ถ้าพระเจ้าไม่มีจริง คุณได้หรือเสียอะไร? แต่ถ้าพระเจ้ามีจริง คุณได้หรือเสียอะไร?

<<
กันยายน 2553
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
13 กันยายน 2553
 

เส้นทางชีวิตคริสเตียน (ตอนที่ 11)

12 กันยายน 2010
คริสตจักร ยะลา

เอเฟซัส 4:1-7
1เหตุฉะนั้นข้าพเจ้า ผู้ถูกจำจองเพราะเห็นแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอวิงวอนท่านให้ดำเนินชีวิตสมกับพันธกิจอันเนื่องจากการทรงเรียกท่านนั้น2คือจงมีใจถ่อมลงทุกอย่าง และใจอ่อนสุภาพอดทนนาน และอดกลั้นต่อกันและกัน ด้วยความรัก3จงเพียรพยายามให้คงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ซึ่งพระวิญญาณทรงประทานนั้นด้วยสันติภาพเป็นพันธนะ 4มีกายเดียวและมีพระวิญญาณองค์เดียว เหมือนมีความหวังใจอันเดียวที่เนื่องในการที่ทรงเรียกท่าน 5มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่อเดียว บัพติศมาเดียว 6พระเจ้าองค์เดียวผู้เป็นพระบิดาของคนทั้งปวง ผู้ทรงอยู่เหนือคนทั้งปวง และทั่วคนทั้งปวง และในคนทั้งปวง7แต่ว่าพระคุณนั้นทรงโปรดประทานแก่เราทุกๆคนตามขนาดที่พระคริสต์ประทานให้


อธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ เราทั้งหลายขอขอบพระคุณที่ทรงไถ่เราออกมาจากการเป็นทาสของบาป ให้เราเข้ามาเป็นประชากรของพระองค์ เวลานี้เราทั้งหลายอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ เพื่อรับฟังพระวจนะของพระองค์ ที่พระองค์จะทรงตรัสกับเราแต่ละคน ให้เราได้รับเตือนสติ ปรับปรุงแก้ไขโดยพระวจนะนั้น ให้เราได้เดินในเส้นทางชีวิตคริสเตียนที่เป็นทางแคบแต่นำไปถึงชีวิต เพื่อเราจะเป็นคนที่พระองค์ทรงพอพระทัย เป็นคนที่พระองค์ทรงใช้การได้ และเป็นผู้ที่ถวายเกียรติแด่พระองค์อย่างสมควร


เมื่อวานเป็นวันครบรอบเหตุการณ์ระทึกขวัญครั้งใหญ่ในช่วงชีวิตของพวกเรา หลายท่านคงจะยังจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้ดี หลายปีที่ผ่านมาเหมือนกับเป็นประเพณีไปแล้ว เมื่อผมเข้าไปอ่านบทความต่างๆในเวบบอร์ดที่พันทิปดอทคอม ก็จะมีการเล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่าแต่ละคนทำอะไรกันอยู่ และมีความรู้สึกอย่างไร กับเหตุการณ์ที่มีเครื่องบินพุ่งชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ มีบางคนเล่าว่าเขาไม่รู้เหตุการณ์เลย จนกระทั่งไปถึงที่ทำงานในอีกวันหนึ่ง ในขณะที่คนอื่นๆที่รู้ข่าวตั้งแต่หัวค่ำ ก็เฝ้าติดตามข่าวหน้าจอโทรทัศน์ไปในดึกดื่นละทิ้งกิจกรรมทุกอย่างที่เคยทำตามปกติ ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่เฝ้าติดตามข่าวตลอดเวลาในคืนวันนั้น ครั้งแรกที่ได้ยินข่าว ยังเข้าใจไปว่าเป็นเหตุที่เกิดที่ศูนย์การค้าเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ที่กรุงเทพ แต่เมื่อเห็นภาพข่าวจริงๆ จึงได้รู้ว่าเป็นเหตุใหญ่กว่าที่คิด ใจหนึ่งก็เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อีกใจหนึ่งก็ดีใจที่เราไม่ได้ตกอยู่ในเหตุการณ์นั้น ได้เป็นเพียงผู้นั่งดูการรายงานข่าวทางจอโทรทัศน์

ผมเชื่อว่า ในอนาคตจะเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นกว่านี้เกิดขึ้นอีก แต่จะเป็นเหตุการณ์ที่เราเองไม่อยากจะเป็นคนที่ต้องเฝ้าดูการถ่ายทอดข่าวที่หน้าจอโทรทัศน์ เพราะนั่นหมายถึงการที่เราเป็นผู้ที่ต้องถูกทอดทิ้งไว้ที่แผ่นดินโลกนี้ ในขณะที่พี่น้องคริสเตียนท่านอื่นๆที่ติดตามพระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อได้ถูกรับไปจากแผ่นดินโลกนี้ แม้ว่าเรื่องราวที่ผู้เชื่อจะถูกรับขึ้นไปตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้นั้นจะไม่ระบุวันเวลาอย่างชัดเจน จึงมี 3 แนวคิดที่แตกต่างกันในเรื่องนี้ คือ

แนวคิดแรกเชื่อว่า ผู้เชื่อจะถูกรับขึ้นไป จากนั้นก็จะเกิดช่วงกลียุค 7 ปี ผู้ที่ไม่ถูกรับไปในครั้งแรกก็ต้องพิสูจน์ความเชื่อด้วยการทนทุกข์ลำบาก หากรักษาความเชื่อไว้ได้ก็จะสามารถรอดได้
แนวคิดที่สองเชื่อว่า เหตุการณ์กลียุค 7 ปี แบ่งออกเป็น 2 ครึ่ง โดยที่ทุกคนบนโลกนี้จะต้องทนทุกข์เป็นเวลา 3 ปีครึ่ง แล้วผู้เชื่อจะถูกรับไป ส่วนที่เหลืออยู่ก็จะต้องทนทุกข์ในอีก 3 ปีครึ่งที่เหลือ
แนวคิดที่สามเชื่อว่า ทุกคนบนโลกใบนี้จะต้องผ่านการทนทุกข์ของช่วงกลียุค 7 ปี และผู้ที่สามารถรักษาความเชื่อไว้ได้ จะถูกรับขึ้นไป

แต่ละแนวคิดก็อ้างว่ามีข้อพระคัมภีร์สนับสนุน คริสตจักรของเราไม่ได้ตัดสินอย่างเด็ดขาดว่าแนวคิดใดถูกต้อง แต่ขอให้เราได้เตือนสติซึ่งกันและกัน เพื่อเราจะเป็นเหมือนหญิงพรหมจารีย์ 5 คนนั้นที่มีน้ำมันในตะเกียงของตน เพื่อว่าเมื่อเจ้าบ่าวมาไม่ว่าจะเป็นเวลาใด เราก็จะพร้อมที่จะร่วมขบวนไปกับเจ้าบ่าว เพราะว่าไม่แนวคิดใดจะถูกต้อง ก็จะมีผู้ที่ถูกรับไป และผู้ที่ถูกทิ้งไว้ เราคงไม่ต้องการเป็นคนที่ถูกทิ้ง

ในขณะที่ผมได้เตรียมเนื้อหาที่จะแบ่งปันกับพี่น้องในเช้าวันนี้ ก็ได้เปิดไปทบทวนดูว่า ที่ผ่านมาได้แบ่งปันเรื่องใดไปบ้าง ก็พบว่า เราได้อยู่ในหัวข้อ “เส้นทางชีวิตคริสเตียน” มา 10 ตอนแล้ว และคั่นไป 1 ตอนด้วยเรื่องของ “คุณแม่ที่รัก” นับได้ว่าเป็นเรื่องราวที่ยาวนานพอสมควร วันนี้เราก็ยังคงอยู่ในเรื่องของ “เส้นทางชีวิตคริสเตียน” ผมขอทบทวนอย่างย่อๆว่า เรารับรู้เรื่องราวอะไรไปบ้างตลอด 10 ครั้งที่ผ่านมา การทบทวนในวันนี้อาจจะยาวสักหน่อย แต่เพื่อให้เรามองเห็นภาพโครงเรื่องทั้งหมดอีกครั้งก่อนที่จะพูดถึงสิ่งสำคัญประการต่อไปในเส้นทางชีวิตคริสเตียน ซึ่งก็คือ “ชีวิตที่สมกับพันธกิจแห่งการทรงเรียก”

เส้นทางชีวิตคริสเตียนนั้น เริ่มต้นที่ “ประตูคับ ทางแคบ” เป็นวิธีเดียวที่เราจะเข้าสู่เส้นทางที่นำเราไปยังแผ่นดินของพระเจ้า ประตูอื่นๆอาจสวยงาม และเต็มไปด้วยผู้คนที่ผ่านเข้าไป แต่ประตูคับ ที่ต้องปลดเปลื้องสัมภาระทิ้งไปนี้ เป็นหนทางแห่งชีวิต เมื่อเราผ่านมาแล้ว เส้นทางเดินหลังประตูคับ ก็ยังคงเป็นทางแคบๆอีกด้วย การเดินบนเส้นทางนี้ เป็นเส้นทางที่ยากลำบาก แต่มีปลายทางที่ชีวิตนิรันดร์ในแผ่นดินของพระเจ้า คุ้มค่าหรือไม่ที่จะยินยอมเดินไปด้วยความยากลำบาก

ตอนที่สอง เป็นเรื่องของ “สละสิ่งสารพัด ติดตามพระองค์ไป” ซึ่งเป็นคำพูดของเปโตรที่บอกกับพระเยซู หลังจากที่เศรษฐีหนุ่มต้องหันกลับไปด้วยความผิดหวัง เหล่าสาวกของพระเยซูในเวลานั้นก็กำลังคิดว่าพวกเขาดีกว่าเศรษฐีหนุ่มเพราะพวกเขาได้ละทิ้งแห-อวน เพื่อมาติดตามพระองค์ แต่จริงๆแล้วก็ยังมีความคาดหวังบางสิ่งบางอย่าง เรากำลังเป็นเหมือนสาวกเหล่านั้นหรือเปล่า ที่ติดตามพระองค์เพื่อหวังได้สัมภาระมาแบกเพิ่มในขณะที่เดินบนทางแคบแห่งชีวตคริสเตียน พวกสาวกเหล่านั้นในที่สุดก็ได้สละสารพัดจริงๆ สละแม้กระทั้งชีวิตของตนเองเพื่อการติดตามพระเยซูคริสต์ เราจะมาถึงจุดนั้นหรือยัง

ตอนที่สาม เป็นเรื่องของ “พระวจนะเป็นโคมส่องเท้า” เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้กับผู้เชื่อที่ได้เข้ามาร่วมเดินในเส้นทางแคบแห่งชีวิตคริสเตียนแล้ว แม้ว่าเราได้เป็นลูกของความสว่างแล้ว และมีความสว่างแห่งชีวิตแล้ว แต่ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ เรายังอยู่ในโลกแห่งความมืดมิด และจำเป็นต้องมีโคมส่องเท้าเพื่อเราจะเดินทางความสว่าง โคมนี้ช่วยเราในการเดินผ่านโลกแห่งความมืดมิด เพื่อให้เรารู้เห็นอันตรายในเส้นทางเพื่อจะหลบหลีกได้ ให้เรารู้จักโคมส่องเท้านั้น สามารถใช้งานโคมส่องเท้าได้อย่างถูกต้อง และส่งมอบโคมส่องเท้าให้เป็นมรดกแก่ลูกหลานต่อไป

ตอนที่สี่ เป็นเรื่องของ “ยุทธภัณฑ์ทั้งชุด” เราได้เริ่มจากความจำเป็นของเครื่องอาวุธยุทธภัณฑ์ เนื่องจากสถานการณ์ทางฝ่ายจิตวิญญาณนั้น เรากำลังอยู่ในสมรภูมิรบ แม้ว่าสงครามครั้งนี้พระเจ้าได้ทรงประกาศชัยชนะแล้ว แต่ยังคงมีผู้คนที่ติดค้างอยู่ในสมรภูมิอีกเป็นจำนวนมาก ครั้งหนึ่งเราเคยเป็นผู้บาดเจ็บ นอนรอความตายอยู่ในสมรภูมิ และเราได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้าที่ได้ส่งกองกำลังเข้ามาในสมรภูมิเพื่อค้นหา และให้การช่วยเหลือนำเรากลับไปรับการปฐมพยาบาล เมื่อเราแข็งแรงขึ้นแล้ว เราเองก็ควรรับหน้าที่เป็นกองกำลังที่จะถูกส่งกลับเข้าไปในสมรภูมิอีกครั้ง เพื่อค้นหาและนำความช่วยเหลือของพระเจ้าไปสู่คนอื่นๆที่กำลังนอนรอความตายอยู่ และในการปฏิบัติหน้าที่ในสมรภูมินั้น เครื่องอาวุธยุทธภัณฑ์เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก เครื่องยุทธภัณฑ์ชิ้นแรกที่ทรงมอบให้เราคือ “ความจริง” เพราะพระเจ้าทรงเป็นความจริง และการดำเนินชีวิตคริสเตียนต้องเป็นชีวิตแห่งความจริง ไม่ใช่ชีวิตที่ฉาบปูนขาวไว้ข้างนอก แต่ภายในมีสิ่งเน่าเหม็น อย่าให้ชีวิตคริสเตียนของเราปนเปื้อนไปด้วยคำมุสา หรือเป็นชีวิตที่หน้าไหว้หลังหลอก

ตอนที่ห้า เป็นเรื่องของ “ความชอบธรรม เป็นทับทรวงเครื่องป้องกันอก” ผู้คนในโลกปัจจุบันกำลังต่อสู้กันด้วยวิธีการดิสเครดิต หรือการทำลายความชอบธรรมของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งนี่ก็เป็นวิธีเดียวกับที่มารซาตานใช้ในสมรภูมิ พระเจ้าทรงให้เราเป็นผู้ชอบธรรมโดยความชอบธรรมของพระเยซูคริสต์ ซาตานต้องพ่ายแพ้ไปเพราะความชอบธรรมของพระเยซูคริสต์ ความชอบธรรมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากภายใน ไม่ใช่เรื่องของการพยายามปฏิบัติ ความชอบธรรมเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้ไม่ใช่เราจะสามารถทำเอง ดังนั้นมารซาตานจะไม่สามารถฟ้องเราได้อีก เพราะเรามีความชอบธรรมของพระเยซูคริสต์อยู่ในเรา

ตอนที่หก เป็นเรื่องของ “ข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข เป็นรองเท้า” ทุกย่างเท้าที่คนของพระเจ้าย่ำเดินไปในสมรภูมิ เป็นย่างเท้าของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นข่าวแห่งสันติสุข เราต้องรู้จักข่าวประเสริฐนี้อย่างถูกต้องและนำเสนออย่างถูกต้อง เพราะไม่ใช่ข่าวแห่งการซ้ำเติม เหยียบย่ำ ทำร้ายจิตใจคน เราถูกส่งออกไปเพื่อนำการช่วยเหลือของพระเจ้าออกไป ไม่ใช่ไปเพื่อการซ้ำเติมผู้บาดเจ็บ ที่สำคัญ ข่าวประเสริฐนั่นต้องเกิดผลในชีวิตของเราแล้วจริงๆ เราจึงจะมีความพรั่งพร้อมที่จะออกสู่สมรภูมิ

ตอนที่เจ็ด เป็นเรื่องของ “ความเชื่อเป็นโล่ห์” ในสมรภูมินั้น แม้เราไม่ได้ออกไปทำหน้าที่จับอาวุธเพื่อไล่ล่าศัตรู แต่เราเองก็ต้องมีเครื่องป้องกันจากอาวุธของศัตรู “ความสงสัย” เป็นอาวุธที่มารซาตานใช้อย่างได้ผลมาตลอด แต่เราสามารถป้องกันได้ด้วยโล่ห์แห่งความเชื่อ บางครั้งเพื่อนร่วมงานของเราก็อ่อนแรง และทำโล่ห์หลุดมือไป ให้เราได้เข้าไปประคองเขาและให้เขาได้อยู่ในกำลังของโล่ห์ด้วยกันกับเรา บางครั้งแสงแดดในสมรภูมิก็ร้อนแรง โล่ห์นี้ก็ช่วยเราผ่อนคลายจากเปลวแดดที่ทำให้อ่อนแรงได้ ความเชื่อที่ใช้การได้ ไม่ใช่เชื่อในอะไรก็ได้ แต่เป็นความเชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า

ตอนที่แปด เป็นเรื่องของ “ความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ” ศีรษะเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุด การโจมตีที่ศีรษะก็มักจะประสพผล สำหรับคริสตจักรของพระเจ้านั้น เราทั้งหลายเป็นอวัยวะ ทำหน้าที่ต่างกันไป และได้รับเครื่องป้องกัน หรือรับผิดชอบเครื่องยุทธภัณฑ์ที่แตกต่างกันออกไป โดยมีพระเยซูทรงเป็นศีรษะ การที่เรามีหมวกเหล็กสำหรับศีรษะ ไม่ได้หมายความว่า เราจำเป็นต้องป้องกันพระเยซูจากอันตราย แต่กำลังยืนยันความสำคัญของพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอด เราจะไม่ประกาศเรื่องของพระเยซูด้วยเรื่องอื่นๆที่ไม่ใช่ความรอด และเราจะไม่สามารถประกาศเรื่องของความรอดโดยที่ไม่มีพระเยซู

ตอนที่เก้า เป็นเรื่องของ “พระแสงของพระวิญญาณ คือพระวจนะของพระเจ้า” เครื่องยุทธภัณฑ์ที่ดูจะเป็นอาวุธก็คงมีเพียงชิ้นนี้เท่านั้น ในขณะที่ชิ้นอื่นๆเป็นเครื่องป้องกัน แต่อย่างไรก็ตาม หน้าที่หลักของเราไม่ใช่การไปต่อสู้ไล่ล่ามารซาตาน แต่เพื่อการขับไล่มันไป ดังที่พระเยซูได้ทรงสำแดงให้เห็นเมื่อทรงถูกมารทดลอง พระแสงแห่งพระวิญญาณยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการรักษาอาการเจ็บป่วยฝ่ายวิญญาณ ตัวเราเองครั้งกระโน้นก็เคยได้รับการรักษาด้วยพระแสงแห่งพระวิญญาณมาแล้ว ก็ขอให้ใช้พระแสงแห่งพระวิญญาณอย่างถูกต้องด้วย คือเพื่อการบำบัดรักษาพี่น้อง ไม่ใช่เพื่อการทำร้ายกันและกัน

ตอนที่สิบ เป็นเรื่องของ ของแถม ที่แนบท้ายมา แม้ไม่ได้อยู่ในรายชื่อของยุทธภัณฑ์ แต่ก็ขาดไม่ได้ คือการอธิษฐาน ซึ่งเปรียบเสมือนการสื่อสาร หากทหารที่อยู่แนวหน้ากับกองบัญชาการไม่สามารถติดต่อสื่อสารกัน ก็จะทำให้เพลี่ยงพล้ำต่อศัตรูได้ การอธิษฐานจึงเป็นสิ่งสำคัญที่คริสเตียนทุกคนจะต้องเอาใจใส่ อย่าหลงไปตามอุบายของมารที่หลอกล่อให้เราคิดว่า การที่เอาแต่อธิษฐาน เป็นพวกทำอะไรไม่เป็น เป็นพวกนักทฤษฎีวิชาการ ไม่เป็นนักปฏิบัติ เป็นเรื่องของความอ่อนแอ น่าอับอาย แท้ที่จริงมารซาตานกลัวฤทธานุภาพของพระเจ้าที่จะเคลื่อนไหวผ่านคำอธิษฐานของคริสเตียน มันจึงพยายามหลอกล่อและข่มขู่ เพื่อไม่ให้เราอธิษฐาน


พระวจนะที่จะนำมาถึงพี่น้องในวันนี้ปรากฏอยู่ใน เอเฟซัส 4:1-2

เอเฟซัส 4:1-2
1เหตุฉะนั้นข้าพเจ้า ผู้ถูกจำจองเพราะเห็นแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอวิงวอนท่านให้ดำเนินชีวิตสมกับพันธกิจอันเนื่องจากการทรงเรียกท่านนั้น 2คือจงมีใจถ่อมลงทุกอย่าง และใจอ่อนสุภาพอดทนนาน และอดกลั้นต่อกันและกัน ด้วยความรัก


ในฐานะที่เราทุกคนที่นี่ เป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังของพระเจ้าที่รับมอบหมายให้ปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่จังหวัดยะลาแห่งนี้ หากมองไปรอบๆ พวกเราได้ผ่านประตูคับ และเริ่มออกเดินในทางแคบมาระยะหนึ่งแล้ว พวกเราบางส่วนกำลังได้รับการบำบัดโดยพระวจนะซึ่งผ่าตัดปรับปรุงแก้ไขชีวิตของเรา เพื่อทำให้เรามีสุขภาพฝ่ายวิญญาณที่แช่มชื่นและมีกำลัง บางส่วนก็ผ่านกระบวนการเหล่านี้มาแล้ว บางส่วนก็ปฏิบัติงานอยู่ประจำฐาน เพื่อภาระกิจในการเยี่ยวยา บางส่วนก็ได้รับมอบหมายให้ออกไปปฏิบัติหน้าที่ในสมรภูมิ บ้างก็นำผู้บาดเจ็บกลับมา บ้างก็ได้รับบาดเจ็บหรืออ่อนเพลียกลับมา สิ่งเหล่านี้กำลังดำเนินอยู่ในท่ามกลางพวกเรา สิ่งสำคัญที่จะทำให้คนหมู่มากสามารถบรรลุภาระกิจร่วมกันได้โดยไม่เกิดปัญหามากก็คือ การที่เราแต่ละคนจะมี “ชีวิตที่สมกับพันธกิจอันเนื่องจากการทรงเรียก”

พันธกิจแห่งการทรงเรียกนั้น เราอาจเปรียบเทียบได้กับการช่วยเหลือของพระเจ้าที่มาถึงเราแต่ละคนในสมัยที่เรายังเป็นผู้บาดเจ็บอยู่ในสมรภูมิ การที่พระเจ้าทรงให้การช่วยเหลือแก่เรานั้น ก็เพื่อเราจะไม่ตกอยู่ในสภาพเดิม แต่ได้รับการแก้ไขแล้ว เพื่อจะเป็นคนที่ใช้การได้ แต่เราก็สามารถเห็นตัวอย่างได้จากหน่วยงานต่างๆที่มีเจ้าหน้าที่จำนวนมากปฏิบัติงานร่วมกัน หากไม่มีกฏระเบียบ หรือนโยบายในการดำเนินงานที่ชัดเจน หรือหากแม้ว่ามีกฏระเบียบ แต่คนของหน่วยงานไม่ให้ความสนใจในการดำเนินตามกฏระเบียบ ก็จะเป็นหน่วยงานที่ขาดประสิทธิภาพ ไม่อาจประสพผลที่ดีได้ ดังนั้น นอกจากการมีระบบระเบียบแล้ว ยังต้องอาศัยจิตสำนึกของคนในหน่วยงานด้วย

สำหรับเราทั้งหลายที่เป็นคนงานของพระเจ้าในยุคปัจจุบัน ระบบระเบียบและกฏเกณฑ์ ได้ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์แล้ว เราจะมาดูด้วยกัน เพื่อเราจะเข้าใจตรงกัน เห็นพ้องด้วยกัน และสามารถร่วมเดินเคียงบ่าเคียงไหล่ในการปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย

ประการแรก “จงมีใจถ่อมลงทุกอย่าง” เรื่องของความถ่อมใจนั้น เราจำเป็นต้องมีมุมมองที่ถูกต้องตามอย่างในพระคัมภีร์ เพราะมุมมองต่อการถ่อมใจในสายตาของโลกนั้นแตกต่างออกไป

ในสมัยที่ผมยังเป็นเด็ก ครอบครัวของผมมีวิธีการสอนเรื่องของความถ่อมใจอย่างนี้คือ คุณพ่อจะถามลูกๆทุกคนว่า “ในที่นี้ใครถ่อมใจที่สุด ยกมือขึ้น” แรกๆนั้น เราเรียนรู้มาว่าคนที่ถ่อมใจเป็นคนดี เราก็อยากจะเป็นคนดี เราก็เลยแย่งกันยกมือ เพื่อแสดงตัวว่าเราเป็นคนที่ถ่อมใจที่สุด และคุณพ่อก็จะสอนเราว่า หากเราพยายามแสดงตัวว่าเราเป็นคนที่ถ่อมมากกว่าคนอื่น นั่นก็เป็นการกระทำที่ตรงกันข้ามเสียแล้ว คือเรากำลังอวดตัวว่าเราดีกว่าคนอื่น ดังนั้น ในคราวต่อมา เมื่อคุณพ่อตั้งคำถามอีกว่า “ในที่นี้ใครถ่อมใจที่สุด ยกมือขึ้น” พวกเราก็จะไม่ยกมือ แต่จะแอบอมยิ้มอยู่ เพื่อหวังว่า การที่เราไม่ยกมือ แสดงว่าเราถ่อมใจมากกว่าคนอื่น แล้วในที่สุดเราก็จะได้รับคำยกย่องว่า เราดีกว่าคนอื่น เป็นแผนซ้อนแผน 1 ชั้นที่เด็กๆอย่างเราก็พอจะคิดออก หลังจากนั้นไม่นาน คุณพ่อก็ถามอีกว่า “ในที่นี้ใครถ่อมใจที่สุด ยกมือขึ้น” คราวนี้เราเรียนรู้ที่จะใช้แผนการที่ซับซ้อนขึ้น คือเราจะยกมือขึ้น เพื่อเราจะได้แสดงตัวว่า เรายอมเป็นคนไม่ถ่อม เพื่อให้คนอื่นได้รับการยกย่อง แต่ในที่สุดก็เพื่อเราจะได้รับการยกย่องว่าเราถ่อมใจกว่าเพราะเรายอมให้คนอื่นได้รับการยกย่อง

ความถ่อมใจในสายพระเนตรของพระเจ้านั้น เรามีแบบอย่างที่ดีที่สุดคือพระเยซูคริสต์ ผู้ได้ทรงถ่อมพระทัยอย่างมาก ไม่เพียงคำพูดหรือคำสอนให้สาวกถ่อมใจ แต่พระองค์สำแดงพระองค์ให้เห็นว่าในสายพระเนตรพระเจ้านั้น “ถ่อมใจ” เป็นอย่างไร ทั้งในการถูกข่มเหง ความไม่ยุติธรรมที่ทรงได้รับ การล้างเท้าของสาวก จนกระทั่งถึงความมรณาที่ไม้กางเขน ทั้งหมดนั้นเป็นไปด้วยความถ่อมใจทุกประการ เราไม่เห็นว่าพระเยซูทรงแอบแฝงความปรารถนาที่จะได้รับการยกย่องเลย นั่นคือความถ่อมใจที่บริสุทธิ์จำเพาะพระพักตร์พระเจ้า คือเพื่อให้น้ำพระทัยของพระเจ้าสำเร็จ

ในขณะที่คำว่า “ถ่อมใจ” ในสายตาอย่างคนของโลกนี้ จะเป็นความถ่อมใจที่บิดเบี้ยว จะแสดงการถ่อมใจในบางที่ บางเวลา บางสถานการณ์ และกับบางบุคคลเท่านั้น

เอเฟซัส 4:2 นี้ ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Be always humble ซึ่งแปลได้ว่า “จงถ่อมใจเสมอ” แปลว่า “ในทุกที่ ในทุกเวลา ในทุกสถานการณ์ และกับทุกคน” ผมเชื่อว่าพวกเราส่วนใหญ่คงได้เคยฟังคำเทศนาของ อ.นิติเชรษฐ สดุดีวงศ์ ที่ออกอากาศทางสถานีวิทยุของคริสตจักรแล้ว ท่านได้เทศนา 2 ตอน เกี่ยวกับความถ่อมใจ ไว้ผมจะนำมาออกอากาศให้ฟังกันอีกสัก 2-3 ครั้งในระหว่างสัปดาห์นี้ อ.นิติเชรษฐ ได้ยกตัวอย่างว่า ความถ่อมใจมักไม่มีปัญหากับคนที่มีฐานะสูงกว่าเรา แต่จะมีปัญหาทันทีเมื่อเราต้องถ่อมใจกับคนที่มีฐานะต่ำกว่าเรา และนั่นเป็นความจริงที่ปรากฏในมนุษย์ทุกคน แต่เราต้องอาศัยพระวิญญาณของพระเจ้าที่จะช่วยให้เราสามารถ “ถ่อมใจเสมอ” ได้

สิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับความถ่อมใจที่แท้จริงคือ
- ความหยิ่งยโส ความโอ้อวด ความดื้อแพ่ง ความมักใหญ่ใฝ่สูง
- ความเกลียดชัง ใจริษยา นินทาคนลับหลัง การใส่ร้ายป้ายสี
- ความปรารถนาสิ่งที่พิเศษกว่าคนอื่นๆ
- ความปรารถนาการยกย่องที่ซ่อนอยู่ภายใน

บางทีเราก็ฉลาดมาก และซ่อนมันไว้หลายชั้นทีเดียว ซึ่งก็อาจได้ผลในการหลอกลวงเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แต่ไม่สามารถหลอกพระเจ้าได้

สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นในวิถีชีวิตคริสเตียนก็คือ การพิจารณาว่าตัวเราเองมีความถ่อมใจอย่างที่พระเจ้าพอพระทัยหรือไม่ ไม่ใช่การมองชีวิตของผู้อื่นแล้วพิพากษาว่าคนนั้นถ่อมมากกว่าคนนี้

ประการต่อมา “ใจอ่อนสุภาพอดทนนาน และอดกลั้นต่อกันและกัน ด้วยความรัก”

แน่นอนว่าในกองทัพนั้น ก็มีผู้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าในระดับต่างๆกัน แม้แต่ในการบริหารงานบริษัทห้างร้าน ก็มีลำดับชั้นของการบริหาร ในกองกำลังของพระเจ้าก็เช่นกัน ผมอยากจะบอกว่า แท้จริงเราต่างก็เป็นเพื่อนทาสด้วยกันทั้งนั้น ไม่เหมือนกับบริษัทห้างร้าน เพราะนายจ้างมักจะเป็นเจ้าของกิจการ และคนอื่นๆเป็นเพียงลูกจ้าง แต่การงานของพระเจ้านั้นไม่ใช่ ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าเข้าเจ้าของคริสตจักร และไม่มีผู้ใดเป็นลูกจ้าง เพราะในสายพระเนตรพระเจ้าเราไม่ได้มีฐานะสูงส่งกว่ากัน พระองค์ไม่ได้มองที่ทรัพย์ที่เรามี หรือความรู้ที่เรามี หรือยศตำแหน่งที่เรามี เราแต่ละคนก็ล้วนยังมีข้อบกพร่อง

ในการบริหารการงานของคริสตจักรนั้น มีความจำเป็นที่จะต้องดูแลให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างที่สมควร การยอมรับโครงสร้างการบริหารงาน ก็นับได้ว่าเป็นการถ่อมใจ เพราะนั้นคือการมุ่งหวังเพื่อให้น้ำพระทัยของพระเจ้าสำเร็จ เราจะเรียกเป็นการถ่อมใจได้อย่างไร หากไม่ยอมรับฟังกันและกัน เพราะมันแสดงว่า เรากำลังอยู่สูงกว่าคนอื่น และเราไม่จำเป็นต้องฟังคุณอีกต่อไป เราอยากจะกระทำอะไรเราก็ทำตามใจอยากของเรา บางทีพี่น้องที่อดทนอดกลั้น ไม่พูดอะไรมากนั้น ก็เพราะเขากำลังสำแดงใจอ่อนสุภาพอดทนนาน และอดกลั้นต่อกันและกันด้วยความรัก ตามที่พระคัมภีร์ชี้แนะไว้

การถ่อมใจ ไม่ใช่สิ่งที่จะแข่งขันกัน หรือนำมาโอ้อวดกัน เพราะหากนำมาแข่งขันกันถ่อมใจ หรือโอ้อวดเรื่องความถ่อมใจเมื่อใด ก็ไม่มีคุณค่าหลงเหลืออยู่อีกเลย เพราะนั้นไม่ใช่การถ่อมใจอย่างที่พระเจ้าทรงพอพระทัยเสียแล้ว แต่ใจอ่อนสุภาพอดทนนาน และอดกลั้นต่อกันและกันด้วยความรัก ที่พี่น้องได้สำแดงออกนั้น ก็เพื่อน้ำพระทัยของพระเจ้าจะสำเร็จ คือเพื่อนำให้เราทุกคน “น้อมนำความคิดทุกประการให้เข้าอยู่ใต้บังคับจนถึงรับฟังพระคริสต์”

2 โครินธ์ 10:3-5
3เพราะว่า ถึงแม้ว่าเราอยู่ในโลกก็จริง แต่เราก็มิได้สู้รบตามโลกียวิสัย 4เพราะว่าศาสตราวุธของเราไม่เป็นฝ่ายโลกียวิสัย แต่มีฤทธิ์เดชจากพระเจ้า อาจทำลายป้อมได้ 5คือทำลายความคิดที่มีเหตุผลจอมปลอม และทิฐิมานะทุกประการที่ตั้งตัวขึ้นขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และน้อมนำความคิดทุกประการให้เข้าอยู่ใต้บังคับจนถึงรับฟังพระคริสต์






Create Date : 13 กันยายน 2553
Last Update : 13 กันยายน 2553 12:58:44 น. 0 comments
Counter : 986 Pageviews.  
 
Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

ksk
 
Location :
ยะลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ผมเป็นคริสเตียนครับ
เป็นชาวยะลา เกิดปัตตานี ลูกจีนไหหลำ
จบวิศวกรรมไฟฟ้า(ระบบควบคุม) จากพระจอมเกล้าพระนครเหนือ EL รุ่น 24 รหัส 31 (เคยเรียน ป.วส. IE ห้องอิเล็ก ที่ วทอ. 2 ปี รหัส 29 ห้องเดียวกับ ศิริ แว่น สมชาย สุกิตติ จั๊บ ไพบูลย์ จ่าบุญเลิศ ก่อนย้อนไปเริ่มต้นป.ตรี ปี 1 ใหม่กับรุ่นน้องในคณะวิศวฯ พูดง่ายๆว่า ซิ่ว 2 ปี)
ป.โท วิศวกรรมการบิน(Avionique) จาก SUPAERO
Toulouse FRANCE ปี 1994
เคยรับราชการเป็นอาจารย์ในคณะวิศวฯที่พระนครเหนือ 8 ปี ผลงานก็ไม่มีอะไรมาก KMITNB Robot Camp เป็นสิ่งที่ยังพอให้ภาคภูมิใจเมื่อมองกลับไปที่เทคโนฯ ด้วยความคิดถึง 14 ปี อันแสนหวานกับชีวิตในพระนครเหนือ(มิย.ปี 29 - มิย.ปี 43)
ตอนนี้ลาออกจากราชการ มาหากินด้วยลำแข้ง(ไม่ใช่เป็นนักมวยไทยนะ)
ที่จังหวัดยะลาบ้านเกิด ตั้งแต่มิถุนายน ปี Y2K
กำลังจะรุ่งเรืองแล้วเชียว 4 มกราคม 2547
สถานการณ์ไฟใต้ก็เริ่มขึ้น
สิ่งที่เคยคิดว่าสักวันหนึ่งจะต้องเกิด มันก็เกิด
และยาวมาจนถึงตอนนี้
ผมยังนึกไม่ออกมันจะจบลงแบบไหน free counter

free counter

New Comments
[Add ksk's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com