ถ้าพระเจ้าไม่มีจริง คุณได้หรือเสียอะไร? แต่ถ้าพระเจ้ามีจริง คุณได้หรือเสียอะไร?

<<
เมษายน 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
7 เมษายน 2551
 

ความสว่างแห่งชีวิต (ตอนที่ 2)

6 เมษายน 2008
คริสตจักร ยะลา

เอเฟซัส 1:17-23
17ข้าพเจ้าอธิษฐานว่า ขอพระเจ้าแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา คือพระบิดาผู้ทรงพระสิริทรงโปรดประทานให้ท่านทั้งหลาย มีจิตใจอันประกอบด้วยสติปัญญา และความประจักษ์แจ้งในเรื่องความรู้ถึงพระองค์ 18และขอให้ตาใจของท่านสว่างขึ้น เพื่อท่านจะได้รู้ว่า ในการที่พระองค์ทรงเรียกท่านนั้น พระองค์ได้ประทานความหวังอะไรแก่ท่าน และรู้ว่า มรดกของพระองค์สำหรับธรรมิกชนมีสง่าราศีอันอุดมบริบูรณ์เพียงไร 19และรู้ว่า ฤทธานุภาพอันใหญ่ของพระองค์มีมากยิ่งเพียงไร สำหรับเราทั้งหลายที่เชื่อ ตามอำนาจของพระกำลัง และฤทธานุภาพอันใหญ่ยิ่งของพระองค์ 20ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำในพระคริสต์ เมื่อทรงชุบให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย และให้สถิตเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ในสวรรคสถาน 21สูงยิ่งเหนือบรรดาเทพผู้ครอง เหนือศักดิเทพ เหนืออิทธิเทพ เหนือเทพอาณาจักร และเหนือนามทั้งปวงที่เขาเอ่ยขึ้น มิใช่ในยุคนี้เท่านั้น แต่ในยุคที่จะมาถึงด้วย 22พระเจ้าได้ทรงปราบสิ่งสารพัดลงไว้ใต้พระบาทของพระคริสต์ และได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นประมุขเหนือสิ่งสารพัดแห่งคริสตจักร 23ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ คือซึ่งเต็มบริบูรณ์ด้วยพระองค์ ผู้ทรงอยู่เต็มทุกอย่างทุกแห่งหน


อธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่ง เราทั้งหลายขอบพระคุณพระองค์สำหรับพระคุณอันมากล้นที่ทรงประทานให้แก่ วันนี้ขอพระเจ้าทรงให้เราทั้งหลายมีใจที่ประกอบด้วยสติปัญญา มีความประจักษ์แจ้งในเรื่องความรู้ถึงพระองค์ ขอให้ตาใจของเราทั้งหลายสว่างขึ้น เพื่อเราทั้งหลายจะรู้ว่าพระองค์ได้ทรงประทานความหวังอะไรให้แก่เรา และรู้ว่าพระองค์มีฤทธิ์อำนาจมากเพียงไร


ความเดิมตอนที่แล้ว เราได้พูดถึงสถานะที่เปลี่ยนไปเมื่อเรามารู้จักกับพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอด จากที่เราเป็นเหมือนเด็กกำพร้า เราได้รับการเปลี่ยนฐานะเป็นบุตรของพระเจ้า เป็นเหมือนแสงสว่างได้สาดส่องเข้ามาในชีวิตที่เคยมืดมนไร้ความหวัง แต่เด็กน้อยที่ได้รับการเปลี่ยนฐานะนั้น ก็ต้องเรียนรู้หลายประการว่า การที่เขาได้เป็นบุตร ไม่ได้หมายความต่อไปนี้เขาไม่ต้องไปโรงเรียน ไม่ต้องทำการบ้าน ไม่ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบใดๆ เขายังคงต้องทำสิ่งเหล่านั้นอยู่ แต่ด้วยท่าทีใหม่ และด้วยความหวังใจใหม่ เปรียบได้กับชีวิตของผู้ที่มาเชื่อในพระเยซู ความสว่างได้สาดส่องเข้ามาในชีวิตไม่ได้หมายความว่า ต่อไปนี้จะได้นั่งกินนอนกิน งานการไม่ต้องทำกัน พระเจ้าจะส่งทรัพย์สมบัติมาให้จากฟากฟ้า ความสว่างที่ส่องเข้ามาในชีวิตไม่ได้หมายความอย่างนั้น ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ยังคงต้องทำการงานอาชีพต่อไป แต่ด้วยท่าทีใหม่ ด้วยความหวังใจใหม่

นอกจากนี้ ยังมีภาพเปรียบเทียบในเรื่องของคนร่อนเร่ ไร้ถิ่นฐาน สกปรกมอมแมม แบกกระสอบเก่าๆ เดินทางไปเรื่อยๆไม่มีจุดหมาย วันหนึ่งได้พบกับโอกาสที่จะเข้าเป็นพลเมืองของแผ่นดินแห่งหนึ่ง ขั้นตอนในการเข้าเป็นพลเมืองนั้น เขาจะได้รับการชำระร่างกาย เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ และทิ้งกระสอบเก่าๆใบนั้นเสีย ภาพเหล่านี้เปรียบเหมือนกับชีวิตของมนุษย์ ก่อนที่จะมารู้จักกับพระเยซูคริสต์ ก็เป็นคนร่อนเร่ สกปรกมอมแมมไปด้วยสารพัดความบาป ทั้งเห็บหมัดและพยาธิที่เกาะกินชีวิต เสื้อผ้าเก่าเปรียบเหมือนกับอุปนิสัยที่เลวร้ายน่ารังเกียจ และกระสอบที่เต็มไปด้วยความบาปที่เก็บสะสมไว้ตลอดเส้นทางชีวิตที่เดินมา แสงสว่างได้ส่องมาถึงคนคนนี้ เขาจะตัดสินใจอย่างไรกับโอกาสที่อยู่ตรงหน้า จะรับชีวิตใหม่ หรือจะยังคงกอดสิ่งสกปรกเก่าๆเอาไว้ วันนี้เราจะมาพิจารณาถึง “ความสว่างแห่งชีวิต” กันต่อในตอนที่ 2


ผมเชื่อว่าพวกเราทุกคนที่นี้เคยมีประสบการณ์ในการเดินในที่มืดมาก่อน อย่างน้อยก็ตอนที่ไฟฟ้าดับ เราจะพบว่าปัญหาของการเดินในที่มืดคือ การไม่รู้ทิศทาง, การสะดุดหรือชนกับวัตถุสิ่งของ, จะทำการงานอะไรก็ไม่สามารถทำให้ดีดังที่ตั้งใจได้, เกิดความกลัวว่าจะมีอันตรายมาถึงตัว หรือแม้แต่เป็นอันตรายต่อผู้อื่น ฯลฯ

ปัญหาของการเดินในความมืดประการแรกคือการไม่รู้ทิศทาง ทำให้เราไปผิดที่ ผิดทาง ผิดเป้าหมาย หากเป็นแค่เหตุการณ์ไฟฟ้าดับขณะที่เราอยู่ในบ้านของเราเอง เราอาจจะยังพอจดจำได้ว่าสถานที่ไหนอยู่ตรงไหน อาจจะสามารถคลำหาทางไปได้อยู่บ้าง แต่หากเป็นสถานที่ที่เราไม่คุ้นเคยเช่นในป่า หรือในทะเล หากขาดซึ่งแสงสว่างแล้ว การที่จะไปให้ถูกทางก็เป็นไปได้ยาก เพราะเราไม่รู้แม้แต่ทิศทาง

มีเหตุการณ์หนึ่งซึ่งผมจดจำได้จากภาพยนตร์เรื่อง Apollo 13 ซึ่งสร้างขึ้นจากเรื่องจริง ตัวเอกของเรื่องได้เล่าประสบการณ์ในชีวิตของเขาสมัยที่ขับเครื่องบินรบในคืนหนึ่งระหว่างสงคราม ขณะที่กำลังบินอยู่เหนือทะเลเพื่อกลับเรือบรรทุกเครื่องบิน เรือต้องดับไฟมืดสนิทเพื่อไม่ให้ศัตรูสังเกตเห็น เวลานั้นเรดาห์นำทางถูกข้าศึกรบกวน ระบบนำร่องของเครื่องบินก็ใช้การไม่ได้ ทำให้ไม่สามารถรู้ตำแหน่งของตัวเองว่ากำลังบินอยู่ที่ใด ขณะที่กำลังค้นหาหนทางจากแผนที่ ซ้ำร้าย ระบบไฟฟ้าส่องสว่างในเครื่องบินก็เกิดเสียตามไปด้วย ทำให้แสงสว่างเท่าที่พอจะมีก็หายไปหมด เป็นเรื่องที่เลวร้ายอะไรอย่างนั้น แต่... สิ่งที่ไม่คาดฝันก็คือ เมื่อไฟฟ้าส่องสว่างในเครื่องบินดับลงนั้น ทำให้มันมืดพอที่จะมองเห็นแสงบางอย่างบนพื้นน้ำ ซึ่งก็คือแสงที่เรืองขึ้นมาจากท้องทะเลเป็นทางยาว เนื่องจากเรือที่วิ่งผ่านไปได้ทำให้สาหร่ายเรืองแสงลอยตัวขึ้นมา และเขาได้ใช้สิ่งนั้นเป็นเครื่องนำทางจนกลับถึงเรือบรรทุกเครื่องบินได้

เรื่องนี้มีบทเรียนที่น่าสนใจ หลายๆครั้งในชีวิตของเราขณะที่ดำเนินไปนั้น เราอาจกำลังประสพกับปัญหาบางประการ และขณะที่ยังแก้ไม่ตก ปัญหาที่สองที่สามที่สี่ ก็ทับถมตามกันมา เราอาจกำลังมองหาหนทางที่จะออกจากวิกฤตการณ์นั้น แต่ซ้ำร้าย แสงสว่างเท่าที่เราเองพอจะมีอยู่ก็ยังดับไปเสียอีก หากเราเป็นบุตรของพระเจ้า จงจดจำไว้ว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นแสงสว่าง บางครั้งกว่าที่เราจะเห็นแสงสว่างของพระองค์ที่จะนำเรา ก็จะต้องมาถึงจุดที่มืดมิดที่สุดเสียก่อน นั่นคือจุดที่เราไม่มีความหวังในสิ่งใดๆอีกแล้วนอกเหนือจากพระองค์ และจุดนี้เองจะเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เรารู้จักความหมายของคำว่า “ความสว่างแห่งชีวิต” ที่จะนำหน้าเราไปอย่างถูกทิศทาง

ยอห์น 12:35-36
35พระเยซูตรัสกับเขาว่า "ความสว่างจะอยู่ไปกับท่านทั้งหลายอีกหน่อยหนึ่ง เมื่อยังมีความสว่างอยู่ก็จงเดินไปเถิด เกรงว่าความมืดจะตามมาทันท่าน ผู้ที่เดินอยู่ในความมืด ย่อมไม่รู้ว่าตนไปทางไหน
36เมื่อท่านทั้งหลายมีความสว่าง ก็จงวางใจในความสว่างนั้น เพื่อจะได้เป็นลูกแห่งความสว่าง" เมื่อพระเยซูตรัสดังนั้นแล้วก็ทรงจากเขาไป และซ่อนพระองค์ให้พ้นจากพวกเขา


ปัญหาของการเดินในความมืดประการต่อมาคือเราจะสะดุดหรือชนกับวัตถุสิ่งของ ทั้งนี้ก็เพราะเรามองไม่เห็น แม้ว่าวัตถุนั้นจะชิ้นใหญ่หรือเล็ก จะแข็งหรือนุ่ม จะอันตรายหรือไม่ ในเมื่อมองไม่เห็นก็ไม่รู้ว่ามีวัตถุนั้นอยู่ สิ่งนี้เปรียบเทียบได้กับความผิดบาปที่มีอยู่ในสังคมที่มืดมิด หากไม่มีแสงสว่างเราก็มองไม่เห็น หากไม่มีพระเยซูในชีวิต เราก็จะมองไม่เห็นว่าสิ่งใดเป็นบาป สิ่งใดเป็นสิ่งที่พระเจ้าไม่พอพระทัย ความสว่างของพระเยซูคริสต์ที่เข้ามาในชีวิตของเรา ก็เพื่อเปิดเผยให้เราเห็นว่าสิ่งใดเป็นบาป สิ่งใดเป็นสิ่งที่พระเจ้าไม่พอพระทัย

หากว่าในชีวิตประจำวันของเราดำเนินไปโดยที่ไม่มีความสว่างของพระเยซูคริสต์ เราก็จะสะดุดกับความบาปผิด เหมือนกับการเดินชนกับตู้เสื้อผ้า หรือเดินไปเหยียบกาวดักหนู แน่นอนว่าเราจะต้องได้รับบาดเจ็บไม่มากก็น้อย การที่เราเดินในที่สว่าง เราก็จะมองเห็นว่าสิ่งใดอยู่ที่ใด เราคงจะไม่เดินเอาหัวไปพุ่งชนตู้เย็น หรือเดินไปเตะกระถางต้นไม้ เมื่อเราดำเนินชีวิตไปโดยมีความสว่างของพระเยซู เราจะสามารถมองเห็น และรู้ว่าสิ่งใดเป็นบาป สิ่งใดพระเจ้าไม่พอพระทัย และเชื่อว่าเมื่อเห็นดังนั้น เราคงจะไม่เอาตัวเข้าไปคลุกคลีกับสิ่งอย่างนั้น แต่หากเห็นแล้วรู้แล้วยังทำอยู่ การบาดเจ็บที่เกิดขึ้นจะโทษใคร

เอเฟซัส 5:8-14
8เพราะว่าเมื่อก่อนท่านเป็นความมืด แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างแล้วในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตอย่างลูกของความสว่าง 9(ด้วยว่าผลของความสว่างนั้น คือความดีทุกอย่างและความชอบธรรมทั้งมวลและความจริงทั้งสิ้น)
10 ท่านจงพิสูจน์ดูว่า ทำประการใดจึงจะเป็นที่ชอบพระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้า 11และอย่าเข้าส่วนกับกิจการของความมืดอันไร้ผล แต่จงเผยกิจการนั้นให้ปรากฏดีกว่า 12เพราะว่าแม้แต่จะพูดถึงการเหล่านั้น ซึ่งพวกเขากระทำในที่ลับก็ยังเป็นที่น่าละอาย 13แต่เมื่อสิ่งสารพัดที่ได้แสดงเปิดเผยออกโดยความสว่าง สิ่งนั้นก็ปรากฏแจ้ง เพราะว่าทุกๆสิ่งที่ปรากฏแจ้ง ก็คือความสว่าง 14เหตุฉะนั้นจึงมีคำกล่าวว่า นี่แน่ะคนที่หลับอยู่ จงตื่นขึ้น และจงฟื้นขึ้นมาจากความตาย และพระคริสต์จะทรงส่องสว่างแก่ท่าน


ปัญหาประการต่อมาของการเดินในความมืดคือ จะทำอะไรให้ดีก็ไม่สามารถทำให้ได้ดังใจ ลองวาดภาพในที่มืดดูสิครับ หรือลองทำกับข้าวในที่มืด หรือแม้แต่อ่านหนังสือในที่มืด จริงอยู่ที่อาจจะมีกิจกรรมบางอย่างทำได้ดีในที่มืดเช่นการนอนหลับ หรือการล้างฟิล์ม แต่ทั่วๆไปแล้วการงานต่างๆจะทำได้ดีในที่ที่มีความสว่าง สิ่งนี้เปรียบได้กับการที่เราดำเนินชีวิตติดตามพระเยซูตลอดเวลา มีพระเยซูอยู่ในการงานหน้าที่ของเราเสมอ กิจการที่เราทำจึงดำเนินไปท่ามกลางความสว่าง พระธรรมสุภาษิตกล่าวว่า “จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกๆทางของเจ้า แล้วพระองค์จะกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น”

หากวิถีชีวิตของเราบางส่วนดำเนินไปโดยพระเยซูคริสต์ไม่มีส่วนร่วม อาจหมายถึงเรากำลังทำสิ่งเหล่านั้นในความมืด เช่นหากเราทำการค้าโดยที่พระเยซูมีส่วนร่วม การค้าของเราจะไม่เป็นการค้าที่ผิดกฎหมาย หรือเราทำงานราชการโดยที่พระเยซูมีส่วนร่วม งานของเราก็จะไม่ดำเนินไปด้วยการคอรัปชั่น หรือเราเรียนหนังสือโดยที่พระเยซูมีส่วนร่วม การเรียนของเราจะเป็นไปโดยความรับผิดชอบอย่างสัตย์ซื่อที่สุด

เป็นไปได้หรือไม่ว่าเราจะเปิดบ่อนการพนัน หรือขายหวยโดยมีพระเยซูร่วมด้วย เป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะค้าขายสินค้าหนีภาษีโดยมีพระเยซูร่วมด้วย เป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะเป็นข้าราชการที่รับเงินสินบนโดยมีพระเยซูร่วมด้วย หรือเป็นนักเรียนที่เกเรเหลวไหลไม่เอาถ่านโดยมีพระเยซูร่วมด้วย

1 ยอห์น 1:5-7
5นี่เป็นข้อความที่เราได้ยินจากพระองค์ และบอกแก่ท่านทั้งหลาย คือว่าพระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และความมืดในพระองค์ไม่มีเลย 6ถ้าเราจะว่า เราร่วมสามัคคีธรรมกับพระองค์และยังดำเนินอยู่ในความมืด เราก็พูดมุสา และไม่ได้ดำเนินชีวิตตามความจริง 7แต่ถ้าเราดำเนินอยู่ในความสว่าง เหมือนอย่างพระองค์ทรงสถิตในความสว่าง เราก็ร่วมสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน และพระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ ก็ชำระเราทั้งหลายให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น


ปัญหาประการต่อมาของการเดินในความมืดคือ เกิดความกลัวว่าจะมีอันตรายมาถึงตัว เป็นเหตุการณ์ที่ทุกท่านคงเข้าใจดี เมื่อเราอยู่ในที่มืด เรามักเกิดความกล้ว บางครั้งก็กลัวอย่างมีเหตุผล บางครั้งก็กลัวอย่างไม่มีเหตุผล การกลัวอย่างมีเหตุผลเช่น การเดินในซอยมืดและเปลี่ยว อาจเกิดอันตรายจากโจรผู้ร้าย อันนี้เป็นการกลัวที่สมเหตุสมผล และสามารถแก้ไขได้ โดยการไม่เดินที่ซอยที่มืดและเปลี่ยว หรือไม่ก็ต้องทำให้ซอยนั้นสว่างและไม่เปลี่ยว ตัวอย่างของการกลัวอีกเรื่อง ครั้งหนึ่งมิสชันนารีท่านหนึ่งได้เล่าให้ฟังว่า ลูกของเขาเกิดความกลัว ไม่กล้านอนคนเดียวในห้อง เมื่อถามว่าเป็นเพราะอะไร เด็กก็ตอบว่า กลัวสิงโต พ่อจึงพาเข้าไปในห้องแล้วเปิดไฟให้สว่าง แล้วบอกลูกว่า เห็นว่ามีสิงโตสักตัวในห้องหรือเปล่า

จากตัวอย่างทั้งสองเรื่องที่ยกมานั้น มี 2 ประเด็นที่น่าจะนำมาพิจารณา

ประเด็นแรก ความสว่างทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป การดำเนินชีวิตของมนุษย์ก็เช่นกัน เมื่อยังไม่รู้จักกับพระเยซูคริสต์ ก็เหมือนกับการดำเนินอยู่ในความมืด อาจมีภัยอันตรายเกิดขึ้นได้ และอาจเกิดความกลัวหลอกหลอนได้เช่นกัน พระเยซูได้บอกไว้อย่างชัดเจนว่าพระองค์สามารถช่วยได้ เพราะผู้ที่เดินตามพระองค์จะไม่เดินในความมืด

ยอห์น 8:12
12อีกครั้งหนึ่งพระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า "เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต"


ประเด็นที่สอง ความสว่างทำให้รู้ความจริง ทำให้เรารู้ว่าเรากลัวในสิ่งที่ไม่ควรกลัวหรือไม่ และเราควรรู้ว่าเราควรกลัวสิ่งใด

ลูกา 12:4-5
4 "มิตรสหายของเราเอ๋ย เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย และภายหลังไม่มีอะไรที่จะทำได้อีก 5แต่เราจะเตือนให้ท่านรู้ก่อนว่าควรจะกลัวผู้ใด จงกลัวพระองค์ผู้ทรงฆ่าตน แล้วก็ยังมีฤทธิ์อำนาจที่จะทิ้งลงในนรกได้ แท้จริง เราบอกท่านว่าจงกลัวพระองค์นั้นแหละ


ปัญหาประการต่อมาของการเดินในความมืดคือ เป็นอันตรายต่อผู้อื่น เรื่องนี้เราอาจจะไม่เคยคิด เพราะบ่อยครั้งเราคิดว่าเราจะได้รับอันตรายจากผู้อื่น หรือสิ่งอื่นๆ แต่เราเองก็อาจเป็นอันตรายต่อผู้อื่นเช่นกันหากเราดำเนินอยู่ในความมืด

เช่นเราอาจจะนั่งอยู่ในที่มืดแล้วมีคนมาสะดุดหรือชนเข้า หรือเราทำงานบางอย่างในความมืดแล้วก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้อื่น หรือเราเดินไปเดินมา แล้วไปเหบียบย่ำผู้อื่น

การดำเนินชีวิตในความมืดก่อให้เกิดปัญหาการสะดุดได้จริงๆ หากเราบอกว่าเราเป็นคนของความสว่างแต่ยังดำเนินชีวิตในท่ามกลางความมืด เราก็จะเป็นเหตุให้คนอื่นๆสะดุดได้เช่น หากเรายังซื้อหวย ดื่มสุรามึนเมา เที่ยวสถานที่อโคจร หรือทำการค้าทุจริต คนเหล่านั้นที่เห็นหรือรู้จักเราก็จะพบกับหินสะดุดก้อนใหญ่ เมื่อมีผู้นำข่าวประเสริฐของพระเยซูไปประกาศกับเขาเหล่านั้น แทนที่เขาจะมาถึงความรอด เขาจะกลับหัวเราะเยาะ เพราะการดำเนินชีวิตที่ยังอยู่ในความมืดของเรา

การดำเนินอยู่ในความมืดสามารถก่อให้เกิดเรื่องเดือดร้อนไปถึงคนอื่นๆ เราคงได้เคยเห็นจากข่าวหนังสือพิมพ์มาบ้าง การที่คนในครอบครัวทำตัวเกเร ไปมีเรื่องทะเลาะวิวาท ทำให้คู่อริตามมาทำร้ายคนในครอบครัวถึงเสียชีวิต เป็นผลกระทบที่น่าเศร้าใจอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ การดำเนินชีวิตในความมืดก่อให้เกิดการเหยียบย่ำผู้อื่น โดยปกติหากเราพบเห็นใครล้มอยู่ที่พื้น เราจะไม่เหยียบย่ำลงไป แต่คนที่เดินในความมืดจะมองไม่เห็น ทำให้ผู้อื่นถูกเหยียบย่ำกระทำให้ช้ำใจและบาดเจ็บ ในขณะผู้ที่มีพระเยซูคริสต์เป็นความสว่างในชีวิตจะมองเห็น และเข้าให้การช่วยเหลือแก่ผู้ที่ล้มลง

1เธสะโลนิกา 5:1-10
1ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย เรื่องวันและเวลาที่ทรงกำหนดไว้นั้น ไม่จำเป็นจะต้องเขียนบอกให้ท่านรู้ 2เพราะท่านเองก็รู้ดีแล้วว่า วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า จะมาเหมือนอย่างขโมยที่มาในเวลากลางคืน 3เมื่อเขาพูดว่า "สงบสุขและปลอดภัยแล้ว" เมื่อนั้นแหละความพินาศก็จะมาถึงเขาทันที เหมือนกับความเจ็บปวดมาถึงหญิงที่มีครรภ์ เขาจะหนีก็ไม่พ้น 4แต่พี่น้องทั้งหลาย ท่านไม่ได้อยู่ในความมืดแล้ว วันนั้นจะมาถึงท่านอย่างขโมยมา 5ท่านเป็นบุตรของความสว่าง และเป็นบุตรของกลางวัน เราทั้งหลายไม่ได้เป็นของกลางคืนหรือของความมืด 6เหตุฉะนั้นเราอย่าหลับเหมือนอย่างคนอื่น แต่ให้เราเฝ้าระวังและไม่เมามาย 7เพราะว่าคนนอนหลับก็ย่อมหลับในเวลากลางคืน และคนเมาก็ย่อมเมาในเวลากลางคืน 8แต่เมื่อเราเป็นของกลางวันแล้วก็อย่าให้เราเมามาย จงสวมความเชื่อกับความรักเป็นเกราะป้องกันอก และสวมความหวังที่จะได้ความรอดเป็นหมวกเหล็ก 9เพราะว่าพระเจ้ามิได้ทรงกำหนดเราไว้สำหรับพระอาชญา แต่สำหรับให้เข้าสู่ความรอด โดยพระเยซูคริสตเจ้าของเรา 10ผู้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา เพื่อว่าถึงเราจะตื่นอยู่หรือจะหลับ เราจะได้มีชีวิตกับพระองค์





Create Date : 07 เมษายน 2551
Last Update : 7 เมษายน 2551 9:37:46 น. 0 comments
Counter : 1169 Pageviews.  
 
Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

ksk
 
Location :
ยะลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ผมเป็นคริสเตียนครับ
เป็นชาวยะลา เกิดปัตตานี ลูกจีนไหหลำ
จบวิศวกรรมไฟฟ้า(ระบบควบคุม) จากพระจอมเกล้าพระนครเหนือ EL รุ่น 24 รหัส 31 (เคยเรียน ป.วส. IE ห้องอิเล็ก ที่ วทอ. 2 ปี รหัส 29 ห้องเดียวกับ ศิริ แว่น สมชาย สุกิตติ จั๊บ ไพบูลย์ จ่าบุญเลิศ ก่อนย้อนไปเริ่มต้นป.ตรี ปี 1 ใหม่กับรุ่นน้องในคณะวิศวฯ พูดง่ายๆว่า ซิ่ว 2 ปี)
ป.โท วิศวกรรมการบิน(Avionique) จาก SUPAERO
Toulouse FRANCE ปี 1994
เคยรับราชการเป็นอาจารย์ในคณะวิศวฯที่พระนครเหนือ 8 ปี ผลงานก็ไม่มีอะไรมาก KMITNB Robot Camp เป็นสิ่งที่ยังพอให้ภาคภูมิใจเมื่อมองกลับไปที่เทคโนฯ ด้วยความคิดถึง 14 ปี อันแสนหวานกับชีวิตในพระนครเหนือ(มิย.ปี 29 - มิย.ปี 43)
ตอนนี้ลาออกจากราชการ มาหากินด้วยลำแข้ง(ไม่ใช่เป็นนักมวยไทยนะ)
ที่จังหวัดยะลาบ้านเกิด ตั้งแต่มิถุนายน ปี Y2K
กำลังจะรุ่งเรืองแล้วเชียว 4 มกราคม 2547
สถานการณ์ไฟใต้ก็เริ่มขึ้น
สิ่งที่เคยคิดว่าสักวันหนึ่งจะต้องเกิด มันก็เกิด
และยาวมาจนถึงตอนนี้
ผมยังนึกไม่ออกมันจะจบลงแบบไหน free counter

free counter

New Comments
[Add ksk's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com