ถ้าพระเจ้าไม่มีจริง คุณได้หรือเสียอะไร? แต่ถ้าพระเจ้ามีจริง คุณได้หรือเสียอะไร?

 
มกราคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
25 มกราคม 2550
 

คริสตจักรที่พระเจ้าพอพระทัย (ตอนที่ 2)

4 กันยายน 2005
คริสตจักร ยะลา

เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้านั้นไม่ใช่การกินและการดื่ม แต่เป็นความชอบธรรมและสันติสุข และความชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ที่ปรนนิบัติพระคริสต์ในการเหล่านั้น ก็เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า และเป็นที่พอใจของมนุษย์ด้วย
โรม 14:17-18

ครั้งที่แล้วเราได้มีโอกาสมาร่วมกันพิจารณาว่าคริสตจักรที่พระเจ้าทรงพอพระทัยนั้นมีลักษณะอย่างไร ผมได้เริ่มต้นด้วยความหมายของคำว่าคริสตจักรตามที่พระคัมภีร์เล็งถึง ซึ่งไม่ได้หมายถึงตัวอาคาร หรือสมาคมที่มีการจดทะเบียนตามกฏหมาย แต่หมายถึงตัวผู้เชื่อและกลุ่มผู้เชื่อ ที่ได้มารวมกันเพื่อการสามัคคีธรรม และผมได้การอ้างถึงหน้งสือพลังแห่งชีวิต ซึ่งเป็นหนังสือที่ได้แนะนำหลักข้อเชื่อของคริสเตียนไว้อย่างถูกต้องครบถ้วน ไม่เพียงเท่านั้นยังได้ให้คำแนะนำแก่ผู้เชื่อใหม่ที่จะเติบโตขึ้นในความเชื่อด้วย

ในหนังสือพลังแห่งชีวิตได้แนะนำผู้เชื่อใหม่ให้สังเกตและมองหาคริสตจักรที่เหมาะสมเพื่อเข้าร่วมเป็นสมาชิก โดยได้แนะนำข้อสังเกตไว้ 4 ประการ เป็นข้อสังเกตที่ผมเชื่อว่าเป็นลักษณะของคริสตจักรที่พระเจ้าพอพระทัย จึงขอเชิญชวนพี่น้องที่จะมีโอกาสได้พิจารณาร่วมกัน

1. คริสตจักรนั้นมีท่าทีอย่างไรต่อพระคัมภีร์ ? พวกเขาตระหนักว่าพระคัมภีร์เป็นพระวจนะที่มาจากพระเจ้าและสอนตามนั้นหรือไม่ ?
2. คริสตจักรนั้นมีท่าทีอย่างไรต่อพระเยซู ? พวกเขาตระหนักหรือไม่ว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรองค์บริสุทธิ์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อบาปของเราทั้งหลาย และทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย
3. คริสตจักรนั้นมีท่าทีอย่างไรต่อพระเจ้า ? พวกเขาตระหนักหรือไม่ว่า พระเจ้าทรงรักเราทั้งหลาย ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงเมตตา เที่ยงธรรมและชอบธรรม ควรค่าแก่การยกย่องสรรเสริญของเรา
4. คริสตจักรนั้นมีท่าทีอย่างไรต่อกันและกัน ? เขามีจิตใจที่ดี รักและห่วงใยซึ่งกันและกัน ปรารถนาจะช่วยและหนุนใจกันในการเดินในทางของพระเจ้าหรือไม่ ?

โดยสรุปของ 2 หัวข้อแรกที่ได้กล่าวไปแล้วเมื่อครั้งก่อน ดังนี้

ท่าทีของคริสตจักรต่อพระคัมภีร์
ผมได้ให้เราได้อ่านจากพระวจนะของพระเจ้าหลายๆตอน เพื่อเราจะได้รู้ว่าพระเจ้าต้องการให้เรามีท่าทีอย่างไรต่อพระคัมภีร์
โดยภาพใหญ่ๆคือ ให้คริสเตียนตระหนักว่าพระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้า ให้เราใส่ใจในการอ่าน ศึกษา ค้นคว้า และเชื่อฟังพระวจนะนั้น ส่วนผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นพิเศษที่จะทำหน้าที่สอนพระวจนะนั้นก็ให้ยำเกรงพระเจ้าและสอนโดยใช้พระวจนะนั้นจริงๆ
เรื่องของการสอนพระวจนะเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และขอหนุนใจเพื่อนผู้รับใช้พระเจ้าทุกท่าน เราทุกคนได้รับมอบหมายหน้าที่ที่สำคัญมาก แต่บางครั้งซาตานก็พยายามที่จะให้เราพลาดไป เช่นมันอาจกระซิบให้เราไม่มั่นใจว่า จะกล่าวคำเทศนาได้อย่างไรความรู้เราก็มีน้อย ประสพการณ์ก็ไม่มาก หนำซ้ำหากพิจารณาตามมาตรฐานของโลกนี้แล้ว เราเป็นคนไร้ความสามารถจริงๆ ทำให้บางครั้งเกิดเป็นความทุกข์ใจที่จะต้องเทศนา บางครั้งทำให้พยายามใส่บางอย่างเพิ่มเข้าไปเพื่อให้ดูว่าเป็นคำเทศนาที่มีวิชาการหรือมีความทันสมัยในโลกปัจจุบัน จงระมัดระวังให้ดี เกรงว่าจะติดบ่วงแร้วของมาร
ท่าทีของคริสตจักรต่อพระเยซู
สิ่งสำคัญที่สุดประการหนึ่งสำหรับคริสตจักรคือ การยอมรับพระเยซูคริสต์ในฐานะพระบุตรของพระเจ้า และในฐานะที่ทรงเป็นพระเจ้า ชุมนุมชนใดๆก็ตามที่ไม่ยอมรับในข้อนี้ ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็น คริสตจักรของพระเจ้า

ท่าทีของคริสตจักรทั้งสองเรื่องนี้สำคัญมาก เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้เราแยกแยะได้ว่า คำสอนแบบไหนเรียกได้ว่าเป็น ลัทธิเทียมเท็จ โดยสรุปลัทธิเทียมเท็จต่างๆสอนผิดดังนี้
พยานพระยะโฮวา สอนว่าพระเยซูไม่ใช่พระเจ้า ซึ่งขัดแย้งกับคำตรัสของพระเยซูคริสต์เอง และยังสอนว่าที่อยู่บนสวรรค์เต็มแล้ว มีที่ไว้สำหรับพวกยิวเท่านั้น
มอร์มอน สอนว่า พระเจ้าเคยเป็นมนุษย์มาก่อน และพัฒนาขึ้นจนเป็นพระเจ้า และมนุษย์ทุกคนในเวลานี้ ก็สามารถพัฒนาขึ้นจนเป็นพระเจ้าได้ นอกจากนี้ยังมีคำภีร์ไข่มุกแห่งมอร์มอน ที่อ้างว่าได้รับจากพระเจ้าโดยตรง ต้องสวมแว่นวิเศษจึงจะอ่านข้อความได้
ครอบครัวแห่งความรัก หรือ Childrens of God เน้นในเรื่องของความรัก และนำไปสู่การร่วมเพศหมู่ การแลกผัวแลกเมียกัน
ลัทธิมูน อ้างว่าผู้นำของเขาที่ชื่อ นายซังเมียงมูน คือพระเยซูที่เสด็จกลับมาแล้ว
กลุ่มนิวเอจ นำเอาแนวปฏิบัติเรื่องของการทำสมาธิ การกินอาหารชีวจิต การแสวงหาสันติภาพและการสมานฉันท์กับทุกๆศาสนา

ยังมีอีกหลากหลายกลุ่มที่เราอาจไม่เคยได้ยินชื่อ จะทำอย่างไรที่จะป้องกันลูกหลานของเรา รวมถึงผู้เชื่อใหม่ ไม่ให้ถูกล่อหลอกให้หลงไปกับลัทธิเหล่านี้
คำตอบที่ชัดเจนมากๆก็คือ ท่าทีต่อพระวจนะของพระเจ้า และท่าทีต่อพระเยซู การที่เราจะรู้ว่าอะไรแท้ อะไรเทียม ขั้นแรกเราต้องรู้ก่อนว่าของแท้เป็นอย่างไร ดังนั้นเราทุกคนต้องขยันค้นคว้าดูในพระคัมภีร์ เพื่อเราจะได้เห็นความจริง และขวนขวายหาโอกาสที่จะเข้าร่วมสามัคคีธรรมกับพี่น้องเพื่อเสริมสร้างความเชื่อซึ่งกันและกัน ผมได้เปิดให้พี่น้องดูพระวจนะหลายตอนที่สามารถยืนยันว่ากลุ่มเหล่านั้นสอนผิดอย่างไร แต่สำคัญที่สุดขอให้จดจำไว้ในใจ และสอนลูกสอนหลานด้วย

อีกสองหัวข้อที่เหลือเราจะมาดูด้วยกันในวันนี้

คริสตจักรนั้นมีท่าทีอย่างไรต่อพระเจ้า?

ขอทบทวนอีกครั้งว่า คำว่า “คริสตจักร” ไม่ใช่ตัวอาคาร แต่หมายถึงกลุ่มคริสเตียน ดังนั้นการกล่าวถึงท่าทีของคริสตจักรก็จะหมายถึงท่าทีของคริสเตียนแต่ละคน ถ้าหากมีใครถามว่าคริสเตียนควรมีท่าทีอย่างไรกับพระเจ้า ผมเชื่อว่าทุกคนตอบได้ แทบจะทันทีคือ เราควรรักพระเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตและด้วยสิ้นสุดกำลังความคิด เราควรยำเกรงพระเจ้า เชื่อฟังพระเจ้า และมีชีวิตที่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า

เป็นคำตอบที่ “ถูกต้องแล้วคร้าบ…” แต่เราให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตอบหรือเปล่า หรือเพียงแค่ตอบถูกได้คะแนนเต็ม แต่ไม่เห็นด้วยกับคำตอบ แล้วแอบมีคำถามซ่อนอยู่ในใจว่า
ทำไมเราต้องรักพระเจ้าด้วยสุดใจสุดจิต สิ้นสุดกำลังความคิด?
เราต้องยำเกรงพระเจ้าถึงขนาดไหนกัน?
เราต้องเชื่อฟังทุกอย่างทุกกระเบียดนิ้วเลยหรือ?
แล้วจะมีชีวิตอย่างที่เราพอใจไม่ได้หรือ ต้องพระเจ้าพอพระทัยเท่านั้นหรือ?

ข้อสังเกตที่หนังสือพลังแห่งชีวิตได้ให้ไว้คือ “พวกเขาตระหนักหรือไม่ว่า พระเจ้าทรงรักเราทั้งหลาย ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงเมตตา เที่ยงธรรมและชอบธรรม ควรค่าแก่การยกย่องสรรเสริญของเรา”
ผมเชื่อว่าข้อสังเกตนั้นเป็นคำตอบสำหรับคำถามทั้งปวงที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจ คือ “ถ้าเรามีประสพการณ์และรับรู้ว่าพระเจ้าทรงรักเราเพียงไร ทรงเมตตาเราเพียงไร เราคงไม่ถามว่าทำไมเราต้องรักพระองค์อย่างนั้น ทำไมต้องยำเกรงและเชื่อฟังพระองค์ขนาดนั้น” ลองมาดูในพระคัมภีร์ว่าพระองค์รักเราอย่างไร
เอเฟซัส 2:1-5 พระองค์ทรงกระทำให้ท่านทั้งหลายมีชีวิตอยู่ แม้ว่าท่านตายแล้วโดยการละเมิดและการบาป ครั้งเมื่อก่อนท่านเคยประพฤติในการบาปนั้นตามวิถีของโลก ตามเจ้าแห่งย่านอากาศ คือวิญญาณที่ครอบครองอยู่ในคนทั้งหลายที่ไม่เชื่อฟัง เมื่อก่อนเราทั้งปวงเคยประพฤติเป็นพรรคพวกกับคนเหล่านั้น ที่ประพฤติตามตัณหาของเนื้อหนัง คือกระทำตามความปรารถนาของเนื้อหนังและความคิดในใจ ตามสันดานเราจึงเป็นคนควรแก่พระอาชญาเหมือนอย่างคนอื่น แต่พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระกรุณา เพราะเหตุความรักอันใหญ่หลวง ซึ่งพระองค์ทรงรักเรานั้น ถึงแม้ว่าเมื่อเราตายไปแล้วในการบาป พระองค์ยังทรงกระทำให้เรามีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ (ซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณ)

โรม 5:8 แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา

ยอห์น 1:12-13 แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า ซึ่งในฐานะนั้นเป็นผู้ที่มิได้เกิดจากเลือดเนื้อ หรือกาม หรือความประสงค์ของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า

บางที่เราลืมไปแล้วว่าก่อนนั้นเราเป็นอย่างไร แล้วพระองค์ได้ให้อะไรแก่เรา และสิ่งนั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน ลองดูครับ
วิวรณ์ 21:1-8 ข้าพเจ้าได้เห็นท้องฟ้าใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ เพราะท้องฟ้าเดิมและแผ่นดินโลกเดิมนั้นหายไปหมดสิ้นแล้ว และทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว ข้าพเจ้าได้เห็นวิสุทธนคร คือนครเยรูซาเล็มใหม่ เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์และจากพระเจ้า นครนี้ได้จัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว เหมือนอย่างเจ้าสาวแต่งตัวไว้สำหรับสามี ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากพระที่นั่งว่า "ดูเถิดพลับพลาของพระเจ้าอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะทรงสถิตกับเขา เขาจะเป็นชนชาติของพระองค์ และพระเจ้าเองจะประทับอยู่กับเขา พระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกๆหยดจากตาของเขาความตายจะไม่มีอีกต่อไป การคร่ำครวญ การร้องไห้ และการเจ็บปวดจะไม่มีอีกต่อไป เพราะยุคเดิมนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว" พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งตรัสว่า "ดูเถิด เราสร้างสิ่งสารพัดขึ้นใหม่" และพระองค์ตรัสอีกว่า "จงเขียนไว้เถิด เพราะว่าถ้อยคำเหล่านี้เป็นคำสัตย์ซื่อและสัตย์จริง" พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า "สำเร็จแล้ว เราเป็นอัลฟาและโอเมกา เป็นปฐมและอวสาน ผู้ใดกระหาย เราจะให้ผู้นั้นดื่มจากบ่อน้ำพุแห่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย ผู้ใดมีชัยชนะ ผู้นั้นจะได้รับสิ่งเหล่านี้เป็นมรดก และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา แต่คนขลาด คนไม่เชื่อคนที่น่าเกลียดน่าชัง คนที่ฆ่ามนุษย์ คนล่วงประเวณี คนใช้เวทมนตร์ คนไหว้รูปเคารพ และคนทั้งปวงที่พูดมุสานั้น มรดกของเขาอยู่ที่ในบึงไฟและกำมะถันที่กำลังไหม้อยู่นั้น นั่นคือความตายครั้งที่สอง"

เราควรจะรักพระองค์อย่างสุดจิตสุดใจ สุดสิ้นความคิดหรือเปล่า ในเมื่อพระองค์รักเรา และซื้อเราด้วยชีวิตของพระบุตรของพระองค์ แล้วเตรียมมรดกที่ล้ำค่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ไว้ให้เรา เราควรยำเกรงและเชื่อฟังพระองค์หรือไม่ หรือเราจะทำตัวเหมือนเด็กไม่รู้จักโต จะเรียกร้องถามหาแต่พระพร พระพร พระพรอยู่ไหน ลืมไปแล้วว่าพระเจ้าทรงประทานอะไรให้บ้าง

ประการต่อมา คริสตจักรได้ตระหนักว่า “พระเจ้าทรงควรค่าแก่การยกย่องสรรเสริญ” หรือไม่

ลูกา 17:12-18 เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีคนโรคเรื้อนสิบคนมาพบพระองค์ยืนอยู่แต่ไกล และส่งเสียงร้องว่า "เยซูนายเจ้าข้า โปรดได้เมตตาข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด" เมื่อพระองค์ทรงเห็นแล้วจึงตรัสแก่เขาว่า "จงไปสำแดงตัวแก่พวกปุโรหิตเถิด" เมื่อกำลังเดินไป เขาทั้งหลายก็หายสะอาด ฝ่ายคนหนึ่งในพวกนั้น เมื่อเห็นว่าตัวหายโรคแล้ว จึงกลับมาสรรเสริญพระเจ้าด้วยเสียงดัง และกราบลงที่พระบาทของพระเยซู โมทนาพระคุณของพระองค์ คนนั้นเป็นชาวสะมาเรีย ฝ่ายพระเยซูตรัสว่า "มีสิบคนหายสะอาดมิใช่หรือ แต่เก้าคนนั้นอยู่ที่ไหน ไม่เห็นผู้ใดกลับมาสรรเสริญพระเจ้าเว้นไว้แต่คนต่างชาติคนนี้"

ลองสำรวจดูว่าในคำอธิษฐานของเราในแต่ละครั้ง มีการสรรเสริญพระเจ้ามากกว่าหรือน้อยกว่าการบ่นการขอโน้นขอนี่ เห็นพระเจ้าเป็นเหมือนเครื่อง ATM เป็นสิ่งที่น่าคิด

คริสตจักรนั้นมีท่าทีอย่างไรต่อกันและกัน ?

เขามีจิตใจที่ดี รักและห่วงใยซึ่งกันและกัน ปรารถนาจะช่วยและหนุนใจกันในการเดินในทางของพระเจ้าหรือไม่ ?

มัทธิว 22:37-39 พระเยซูทรงตอบเขาว่า “จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อใหญ่ และข้อต้น ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง”
พระเจ้าสั่งให้เรารักเพื่อนบ้าน เพื่อนบ้านที่พระเยซูกล่าวถึงครอบคลุมกว้างไกลกว่าคนที่มีบ้านใกล้ๆกับเรา แต่หมายถึงใครๆก็ตามที่เรามีโอกาสได้พบพาน ซึ่งแน่นอนว่าหมายถึงพี่น้องคริสเตียนด้วย

ยอห์น 13:34-35 เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกัน ดังนี้แหละคนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา"

1 โครินธ์ 12:25-27 เพื่อไม่ให้มีการแก่งแย่งกันในร่างกาย แต่ให้อวัยวะทุกส่วนพะวงซึ่งกันและกัน ถ้าอวัยวะอันหนึ่งเจ็บ อวัยวะทั้งหมดก็พลอยเจ็บด้วย ถ้าอวัยวะอันหนึ่งได้รับเกียรติอวัยวะทั้งหมดก็พลอยชื่นชมยินดีด้วย ฝ่ายท่านทั้งหลายเป็นกายของพระคริสต์ และต่างก็เป็นอวัยวะของพระกายนั้น

ความรักความห่วงใยที่เรามีต่อพี่น้องคริสเตียนเป็นอย่างไร ลองพิจารณาคำอธิษฐานของเรา นอกจากการอธิษฐานเผื่นตัวเรางานของเราแล้ว ได้มีการอธิษฐานเผื่อกันมากน้อยเพียงไร ได้มีการดูแลซึ่งกันและกันมากน้อยเพียงไร ได้เตือนสติกันด้วยพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่ ได้สำแดงความรักของพระเจ้าที่มีในตัวเราแก่พี่น้องหรือไม่

คริสตจักรที่พระเจ้าพอพระทัย จะเป็นคริสตจักรที่สำแดงสง่าราศีของพระเจ้า และเป็นเหมือนทุ่งหญ้าที่อุดมสมบูรณ์ เป็นที่ให้ฝูงแกะของพระเจ้าได้อาศัยอยู่ เป็นที่ลี้ภัย เป็นที่พักพิง ที่อบอุ่นด้วยความรักของพระเจ้า ในท่ามกลางโลกที่เต็มด้วยความบาปชั่ว ขอให้ภาพของคริสตจักรที่พระเจ้าพอพระทัยปรากฏเด่นชัดยิ่งขึ้นในคริสตจักรแห่งนี้




Create Date : 25 มกราคม 2550
Last Update : 25 มกราคม 2550 15:26:06 น. 0 comments
Counter : 736 Pageviews.  
 
Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

ksk
 
Location :
ยะลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ผมเป็นคริสเตียนครับ
เป็นชาวยะลา เกิดปัตตานี ลูกจีนไหหลำ
จบวิศวกรรมไฟฟ้า(ระบบควบคุม) จากพระจอมเกล้าพระนครเหนือ EL รุ่น 24 รหัส 31 (เคยเรียน ป.วส. IE ห้องอิเล็ก ที่ วทอ. 2 ปี รหัส 29 ห้องเดียวกับ ศิริ แว่น สมชาย สุกิตติ จั๊บ ไพบูลย์ จ่าบุญเลิศ ก่อนย้อนไปเริ่มต้นป.ตรี ปี 1 ใหม่กับรุ่นน้องในคณะวิศวฯ พูดง่ายๆว่า ซิ่ว 2 ปี)
ป.โท วิศวกรรมการบิน(Avionique) จาก SUPAERO
Toulouse FRANCE ปี 1994
เคยรับราชการเป็นอาจารย์ในคณะวิศวฯที่พระนครเหนือ 8 ปี ผลงานก็ไม่มีอะไรมาก KMITNB Robot Camp เป็นสิ่งที่ยังพอให้ภาคภูมิใจเมื่อมองกลับไปที่เทคโนฯ ด้วยความคิดถึง 14 ปี อันแสนหวานกับชีวิตในพระนครเหนือ(มิย.ปี 29 - มิย.ปี 43)
ตอนนี้ลาออกจากราชการ มาหากินด้วยลำแข้ง(ไม่ใช่เป็นนักมวยไทยนะ)
ที่จังหวัดยะลาบ้านเกิด ตั้งแต่มิถุนายน ปี Y2K
กำลังจะรุ่งเรืองแล้วเชียว 4 มกราคม 2547
สถานการณ์ไฟใต้ก็เริ่มขึ้น
สิ่งที่เคยคิดว่าสักวันหนึ่งจะต้องเกิด มันก็เกิด
และยาวมาจนถึงตอนนี้
ผมยังนึกไม่ออกมันจะจบลงแบบไหน free counter

free counter

New Comments
[Add ksk's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com