ถ้าพระเจ้าไม่มีจริง คุณได้หรือเสียอะไร? แต่ถ้าพระเจ้ามีจริง คุณได้หรือเสียอะไร?

<<
พฤศจิกายน 2550
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
11 พฤศจิกายน 2550
 

ดำเนินกับพระเจ้าวันต่อวัน

11 พฤศจิกายน 2007
คริสตจักร ยะลา

อพยบ 16:1-6
1พวกเขายกไปจากเอลิม และในวันที่สิบห้าเดือนที่สอง นับตั้งแต่เวลายกออกจากแผ่นดินอียิปต์ ชุมนุมชนชาติอิสราเอลทั้งหมดก็มาถึงถิ่นทุรกันดารสีน ซึ่งอยู่ระหว่างตำบลเอลิมกับภูเขาซีนาย 2ชุมนุมชนชาติอิสราเอลทั้งปวงก็พากันบ่นต่อโมเสสและอาโรนในถิ่นทุรกันดาร 3คนอิสราเอลกล่าวแก่ท่านทั้งสองว่า "พวกข้าพเจ้าตายเสียด้วยพระหัตถ์ของพระเจ้าตั้งแต่อยู่ในประเทศอียิปต์ ขณะเมื่อนั่งอยู่ใกล้หม้อเนื้อและรับประทานอาหารอิ่มหนำจะดีกว่า นี่ท่านกลับนำพวกข้าพเจ้าออกมาในถิ่นทุรกันดารอย่างนี้ เพื่อจะให้ชุมนุมชนทั้งหมดหิวตายเท่านั้น" 4แล้วพระเจ้าได้ตรัสกับโมเสสว่า "ดูเถิด เราจะให้อาหารตกลงมาจากท้องฟ้าดุจฝนสำหรับพวกเจ้า ให้ประชาชนออกไปเก็บทุกวัน พอกินเฉพาะวันหนึ่งๆ เพื่อเราจะได้ลองใจว่า เขาจะปฏิบัติตามโอวาทของเราหรือไม่ 5ในวันที่หก เมื่อเขาเตรียมของที่เก็บมา อาหารนั้นก็จะเพิ่มเป็นสองเท่าของที่เขาเก็บทุกวัน" 6โมเสสกับอาโรนจึงบอกชนชาติอิสราเอลทั้งปวงว่า "ในเวลาเย็นท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่า พระเจ้าเป็นผู้ทรงนำพวกท่านออกจากประเทศอียิปต์


อธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงสำแดงให้เราได้ประจักษ์ จากเรื่องราวในพระวจนะของพระองค์ว่า พระองค์ทรงเป็นผู้อารักขาและผู้เลี้ยงดูเราทั้งหลายที่เป็นผู้เชื่อวางใจในพระองค์ และเมื่อพระองค์ตรัสแล้วพระองค์ทรงสัตย์ซื่อที่จะทรงกระทำอย่างนั้น ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงเปิดเผยความจริงนี้ให้ประจักษ์แก่ใจของเราอีกในวันนี้ เพื่อเราจะดำเนินชีวิตกับพระองค์วันต่อวัน ด้วยท่าทีที่ถูกต้อง ด้วยความไว้วางใจในพระคุณและความสัตย์ซื่อของพระองค์


เมื่อเดือนที่แล้วผมได้แบ่งปันในหัวข้อ “การแสวงหาพระเจ้าด้วยสุดใจ” ซึ่งเป็นหัวข้อแรกของซีรีย์ในเรื่องของเติบโตขึ้นจนถึงความไพบูลย์ขององค์พระเยซูคริสต์ เป็นสิ่งที่สืบเนื่องมาจากคำทิ้งท้ายที่ว่า

การติดตามพระเจ้าจนถึงขนาดความไพบูลย์ในพระคริสต์นั้น ไม่มีเส้นทางลัดใดๆ ไม่อาจได้มาด้วยการวางมือของผู้วิเศษใดๆ ไม่อาจได้มาโดยการเข้าร่วมกลุ่มกิจกรรมหรือการอบรมคอร์สพิเศษใดๆ
แต่ท่านต้องแสวงหาพระเจ้าด้วยสุดใจ ดำเนินกับพระเจ้าวันต่อวัน ร่วมแบกแอกของพระเยซูคริสต์ เข้าส่วนในศักดิ์ศรีกับพระองค์ มีชีวิตที่ครอบครองโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์


วันนี้เราจะได้ร่วมกันพิจารณาถึงความหมายของการ “ดำเนินกับพระเจ้าวันต่อวัน”

สิ่งสำคัญประการแรกที่ผมต้องทำความเข้าใจกับพี่น้องให้ถูกต้องเสียก่อนก็คือ คำพังเพยของไทยที่ว่า “ตำข้าวสารกรอกหม้อ” นั้น ไม่ใช่เรื่องเดียวกันกับ “การเดินกับพระเจ้าวันต่อวัน” ที่พระคัมภีร์กล่าวถึง

สิ่งที่คนไทยเรารับรู้มาตั้งแต่เด็ก ทั้งจากที่โรงเรียนและที่พ่อแม่ผู้ปกครองสั่งสอนก็คือ ให้เราเป็นคนที่มีความรับผิดชอบและเอาใจใส่ในการดำเนินชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีและคริสเตียนที่ติดตามพระเจ้าอย่างจริงจังก็ไม่ได้ปฏิเสธการมีวิถีชีวิตที่ดีรอบคอบแบบนั้น แต่ขณะเดียวกัน ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดต่อพระวจนะของพระเจ้าด้วย เพราะหากเข้าใจผิด สิ่งที่ตามมาก็คือการต่อต้านพระวจนะของพระเจ้า เริ่มจากการต่อต้านในใจก่อน จากนั้นก็พัฒนาไปเป็นการต่อต้านด้วยความประพฤติส่วนตัว และพัฒนาต่อไปจนถึงการสอนแนวความคิดของตนเองที่ขัดแย้งกับพระวจนะของพระเจ้าให้กับผู้อื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายมาก

ความหมายของคำว่า “ตำข้าวสารกรอกหม้อ” นั้น คือการดำเนินชีวิตอย่างไร้ความคิด ขาดระเบียบวินัยในชีวิต สมัยก่อนนั้นบ้านเมืองไทยเรายังไม่เจริญมาก แต่ละบ้านก็ต้องตำข้าวเปลือกด้วยตนเองเพื่อให้ได้ข้าวสารมาหุง ต่างจากสมัยนี้ที่สามารถซื้อหาข้าวสารได้เลย คำพังเพยที่ว่า “ตำข้าวสารกรอกหม้อ” นั้นเป็นการตำหนิผู้ที่ไม่รู้จักตระเตรียมการล่วงหน้า แต่มักจะอาศัยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นคราวๆไป ทั้งๆที่รู้ว่าเที่ยงนี้ หรือเย็นนี้ก็ต้องหุงข้าวอีก พรุ่งนี้ก็ต้องหุงข้าวอีก แต่ก็ไม่ได้ตำข้าวเปลือกไว้เผื่อสำหรับมื้อต่อๆไปเลย การกระทำอย่างนี้ จะไปอ้างว่า “เศรษฐกิจพอเพียง” ก็ถือว่าอ้างผิดเช่นกัน

จากพระคัมภีร์อพยพที่เราได้อ่านไปเมื่อตอนต้นนั้น เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นสมัยที่ชนชาติอิสราเอลอพยพออกจากการเป็นทาสในอียิปต์ และเมื่อมาถึงระยะเวลาหนึ่งที่เสบียงต่างๆที่เตรียมมาจากอียิปต์นั้นก็หมดลง จะเอาอะไรกิน จะเพาะปลูกหรือ ตอนนั้นอยู่ในถิ่นทุรกันดารจะเพาะปลูกได้อย่างไร และแม้นจะเพราะปูลกได้ต้องรออีกกี่เดือนจึงจะได้เก็บเกี่ยว ไม่ทันการณ์แน่ เวลานั้นการบ่นก็เกิดขึ้น ประชาชนเริ่มคิดถึงความเป็นอยู่ในอียิปต์ที่แม้จะเป็นทาสแต่ก็มีอาหารกิน เวลานี้เป็นไทแล้ว แต่กำลังจะอดอาหารตาย

พระเจ้าได้ตรัสกับโมเสสว่า "ดูเถิด เราจะให้อาหารตกลงมาจากท้องฟ้าดุจฝนสำหรับพวกเจ้า ให้ประชาชนออกไปเก็บทุกวัน พอกินเฉพาะวันหนึ่งๆ เพื่อเราจะได้ลองใจว่า เขาจะปฏิบัติตามโอวาทของเราหรือไม่” เป็นวิธีการของพระเจ้าที่จะเลี้ยงดูชนชาติอิสราเอล ลองมาคำนวณดูนะครับว่า เสบียงที่ต้องเลี้ยงดูชาวอิสราเอลจำนวนขนาดนั้นในแต่ละวัน ต้องใช้ทรัพยากรเท่าไร สมมุติให้ชาวอิสราเอลกินข้าวเหมือนคนไทย หากว่าวันหนึ่งกินข้าวสามมื้อ ผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กกินไม่เท่ากัน แต่ประมาณได้ว่า ผู้ชายคนหนึ่งกินข้าวครึ่งกิโลกรัมต่อวัน ชาวอิสราเอลในเวลานั้นเมื่ออพยพออกจากอียิปต์นับแต่ผู้ชายได้ประมาณ 6 แสนคน เฉพาะผู้ชายก็กินข้าววันละ 3 แสนกิโลกรัม หรือเท่ากับ 3,000 กระสอบ ถ้ารถบรรทุกคันหนึ่งบรรทุกได้ 200 กระสอบ ก็จะเป็นจำนวน 15 รถบรรทุก นี่คือปริมาณต่อวัน ชาวอิสราเอลร่อนเร่อยู่ในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลา 40 ปี กว่าจะได้เข้าสู่แผ่นดินแห่งพันธสัญญา คิดดูว่าต้องใช้ทรัพยากรเท่าไรที่จะเลี้ยงดูชนชาตินี้

พระเจ้าทรงเลี้ยงดูเขาทั้งหมดด้วยมานา พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า ให้แต่ละคนเก็บมานานั้นกินเท่าที่พอรับประทานอิ่ม ซึ่งก็พบว่าเป็นจำนวน 1 โอเมอร์ หรือเท่ากับ 4 ลิตร ลองคำนวณเล่นๆนะครับ หากนับเฉพาะผู้ชาย 6 แสนคน กินคนละ 4 ลิตรต่อวัน ก็เท่ากับว่าจะต้องมีมานาอย่างน้อย 2.4 ล้านลิตร ยังไม่รวมที่เลี้ยงดูผู้หญิงและเด็กๆ ปริมาณสักเท่าใด ก็แค่สร้างกล่องขนาดกว้าง 10 เมตร ยาว 10 เมตร สูง 24 เมตร หรือสูงเท่าตึก 6 ชั้น

เรื่องการคำนวณทั้งหลายที่ผมยกตัวอย่างให้ดูนั้น ก็เพื่อที่จะให้เราเห็นว่า หากเราจะพยายามมองเหตุการณ์นี้ด้วยความรู้หรือวิทยาการที่ทันสมัยที่สุดในปัจจบัน เราจะหาคำอธิบายการเลี้ยงดูของพระเจ้าได้อย่างไร เป็นเรื่องที่หาคำอธิบายไม่ได้ นอกจากจะบอกว่าผู้ที่สามารถทำอย่างนั้นได้ต้องเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ

เรื่องราวการเลี้ยงดูด้วยมานาก็ยังมีสิ่งที่อิสราเอลได้เรียนรู้อีกประการ คือการที่พระเจ้าสั่งไว้ว่าให้เก็บกินให้พออิ่ม ไม่ต้องเหลือไว้ แต่ก็มีคนที่ไม่เชื่อฟัง ยังกักตุนมานาไว้ข้ามวัน รุ่งขึ้นก็พบว่ามานานั้นเน่าส่งกลิ่นเหม็น แต่ในวันก่อนวันสะบาโต พระเจ้าบอกว่าให้เก็บไว้เผื่ออีกเท่าตัวเพราะจะไม่มีมานาในวันสะบาโต ก็ยังปรากฏว่ามีผู้ที่ไม่เชื่อฟัง เก็บมานามาเพียงสำหรับกิน 1 วัน รุ่งขึ้นจะไปเก็บอีกก็ไม่พบมานา

นี่เป็นตัวอย่างประการหนึ่งของการดำเนินกับพระเจ้าวันต่อวัน ในเรื่องการเลี้ยงดูอันมหัศจรรย์ของพระเจ้า เมื่อพระเจ้าทรงนำชนชาติอิสราเอลออกมาจากการเป็นทาส ทรงไถ่เขาออกมาเป็นประชากรของพระองค์ พระเจ้าก็ทรงรับหน้าที่ในการเลี้ยงดูเขาอย่างไม่บกพร่อง พี่น้องคิดว่าพระเจ้าองค์นั้นเป็นพระเจ้าเดียวกันกับที่เรานมัสการอยู่ทุกวันนี้หรือไม่ ถ้าเป็นพระเจ้าองค์เดียวกัน พระองค์จะทรงรับหน้าที่ในการเลี้ยงดูเราเช่นเดียวกันหรือไม่

เรื่องนี้ต้องพิจารณาอย่างเข้าใจ เรื่องนี้ไม่ได้สอนให้เรางอมืองอเท้า เป็นคนขี้เกียจสันหลังยาว การงานไม่ทำ อ้าปากรอพระเจ้ากรอกอาหารให้ หรือเป็นคนแบบที่เรียกว่าตำข้าวสารกรอกหม้อเพราะรอเก็บมานากินแค่วันต่อวัน แต่เรื่องนี้มีสิ่งที่สำคัญอยู่เบื้องหลัง

มานาที่เคยเลี้ยงดูคนอิสราเอลนั้นหยุดไป เมื่อคนอิสราเอลได้เก็บเกี่ยวผลจากการแผ่นดินแห่งพันธสัญญา ลองดูใน
โยชูวา 5:10-12
10ฝ่ายคนอิสราเอลได้ตั้งค่ายที่กิลกาล เขาถือเทศกาลปัสกาในวันที่สิบสี่เวลาเย็นณที่ราบเมืองเยรีโค 11วันรุ่งขึ้นหลังวันเทศกาลปัสกา วันนั้นเองเขาก็รับประทานผลอันเกิดจากแผ่นดิน คือขนมไร้เชื้อและข้าวคั่ว 12ตั้งแต่วันรุ่งขึ้นมานาก็ขาดไปคือ เมื่อเขาได้รับประทานผลจากแผ่นดินคนอิสราเอลไม่มีมานาอีกเลย ในปีนั้นเขารับประทานผลจากแผ่นดินคานาอัน

ตั้งแต่วันที่คนอิสราเอลกินผลของดินแดนแห่งพันธสัญญาแล้ว จนทุกวันนี้ไม่มีใครเคยเห็นมานาอีก เรารับรู้ว่าอิสราเอลต้องอยู่ในถิ่นทรุกันดาร 40 ปี ต้องกินมานาอยู่ 40 ปี ทำไมจึงต้องรอถึง 40 ปี เรื่องนี้มีคำตอบครับ ลองดูใน
โยชูวา 5:6-7
6เพราะว่าคนอิสราเอลเดินทางสี่สิบปีอยู่ในถิ่นทุรกันดารจนประชาชาติทั้งสิ้น คือทหารที่ออกมาจากอียิปต์สิ้นชีวิตเสียหมด เพราะเขามิได้เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงปฏิญาณกับเขาว่า พระองค์จะไม่ทรงยอมให้เขาเห็นแผ่นดิน ซึ่งพระเจ้าได้ปฏิญาณแก่บรรพบุรุษว่าจะประทานแก่เราทั้งหลาย เป็นแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ 7แต่บุตรของเขาซึ่งพระองค์ทรงให้แทนเขานั้น โยชูวาก็ได้ให้เข้าสุหนัตเพราะว่าเขายังไม่เข้าสุหนัต เพราะว่าเขาไม่เคยได้รับเมื่อมาตามทาง

การเดินทางวนเวียนไปมาในถิ่นทุรกันดาร 40 ปี ก็เพื่อให้คนรุ่นเก่าที่ออกมาจากอียิปต์นั้นตายหมด เพราะคนเหล่านั้นไม่เชื่อฟังพระเจ้า แต่พระสัญญาของพระเจ้านั้นยังมั่นคงและส่งผลไปถึงลูกหลานที่เพิ่งเกิดมาระหว่างทางในถิ่นทุรกันดาร

บางครั้งเรื่องการอพยพออกจากอียิปต์นี้ ก็ถูกนำมาเปรียบเทียบกับชีวิตของคริสเตียนที่พระเจ้าทรงไถ่ออกมาจากความบาป และการเดินในถิ่นทุรกันดารก็เป็นขั้นตอนของพระเจ้าที่จะทรงกระทำให้ตัวเก่าของเรานั้นตาย และสร้างเราขึ้นใหม่ ในระหว่างกระบวนการนี้พระองค์ทรงเลี้ยงเราด้วยมานา ทรงนำหน้าเราด้วยเสาเมฆและเสาไฟ พระเจ้าทรงดำเนินกับเราวันต่อวัน

การเลี้ยงดูด้วยมานาวันต่อวันนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการสำแดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงดำเนินอยู่ด้วย แต่กระบวนการอื่นๆที่เกิดขึ้นใน 40 ปีนั้นก็สำคัญไม่น้อยไปกว่าเรื่องของการเลี้ยงดูเลย ลองมาดูกันว่าพวกอิสราเอลได้เรียนรู้อะไรจากการเดินกับพระเจ้าวันต่อวัน จนกระทั่งในที่สุดปลายนั้นเมื่อจะเข้าสู่แผ่นดินแห่งพันธสัญญา ชนชาตินั้นอาจเรียกได้ว่า “ลอกคราบ” เพราะไม่มีคนรุ่นเก่าเหลืออยู่เลย ยกเว้นโยชูวากับคาเลบเท่านั้น

บทเรียนแรก การช่วยกู้ของพระเจ้าจากเงื้อมมือของฟาโรห์ที่ยกกองทัพติดตามมาถึงทะเลแดง พระเจ้าได้สำแดงให้เห็นว่า “ทรงช่วยได้” ในการดำเนินชีวิตของคริสเตียนนั้น บางท่านมีเบื้องหลังที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณชั่ว อาจถูกวิญญาณชั่วเหล่านั้นติดตามมารบกวน พระเจ้าจะทรงสำแดงให้ท่านเห็นชัดว่า ทรงช่วยได้
มารร้ายดูน่ากลัว และเป็นอุปสรรคทำให้ไม่สามารถไปถึงความไพบูลย์ของพระเยซูคริสต์ แต่การดำเนินกับพระเจ้าวันต่อวัน จะได้เห็นว่าพระเจ้านั้นสามารถช่วยได้อย่างไร

บทเรียนที่สอง อิสราเอลบ่นเรื่องอาหารการกิน จนถึงกับบอกว่า ถ้าตายเสียด้วยพระหัตถ์พระเจ้าขณะอิ่มท้องอยู่หน้าหม้อต้มเนื้อในอียิปต์ก็ยังดีกว่า หลายๆครั้งคริสเตียนก็บ่นกับพระเจ้าว่า คนอื่นๆที่ไม่รู้จักพระเจ้าดูจะมีชีวิตที่จุใจกว่า อิ่มเอมกับความอุดมสมบูรณ์มากกว่า โดยที่ลืมไปแล้วว่าการหลุดพ้นจากสถานะของการเป็นทาสนั้นมีคุณค่าอย่างไร ดูเหมือนว่าคริสเตียนจำนวนหนึ่งกำลังโหยหาสิ่งประโลมใจ โหยหาสิ่งที่จะให้จุใจ อย่างที่คนของโลกนี้ที่ไม่รู้จักกับพระเจ้าเขามีกัน โดยลืมไปแล้วว่าสถานะบุตรของพระเจ้าที่ได้รับมานั้นมีค่าเพียงใด พระเจ้าทรงให้คำตอบสำหรับการบ่นนี้ด้วยมานา ซึ่งมีความหมายซ่อนอยู่
เฉลยธรรมบัญญัติ 8:3
3พระองค์ทรงกระทำให้ท่านถ่อมใจ และปล่อยท่านให้หิวและเลี้ยงท่านด้วยมานา ซึ่งท่านเองหรือปู่ย่าตายายของท่านก็ไม่ทราบว่าเป็นอะไร เพื่อพระองค์จะทรงกระทำให้ท่านตระหนักแก่ใจว่า มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวก็หามิได้ แต่มนุษย์จะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยทุกสิ่งที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า
มานาเปรียบได้กับพระวจนะของพระเจ้า ที่ประทานให้เพื่อการเลี้ยงดูทุกๆวัน คริสเตียนได้รับการเลี้ยงดูฝ่ายจิตวิญญาณจากพระเจ้าทุกวันด้วยมานา ซึ่งก็คือพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งจะเป็นสิ่งที่แทนที่หม้อต้มเนื้อของอียิปต์ หรือพูดอีกอย่างก็คือ พระวจนะของพระเจ้าเป็นสิ่งแทนที่ความชื่นชมในสิ่งของของโลกนี้ กษัตริย์ดาวิดบอกว่า “พระดำรัสของพระองค์นั้น ข้าพระองค์ชิมแล้วหวานจริงๆ หวานกว่าน้ำผึ้งเมื่อถึงปากข้าพระองค์” สดุดี 119:103 ซึ่งเหมือนกับรสชาติของมานา เราเห็นคุณค่าของมานาหรือเปล่า หรือยังคิดถึงหม้อต้มเนื้อของอียิปต์
จงรับมานาคือพระวจนะของพระเจ้าวันต่อวัน อย่ายอมให้หม้อต้มเนื้อของอียิปต์ เป็นสิ่งที่ดึงเราไว้จากการไปถึงความไพบูลย์ของพระเยซูคริสต์

บทเรียนที่สาม อิสราเอลมีเรื่องบ่นต่อพระเจ้าได้เสมอ แม้ได้มานาเป็นอาหารแล้ว ก็ยังไม่วายบ่นเรื่องน้ำดื่มอีก และพระเจ้าก็ทรงสำแดงให้เขาเห็นว่า เมื่อเขาขาดน้ำ แล้วร้องขอต่อพระเจ้า พระองค์ก็ทรงประทานน้ำให้ ยอห์นผู้ให้บัพติสมาได้เคยกล่าวไว้ว่า “เราให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยน้ำ แสดงว่ากลับใจใหม่ก็จริง แต่พระองค์ผู้จะมาภายหลังเรา ทรงมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าเราอีก ซึ่งเราไม่คู่ควรแม้จะถอดฉลองพระบาทของพระองค์ พระองค์จะทรงให้เจ้าทั้งหลาย รับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ” มัทธิว 3:11
วิชาวิทยาศาสตร์บอกเราว่า ร่างกายเนื้อหนังประกอบด้วยน้ำมากกว่า 70% น้ำจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับร่างกาย แล้วฝ่ายวิญญาณของเราประกอบด้วยอะไร นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพระวิญญาณของพระเจ้าจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ พวกอิสราเอลได้ขอน้ำ และพระเจ้าประทานให้จากศิลา พระเยซูตรัสว่า “เพราะฉะนั้นถ้าท่านทั้งหลายเองผู้เป็นคนบาปยังรู้จักให้ของดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์ จะทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่ผู้ที่ขอต่อพระองค์” ลูกา 11:13
สิ่งจำเป็นวันต่อวันสำหรับการข้ามถิ่นทุรกันดารคือน้ำ สิ่งจำเป็นวันต่อวันสำหรับการไปถึงความไพบูลย์ของพระเยซูคือพระวิญญาณบริสุทธิ์

บทเรียนที่สี่ อิสราเอลได้เรียนรู้พระเดชและพระคุณของพระเจ้า การดำเนินชีวิตในถิ่นทุรกันดารที่พระเจ้าทรงนำพวกเขาวันต่อวันนั้น เขาได้พบกับพระคุณอันยิ่งใหญ่ และพระเดชที่ต้องเกรงกลัว พระเจ้าได้ทรงปกป้องพวกเขาจากศัตรู และก็ได้ทรงตีสอนพวกเขาด้วยความทุกข์ยากหลายๆประการเมื่อเขากระทำผิดต่อพระองค์
ชีวิตของคริสเตียนที่ดำเนินกับพระเจ้าวันต่อวัน ก็จะได้เรียนรู้พระเดชและพระคุณของพระเจ้าเช่น เดียวกัน และแบบอย่างของอิสราเอลก็คือเขาหันกลับมาหาพระเจ้าเสมอ และพระเจ้าก็ให้อภัยเขาเสมอเช่นกัน คริสเตียนก็ควรดูแบบอย่างนั้น แม้ว่าจะถูกพระเจ้าตีสอนทำให้ต้องบาดเจ็บอย่างไร อย่าลืมที่จะหันกลับมาหาพระเจ้า เพราะพระองค์ก็จะทรงอภัยให้เสมอเช่นกัน เพื่อจะสามารถเริ่มเดินทางต่อไปได้ การเรียนรู้น้ำพระทัยของพระเจ้า และการไม่ดื้อดึงต่อการตีสอนของพระเจ้าช่วยให้เราไปถึงความไพบูลย์ของพระเยซูโดยไม่ต้องวนเวียนให้นาน

บทเรียนที่ห้า เสาเมฆและเสาเพลิง เป็นสิ่งที่นำหน้าพวกอิสราเอล เสาเมฆนำหน้าเมื่อต้องออกเดินไปในกลางวัน และเสาเพลิงนำหน้าเมื่อต้องออกเดินไปในเวลากลางคืน เมื่อใดที่เสาเมฆหยุด พวกอิสราเอลก็จะตั้งค่ายพักอาศัยอยู่ที่นั้น เป็นภาพที่แสดงให้เห็นถึงการดำเนินชีวิตติดตามพระเจ้าด้วยความเชื่อฟัง
กษัตริย์ดาวิดกล่าวว่า “พระเจ้าทรงเป็นที่กำบังเข้มแข็ง” และอีกตอนหนึ่งว่า “พระวจนะของพระเจ้าเป็นโคมส่องเท้า” ซึ่งสอดคล้องกับภาพการที่พระเจ้าให้เสาเมฆและเสาเพลิงนำหน้าคนอิสราเอล
ชีวิตของคริสเตียนที่ดำเนินกับพระเจ้าวันต่อวันก็คือการที่มีพระเจ้าเป็นผู้นำ เป็นที่กำบัง เมื่อต้องเดินไปในเปลวแดดที่แผดเผา และมีพระวจนะของพระเจ้าเป็นเหมือนโคมส่องเท้า เมื่อต้องเดินผ่านไปในช่วงเวลาแห่งความมืดมิด

บทเรียนที่หก รับพันธสัญญาของพระเจ้า พระเจ้าได้ให้สัญญากับพวกอิสราเอลในเวลานั้นว่า พระเจ้าเองจะเป็นผู้ขับไล่ชนชาติต่างๆที่ครอบครองพื้นที่อยู่ก่อน และมอบพื้นที่นั้นให้กับอิสราเอล แต่อิสราเอลก็ต้องรักษาสัญญากับพระเจ้าเช่นกัน โดยการรักษาบัญญัติของพระเจ้าที่ได้มอบไว้ให้
คริสเตียนก็เป็นผู้ที่ได้รับพันธสัญญาเช่นกัน แต่เป็นพันธสัญญาใหม่ โดยโลหิตของพระเยซู พระเจ้าไม่ทรงผิดคำสัญญาแน่ และคริสเตียนก็ต้องรักษาสัญญานั้นต่อพระเจ้าด้วย พันธสัญญาใหม่ที่เราได้รับคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่ทรงประทานให้สถิตอยู่ในคริสเตียน เป็นพระธรรมของพระเจ้าที่จารึกไว้ในใจ
และส่วนที่คริสเตียนต้องรับผิดชอบวันต่อวันคือการดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณไม่ใช่ตามเนื้อหนัง

บทเรียนที่เจ็ด เห็นผลของการเชื่อฟัง และผลของการไม่เชื่อฟัง อิสราเอลได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับโมเสส โมเสสเป็นผู้ที่พระเจ้าใช้การอย่างมากมาย โมเสสได้สนทนาใกล้ชิดกับพระเจ้า เป็นมิตรสหายของพระเจ้า แต่สิ่งที่อิสราเอลได้พบเห็นเช่นกันก็คือ เมื่อโมเสสไม่เชื่อฟังพระเจ้า เขาก็ได้รับการลงโทษจากพระเจ้า ไม่น่าเชื่อเลยว่า เพียงแค่การที่โมเสสเอาไม้ตีศิลาแทนที่จะสั่งให้น้ำไหลออกจากศิลา จะทำให้เขาถึงกับไม่มีสิทธิ์ได้เข้าในแผ่นดินแห่งพันธสัญญา
บางครั้งเราก็อาจคิดว่า เรามีประสบการณ์มากมายในการติดตามพระเจ้า พระเจ้าได้เคยใช้เราอย่างเกิดผลในงานหลายๆอย่าง ไม่น่าจะมีอะไรมาเป็นอุปสรรคที่ทำให้เราไม่สามารถไปถึงความไพบูลย์ในพระคริสต์ได้ แต่.. ความไม่เชื่อฟังในเรื่องเล็กน้อย ก็สร้างปัญหาได้อย่างที่เราคาดไม่ถึง ขอให้เราเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังพระองค์เสมอวันต่อวัน



Create Date : 11 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 11 พฤศจิกายน 2550 16:47:08 น. 3 comments
Counter : 2879 Pageviews.  
 
 
 
 

ฮาเลลูยา
 
 

โดย: p_tham วันที่: 11 พฤศจิกายน 2550 เวลา:17:22:02 น.  

 
 
 
ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ
 
 

โดย: Imperfect Mom วันที่: 11 พฤศจิกายน 2550 เวลา:21:24:41 น.  

 
 
 
ขอภาระใจในการอธิษฐาน การกลับใจใหม่ แก่ผู้ที่อยู่รอบข้างเราแต่ไม่มีใครที่เชื่อพระเจ้าเลย ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเราเพื่อการสำแดงพระคุณจากตัวเราให้ทุกคนเห็น และขอแผนการที่ดีในการปลี่ยนแปลงตัวรา สถานการณ์ที่เลวร้ายรอบตัว ขอบคุณค่ะ
pedia.cmu@hotmail.com
 
 

โดย: dektanoy IP: 203.154.93.180 วันที่: 23 พฤศจิกายน 2550 เวลา:4:06:29 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

ksk
 
Location :
ยะลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ผมเป็นคริสเตียนครับ
เป็นชาวยะลา เกิดปัตตานี ลูกจีนไหหลำ
จบวิศวกรรมไฟฟ้า(ระบบควบคุม) จากพระจอมเกล้าพระนครเหนือ EL รุ่น 24 รหัส 31 (เคยเรียน ป.วส. IE ห้องอิเล็ก ที่ วทอ. 2 ปี รหัส 29 ห้องเดียวกับ ศิริ แว่น สมชาย สุกิตติ จั๊บ ไพบูลย์ จ่าบุญเลิศ ก่อนย้อนไปเริ่มต้นป.ตรี ปี 1 ใหม่กับรุ่นน้องในคณะวิศวฯ พูดง่ายๆว่า ซิ่ว 2 ปี)
ป.โท วิศวกรรมการบิน(Avionique) จาก SUPAERO
Toulouse FRANCE ปี 1994
เคยรับราชการเป็นอาจารย์ในคณะวิศวฯที่พระนครเหนือ 8 ปี ผลงานก็ไม่มีอะไรมาก KMITNB Robot Camp เป็นสิ่งที่ยังพอให้ภาคภูมิใจเมื่อมองกลับไปที่เทคโนฯ ด้วยความคิดถึง 14 ปี อันแสนหวานกับชีวิตในพระนครเหนือ(มิย.ปี 29 - มิย.ปี 43)
ตอนนี้ลาออกจากราชการ มาหากินด้วยลำแข้ง(ไม่ใช่เป็นนักมวยไทยนะ)
ที่จังหวัดยะลาบ้านเกิด ตั้งแต่มิถุนายน ปี Y2K
กำลังจะรุ่งเรืองแล้วเชียว 4 มกราคม 2547
สถานการณ์ไฟใต้ก็เริ่มขึ้น
สิ่งที่เคยคิดว่าสักวันหนึ่งจะต้องเกิด มันก็เกิด
และยาวมาจนถึงตอนนี้
ผมยังนึกไม่ออกมันจะจบลงแบบไหน free counter

free counter

New Comments
[Add ksk's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com