ถ้าพระเจ้าไม่มีจริง คุณได้หรือเสียอะไร? แต่ถ้าพระเจ้ามีจริง คุณได้หรือเสียอะไร?

<<
ธันวาคม 2552
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
14 ธันวาคม 2552
 

เส้นทางชีวิตคริสเตียน (ตอนที่ 3)

13 ธันวาคม 2009
คริสตจักร ยะลา

สดุดี 119:105
105พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับเท้าของข้าพระองค์และเป็นความสว่างแก่มรคาของข้าพระองค์


อธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้าพระบิดา ขอบพระคุณพระองค์ที่ไม่ได้ทรงปล่อยให้เราเดินเพียงลำพัง พระองค์เองได้ทรงสถิตอยู่กับเรา และทรงให้พระวจนะของพระองค์เป็นดุจโคม ที่จะส่องนำย่างเท้าของเรา ขอทรงเปิดหู เปิดใจ เปิดตา ของเราในวันนี้ที่จะเห็นความสำคัญของสิ่งที่พระองค์ได้ทรงโปรดประทานให้ เพื่อเราจะดำเนินชีวิตอย่างที่พระองค์พอพระทัย


วันนี้สิ่งที่ผมจะนำมาแบ่งปันยังคงอยู่ในหัวข้อ “เส้นทางชีวิตคริสเตียน” วันนี้เป็นตอนที่ 3 ในตอนแรกเป็นเรื่องของ “ประตูคับ ทางแคบ” ในตอนที่สองเป็นเรื่องของ “การสละสิ่งสารพัด และตามพระเยซูไป”

ผมจะขอทบทวนให้กับพี่น้องถึงสิ่งที่ได้กล่าวไปในตอนที่แล้ว เพื่อเตือนความจำ และเพื่อให้พี่น้องอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในที่ประชุมในครั้งนั้นได้รับรู้เรื่องราวด้วย

คราวก่อนนั้น ผมได้นำเสนอจากพระธรรมมาระโก 10:28-34 เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่กล่าวถึงประสบการณ์ที่สาวกได้ร่วมการเดินทางกับพระเยซู ในข้อท้ายๆ พระเยซูได้บอกให้เหล่าสาวกทราบว่า เมื่อพระองค์เข้าไปที่เยรูซาเล็มแล้วจะเกิดอะไรขึ้น หากเราเป็นสาวกคนหนึ่งในเวลานั้น เราจะมีท่าทีอย่างไร

เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ก็คือ มีเศรษฐีหนุ่มผู้เพรียบพร้อมไปหมดทุกอย่างมาหาพระเยซู และถามพระเยซูว่า “จะต้องทำอย่างไร จึงจะได้ชีวิต” พระเยซูก็ได้สนทนากับชายหนุ่มคนนั้น ในที่สุดชายหนุ่มคนนั้นต้องหันหลังจากพระเยซูไปอย่างผิดหวัง เพราะพระเยซูท้าท้ายให้เขาสละสิ่งสารพัดที่เขามีอยู่และติดตามพระองค์ไป ทำให้พระเยซูหันมากล่าวกับสาวกว่า “ตัวอูฐจะรอดรูเข็ม ก็ง่ายกว่าที่คนร่ำรวยจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้า” และเปโตรก็ได้เสนอตัวขึ้นมาทันทีว่า "นี่แหละ ข้าพระองค์ทั้งหลายได้สละสิ่งสารพัด และได้ติดตามพระองค์มา"

เปโตร กำลังนำเสนอต่อพระเยซูว่า เขาและสาวกคนอื่นๆนั้นได้ “ยอมสละสิ่งต่างๆ เพื่อจะติดตามพระเยซู” ซึ่งฟังดูก็น่าจะเป็นการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่ น่าชื่นชม และเป็นการกระทำที่ “ดีกว่า” เศรษฐีหนุ่มคนนั้นที่เพิ่งจะเดินจากไป แต่หากว่าเราได้อ่านเรื่องราวต่อจากตอนนี้ไปอีกสักเล็กน้อย เราก็จะเห็นว่า การกระทำที่ดูเหมือนเป็นการยอมสละนั้น แท้จริงมีเบื้องหลังบางอย่าง

คนจำนวนมากติดตามพระเยซูในสมัยนั้น ด้วยหลายสาเหตุ ครั้งหนึ่งพระเยซูทรงตรัสเตือนคนเหล่านั้นว่า พระองค์รู้ว่าคนเหล่านั้นติดตามพระองค์ไม่ใช่เพราะเห็นหมายสำคัญ แต่เพราะได้กินอิ่ม เมื่อพระเยซู เริ่มที่จะตรัสสอนถึงสิ่งที่ยาก คนที่ติดตามพระเยซูจำนวนมากก็ได้เลิกติดตามพระองค์

เราทั้งหลายที่นี่ก็อาจไม่ได้แตกต่างจากเปโตร ที่ทูลเสนอต่อพระองค์ว่า “ข้าพระองค์ทั้งหลาย ได้สละสิ่งสารพัด และได้ตามพระองค์มา” แต่แท้ที่จริงเรา เหมือนคนฉลาดคนนั้นที่กำลังต่อรองกับพระเจ้า โดยการคาดหวังบางสิ่งบางอย่างจากพระองค์ การกระทำอย่างนั้นเป็นเหมือนกับคนที่ยังไม่ได้ผ่านประตูคับเข้ามา เพราะยังมีสัมภาระต่างๆในชีวิตเยอะ มีข้ออ้างต่างๆเยอะ มีเหตุผลต่างๆเยอะ

เป็นความจริงที่ท้าทายชีวิตของเราทุกคน ไม่ว่าร่ำรวย หรือยากจน มีความรู้ หรือไร้การศึกษา มีตำแหน่งสูง หรือเป็นแค่คนรับจ้างต่ำต้อย หากเรายอมสละสิ่งสารพัด เพื่อพระเยซู และเพื่อข่าวประเสริฐของพระองค์ เราจะไม่ขาดสิ่งดีใดๆ สาวกของพระเยซูทุกคน ยกเว้นยูดาส ในที่สุดเขาได้สละสิ่งสารพัดเพื่อพระเยซูจริงๆ และทุกคนผ่านทางแคบไปได้ เพราะเขาได้สละสิ่งสารพัด และไปกับพระเยซูจริงๆ

ขอให้เราทุกคน ได้มาถึงจุดที่สำคัญอีกจุดหนึ่งบนเส้นทางชีวิตคริสเตียน คือ “การสละสิ่งสารพัด และตามพระเยซูไป”

วันนี้เราจะร่วมเดินไปบนเส้นทางชีวิตคริสเตียนกันต่อ ในเรื่องของ “พระวจนะเป็นโคมสำหรับเท้า” เส้นทางชีวิตคริสเตียนนั้น ไม่ใช่เส้นทางที่สนุกสนาน หรือสะดวกสบาย แต่เป็นเส้นทางที่เดินยาก และบ่อยครั้งที่ต้องผ่านเข้าไปในความมืด

พระวจนะของพระเจ้าในพระธรรมยอห์น 8:12 ได้กล่าวดังนี้ว่า 12อีกครั้งหนึ่งพระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า "เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต"

เอ๊ะ... ผมพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า พระเยซูกำลังบอกว่า ผู้ที่ตามพระองค์นั้นจะไม่เดินในความมืด แต่ทำไมผมกำลังบอกว่า บนเส้นทางชีวิตคริสเตียนที่เรากำลังดำเนินอยู่นั้น บ่อยครั้งที่ต้องผ่านเข้าไปในความมืด ผมขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพ เพื่อจะได้เข้าใจง่ายขึ้น

ผมเชื่อว่าทุกท่านคงเคยอยู่ในเหตุการณ์ไฟฟ้าดับ และหลายท่านคงจำเหตุการณ์ไฟฟ้าดับทั่วเมืองยะลาเมื่อค่ำวันที่ 14 กรกฎาคม ปี 2548 ได้ แน่นอนว่าในขณะนั้นเบื้องแรกเราตกอยู่ในแวดล้อมของความมืด แต่เมื่อเราได้จุดโคมไฟ หรือตะเกียง เราก็ไม่อยู่ในความมืดอีกต่อไป เราอยู่ในความสว่าง แม้ว่ารอบๆตัวเรานั้นยังคงมีความมืดปกคลุมอยู่

ภาพนี้เป็นตัวอย่างให้เห็นว่า ตั้งแต่เมื่อความบาปเข้ามาในโลก ทำให้โลกนี้ถูกปกคลุมด้วยความมืด เราทั้งหลายที่เป็นผู้เชื่อในพระเยซู แม้ว่าเราได้รับความรอดแล้ว และมีจุดหมายปลายทางที่แผ่นดินสวรรค์ซึ่งสว่างสุกใส เพราะพระเจ้าทรงเป็นความสว่างที่นั่น แต่ช่วงชีวิตที่เรายังดำเนินอยู่ในโลก เราก็เหมือนกับการอยู่ในเส้นทางที่มืด เราจำเป็นต้องมีแสงสว่างที่ส่องนำย่างเท้าของเรา ซึ่งแน่นอนว่า คำตรัสของพระเยซูนั้น ก็ถูกต้องแล้วที่ว่า พระองค์ทรงเป็นความสว่างของโลก เพราะมีเพียงพระองค์เท่านั้นที่ทรงเป็นแสงสว่างได้ มนุษย์ทุกคนตั้งแต่อดีตมา ล้วนตกอยู่ในความบาป จึงไม่สามารถที่จะเป็นแสงสว่างส่องนำผู้อื่นได้

และเมื่อเราได้อ่านในพระกิตติคุณยอห์น บทที่ 1 เราจะยิ่งเห็นภาพชัดว่า พระวาทะที่ได้ทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือพระเยซูคริสต์ และพระวาทะมีความหมายว่าพระวจนะ หรือพระดำรัสของพระเจ้า ยิ่งทำให้เราเห็นภาพชัดยิ่งขึ้นว่า พระเยซูก็คือพระวจนะที่เป็นโคมสำหรับย่างเท้าของเรานั่นเอง

วันนี้เราจะมาพิจารณาว่า “โคมสำหรับเท้า” ที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานให้กับผู้เชื่อนั้น เป็นอย่างไร ใช้อย่างไร และเราได้ใช้อย่างถูกต้องแล้วหรือไม่

ประการที่ 1 วัตถุประสงค์ของพระวจนะซึ่งเป็นโคมสำหรับเท้านั้นเป็นอย่างไร?

จริงๆแล้วคำว่า “โคมสำหรับเท้า” ก็เป็นคำที่มีความชัดเจนอยู่ในตัวเอง จนไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่มอีก แต่จะขอยกตัวอย่างประกอบเพิ่มเติม เพื่อให้เห็นภาพในมุมกว้างยิ่งขึ้น

เวลาที่ไฟฟ้าดับ แล้วเราต้องใช้ไฟฉายในการเดินไปมาในบ้าน เราใช้ไฟฉายนั้นส่องเพดาน หรือส่องเท้าครับ แต่ผมว่าส่องเส้นทางที่เรากำลังต้องการจะไป น่าจะดีกว่านะครับ

แน่นอนว่า เราใช้ประโยชน์จากโคมนี้ เพื่อบรรลุความประสงค์ของเรา แต่ความประสงค์ของเราคืออะไร หากเราประสงค์จะมองหาจิ้งจกบนเพดาน โคมนี้ก็อาจจะช่วยเราได้ แต่เราจะไม่เคลื่อนไปไหน อยู่กับที่แบบนั้น บางคนอาจเถียงในใจว่า ใครว่าไม่เคลื่อนไปไหน จิ้งจกมันวิ่งหนีไปอีกห้องผมก็ตามไปจ๊ะเอ๋มัน เพราะมันน่ารักน่าเอ็นดู ไม่เป็นไรครับ ไว้เลิกสนุกกับการจ๊ะเอ๋กับจิ้งจกเมื่อไรช่วยบอกด้วยนะครับ จะได้มาคุยเรื่องวัตถุประสงค์ของโคมนี้กัน
หรือเราอาจบอกว่าเรามีความประสงค์ในการใช้โคมนี้เพื่อการส่องเท้า ยิ่งมีเพื่อนๆร่วมกันส่องหลายๆคน ยิ่งสนุก ส่องดูแล้วมาประกวดแข่งกันในระหว่างเพื่อน ว่าใครมีขี้เล็บมากกว่ากัน อย่างนี้ก็ไม่เคลื่อนที่ไปไหนเช่นกัน ครับแล้วนักโต้แย้งเจ้าเก่าก็เริ่มเถียงในใจอีก ใครว่าส่องเท้าดูขี้เล็บแล้วไม่เคลื่อนไหวไปไหน นี่ถ้าใครชนะจะส่งไปโกอินเตอร์ ประกวดขี้เล็บระดับนานาชาติเลย ไม่เป็นไรครับ ถ้าอย่างนั้นก็ยินดีด้วยที่จะได้โกอินเตอร์

ตัวอย่างที่ผมเล่าให้ฟัง อาจจะดูปัญญาอ่อนนิดๆ แต่เชื่อไหมครับว่า นี่เป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้คริสเตียนจำนวนมาก ไม่สามารถเดินบนเส้นทางชีวิตคริสเตียนได้ แม้ว่าจะสะสมพระคัมภีร์ไว้หลายเล่ม หลายเวอร์ชั่น หลายภาษา แม้ว่าจะได้เคยอ่านพระคัมภีร์ แม้ว่าจะได้ฟังคำเทศนา หรือมาเรียนพระคัมภีร์ แต่ไม่ได้เข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของ “โคมสำหรับเท้า” ที่ถืออยู่ในมือ

วัตถุประสงค์ของโคมสำหรับเท้า ก็เพื่อไม่ให้เราต้องบาดเจ็บ เนื่องจากหินสะดุด หรืออุปสรรคที่อยู่บนเส้นทาง แสงสว่างจากโคมนั้นจะส่องให้เราเห็น หมายความว่า หากเราพิจารณาใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า เราจะมองเห็น หรือมองออก ว่าสิ่งที่เราเผชิญในชีวิตประจำวันนั้น สิ่งใดที่จะทำให้เกิดปัญหาได้ เพื่อเราจะหลีกเลี่ยงได้ สิ่งใดเป็นสิ่งมีค่าเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า เพื่อเราจะรีบกระทำและได้รับพร

ไฟฉายไม่ได้ทำให้ เศษแก้วแตกบนพื้นเลื่อนหลบไปจากทาง แต่แสงสว่างนั้นส่องให้เราเห็น เพื่อเราจะหลบเลี่ยงไปได้ พระวจนะของพระเจ้าซึ่งเป็นโคมสำหรับเท้านั้นไม่ได้ทำให้ปัญหาหรืออุปสรรคหายไป แต่ช่วยให้เรามองเห็น และสามารถที่จะหลบเลี่ยงไปได้

คำถามคือ จะเกิดอะไรขึ้นหากโคมได้ส่องให้เห็นอุปสรรคนั้นแล้ว แต่ไม่หลบ ไม่เลี่ยง ผลลัพธ์เป็นอย่างไร ก็คงไม่อาจจะมาโทษโคมได้ ปัญหาในชีวิตของคริสเตียนส่วนหนึ่ง เกิดจากไม่ได้ใช้โคมส่อง จึงมองไม่เห็นว่าสิ่งใดจะสร้างปัญหา แต่มีไม่น้อยที่เลือกจะ “ลองดี” ซึ่งผลที่เกิดขึ้นก็ต้องถือว่าเป็นบทเรียน จนกว่าจะสำนึกได้ว่า พระเจ้าทรงให้โคมสำหรับเท้ามาเพื่ออะไร ชีวิตก็จะเปลี่ยนแปลงดีขึ้น

ประการที่ 2 เราใช้พระวจนะซึ่งเป็นโคมสำหรับเท้าอย่างไร ?

สมัยนี้เรานิยมอุปกรณ์ที่ใช้งานได้อเนกประสงค์ เช่นโทรศัพท์มือถือในปัจจุบัน สามารถโทรเข้าออกได้ รับส่งข้อความได้ รับส่งภาพและเสียงได้ ถ่ายภาพได้ รับฟังวิทยุได้ จดบันทึกนัดหมายได้ ตั้งเวลาปลุกได้ ใช้จีบสาวได้ ใช้ปาหัวโจรได้ ใช้โกงการสอบได้ ใช้เป็นของกำนัลในการคอรัปชั่นได้ ฯลฯ เราจะเห็นได้ว่า การใช้งานบางอย่างก็ตรงกับวัตถุประสงค์ในการออกแบบมา แต่การใช้งานบางอย่างนั้น ก็เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ จนกระทั่งผู้ออกแบบสร้างมาก็ยังต้องรู้สึกประหลาดใจ

พระวจนะซึ่งเป็นโคมสำหรับเท้านั้น พระเจ้าได้ทรงออกแบบสร้างมาเพื่อใช้ประโยชน์ในเส้นทางแห่งความมืดในโลกนี้ ทั้งเพื่อให้เราได้เห็นอันตรายและหลบหลีกได้ ทั้งเพื่อให้เราคลายความหวาดกลัวต่อความมืดที่อยู่รอบด้าน ทั้งเพื่อให้เราเป็นความหวังเป็นที่พึ่งของคนที่อยู่รอบข้าง และอีกมากมาย

การมีความคิดสร้างสรรค์นั้นเป็นสิ่งที่ดี ดังนั้นการประยุกต์ใช้โคมสำหรับเท้าให้สามารถใช้ประโยชน์นอกเหนือจากที่ถูกออกแบบไว้ก็น่าจะเป็นสิ่งดี ใช่หรือไม่? เช่นเป็นยานอนหลับ เป็นอุปกรณ์ไล่ผี เป็นเครื่องมือในการจีบสาว เป็นเครื่องมือในการเสริมบารมีของตนเอง เป็นเครื่องอาวุธในการพิฆาตผู้ที่มีความเห็นแตกต่างจากเรา และอีกมากมาย แหม... ผมชักจะไม่แน่ใจว่าจะเรียกเป็นความคิดสร้างสรรค์ได้หรือเปล่า

ขอให้เราได้ใช้พระวจนะของพระเจ้าอย่างถูกต้องตามวัตถุประสงค์ “ก่อน” อย่าเพิ่งไปพยายามใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการพลิกแพลงวิธีการใช้ เพราะ “ไม่อยู่ในการรับประกัน” ว่าจะได้ผลดี

หากเราได้ใช้พระวจนะของพระเจ้าอย่างถูกต้องแล้ว เราจะรู้ว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นสมบูรณ์แบบ และไม่จำเป็นต้องสรรหาวิธีการใช้ที่แปลกประหลาดอื่นใดอีก


คำ “สวยหรู” (และเริ่มเป็นที่ “น่าเบื่อ” บ้างแล้ว)ของยุคนี้คือคำว่า “คิดนอกกรอบ” เราจะเห็นได้จากหนังสือหรือวารสารเกี่ยวกับแนวคิดใหม่ๆในการบริหารธุรกิจ จะแนะนำให้คิดหรือทำอะไรนอกกรอบ ก็เป็นแนวคิดที่น่าสนใจดีครับ หลายคนในโลกนี้ก็ “นอกกรอบ” แล้วประสพผลสำเร็จ จึงได้นำมาเล่าสู่กันฟังเป็นที่ตื่นเต้นว่ามันได้ผลอย่างไร แต่อีกจำนวนหนึ่งหลังจากได้พยายาม “นอกกรอบ” แล้วก็ล้มหายตายจากไปจึงไม่ได้มาเล่าให้ฟังว่ามันไม่ได้ผลอย่างไร

การคิดหรือทำอย่างนอกกรอบ กับ “โคมสำหรับเท้า” ที่พระเจ้าทรงออกแบบและประทานให้เรานั้น เป็นสิ่งที่ทำได้หรือไม่ และสมควรทำหรือไม่ อะไรที่อยู่เบื้องหลังความคิดที่เราอย่างจะทำแบบนั้น

บางทีเราอาจอยากจะลองดูว่า ถ้าออกนอกเส้นทางที่แคบๆสายนี้ เป็นอย่างไร จะไปกลัวอะไรในเมื่อมีโคมสำหรับเท้าอยู่แล้ว แม้ว่านอกเส้นทางจะมืด แต่โคมสำหรับเท้าก็น่าจะสามารถช่วยให้เรามองเห็นและเดินไปได้เช่นกัน แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อันตราย การออกนอกเส้นทางสายแคบๆนี้ไป โดยหวังว่าโคมส่องเท้าจะสามารถนำเรากลับมาสู่เส้นทางได้อีก เมื่อเราได้กระทำทุกอย่างที่เราต้องการอย่างหนำใจแล้ว หลายคนต้องเสียไปเพราะความคิดแบบนี้

สดุดี 119:96-100
96ข้าพระองค์เคยเห็นขอบเขตของความสำเร็จทั้งสิ้นแล้ว แต่พระบัญญัติของพระองค์กว้างขวางเหลือเกิน 97แหม ข้าพระองค์รักพระธรรมของพระองค์จริงๆ เป็นคำภาวนาของข้าพระองค์วันยังค่ำ 98พระบัญญัติของพระองค์ กระทำให้ข้าพระองค์ฉลาดกว่าศัตรูของข้าพระองค์ เพราะพระบัญญัตินั้นอยู่กับข้าพระองค์เสมอ 99ข้าพระองค์มีความเข้าใจมากกว่าบรรดาครูของข้าพระองค์เพราะบรรดาพระโอวาทของพระองค์เป็นคำภาวนาของข้าพระองค์ 100ข้าพระองค์เข้าใจมากกว่าคนสูงอายุ เพราะข้าพระองค์รักษาข้อบังคับของพระองค์


น่าจะเพียงพอที่จะเป็นคำตอบว่า พระวจนะของพระเจ้ายิ่งใหญ่พอที่จะครอบคลุมทุกแนวทางแห่งความสำเร็จ โดยไม่ต้องพยายามดิ้นรนใช้อย่าง “นอกกรอบ”

ประการที่ 3 โคมสำหรับเท้า เป็นมรดกที่จะมอบให้กับลูกหลานหรือเปล่า?

พูดถึงมรดก ก็ทำให้คิดได้ทั้งสองด้าน บางครอบครัวก็มีสุขเพราะมรดกที่ได้รับ แต่สำหรับบางครอบครัว มรดกก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ครอบครัวพินาศไป

ตัวมรดกเองก็มีทั้งมรดกที่มีคุณค่า มีราคา เช่นบ้านเรือน หรือกิจการ กับมกดกที่ใครก็ไม่อยากได้ เช่นหนี้สิน แทบทุกครอบครัวล้วนแล้วแต่มีมรดกที่จะส่งมอบให้ลูกหลาน มากบ้างน้อยบ้าง อยู่ในรูปของทรัพย์สินบ้าง อยู่ในรูปของวิชาชีพบ้าง สำหรับครอบครัวของคนที่เชื่อในพระเจ้านั้น “โคมสำหรับเท้า” น่าจะถูกนับรวมเป็นมรดกอย่างหนึ่งด้วย

ผมไม่ได้หมายถึง หนังสือพระคัมภีร์เป็นเล่มๆ ที่สมัยก่อนคุณปู่เคยใช้ มอบให้คุณพ่อมา แล้วคุณพ่อก็มอบให้ลูก ลูกก็มอบให้หลาน ต่อๆกันไป อย่างนั้นอาจจะพอนับเป็นมรดกตกทอดได้บ้าง แต่ผมกำลังหมายถึง “วิถีชีวิตที่มีพระวจนะของพระเจ้าเป็นโคมสำหรับเท้า”

การที่จะส่งทอด “วิถีชีวิต” ให้เป็นมรดกได้นั้น มันเป็นเรื่องของการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เรื่องของการซื้อหามาเก็บไว้ การที่ลูกหลานจะได้รับวิถีชีวิตที่มีพระวจนะของพระเจ้าเป็นโคมสำหรับเท้าไปเป็นมรดกนั้น ชีวิตในครอบครัวจะต้องสำแดงเป็นการกระทำ เพื่อว่าเมื่อลูกหลานได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้นเคยกับพระวจนะของพระเจ้าแล้ว เขาจะมีพระวจนะของพระเจ้าติดตัวไปเป็นมรดก และเป็นมรดกที่ไม่มีใครมาแย่งชิงเอาไปได้ เป็นมรดกที่จะไม่มีวันหมด และยังสามารถส่งต่อไปยังรุ่นต่อไปได้ด้วย

บางครั้งเราดิ้นรนและสะสมทรัพย์สิ่งของมากมาย เพื่อเตรียมไว้เป็นมรดกให้กับลูกหลาน แต่เรากลับลืมมรดกที่สำคัญที่สุดไป ยิ่งกว่านั้น เราเองไม่ได้เตรียมชีวิตของลูกหลานให้คุ้นเคยกับมรดกชิ้นสำคัญนี้ เพราะเราเองก็ไม่ค่อยให้ความสนใจกับโคมสำหรับเท้ามากนัก อนาคตของลูกหลานจะมืดมนสักเพียงใด หากว่าเมื่อเราจากโลกนี้ไป เขาจะต้องเดินในเส้นทางตามลำพังโดยไม่มีโคมสำหรับเท้า


ขอพระเจ้าช่วยเราให้มาถึงจุดที่ รู้จัก เข้าใจ ใช้ และส่งมอบโคมสำหรับเท้าไปสู่ลูกหลานของเรา



Create Date : 14 ธันวาคม 2552
Last Update : 14 ธันวาคม 2552 9:38:34 น. 3 comments
Counter : 980 Pageviews.  
 
 
 
 
สวัสดีค่ะ ดีใจและขอบคุณพระเจ้าสำหรับการพบกับข้อคิดในพระวจนะของพระองค์ผ่านทางการถ่ายทอดของ จขบ.ค่ะ ดิฉันเป็นคริสเตียนคนหนึ่งเช่นกัน ขอสารภาพว่าบางครั้งก็ล้มลงต่อบาปและความปรารถนาฝ่ายโลก และก็มีหลายครั้งที่ยังมีความสงสัยในน้ำพระทัยของพระเจ้าที่มีต่อตัวเอง เหมือนคนที่ยังไม่เข้าใจอะไรเลยใช่ไหมค่ะ แต่ตอนนี้ก็ดีขึ้นมากแล้วค่ะ พยายามมองสิ่งรอบตัวด้วยหัวใจของพระเจ้า พยายามรักให้ได้อย่างที่พระองค์ทรงรัก แต่มันยากเหลือเกินค่ะ
ขอบคุณสำหรับข้อคิดดีๆ และความรู้ความเข้าใจที่ทำให้มองลึกลงไปอีกระดับหนึ่งในพระวจนะของพระเจ้านะค่ะแล้วจะแวะมาอ่านบ่อยๆ
ขอพระเจ้าคุ้มครองและอวยพระพรนะค่ะ
 
 

โดย: som IP: 58.11.83.94 วันที่: 14 ธันวาคม 2552 เวลา:10:19:18 น.  

 
 
 
รบกวนถามหน่อยนะคะ ว่า นี่ป๊อกรึป่าว คือถ้าใช่ หรือไม่ใช่ยังไง ช่วย เมลกลับมา ที่ umi54@hotmail.com ด้วยนะคะ รบกวนด้วยคะ

Ps. ถ้ารู้จัก ค้า หรือว่า ให้ข้อมูลเพิ่มเติมจะยินดีอย่างยิ่งเลยนะค่ะ ไม่แน่ใจว่าชื่อป๊อกรึป่าว แต่ว่า เรียนที่เดียวกับเจ้าของ blog ไม่มีผิดเลยคะ
 
 

โดย: ..... IP: 172.17.13.11, 202.57.132.197 วันที่: 27 ธันวาคม 2552 เวลา:9:26:42 น.  

 
 
 
สวัสดีครับ คุณ som ขอบคุณพระเจ้าครับที่คำแบ่งปันเป็นพระพรกับคุณ

คุณ .... ไม่ใช่ป๊อกครับ มีเพื่อนที่เคยเรียนห้องเดียวกันที่เทคโนฯ ชื่อป๊อก
ไม่ได้เจอ 20 ปีแล้ว คิดถึงอยู่เหมือนกัน
 
 

โดย: ksk วันที่: 27 ธันวาคม 2552 เวลา:23:49:06 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

ksk
 
Location :
ยะลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ผมเป็นคริสเตียนครับ
เป็นชาวยะลา เกิดปัตตานี ลูกจีนไหหลำ
จบวิศวกรรมไฟฟ้า(ระบบควบคุม) จากพระจอมเกล้าพระนครเหนือ EL รุ่น 24 รหัส 31 (เคยเรียน ป.วส. IE ห้องอิเล็ก ที่ วทอ. 2 ปี รหัส 29 ห้องเดียวกับ ศิริ แว่น สมชาย สุกิตติ จั๊บ ไพบูลย์ จ่าบุญเลิศ ก่อนย้อนไปเริ่มต้นป.ตรี ปี 1 ใหม่กับรุ่นน้องในคณะวิศวฯ พูดง่ายๆว่า ซิ่ว 2 ปี)
ป.โท วิศวกรรมการบิน(Avionique) จาก SUPAERO
Toulouse FRANCE ปี 1994
เคยรับราชการเป็นอาจารย์ในคณะวิศวฯที่พระนครเหนือ 8 ปี ผลงานก็ไม่มีอะไรมาก KMITNB Robot Camp เป็นสิ่งที่ยังพอให้ภาคภูมิใจเมื่อมองกลับไปที่เทคโนฯ ด้วยความคิดถึง 14 ปี อันแสนหวานกับชีวิตในพระนครเหนือ(มิย.ปี 29 - มิย.ปี 43)
ตอนนี้ลาออกจากราชการ มาหากินด้วยลำแข้ง(ไม่ใช่เป็นนักมวยไทยนะ)
ที่จังหวัดยะลาบ้านเกิด ตั้งแต่มิถุนายน ปี Y2K
กำลังจะรุ่งเรืองแล้วเชียว 4 มกราคม 2547
สถานการณ์ไฟใต้ก็เริ่มขึ้น
สิ่งที่เคยคิดว่าสักวันหนึ่งจะต้องเกิด มันก็เกิด
และยาวมาจนถึงตอนนี้
ผมยังนึกไม่ออกมันจะจบลงแบบไหน free counter

free counter

New Comments
[Add ksk's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com