ้าพูดกับผมทางข้อพระคัมภีร์ต่างๆ
โดยที่ผมเห็นข้อความเหล่านั้นเปลี่ยนสีไป เมื่อพระองค์พูดกับผม
คืนนั้นผมหลับไปอย่างสงบสุขที่สุด

รุ่งขึ้นผมไปทำงาน เพื่อนร่วมงานคนนั้นมาพบผม
เขามองหน้าผม แล้วพูดว่า 'คุณเป็นคริสเตียนแล้วใช่ไหม'
ผมถามเขาว่า 'คุณรู้ได้อย่างไร?' ผมยังไม่ได้เล่าอะไรให้ใครฟังเลย
เขาบอกว่า 'แววตาของคุณบอก และเมื่อคืนพวกเราอธิษฐานเผื่อคุณ
และพระเจ้าบอกพวกเราว่า คุณได้รับความรอดแล้ว'
วันนั้นเองผมได้เริ่มที่จะเล่าเรื่องพระเยซูให้หลายคนฟัง
และมี 2-3 คนต้อนรับพระเยซู เมื่อได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิตของผม

ผมเริ่มต้นจริงจังกับพระเจ้า และได้ลาออกจากงานธนาคาร
สมัครเข้าเรียนในโรงเรียนพระคัมภีร์ เมื่อถึงปีสุดท้าย
ผมกำลังมองหาว่าจะไปทำงานที่ใด
พระเจ้าได้ให้นิมิตกับผมผ่านทางเพื่อนคนหนึ่งว่า
จะให้ผมไปทำงานในที่ที่เป็น เนินเขาและหุบเขา
ผมก็ยังไม่ทราบว่าเป็นที่ใดแน่ เวลานั้นผมคิดว่าคงเป็นแถวๆอินเดีย

วันหนึ่งมีมิสชันนารี 2 คนมาในเมืองที่ผมเรียนอยู่
และผมได้รับมอบหมายให้ขับรถพาสองคนนั้นไปยังที่ประชุมแห่งหนึ่ง
เมื่อไปถึง ผู้ที่ออกมาต้อนรับได้กล่าวว่า 'ขอบคุณที่คุณได้นำ
มิสชันนารีจาก -ดินแดนแห่งเนินเขาและหุบเขา- มา..'
สองคนนั้นเพิ่งกลับมาจากประเทศไทย
ผมจึงรับรู้ว่าพระเจ้าให้คำตอบกับผมว่า 'ประเทศไทย'

แต่ผมไม่เคยคิดสนใจประเทศไทยเลย
จึงคิดปฏิเสธในใจว่า 'ไม่มีทาง ผมไม่ต้องการไปที่นั่น'
พระเจ้าทรงตรัสอีกครั้งว่า 'เมษายน ปีหน้า เจ้าจะอยู่ที่นั่น'
ผมยังต่อสู้กับความคิดของตัวเอง และขอพระเจ้าสำแดงให้
ชัดเจนกว่านี้ โดยลองอธิษฐานท้าทายในเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ว่า 'ถ้ามีใครมาจากที่นั้น มาคุยให้พวกเราฟัง ผมจะไป'
วันนั้นตามปกติจะเป็นตารางการสอนของอาจารย์ท่านหนึ่ง
แต่ท่านไม่มา และมีแขกท่านหนึ่งมาเยี่ยมที่โรงเรียน
จึงถูกเชิญให้มากล่าวอะไรเล็กน้อย น่าอัศจรรย์ที่คนนั้น
เป็นหัวหน้าของ OMF ที่ดูแลในแถบเอเซีย
รวมถึงประเทศไทย ผมเชื่อว่าเป็นคำตอบที่ชัดเจน
ผมจึงไปขอใบสมัครเขาทันที
แต่ปัญหาก็ยังไม่จบ เพราะ OMF จะรับคนที่อายุไม่เกิน 30
แต่ผมอายุเกินแล้ว

ในที่สุด ผมก็เดินทางมายังสำนักงานของ OMF ที่สิงคโปร์
เพื่อเรียนภาษาไทย และได้พบกับหมอเฮนรี่ ที่นั่น
ได้เป็นเพื่อนสนิทกัน เมื่อมาทำงานที่เมืองไทยก็ยังมีโอกาส
ได้ร่วมงานกันบ้าง
....

.....
ครั้งหนึ่งขณะที่ทำงานในภาคเหนือ กับชาวไทยภูเขา
หมอเฮนรี่ได้ถูกขอให้ไปรักษาคนไข้รายหนึ่ง แต่คนไข้คนนั้นเสียชีวิต
ทำให้ญาติพี่น้องโกรธมาก และต้องการฆ่าหมอเฮนรี่
ผมจึงต้องเดินทางไปกับหมอเฮนรี่ เพื่อเป็นผู้คุ้มกัน
เพราะว่าผมตัวใหญ่กว่าเขา

แม้ว่าเราเป็นเพื่อนที่สนิทกัน แต่หลายครั้งที่เราเห็นไม่ตรงกัน
และขัดแย้งกันบ้าง ดังนั้นเราจึงแยกกันทำงานดีกว่า

ครั้งหนึ่งขณะทำงานที่เชียงใหม่ หมอเฮนรี่กำลังมองหา
ช่องทางใหม่ๆในการรับใช้พระเจ้า ผมเสนอให้เขาเปิด
โรงเรียนพระคัมภีร์ และเขาก็ทำอย่างนั้นจริงๆ
จึงได้เกิดโรงเรียนพระคริสตธรรมกรุงเทพ(BBC) ขึ้นที่ ซอย
ศึกษา ถนนสาทร เมื่อประมาณ 30 ปีก่อน ซึ่งปัจจุบัน
ก็คือวิทยาลัยพระคริสตธรรมกรุงเทพ (BBCs)
....

พระเจ้าได้ให้ อ.บุตร ทำงานในอีกหลายที่หลายแห่ง
เกือบทุกภาคในประเทศไทย

ช่วงหนึ่งที่ทำงานที่สงขลา อ.บุตรได้เข้าไปสอนเรื่องของพระเยซูในเรือนจำ
และมีนักโทษสนใจรับเชื่อหลายคน แม้บางคนที่หลอกลวง
แต่ก็มีหลายคนที่จริงจัง
มีคนหนึ่งมาจากสตูล ต้องโทษในคดีค้ายาเสพติด เมื่อออกจากคุก
ได้กลับไปใช้ชีวิตที่สตูล เพื่อนบ้านเห็นชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป
ค่ำวันหนึ่งเขาไปร่วมประชุมที่โบสถ์ เขาได้เล่าให้ที่ประชุมฟังถึงเรื่องราว
ชีวิตที่เหลวไหลของเขา และความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อเขาได้
มารับเชื่อในพระเยซูคริสต์ เมื่อกลับจากโบสถ์เขาถูกรถชนตาย
ในงานศพของเขา ชาวบ้านมาร่วมงานอย่างล้นหลาม
เพราะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขา
มีหลายคนรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ในงานศพของชายคนนี้

อ.บุตรยังได้สอนพระคัมภีร์แก่คริสเตียนและผู้สนใจอีกหลายคน
ครั้งหนึ่งกลุ่มคนที่เรียนกับ อ.บุตร รวบรวมเงินกันเพื่อมอบ
เป็นสิ่งตอบแทนให้ อ.บุตร ประมาณ 4 พันบาท อ.บุตรมีความจำเป็น
ต้องใช้เงินจำนวนดังกล่าว แต่พระเจ้าตรัสกับ อ.บุตรว่า
"อย่ารบกวนพี่น้องเหล่านั้น พระเจ้าเองจะทรงประทานให้
จากออสเตรเลีย" อ.บุตรก็เชื่อฟังสิ่งที่พระเจ้าตรัส ทั้งๆที่
ไม่ได้รู้จักใครเป็นพิเศษเลยในออสเตรเลีย จนกระทั่งวันที่
อ.บุตรจะต้องเดินทางออกจาก จ. สงขลา ก่อนออกจากบ้าน
อ.บุตรได้เดินไปดูที่กล่องจดหมายหน้าบ้าน
มีซองจดหมายส่งมาจาก แทสเมเนีย ออสเตรเลีย
และข้างในนั้น มีเงินถวายส่งมาเป็นจำนวน 4 พันบาท
'เยโฮวายิเรห์' พระเจ้าจะจัดเตรียมไว้ให้

ช่วงหนึ่งได้มาทำงานที่จังหวัดยะลา ทั้งที่อำเภอเมือง และอำเภอเบตง

ที่เบตง อ.บุตร ได้รับอนุญาตจากครูใหญ่โรงเรียนแห่งหนึ่ง
ให้เข้าไปสอนเรื่องของพระเยซูให้กับเด็กๆในโรงเรียน
ทำให้มีวัยรุ่นหลายคนมาเชื่อในพระเยซู หนึ่งในวัยรุ่นเหล่านั้น
คือ สุรการย์ เด็กหนุ่มเชื้อสายจีน พ่อแม่ทำสวนยาง
เขาเป็นคนที่แสวงหาพระเจ้ามาตั้งแต่ก่อนที่จะได้ยินเรื่องของพระเยซู พ่อแม่ไม่ต้องการให้เขาเชื่อในพระเยซู
แต่เขายังยืนยันที่จะติดตามพระเยซู และยิ่งกว่านั้น
เขาได้นำให้น้องๆอีก 7 คนมาเชื่อในพระเยซูด้วย และในท้ายที่สุด
พ่อแม่ของเขาก็มารับเชื่อในพระเยซูเช่นกัน
(ปัจจุบัน คือ ดร.สุรการย์ รองผู้อำนวยการ YFC และน้องๆของเขาก็คือ
อ.ชวลิต ผู้นำคริสตจักรยะลา
คุณจีรศักดิ์ ผู้นำคริสตจักรจันทบุรี
คุณอภิสิทธิ์ เสียชีวิตแล้ว(เคยเป็นผู้นำคริสตจักรจันทบุรี)
คุณชัชวาล UNOCAL สงขลา
คุณอมร ผู้ร่วมก่อตั้งคริสตจักรหัวหมาก
คุณธาริณี ทำธุรกิจที่หาดใหญ่
อ.อรัญ ศิษยภิบาลคริสตจักรความหวังสงขลา)

เมื่อ อ.บุตร มาอยู่ที่อำเภอเมืองยะลา ได้เปิดหอพักชาย
และสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนผดุงประชา
จึงมีโอกาสได้นำวัยรุ่นหลายคนให้รับเชื่อในพระเยซู ได้แก่
- ภานุ ปัจจุบันเป็นมิสชันนารีที่มาเก๊า
- ภานุ ปัจจุบันสถาปนิก
- ยงยุทธ เคยสอนที่โรงเรียนพระคริสตธรรมกรุงเทพ
ปัจจุบันทำงานกับคริสตจักรไทย-ลาวที่ลาสเวกัส
- จรัล เคยทำงาน FEBC ปัจจุบันอยู่ที่อเมริกา
- สินธ์ เป็นครูที่สุไหงโกลก และเป็นผู้นำคริสตจักรที่นั่น
- วสันต์ เคยเป็นศิษยาภิบาลคริสตจักรสงขลา
ปัจจุบันอยู่ที่พังงา เป็นผู้ประสานงานโครงการช่วยเหลือผู้ประสพภัยสึนามิ
- ชัยโรจน์ สอนภาษาอังกฤษในยะลา
- วรสิทธิ์ ปัจจุบันเป็นศิษยาภิบาลคริสตจักรพระโขนง
และกรรมการหน่วยงานคริสเตียนหลายแห่ง

และคนอื่นๆอีกหลายสิบคน แม้บางคนจะหลงหายไปจากความเชื่อ
แต่ส่วนใหญ่มีพื้นฐานความเชื่อที่เข้มแข็งและจริงจังในการ
ติดตามพระเจ้า

ครั้งหนึ่งมีเหตุการณ์ ผู้ก่อการร้ายมุสลิมจับตัวมิสชันนารีหญิง 2 คน
ที่ทำงานที่ รพ.คริสเตียนสายบุรี ไปเรียกค่าไถ่ สร้างความกังวลใจ
ให้กับบรรดาพี่น้องคริสเตียนและมิสชันนารี มีการประชุมอธิษฐาน
เพื่อขอพระเจ้าช่วยแก้ไขสถานการณ์
อ.บุตร ได้รับนิมิตจากพระเจ้าว่า มิสชันนารีทั้งสองนั้น ถูกฆ่าตายแล้ว
เมื่อเล่าให้กับเพื่อนมิสชันนารีบางคนฟัง ก็ถูกตำหนิว่าขาดความเชื่อ
แต่ก็มีเพื่อนมิสชันนารีบางคน ได้รับนิมิตอย่างเดียวกัน
ไม่กี่วันหลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ก็พบศพของมิสชันนารีทั้งสอง
ในสภาพถูกมัดไว้เหมือนที่ อ.บุตร ได้เห็นในนิมิต
(ผมเองได้ไปร่วมงานศพของมิสชันนารีทั้งสองด้วย
ขณะนั้นผมอายุประมาณ 7-8 ขวบ)

หลังจากนั้น อ. บุตร ได้ไปเปิดหอพักที่กรุงเทพ แถวหน้า ม.ราม
ทำให้ได้มีโอกาสประกาศเรื่องพระเยซูกับนักศึกษา
และนำหลายคนมาเชื่อในพระเยซู เช่น
- เชาวลิต ปัจจุบันเป็นศิษยาภิบาลคริสตจักรข่าวประเสริฐ จ.นนทบุรี
- ประสิทธิ์ ปัจจุบันเป็นทนายความและผู้นำคริสตจักรแห่งหนึ่งย่านรามคำแหง
- อวบ ปัจจุบันเป็น นักเทคนิคการแพทย์ อยู่ที่อัฟริกาใต้

ผลงานเล็กๆน้อยๆ ส่วนหนึ่งของ อ.บุตร ในสมัยสัก 30 ปีก่อน ก็คือ
- เพลง องค์พระเยซูคือผู้ใด
อ.บุตรเป็นผู้แปลเพลงนี้ โดยมี อ.ยงยุทธ ฟูเกียรติสุทธิ์
ช่วยในการขัดเกลาภาษาไทย

องค์พระเยซูคือผู้ใด องค์พระเยซูคือผู้ใด
องค์พระเยซูคือผู้ใด ใครจะบรรยาย
พระองค์คือพลับพลึงแห่งภูผา
ดังดาราส่องแสงเฉิดฉาย
ทรงพระชนม์เป็นอยู่ไม่รู้วาย
คือสหายของเราทุกคน

- เพลง เราจะเป็นขึ้นใหม่
เราจะเป็นขึ้นใหม่ เราจะเป็นขึ้นใหม่
เราจะเป็นขึ้นใหม่ ในวันพระคริสต์กลับมา
เราจะเป็นขึ้นใหม่ เราจะเป็นขึ้นใหม่
เราจะเป็นขึ้นใหม่กับพระองค์
สิทธิชนจากตะวันออก สิทธิชนจากตะวันตก
สิทธิชนมาจากภาคเหนือ สิทธิชนมาจากภาคใต้
เราจะเป็นขึ้นใหม่ เราจะเป็นขึ้นใหม่
เราจะเป็นขึ้นใหม่กับพระองค์

(และอื่นๆ ถ้านึกออกจะมาเพิ่มเติมอีก )

Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2550		32 comments
Last Update : 25 มีนาคม 2550 21:14:57 น.
Counter : 2142 Pageviews.
Share Tweet