ถ้าพระเจ้าไม่มีจริง คุณได้หรือเสียอะไร? แต่ถ้าพระเจ้ามีจริง คุณได้หรือเสียอะไร?

<<
มีนาคม 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
10 มีนาคม 2551
 

ความสว่างแห่งชีวิต

9 มีนาคม 2008
คริสตจักร ยะลา

ยอห์น 8:12
12อีกครั้งหนึ่งพระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า "เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต"


อธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่ทรงนำเราออกจากความมืดมิดแห่งโลกนี้ เข้ามาสู่ความสว่างของพระองค์ ขอให้เราได้เดินติดตามพระเยซูคริสต์เพื่อเราจะไม่เดินในความมืดอีก แต่เราจะมีความสว่างแห่งชีวิต และเราจะเป็นแสงสว่างที่ผู้คนทั้งหลายจะได้เห็นพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเรา


ทุกวันนี้หลายคนกำลังคิดเหมือนๆกันว่า สังคมทั่วโลกกำลังเสื่อมทรามลง มีข่าวเรื่องความผิดบาปแปลกๆเกิดขึ้นมากมาย แม้แต่การสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ยังมีการหาหนทางคดโกงด้วยวิธีแปลกๆใหม่ๆ ดังที่ปรากฏเป็นข่าวใหญ่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่หลายคนก็ไม่คิดอย่างนั้น เขาบอกว่า ความชั่วร้ายนั้นมีมากมายมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่สมัยนี้เทคโนโลยีในการสื่อสารดีขึ้นทำให้เราได้ยินข่าวจากทุกที่ทุกแห่ง ก็เลยดูเหมือนว่าความชั่วร้ายมีมากขึ้น ก็คงไม่ผิดนัก แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความหมายเดิมนั่นคือมนุษย์กำลังอาศัยอยู่ท่ามกลางความผิดบาป เหมือนการตกอยู่ในความมืดมิดของโลกนี้ หลายคนมองไปข้างหน้าไม่เห็นความหวังใดๆ บางคนถึงกับยอมรับว่า ชีวิตของเขานั้นไม่ว่าจะตัดสินด้วยหลักศาสนาใดๆ เขาก็เป็นคนที่ต้องตกนรกแน่ๆ จะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่พ้น

อย่างไรก็ตาม เราทั้งหลายที่รู้จักข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว ก็ยังคงต้องดำเนินชีวิตในโลกนี้ท่ามกลางสังคมที่มืดมิดเช่นกัน แต่เรามีความสว่างที่พระเยซูประทานให้แล้ว เราจึงแตกต่าง เราจึงเป็นผู้มีความหวัง แต่หลายๆครั้งเราก็พบว่า ทำไมเราจึงไม่ได้แตกต่าง หรือไม่ได้มีความหวังมากไปกว่าคนที่อยู่รอบข้าง หรือเรากำลังขาด “ความสว่างแห่งชีวิต”

ยอห์น 1:1-14
1ในปฐมกาลพระวาทะดำรงอยู่ และพระวาทะทรงสถิตอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า 2ในปฐมกาลพระองค์ทรงดำรงอยู่กับพระเจ้า 3พระเจ้าทรงสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นมาโดยพระวาทะ ในบรรดาสิ่งที่เป็นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ได้เป็นมานอกเหนือพระวาทะ 4พระองค์ทรงเป็นแหล่งชีวิต และชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์ 5ความสว่างส่องเข้ามาในความมืด และความมืดหาได้ชนะความสว่างไม่ 6มีชายคนหนึ่งที่พระเจ้าทรงใช้มาชื่อยอห์น 7ท่านมาเพื่อเป็นสักขีพยาน เพื่อเป็นพยานให้แก่ความสว่างนั้น เพื่อคนทั้งปวงจะได้มีความเชื่อเพราะท่าน 8ท่านไม่ใช่ความสว่างนั้น แต่ท่านมาเพื่อเป็นพยานให้แก่ความสว่างนั้น 9ความสว่างแท้ที่ทำให้มนุษย์ทุกคนเห็นความจริงนั้นได้ แม้ขณะนั้นกำลังเข้ามาในโลก 10พระองค์ทรงอยู่ในโลก ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างขึ้นมาทางพระองค์ แต่โลกหาได้รู้จักพระองค์ไม่ 11พระองค์ได้เสด็จมายังบ้านเมืองของพระองค์ และชาวบ้านชาวเมืองของพระองค์ไม่ได้ต้อนรับพระองค์ 12แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า 13ซึ่งในฐานะนั้นเป็นผู้ที่มิได้เกิดจากเลือดเนื้อ หรือกาม หรือความประสงค์ของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า 14พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง เราทั้งหลายได้เห็นพระสิริของพระองค์ คือ พระสิริอันสมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา


พระธรรมยอห์น บทที่ 1 ข้อ 4 ได้บอกเราว่า “พระองค์ทรงเป็นแหล่งชีวิต และชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์” คำว่าพระองค์ในที่นี้ก็คือพระวาทะ ซึ่งก็คือพระเยซูคริสต์ พระวจนะข้อนี้ก็สอดคล้องกับคำตรัสของพระเยซูคริสต์ที่ว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้ นอกจากจะมาทางเรา” และชีวิตนั้นมีอยู่ในพระเยซูเท่านั้น

1 ยอห์น 5:11-12
11และพยานหลักฐานนั้นก็คือว่า พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานชีวิตนิรันดร์ให้เราทั้งหลาย และชีวิตนี้มีอยู่ในพระบุตรของพระองค์ 12ผู้ที่มีพระบุตรก็มีชีวิต ผู้ที่ไม่มีพระบุตรก็ไม่มีชีวิต


ความหวังที่เราทั้งหลายมีก็คือ เราได้รับชีวิตที่พระเจ้าทรงประทานให้ สิ่งนี้เปรียบเหมือนกับการที่เด็กกำพร้าคนหนึ่ง มีผู้ตัดสินใจที่จะรับเขาไปอุปถัมป์เป็นลูก ก่อนหน้านี้เด็กคนนี้ก็มีชีวิต มีลมหายใจ แต่วันที่เขามีผู้รับเขาเป็นลูก เป็นวันที่เขามีชีวิตใหม่ มีสิทธิของการเป็นลูก มีผู้ที่จะรักและอุปการะดูแลชีวิต เหมือนกับแสงสว่างได้สาดส่องเข้ามาในชีวิต จากที่ไม่เคยเห็นว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร บัดนี้ความหวังใจได้เกิดขึ้นแล้ว

เมื่อย้ายเข้าสู่บ้านใหม่ เขาก็ตื่นตาตื่นใจไปกับสิ่งต่างๆในบ้าน สวนหน้าบ้าน บ่อปลาหลังบ้าน ห้องนอนใหม่ นามสกุลใหม่ ญาติพี่น้องใหม่ เพื่อนบ้านใหม่ ทุกอย่างใหม่ไปหมด แต่ผ่านไประยะหนึ่งความตื่นเต้นดีใจกับฐานะใหม่ก็ค่อยๆจางไป เด็กน้อยคนนั้นมานั่งรำพึงว่าปัญหาบางอย่างไม่ได้หายไปจากชีวิตของเขา เช่นการที่ยังต้องไปเรียนหนังสือ การที่ต้องทำการบ้าน การที่ต้องขึ้นรถเมล์ไปโรงเรียน การต้องช่วยทำงานบ้าน “เอ๊ะ... ไหนล่ะที่ว่าเราไม่เป็นลูกกำพร้าแล้วเราจะมีอนาคตที่ดีไง แล้วทำไมยังต้องไปโรงเรียน ทำไมยังต้องเรียนวิชาอะไรที่ยากๆ คำนวณไม่ออก ทำไมยังต้องทำการบ้าน ทำไมไม่มีรถเบนซ์ไปส่งที่โรงเรียน ทำไมยังต้องช่วยทำงานบ้าน” ทำให้เขาเริ่มท้อถอยและเบื่อหน่าย ความชื่นชมที่เคยมีก็หายไป

จริงๆแล้วหากเด็กน้อยคนนั้นเพียงแต่ไม่มองว่า การไปเรียนหนังสือ การที่ต้องเรียนวิชายากๆ หรือการทำการบ้าน การขึ้นรถเมล์ไปโรงเรียน การช่วยงานบ้าน เป็นสิ่งทีเรียกว่า “ปัญหา” เขาก็ควรจะดีใจกับการที่จะสามารถขอให้พ่อแม่ที่อุปถัมป์เขานั้นช่วยสอนการบ้านเขาได้ ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่มี เขาควรจะดีใจที่พ่อแม่ที่อุปถัมป์เขานั้นจะสามารถสนับสนุนเขาให้เรียนต่อมหาวิทยาลัยได้ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่มี เขาน่าจะดีใจว่าเมื่อเขาไปโรงเรียนนั้นเขามีค่ารถเมล์เพียงพอแน่ๆซึ่งก่อนหน้านั้นบางทีอาจต้องเดิน และเขาได้รับความไว้วางใจให้ช่วยเหลืองานบ้านซึ่งก่อนหน้านั้นไม่มีใครไว้ใจและเห็นคุณค่าของเขา เขาน่าจะดีใจที่สามารถเรียกพ่อและแม่ได้ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่มี

ทำนองเดียวกัน ชีวิตคริสเตียนของผู้เชื่อจำนวนหนึ่ง ในเบื้องแรกที่มารู้จักกับพระเจ้าก็มีความชื่นชมยินดี แต่ผ่านไประยะหนึ่งความชื่นชมยินดีอาจจะจางหายไป เนื่องจากยังมองเห็นเรื่องในชีวิตประจำวันบางสิ่งบางอย่างเป็นปัญหา ทั้งๆที่จริงๆแล้ว เขามีพระเจ้าเป็นพระบิดา ซึ่งสามารถเป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ เป็นผู้ที่ทรงช่วยได้ เป็นผู้ที่ทรงรักและหวงแหน เป็นผู้ที่เลี้ยงดูและปกป้องรักษา เราลืมสิ่งดีๆที่ยิ่งใหญ่นี้ไปหรือเปล่า

1 เปโตร 2:9-10
9แต่ท่านทั้งหลายเป็นชาติที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นประชาชาติบริสุทธิ์ เป็นชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะ เพื่อให้ท่านทั้งหลายประกาศพระบารมีของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกท่านทั้งหลายให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์ 10เมื่อก่อนท่านทั้งหลายไม่มีชาติ แต่บัดนี้ท่านเป็นชนชาติของพระเจ้าแล้ว เมื่อก่อนท่านทั้งหลายหาได้รับพระกรุณาไม่ แต่บัดนี้ท่านได้รับพระกรุณาแล้ว


พระคัมภีร์ข้อนี้ได้ยืนยันอีกครั้ง ถึงฐานะที่เราได้รับ เมื่อเราได้เข้ามาในร่มพระคุณของพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงไถ่เราทั้งหลายออกมาจากความมืด ให้เราเข้ามาอยู่ในความสว่าง ให้เราเป็นคนของความสว่าง เป็นชนชาติของพระองค์

เราคงเคยได้ยินคำว่า “โรบินฮู้ด” คำนี้เป็นชื่อของตัวละครตัวหนึ่ง ซึ่งคอยช่วยเหลือคนจนโดยการปล้นคนรวยที่เอารัดเอาเปรียบผู้คน แต่ในอีกความหมายหนึ่งคือ “คนหลบหนีเข้าเมือง” ที่ประเทศอเมริกา ออสเตรเลีย และอีกหลายประเทศ แต่ละปีมีการจับคนหลบหนีเข้าเมืองได้เป็นจำนวนพันๆคน หลายปีก่อนมีข่าวน่าเศร้าที่คนจีนกลุ่มใหญ่ พยายามหลบหนีเข้าอเมริกา โดยการหลบซ่อนอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์ แต่เกิดความผิดพลาดบางประการ ทำให้เสียชีวิตทั้งหมดหลายสิบคนเพราะขาดอากาศหายใจ ทำไมคนเหล่านั้นจึงพยายามหลบหนีเข้าประเทศอเมริกา เพราะเขาเหล่านั้นคาดหวังว่าสักวันหนึ่งจะสามารถเป็นพลเมืองของอเมริกาและจะได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ มีรัฐบาลที่เข้มแข็งสามารถคุ้มครองดูแลและให้สวัสดิการที่ดี มีเงินเดือนแม้ขณะตกงาน และอะไรๆอีกมากมาย ดีกว่าประเทศที่เขาเคยอยู่ ทำให้เขายอมเสี่ยงตาย ยอมจ่ายเงินมากมายให้กับแก๊งค์ผิดกฎหมาย เพื่อหวังจะได้เข้าไปในแผ่นดินแห่งความใฝ่ฝัน

ก่อนที่เราจะมาพบกับข่าวประเสริฐของพระเยซู เราเป็นเหมือนกับคนต่างชาติที่กำลังผิดหวังและไม่พอใจกับประเทศที่เคยอาศัยอยู่ อาจเพราะเกิดความไม่สงบ หรือถูกกดขี่ข่มเหง หรือไม่มีที่พำนักอันถาวร เป็นเหมือนคนเร่ร่อน สกปรกมอมแมม มีเห็บหมัดและพยาธิเกาะกิน แบกถุงสัมภาะเก่าๆ เดินทางไปอย่างไม่มีจุดหมาย ตกงาน ไร้ความหวัง จนกระทั่งวันหนึ่งมาพบว่า มีประเทศหนึ่งเปิดต้อนรับ เป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ ให้ที่พำนัก ให้สิทธิในการเป็นพลเมือง ให้อนาคตที่สว่างไสว โดยมีเงื่อนไขว่า ให้ละทิ้งเสื้อผ้าที่สกปรกมอมแมม และถุงสัมภาระเก่าๆ ที่แบกอยู่ ไปอาบน้ำชำระล้างทำความสะอาด กำจัดเห็บหมัดและพยาธิที่เกาะกินอยู่ รับเสื้อผ้าใหม่ และมีตำแหน่งหน้าที่การงาน หากเป็นเรา เมื่อมาถึงประตูเมืองนั้น เรากำลังคิดอะไรอยู่ “โอ้... เป็นไปไม่ได้ ใครจะเปิดรับคนไร้ค่าไร้ความสามารถ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีอะไรแจกฟรีแบบนี้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ ...” เราจะยืนบ่นอยู่อย่างนี้ที่หน้าประตูต่อไป หรือจะตัดสินใจทำตามเงื่อนไขนั้น

เอเฟซัส 5:8-15
8เพราะว่าเมื่อก่อนท่านเป็นความมืด แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างแล้วในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตอย่างลูกของความสว่าง 9(ด้วยว่าผลของความสว่างนั้น คือความดีทุกอย่างและความชอบธรรมทั้งมวลและความจริงทั้งสิ้น) 10ท่านจงพิสูจน์ดูว่า ทำประการใดจึงจะเป็นที่ชอบพระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้า 11และอย่าเข้าส่วนกับกิจการของความมืดอันไร้ผล แต่จงเผยกิจการนั้นให้ปรากฏดีกว่า 12เพราะว่าแม้แต่จะพูดถึงการเหล่านั้น ซึ่งพวกเขากระทำในที่ลับก็ยังเป็นที่น่าละอาย 13แต่เมื่อสิ่งสารพัดที่ได้แสดงเปิดเผยออกโดยความสว่าง สิ่งนั้นก็ปรากฏแจ้ง เพราะว่าทุกๆสิ่งที่ปรากฏแจ้ง ก็คือความสว่าง 14เหตุฉะนั้นจึงมีคำกล่าวว่า นี่แน่ะคนที่หลับอยู่ จงตื่นขึ้น และจงฟื้นขึ้นมาจากความตาย และพระคริสต์จะทรงส่องสว่างแก่ท่าน 15เหตุฉะนั้นท่านจงระมัดระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี อย่าให้เหมือนคนไร้ปัญญา แต่ให้เหมือนคนมีปัญญา


โคโลสี 3:4-10
4เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของเราทรงปรากฏ ขณะนั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในศักดิ์ศรีด้วย 5เหตุฉะนั้นจงประหารโลกียวิสัยในตัวท่านเสีย มีการล่วงประเวณี การโสโครก ราคะตัณหา ความปรารถนาชั่ว และความโลภ ซึ่งเป็นการนับถือรูปเคารพ 6เพราะสิ่งเหล่านี้ พระอาชญาของพระเจ้าก็จะลงมา 7ครั้งหนึ่งท่านเคยประพฤติสิ่งเหล่านี้ด้วย ครั้งเมื่อท่านยังดำรงชีวิตอยู่กับสิ่งเหล่านี้ 8แต่บัดนี้ สารพัดสิ่งเหล่านี้ท่านจงเปลื้องทิ้งเสีย คือความโกรธ ความขัดเคือง การคิดปองร้าย การพูดเสียดสี คำพูดหยาบโลน 9อย่าพูดมุสาต่อกัน เพราะว่าท่านได้ปลดวิสัยมนุษย์เก่า กับการปฏิบัติของมนุษย์นั้นเสียแล้ว 10และได้สวมวิสัยมนุษย์ใหม่ ที่กำลังทรงสร้างขึ้นใหม่ตามพระฉายของพระองค์ผู้ทรงสร้าง ให้รู้จักพระเจ้า


เมื่อเรารับเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงชำระเราให้สะอาด ทรงให้เรารับสิทธิในการเป็นพลเมืองของพระเจ้า กำจัดเห็บหมัดและพยาธิที่เกาะกินให้หมดไปอันได้แก่การล่วงประเวณี ราคะตัณหา ความปรารถนาชั่ว และความโลภ ทรงให้เราเปลื้องเสื้อผ้าที่สกปรกมอมแมมออก อันได้แก่ ความโกรธ ความขัดเคือง การคิดปองร้าย การพูดเสียดสี คำพูดหยาบโลน การมุสา และสวมเสื้อผ้าใหม่ คือสิ่งที่ทรงสร้างขึ้นใหม่ในชีวิตของเรา

แต่บางทีก็พบปัญหาว่า เห็บหมัดและพยาธิที่ควรจะถูกกำจัดออกไป ก็ยังมีการแอบเลี้ยงไว้ตามซอกรักแร้บ้าง ในรองเท้าบ้าง ทั้งๆที่เป็นสิ่งน่ารังเกียจ แต่ก็ยังไม่ยอมกำจัดให้หมดไปจากชีวิต และหลายๆครั้งเห็บหมัดและพยาธิที่แอบเลี้ยงไว้ไม่เพียงจะสร้างปัญหาให้กับตัวเอง แต่ยังลุกลามไปสร้างปัญหาให้กับคนอื่นๆที่อยู่แวดล้อมอีกด้วย ปัญหานี้จะแก้ไขได้ประการแรกเจ้าตัวต้องมีความต้องการที่จะกำจัดสิ่งเหล่านั้นออกไปอย่างจริงจัง ประการที่สองจะต้องให้ความร่วมมือกับขั้นตอนในการกำจัดเช่นอาจจะต้องยอมกินยาที่มีรสขม หรือต้องยอมที่จะออกห่างจากที่นอนเก่าที่มีเห็บหมัดและพยาธิแฝงอยู่

เสื้อผ้าเก่าที่สกปรกมอมแมม ซึ่งควรจะทิ้งไปก็ยังไม่ยอมทิ้ง ทั้งๆที่เสื้อผ้าใหม่ก็มีจัดไว้ให้อยู่แล้ว จะสวมเสื้อผ้าใหม่ทับไปบนเสื้อผ้าเก่าที่มอมแมมได้อย่างไร ยังไงก็ไม่สามารถทำให้ดูสะอาดขึ้นมาได้ จำเป็นต้องยอมทิ้งเสื้อผ้าเก่าเท่านั้น บางครั้งเหตุผลที่ไม่ยอมทิ้งเสื้อผ้าเก่าเพราะความคุ้นเคย ใส่แล้วสบาย ใส่แล้วไม่ต้องคอยระวังว่าจะสกปรก จะไปนอนตามกองขยะก็ได้ ตามป้ายรถเมล์ก็ได้ เพราะมันสกปรกอยู่แล้ว แต่จงยอมเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เสียเถิด หากกลัวว่าจะไม่คุ้นเคย ความคุ้นเคยกับเสื้อใหม่จะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องใส่เสื้อใหม่เป็นประจำเท่านั้น หรือกลัวว่าจะต้องระมัดระวังกลัวว่าเสื้อจะสกปรก การที่เราระวังไม่ให้เสื้อสกปรก ก็เท่ากับการระวังไม่ให้ตัวเราสกปรกด้วย และการไปนอนที่กองขยะหรือป้ายรถเมล์ก็ไม่ได้เป็นสิ่งดีอะไร

แล้วถุงสัมภาระเก่าๆล่ะ ทำไมถึงยังไม่ยอมทิ้งไป มันมีอะไรอยู่ข้างใน อ้อ... ความบาปชั่วที่เก็บมาจากข้างทางตลอดชีวิตที่ผ่านมานั่นเอง แล้วจะเอามาแบกไว้ทำไมกัน พระเจ้าทรงยกโทษความบาปนั้นแล้ว พระเจ้าทรงเอาถุงสัมภาระแห่งความบาปไปทิ้งที่ทะเลลึกแล้ว ไม่ต้องแบกไว้อีกต่อไป และในเส้นทางใหม่ที่จะต้องเดินต่อไปนั้น ไม่มีความบาปชั่วให้เก็บใส่ถุงสัมภาระไปแบกไปอีกแล้ว

เอเฟซัส 1:17-23
17ข้าพเจ้าอธิษฐานว่า ขอพระเจ้าแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา คือพระบิดาผู้ทรงพระสิริทรงโปรดประทานให้ท่านทั้งหลาย มีจิตใจอันประกอบด้วยสติปัญญา และความประจักษ์แจ้งในเรื่องความรู้ถึงพระองค์ 18และขอให้ตาใจของท่านสว่างขึ้น เพื่อท่านจะได้รู้ว่า ในการที่พระองค์ทรงเรียกท่านนั้น พระองค์ได้ประทานความหวังอะไรแก่ท่าน และรู้ว่า มรดกของพระองค์สำหรับธรรมิกชนมีสง่าราศีอันอุดมบริบูรณ์เพียงไร 19และรู้ว่า ฤทธานุภาพอันใหญ่ของพระองค์มีมากยิ่งเพียงไร สำหรับเราทั้งหลายที่เชื่อ ตามอำนาจของพระกำลัง และฤทธานุภาพอันใหญ่ยิ่งของพระองค์ 20ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำในพระคริสต์ เมื่อทรงชุบให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย และให้สถิตเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ในสวรรคสถาน 21สูงยิ่งเหนือบรรดาเทพผู้ครอง เหนือศักดิเทพ เหนืออิทธิเทพ เหนือเทพอาณาจักร และเหนือนามทั้งปวงที่เขาเอ่ยขึ้น มิใช่ในยุคนี้เท่านั้น แต่ในยุคที่จะมาถึงด้วย 22พระเจ้าได้ทรงปราบสิ่งสารพัดลงไว้ใต้พระบาทของพระคริสต์ และได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นประมุขเหนือสิ่งสารพัดแห่งคริสตจักร 23ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ คือซึ่งเต็มบริบูรณ์ด้วยพระองค์ ผู้ทรงอยู่เต็มทุกอย่างทุกแห่งหน


เรายังรู้สึกพึงพอใจกับสถานภาพเดิม ก่อนที่จะมาเป็นพลเมืองของพระเจ้าอยู่หรือ แต่ถ้าเราเห็นแล้วว่า การเป็นพลเมืองของพระเจ้ามีอนาคตและความหวังใจที่ดีกว่า แล้วทำไมเราจึงยังคงกอดสิ่งเก่าๆที่สกปรกมอมแมมเอาไว้อย่างแนบแน่น

ยอห์น 8:12
12อีกครั้งหนึ่งพระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า "เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต"



Create Date : 10 มีนาคม 2551
Last Update : 10 มีนาคม 2551 8:31:36 น. 2 comments
Counter : 979 Pageviews.  
 
 
 
 
อยากทราบว่า สถานการณ์สามจังหวัดเป็นไงบ้าง เห็นเป็นคนในพื้นที่ ผมแค่ติดตามข่าวบ้าง แต่ไม่ค่อยจะปักใจเชื่อสื่อเท่าไหร่
อยากฟังจากคนในพื้นที่มากกว่าครับ
 
 

โดย: hollowpig IP: 203.185.69.119 วันที่: 25 มีนาคม 2551 เวลา:7:09:13 น.  

 
 
 
สวัสดีครับ
สื่อสาธารณะ สามารถให้ข่าวได้ในระดับหนึ่งครับ
มีข่าวบางระดับก็ไม่สมควรที่จะเผยแพร่ออกไป

แต่ก็มีบ้างที่สื่อให้ข่าวที่เกินจริง หรือจากความเข้าใจผิดหรือคาดเดาเอาเอง

สถานการณ์ก่อการร้ายยังมีอยู่ทุกวันครับ
เมื่อเช้าไปเซอร์วิสลูกค้า ใกล้ๆโรงพยาบาล ก็เห็นเจ้าหน้าที่
ปิดถนนเพื่อตรวจสอบรถต้องสงสัย
อาจมีระเบิด หรือไม่มี ก็ไม่ทราบครับ
 
 

โดย: ksk IP: 125.24.108.178 วันที่: 25 มีนาคม 2551 เวลา:13:07:41 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

ksk
 
Location :
ยะลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ผมเป็นคริสเตียนครับ
เป็นชาวยะลา เกิดปัตตานี ลูกจีนไหหลำ
จบวิศวกรรมไฟฟ้า(ระบบควบคุม) จากพระจอมเกล้าพระนครเหนือ EL รุ่น 24 รหัส 31 (เคยเรียน ป.วส. IE ห้องอิเล็ก ที่ วทอ. 2 ปี รหัส 29 ห้องเดียวกับ ศิริ แว่น สมชาย สุกิตติ จั๊บ ไพบูลย์ จ่าบุญเลิศ ก่อนย้อนไปเริ่มต้นป.ตรี ปี 1 ใหม่กับรุ่นน้องในคณะวิศวฯ พูดง่ายๆว่า ซิ่ว 2 ปี)
ป.โท วิศวกรรมการบิน(Avionique) จาก SUPAERO
Toulouse FRANCE ปี 1994
เคยรับราชการเป็นอาจารย์ในคณะวิศวฯที่พระนครเหนือ 8 ปี ผลงานก็ไม่มีอะไรมาก KMITNB Robot Camp เป็นสิ่งที่ยังพอให้ภาคภูมิใจเมื่อมองกลับไปที่เทคโนฯ ด้วยความคิดถึง 14 ปี อันแสนหวานกับชีวิตในพระนครเหนือ(มิย.ปี 29 - มิย.ปี 43)
ตอนนี้ลาออกจากราชการ มาหากินด้วยลำแข้ง(ไม่ใช่เป็นนักมวยไทยนะ)
ที่จังหวัดยะลาบ้านเกิด ตั้งแต่มิถุนายน ปี Y2K
กำลังจะรุ่งเรืองแล้วเชียว 4 มกราคม 2547
สถานการณ์ไฟใต้ก็เริ่มขึ้น
สิ่งที่เคยคิดว่าสักวันหนึ่งจะต้องเกิด มันก็เกิด
และยาวมาจนถึงตอนนี้
ผมยังนึกไม่ออกมันจะจบลงแบบไหน free counter

free counter

New Comments
[Add ksk's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com