ถ้าพระเจ้าไม่มีจริง คุณได้หรือเสียอะไร? แต่ถ้าพระเจ้ามีจริง คุณได้หรือเสียอะไร?

<<
มีนาคม 2550
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
13 มีนาคม 2550
 

An Inconvinient Truth

4 มีนาคม 2007
คริสตจักร ยะลา

ยอห์น 6:60-71
60เมื่อเหล่าสาวกของพระองค์หลายคนได้ฟังเช่นนั้นก็พูดว่า "ถ้อยคำเหล่านี้ยากนัก ใครจะฟังได้" 61แต่พระเยซูทรงตระหนักว่า เหล่าสาวกของพระองค์ซุบซิบกันถึงเรื่องนั้น จึงตรัสกับเขาว่า "เรื่องนี้ทำให้ท่านทั้งหลายลำบากใจหรือ 62ถ้าท่านจะได้เห็นบุตรมนุษย์เสด็จขึ้นไปยังที่ที่ท่านอยู่แต่ก่อนนั้น ท่านจะว่าอย่างไร 63จิตวิญญาณเป็นที่ให้มีชีวิต ส่วนเนื้อหนังไม่มีประโยชน์อันใด ถ้อยคำซึ่งเราได้กล่าวกับท่านทั้งหลายนั้น เป็นจิตวิญญาณและเป็นชีวิต 64แต่ในพวกท่านมีบางคนที่ไม่เชื่อ" เพราะพระเยซูทรงทราบแต่แรกว่าผู้ใดไม่เชื่อพระองค์ และเป็นผู้ใดที่จะอายัดพระองค์ไว้ 65และพระองค์ตรัสว่า "เหตุฉะนั้นเราจึงได้บอกท่านทั้งหลายว่า "ไม่มีผู้ใดจะมาถึงเราได้ นอกจากพระบิดาจะทรงโปรดผู้นั้น" 66ตั้งแต่นั้นมาสาวกของพระองค์หลายคนก็ท้อถอย ไม่ติดตามพระองค์ต่อไปอีก 67พระเยซูตรัสกับสิบสองคนนั้นว่า "ท่านทั้งหลายก็จะจากเราไปด้วยหรือ" 68ซีโมนเปโตรทูลตอบพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์จะจากไปหาผู้ใดเล่า พระองค์มีถ้อยคำซึ่งให้มีชีวิตนิรันดร์ 69และข้าพระองค์ทั้งหลายก็เชื่อ และมาทราบแล้วว่า พระองค์ทรงเป็นองค์วิสุทธิ์ของพระเจ้า" 70พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "เราเลือกพวกท่านสิบสองคนมิใช่หรือ และคนหนึ่งในพวกท่านเป็นมารร้าย" 71พระองค์ทรงหมายถึงยูดาสบุตรของซีโมน อิสคาริโอท เพราะว่าเขาเป็นผู้ที่จะอายัดพระองค์ไว้ คือคนหนึ่งในสาวกสิบสองคน


อธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงชำระข้าพระองค์ให้สะอาดและนำสิ่งที่ไม่ใช่ของพระองค์ออกไป ให้ทั้งสิ้นนี้เป็นพระดำรัสที่พระองค์ประสงค์จะตรัสกับคริสตจักรของพระองค์ ให้ความจริงจากพระวจนะของพระองค์ประจักษ์ในใจของเรา เพื่อเราจะติดตามพระองค์ไป เพราะพระวจนะของพระองค์เป็นถ้อยคำที่ให้มีชีวิต ขอให้เราได้รับถ้อยคำนั้นไว้เพื่อเราจะเป็นผู้ที่มีชีวิต ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงเร้าในใจของเราทุกคน ให้หิวกระหายพระวจนะของพระเจ้าเพื่อพระวจนะนั้นจะสร้างเราขึ้นใหม่ ให้เราจะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ในพระคริสต์ เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงพอพระทัยในวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมา


ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา มีภาพยนต์สารคดีเรื่องหนึ่งถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในหลายๆประเทศ รวมถึงประเทศไทย ทั้งนี้เพราะในปัจจุบันไม่บ่อยครั้งนักที่ภาพยนต์ในเชิงสารคดีจะถูกนำเสนอขึ้นสู่จอใหญ่ แต่จะเป็นได้เพียงรายการที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์ในช่วงเวลาที่ไม่ค่อยมีคนดู แต่สารคดีเรื่องนี้มีสาระสำคัญบางอย่าง จึงทำให้ถูกนำเสนอเป็นภาพยนต์จอใหญ่ฉายตามโรงภาพยนต์ทั่วไป ในที่สุดก็พบว่าในบางประเทศ ไม่มีผู้ให้ความสนใจสักเท่าไร สมดังชื่อของสารคดี แต่ในบางประเทศก็ได้รับความสนใจอย่างมาก จนกระทั่งการประกาศผลรางวัลออสการ์ที่ผ่านมาเมื่อ 2-3 สัปดาห์ก่อน ภาพยนต์เรื่องนี้ก็ได้รับมา 2 รางวัล ภาพยนต์ที่ผมกำลังกล่าวถึงก็คือ An inconvinient truth ในชื่อภาษาไทยว่า “โลกร้อน: ความจริงที่ไม่มีใครอยากฟัง”

สิ่งที่เราพบเห็นรอบๆตัวทุกวันนี้ ทุกสิ่งล้วนถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เรามีความรู้สึกสะดวกสบาย เช่นทำไมเราจึงมีเก้าอี้นั่ง ก็เพราะการนั่งพื้นไม่สะดวกสบาย โดยเฉพาะสำหรับคนสูงอายุ ทำไมเราจึงมีไมโครโฟน ก็เพราะผู้พูดจะได้ไม่ต้องตะโกนเพื่อให้คนข้างหลังได้ยิน ทำไมเราจึงมีแอร์ในรถยนต์ ก็เพื่อว่าเราจะได้ไม่ต้องร้อนจนเหงื่อไหลในขณะนั่งรถ ฯลฯ เราเห็นว่าความสะดวกสบายเป็นสิ่งที่ทุกคนแสวงหา และก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติสามัญที่เราจะไม่ต้องการลำบาก ถ้าเลือกได้

แม้ว่าปัญหาโลกร้อนกำลังเป็นปัญหาใหญ่ เป็นปัญหาระดับสากลที่ประเทศมหาอำนาจต้องจัดประชุมหารือเพื่อแก้ไข แต่วันนี้ผมคงจะไม่ได้นำเอาประเด็นของโลกร้อนมาเล่าให้ฟัง ผมเชื่อว่าเราทุกคนที่นี้รู้จักกับปัญหาที่น่ากลัวกว่านั้น นั่นคือ บึงไฟนรกที่จัดเตรียมไว้ สำหรับมนุษย์ทุกคนที่ยังไม่ได้รับเอาความรอดจากการพิพากษาโทษบาป ซึ่งนั่นร้อนกว่าเป็นไหนๆ

วันนี้ผมจะขอยืมชื่อเรื่องของภาพยนต์เรื่องดังกล่าวมาเป็นหัวข้อเทศนาในวันนี้ ก็เนื่องจากว่า เป็นเรื่องที่น่าคิดมากว่า ทำไมจึงตั้งชื่อเรื่องไว้อย่างนั้น
Inconvinient แปลว่า ไม่สะดวก
Truth แปลว่า ความจริง
หากจะแปลอย่างตรงตัว ชื่อเรื่องนี้ก็จะแปลว่า “ความจริงที่ไม่สะดวก” อย่างที่กล่าวไว้ว่า เป็นเรื่องปกติที่มนุษย์จะไม่ต้องการลำบาก ถ้าเลือกได้ ดังนั้นหากมีเรื่องใดๆก็ตามที่ส่งผลกระทบทำให้เรารู้สึกว่าความสะดวกสบายลดน้อยลง จึงทำให้เรารู้ว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ไม่น่าฟัง ไม่ต้องการรับรู้

เคยเกิดปัญหาลักษณะคล้ายๆกันนี้ในสมัยของพระเยซูคริสต์ด้วย ผมไม่ได้หมายความถึงปัญหาโลกร้อน แต่หมายถึง การที่ผู้คนรู้สึกว่าความจริงที่พระเยซูกำลังตรัสนั้น ทำให้ชีวิตไม่สะดวกเอาเสียเลย จึงไม่อยากรับฟังอีกต่อไป ดังปรากฏในพระธรรมยอห์น บทที่ 6 ข้อ 60 ถึง 71 ที่เราได้มีโอกาสอ่านไปเมื่อสักครู่

เรื่องราวที่ปรากฏในยอห์นบทที่ 6 นั้น เป็นดังนี้ ในเวลานั้นมีประชาชนจำนวนหลายพันคนติดตามพระเยซู เนื่องจากได้เห็นพระเยซูทำการอัศจรรย์ รักษาคนป่วยให้หาย วันนั้นพระเยซูได้ทรงสำแดงการอัศจรรย์ต่อหน้าพวกเขาอีกครั้งโดยการที่ทรงเลี้ยงคนกว่า 5 พันคนด้วยขนมปัง 5 ก้อนกับปลา 2 ตัว ประชาชนจึงยิ่งยกย่องพระเยซู จนถึงขั้นจะมาจับพระองค์ไปตั้งเป็นกษัตริย์ แต่พระเยซูทรงเสด็จหนีไปจากพวกเขา ประชาชนก็ยังไม่ย่อท้อ ยังติดตามไปจนพบกับพระเยซูอีก พระเยซูจึงทรงตรัสกับเขาว่า

26พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายตามหาเรามิใช่เพราะได้เห็นหมายสำคัญ แต่เพราะได้กินขนมปังอิ่ม 27อย่าขวนขวายหาอาหารที่เสื่อมสิ้นไป แต่จงหาอาหารที่ดำรงอยู่คืออาหารแห่งชีวิตนิรันดร์ ซึ่งบุตรมนุษย์จะให้แก่ท่าน เพราะพระเจ้าคือพระบิดาได้ทรงประทับตรามอบอำนาจแก่พระบุตรแล้ว"

คำถามที่น่าสนใจคือ ประชาชนเหล่านั้นเห็นพระเยซูทรงกระทำอะไร? ผมคิดว่าเราตอบได้ไม่ยาก แม้เราจะไม่อยู่ในเหตุการณ์ในวันนั้น แน่นอนว่าประชาชนเห็นการอัศจรรย์ที่พระเยซูทรงกระทำ แต่เขามองเห็นเพียงผิวเผินเท่านั้น คือเห็นเพียงว่าพระเยซูองค์นี้จะสามารถช่วยให้เขาไม่อดอยากอาหารอีก แต่ไม่ได้มองเห็นถึงความจริงที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น คือพระเยซูคริสต์เป็นอาหารแห่งชีวิตนิรันดร์

สำหรับประชาชนในวันนั้นอาจต้องได้รับความเห็นใจ เพราะเขายังไม่รู้ว่าพระเยซูเป็นใคร เขาเห็นพระองค์เป็นเพียงชายหนุ่มลูกช่างไม้คนหนึ่ง ที่สั่งสอนได้น่าสนใจ สามารถทำการอัศจรรย์ได้ เหมือนอย่างพวกผู้เผยพระวจนะที่เคยได้ยินเรื่องราวจากธรรมศาลา ดังนั้นการที่พวกเขาเหล่านั้นจะติดตามพระองค์ไปเพราะเห็นแก่ความสะดวกสบายในเรื่องปากท้อง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกนัก และก็ไม่แปลกเช่นกันถ้าเขาจะทิ้งพระองค์ไป เมื่อเขาไม่ได้ความสะดวกสบายอย่างที่ต้องการ

เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึง ข้อที่ 60 ปัญหานี้ก็เริ่มเกิดกับเหล่าสาวกที่ติดตามพระเยซู สาวกเริ่มรู้สึกว่าพระเยซูกำลังพูดถึงสิ่งที่เข้าใจได้ยาก หรือลำบากใจที่จะยอมรับ ทำให้สาวกที่ติดตามพระองค์หลายคนเลิกติดตามพระองค์ ยังคงเหลือเพียงสาวกสิบสองคนของพระองค์

ส่วนพวกเราในวันนี้ อยู่ในสถานะที่ต่างกับคนเหล่านั้น เราได้รับรู้เรื่องราวจนถึงตอนจบแล้ว เห็นแล้วว่าพระเอกของเรื่องนี้เป็นพระเจ้าแท้ ผู้ทรงฟื้นจากความตาย ผู้ซึ่งกระทำให้แผนการไถ่บาปสำเร็จ ผู้ซึ่งทำให้ชีวิตของผู้เชื่อเปลี่ยนแปลงไป เห็นแล้วว่าพระองค์เป็นผู้ที่มีลักษณะตรงตามคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์เดิมอย่างชนิดที่ไม่สามารถจะผิดตัวไปได้

ถ้าหากเราเลิกติดตามพระองค์ไปเพราะเห็นว่า สิ่งที่พระองค์สั่งสอนไม่ใช่เรื่องของความสะดวกสบาย ก็เป็นเรื่องน่าเศร้าใจจริงๆ

การเลิกติดตามพระเยซู ที่ผมกล่าวถึง ไม่ได้หมายความตื้นๆเพียงแค่การที่คนๆหนึ่งไม่มาโบสถ์แล้ว หรือการที่คนๆหนึ่งหันกลับไปติดตามศาสนาเดิม แต่การเลิกติดตามพระเยซูสามารถหมายถึง “คนที่ตัวมาโบสถ์ แต่ใจไม่ยอมรับพระวจนะของพระเจ้า ไม่ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า” ด้วย ซึ่งนั่นก็คือการเห็นพระวจนะของพระเจ้าเป็น An Inconvinient Truth หรือความจริงที่ไม่อยากฟัง ไม่อยากทำตาม

เรากำลังเป็นคนที่เลิกติดตามพระเยซูแบบนี้หรือไม่ ลองมาพิจารณาด้วยกัน หากพบว่าเรามีแนวโน้มกำลังจะเป็นเช่นนั้น เราจะได้กลับใจใหม่ หันกลับมาหาพระองค์ เพื่อจะได้รับการยกโทษ และเริ่มต้นใหม่อีกครั้งในการติดตามพระองค์ไป

พระเยซูสอนอะไร ถึงทำให้สาวกเหล่านั้นเลิกติดตามพระองค์ หากเราดูในยอห์นบทที่ 6 ข้อที่ 25 ถึง 59 เราจะเห็นว่าพระองค์กำลังสอนเรื่องของอาหารแห่งชีวิต ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องการ เพราะอาหารเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต พระองค์เริ่มต้นด้วยการบอกว่า พระองค์เองคืออาหารที่ลงมาจากสวรรค์ ผู้ใดที่มาหาพระองค์จะไม่หิว และไม่กระหายอีก ความสงสัยก็เริ่มขึ้น มีการตั้งคำถามว่าคนนี้มาจากสวรรค์จริงหรือ ครอบครัวของเขาเราก็รู้จัก

และยิ่งกว่านั้น เมื่อพระเยซูสอนลึกลงไปถึงความหมายของอาหารแห่งชีวิต ซึ่งในที่สุดพระองค์ไปถึงคำที่ว่า “ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา ก็มีชีวิตนิรันดร์” และ “จิตวิญญาณเป็นที่ให้มีชีวิต และเนื้อหนังไม่มีประโยชน์อันใด” คนเหล่านั้นหลายคนที่ติดตามพระองค์ก็ท้อถอย และไม่ติดตามพระองค์อีกต่อไป

สำหรับคนเหล่านั้น อาจมีสองเหตุผล ที่ทำให้เขาตัดสินใจอย่างนั้น

ประการแรก เขาอาจรับไม่ได้กับการกินเนื้อคน และดื่มเลือดคน ซึ่งผมคิดว่าเราทั้งหลายในปัจจุบันก็คงรับไม่ไหวเช่นกันถ้าต้องทำอย่างนั้นจริงๆ แต่เดี๋ยวนี้เรารู้แล้วว่าพระเยซูไม่ได้หมายความถึงการที่เราจะต้องกินเนื้อมนุษย์และดื่มเลือดมนุษย์ แต่หมายถึงการที่เราจะต้องเข้าส่วนร่วมกับพระองค์ การที่เราจะต้องมีพระองค์อยู่ภายในชีวิตของเรา ดังที่พระองค์ได้อธิบายไว้ในขณะที่ทรงตั้งพิธีมหาสนิท

แม้จะดูว่าเราสามารถผ่านเหตุผลข้อแรกนี้ไปได้อย่างง่ายดาย เพราะเรารู้แล้วว่าเราไม่ต้องกินเนื้อมนุษย์จริงๆ แต่การที่เราไม่ได้เข้าส่วนร่วมกับพระเยซูคริสต์อย่างแท้จริง ก็เป็นท่าทีของการเลิกติดตามพระเยซูเช่นกัน อะไรคือ “การเข้าส่วนร่วมกับพระเยซู” ที่เราต้องกระทำ ?

ผมอยากให้เราลองคิดดูว่า การเข้าส่วนร่วมกับพระเยซูของตัวเราเองนั้น เริ่มต้นขึ้นเมื่อไร เริ่มต้นหรือยัง ทุกวันนี้การเข้าส่วนนั้น ยังดำเนินอยู่หรือเปล่า

การเข้าส่วนในพระเยซูนั้น ควรจะเริ่มทันทีในวันที่เราได้ตัดสินใจติดตามพระองค์ โดยการอธิษฐานรับเชื่อ ต้อนรับพระเยซูคริสต์ไว้ในจิตใจ เพราะ ณ เวลานั้น สิ่งที่ควรเกิดขึ้นคือการที่เราบอกว่าเรามอบชีวิตของเราให้กับพระองค์ และรับพระองค์เข้ามามีชีวิตอยู่ในเรา แต่พิธีบัพติสมาซึ่งอาจเกิดขึ้นภายหลังจากนั้น เป็นการสื่อถึงความหมายอีกครั้งว่า ชีวิตเก่าของเราได้ตายไปแล้ว และต่อไปนี้พระเจ้าได้ประทานชีวิตใหม่ให้โดยพระชนม์ชีพของพระเยซูคริสต์ ผมค่อนข้างแน่ใจว่าในที่นี่ส่วนใหญ่ได้ผ่านประสพการณ์นี้แล้ว ได้เริ่มต้นในการเข้าส่วนกับพระเยซูแล้ว

แต่การเข้าส่วนนั้นจะต้องดำเนินต่อไป ไม่ใช่บอกว่า ผมได้เข้าส่วนไปแล้วเมื่อ 2 ปีก่อน แต่ถ้าวันนี้การเข้าส่วนนั้นไม่ได้ดำเนินต่อไป ก็มีค่าเท่ากับการเลิกติดตามพระเยซูนั่นเอง

การดำเนินไปของการเข้าส่วนในพระเยซูก็คือ การที่พระวจนะของพระเจ้าบังเกิดผลจริงจังในชีวิต พิจารณาง่ายๆว่า ถ้าพระวจนะบอกว่า
- อย่ากราบไหว้รูปเคารพ ข้อนี้ปรากฏเป็นจริงในชีวิตเราหรือเปล่า
- จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ข้อนี้ปรากฏเป็นจริงในชีวิตเราหรือเปล่า
- จงบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์ ข้อนี้ปรากฏเป็นจริงในชีวิตเราหรือเปล่า
- จงให้เกียรติแก่บิดา มารดา ข้อนี้ปรากฏเป็นจริงในชีวิตเราหรือเปล่า
- อย่ายั่วบุตรของตน ข้อนี้ปรากฏเป็นจริงในชีวิตเราหรือเปล่า
- อย่าให้คำหยาบคายออกจากปากของเจ้า ข้อนี้ปรากฏเป็นจริงในชีวิตเราหรือเปล่า
- จงอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ ข้อนี้ปรากฏเป็นจริงในชีวิตเราหรือเปล่า
- อย่าพูดลามก อย่าล่วงประเวณี ข้อนี้ปรากฏเป็นจริงในชีวิตเราหรือเปล่า
- อย่าเป็นเหมือนคนหน้าซื่อใจคด ข้อนี้ปรากฏเป็นจริงในชีวิตเราหรือเปล่า
- จงวางใจในพระเจ้า ข้อนี้ปรากฏเป็นจริงในชีวิตเราหรือเปล่า
- จงรักศัตรูของท่าน ข้อนี้ปรากฏเป็นจริงในชีวิตเราหรือเปล่า
ยังมีอีกหลายข้อที่เราสามารถใช้สำรวจดูว่า การเข้าส่วนในพระเยซูยังดำเนินอยู่หรือเปล่า หรือเราได้เลิกติดตามพระองค์ไปแล้ว

ประการที่สอง พระเยซูไม่มีท่าทีที่จะสนใจการขึ้นเป็นกษัตริย์ของชนชาติยิวเลย พระองค์เอาแต่พูดถึงเรื่องชีวิตนิรันดร์ เรื่องของจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นอะไรที่จับต้องไม่ได้ พวกที่ติดตามพระเยซูหลายคนติดตามด้วยตั้งความหวังไว้ว่าจะมีฐานะสูงเมื่อพระเยซูขึ้นเป็นกษัตริย์ตามคำพยากรณ์ ดังจะเห็นว่าแม้ในกลุ่มสาวกสิบสองคนนั้น ก็ยังมีการล็อบบี้จากแม่ของสาวก 2 คน ที่มากระซิบพระเยซูเพื่อขอให้ลูกของตัวเองมีตำแหน่งสูงกว่าคนอื่นๆ ซึ่งเมื่อคนเหล่านั้นเห็นว่าพระเยซูไม่มีทีท่าจะไปสร้างความยิ่งใหญ่ในทางการเมือง ก็ไม่รู้จะติดตามพระองค์ต่อไปทำไม

บางที เราอาจกำลังรู้สึกเซ็งที่ไม่เห็นพระเยซูยกฐานะเรา เราอาจแอบบ่นว่า “ไหนบอกว่าให้เราเป็นบุตรของพระเจ้าไง แต่ไหง ใครๆก็มองว่าเราไส้แห้ง” หรือ “พระเยซูสอนอะไรก็ไม่รู้ ไม่เห็นชื่นใจเลย ดูหลวงพ่อคูณสิ ไม่ต้องสอนอะไรมาก พูดมาคำเดียวสบายใจ ‘กูให้มึงรวย’ พูดมาแค่เนี่ย พอใจแล้ว”

นี่เป็นสิ่งที่เรียกได้ว่า “การเลิกติดตามพระเยซู” หรือเปล่า?
- ถ้าพระเยซูบอกเราว่า “จงตามเรามาเถิด และเราจะตั้งท่านให้เป็นผู้หาคนดั่งหาปลา”
เราจะตอบพระองค์ว่าอย่างไร “โอ้ ดีจังเลยครับ แล้วผมจะส่งลูกน้อง
ไปช่วยงานพระองค์นะครับ พอดีผมไม่ว่าง”

เรากำลังหวงตัวเราเองไว้จากพระเยซูหรือเปล่า
การหวงตัวเองไว้จากพระเยซูก็คือการเลิกติดตามพระองค์

- ถ้าพระเจ้าบอกเราว่า “จงพาบุตรของเจ้าคืออิสอัค
บุตรคนเดียวของเจ้าผู้ที่เจ้ารัก ไปยังแคว้นโมริยาห์
และถวายเขาที่นั่นเป็นเครื่องเผาบูชา บนภูเขาลูกหนึ่งซึ่งเราจะบอกแก่เจ้า”

เราจะตอบพระองค์ว่าอย่างไร “โอ้ ขอบคุณพระเจ้า บุตรของข้าพระองค์ไม่ได้ชื่ออิสอัค”
เรากำลังหวงครอบครัวของเราไว้จากพระเจ้าหรือเปล่า
การหวงครอบครัวของเราไว้จากพระเจ้า ก็คือการเลิกติดตามพระองค์

- ถ้าพระเยซูบอกเราว่า “จงวางเครื่องบูชาไว้ที่หน้าแท่นบูชา กลับไปคืนดีกับพี่น้องผู้นั้นเสียก่อน แล้วจึงค่อยมาถวายเครื่องบูชาของท่าน”
เราจะตอบพระองค์ว่าอย่างไร “โอ้ พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่ได้โกรธเขาเลย ข้าพระองค์รักเขามาก ยังอธิษฐานให้เขาได้จากโลกนี้ไปอยู่กับพระองค์บนแผ่นดินสวรรค์เร็วๆ อีกด้วย”
เรากำลังหวงเกียรติและศักดิ์ศรีของเราไว้จากพระเยซูหรือเปล่า
การหวงเกียรติและศักดิ์ศรีของเราไว้จากพระเจ้า ก็คือการเลิกติดตามพระเยซู

พระเจ้าทรงตรัสความจริงของพระองค์แล้ว แต่ความจริงของพระองค์นั้น จะเป็น “An Inconvinient Truth ความจริงที่เราไม่อยากฟัง” หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองจะมีท่าทีอย่างไรกับการคาดหวังต่อความจริงของพระองค์

ถ้าเรายึดความปรารถนาของเราไว้มั่น ความจริงของพระเจ้าก็จะเป็นความจริงที่เราไม่อยากฟัง

ถ้าเราติดตามพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างเหนียวแน่น ความจริงของพระเจ้าก็จะเป็นพรอันยิ่งใหญ่สำหรับชีวิตของเรา

ขอให้เราได้อ่านด้วยกันใน 1 ทิโมธี บทที่ 6

1 จงให้คนทั้งหลายที่อยู่ใต้แอกแห่งความเป็นทาส ถือว่านายของตนเป็นผู้สมควรแก่การได้รับเกียรติยศทุกสถาน เพื่อว่าพระนามของพระเจ้าและคำสอนจะมิได้ถูกเหยียดหยาม
2 ฝ่ายคนเหล่านั้น ผู้มีนายเป็นผู้มีความเชื่อก็ต้องไม่ขาดความเคารพนาย เพราะเหตุที่ได้มาเป็นพี่น้องกันแล้ว แต่ยิ่งกว่านั้นเขาต้องรับใช้นายให้ดีขึ้น เพราะเหตุว่า นายผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากการรับใช้ของเขานั้น เป็นผู้ที่มีความเชื่อและเป็นที่รัก จงสั่งสอนและสนับสนุนให้กระทำตามหน้าที่เหล่านี้
3 ถ้าผู้ใดสอนผิดไปจากนี้ และไม่ยอมเห็นด้วยกับพระวจนะ อันมีหลักของพระเยซูคริสตเจ้าของเรา และคำสอนที่สมกับทางของพระเจ้า
4 ผู้นั้นก็เป็นคนทะนงตัวและไม่รู้อะไร เขาชอบทุ่มเถียงและโต้แย้งในเรื่องคำ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดการอิจฉากัน การทะเลาะวิวาทกัน การกล่าวร้ายกัน การไม่ไว้วางใจกัน
5 และการด่าทอกันระหว่างผู้ที่มีใจทรามและไร้ความสัตย์จริง ที่คิดว่าทางของพระเจ้านั้นเป็นทางได้ประโยชน์
6 จริงอยู่ เราได้รับประโยชน์มากมายจากทางของพระเจ้า พร้อมทั้งความสุขใจ
7 เพราะว่าเราไม่ได้เอาอะไรเข้ามาในโลกฉันใด เราก็เอาอะไรออกไปจากโลกไม่ได้ฉันนั้น
8 แต่ถ้าเรามีอาหารและเสื้อผ้า ก็ให้เราพอใจด้วยของเหล่านั้นเถิด
9 ส่วนคนเหล่านั้น ที่อยากร่ำรวยก็ตกอยู่ในข่ายของความเย้ายวน และติดบ่วงแร้วและในความปรารถนานานาที่ไร้ความคิดและเป็นภัยแก่ตัว ซึ่งทำให้คนเราต้องถึงความพินาศเสื่อมสูญไป
10 ด้วยว่าการรักเงินทองนั้นเป็นมูลรากแห่งความชั่วทั้งมวล และเพราะความโลภนี่แหละ จึงทำให้บางคนห่างไกลจากความเชื่อ และตรอมตรมด้วยความทุกข์
11 แต่ท่านผู้เป็นคนของพระเจ้า จงหลีกหนีเสียจากสิ่งเหล่านี้ จงมุ่งมั่นในความชอบธรรม ในทางของพระเจ้า ความเชื่อ ความรัก ความอดทน และความอ่อนสุภาพ
12 จงต่อสู้อย่างเต็มกำลังความเชื่อ จงยึดชีวิตนิรันดร์ไว้ซึ่งพระเจ้าทรงเรียกให้ท่านรับ ในเมื่อท่านได้รับเชื่ออย่างดีต่อหน้าพยานหลายคน
13 ข้าพเจ้ากำชับท่านต่อพระพักตร์พระเจ้า ผู้ทรงประทานชีวิตแก่สิ่งทั้งปวง และต่อพระพักตร์พระเยซูคริสต์ ผู้ได้ทรงเป็นพยานอันดีต่อหน้าปอนทัส ปีลาต
14 ให้ท่านรักษาคำบัญชานี้ไว้อย่าให้ด่างพร้อย และอย่าให้มีที่ติได้ จนถึงเวลาที่พระเยซูคริสตเจ้าของเราจะเสด็จมา
15 ซึ่งพระเจ้าผู้เสวยสุขและทรงฤทธิ์สูงสุดแต่พระองค์เดียว พระมหากษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง และพระผู้เป็นเจ้าเหนือเทพเจ้าทั้งปวง จะทรงสำแดงให้ปรากฏในเวลาอันควร
16 พระองค์ผู้เดียวทรงอมตะ และทรงสถิตในความสว่างที่ซึ่งไม่มีคนใดจะเข้าไปถึง ผู้ซึ่งมนุษย์ไม่เคยเห็น และจะเห็นไม่ได้ พระเกียรติและฤทธานุภาพอันถาวรจงมีแด่พระองค์นั้น อาเมน
17 สำหรับคนเหล่านั้นที่มั่งมีฝ่ายโลก จงกำชับเขาอย่าให้มีมานะทิฐิ หรือให้เขามุ่งหวังในทรัพย์ที่ไม่เที่ยง แต่จงหวังในพระเจ้าผู้ทรงประทานทุกสิ่ง เพื่อความสะดวกสบายของเรา
18 จงกำชับให้เขากระทำดี ให้กระทำดีมากๆให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และไม่เห็นแก่ตัว
19 อย่างนี้ จึงจะเป็นการวางรากฐานอันดีไว้สำหรับตนเองในภายหน้า เพื่อว่าเขาจะได้รับเอาชีวิต ซึ่งเป็นชีวิตอันแท้จริง
20 ทิโมธีเอ๋ย สิ่งที่เราบอกท่านแล้วนั้น จงรักษาให้ดี จงละเว้นการพูดที่ไร้สาระ และการขัดแย้งในความเห็นซึ่งสำคัญผิดว่าเป็นความรู้
21 บางคนสำคัญผิดอย่างนั้น จึงได้พลาดไปจากจุดหมายของความเชื่อ ขอพระคุณจงดำรงอยู่กับท่านเถิด




Create Date : 13 มีนาคม 2550
Last Update : 13 มีนาคม 2550 13:42:53 น. 0 comments
Counter : 1079 Pageviews.  
 
Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

ksk
 
Location :
ยะลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ผมเป็นคริสเตียนครับ
เป็นชาวยะลา เกิดปัตตานี ลูกจีนไหหลำ
จบวิศวกรรมไฟฟ้า(ระบบควบคุม) จากพระจอมเกล้าพระนครเหนือ EL รุ่น 24 รหัส 31 (เคยเรียน ป.วส. IE ห้องอิเล็ก ที่ วทอ. 2 ปี รหัส 29 ห้องเดียวกับ ศิริ แว่น สมชาย สุกิตติ จั๊บ ไพบูลย์ จ่าบุญเลิศ ก่อนย้อนไปเริ่มต้นป.ตรี ปี 1 ใหม่กับรุ่นน้องในคณะวิศวฯ พูดง่ายๆว่า ซิ่ว 2 ปี)
ป.โท วิศวกรรมการบิน(Avionique) จาก SUPAERO
Toulouse FRANCE ปี 1994
เคยรับราชการเป็นอาจารย์ในคณะวิศวฯที่พระนครเหนือ 8 ปี ผลงานก็ไม่มีอะไรมาก KMITNB Robot Camp เป็นสิ่งที่ยังพอให้ภาคภูมิใจเมื่อมองกลับไปที่เทคโนฯ ด้วยความคิดถึง 14 ปี อันแสนหวานกับชีวิตในพระนครเหนือ(มิย.ปี 29 - มิย.ปี 43)
ตอนนี้ลาออกจากราชการ มาหากินด้วยลำแข้ง(ไม่ใช่เป็นนักมวยไทยนะ)
ที่จังหวัดยะลาบ้านเกิด ตั้งแต่มิถุนายน ปี Y2K
กำลังจะรุ่งเรืองแล้วเชียว 4 มกราคม 2547
สถานการณ์ไฟใต้ก็เริ่มขึ้น
สิ่งที่เคยคิดว่าสักวันหนึ่งจะต้องเกิด มันก็เกิด
และยาวมาจนถึงตอนนี้
ผมยังนึกไม่ออกมันจะจบลงแบบไหน free counter

free counter

New Comments
[Add ksk's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com