ถ้าพระเจ้าไม่มีจริง คุณได้หรือเสียอะไร? แต่ถ้าพระเจ้ามีจริง คุณได้หรือเสียอะไร?

<<
เมษายน 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
16 เมษายน 2550
 

รับกางเขนของตนแบก แล้วตามเรามา

15 เมษายน 2007
คริสตจักร ยะลา

มัทธิว 16:21-28
21ตั้งแต่เวลานั้นมา พระเยซูทรงเริ่มเผยแก่เหล่าสาวกของพระองค์ว่า พระองค์จะต้องเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็ม และจะต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการจากพวกผู้ใหญ่ และพวกมหาปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ จนต้องถึงถูกประหารชีวิต แต่ในวันที่สามพระองค์จะทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่ 22ฝ่ายเปโตรเอามือจับพระองค์ ทูลท้วงว่า "พระองค์เจ้าข้า ให้เหตุการณ์นั้นอยู่ห่างไกลจากพระองค์เถิด อย่าให้เป็นอย่างนั้นแก่พระองค์เลย" 23พระองค์จึงหันพระพักตร์ตรัสกับเปโตรว่า "อ้ายซาตานจงไปให้พ้นเจ้าเป็นเครื่องกีดขวางเรา เพราะเจ้าคิดอย่างคน มิได้คิดอย่างพระเจ้า"
24ขณะนั้นพระเยซูจึงตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า "ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามาให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกและตามเรามา 25เพราะว่าผู้ใดใคร่จะเอาชีวิตรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดจะเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด 26เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลกแต่ต้องเสียชีวิตของตน ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร หรือผู้นั้นจะนำอะไรไปแลกเอาชีวิตของตนกลับคืนมา 27เหตุว่าเมื่อบุตรมนุษย์จะเสด็จมาด้วยพระสิริแห่งพระบิดา และพร้อมด้วยทูตสวรรค์ของพระองค์ เมื่อนั้นจะประทานบำเหน็จให้ทุกคนตามการกระทำของตน 28เรากล่าวความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในพวกท่านที่ยืนอยู่ที่นี่ มีบางคนที่ยังจะไม่รู้รสความตาย จนกว่าจะได้เห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาด้วยราชอำนาจของพระองค์ท่าน"


อธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณสำหรับพระทัยอันกรุณาและความรักอันยิ่งใหญ่ที่ทรงมีอย่างเพียงพอสำหรับเราทุกคน ขอพระเจ้าให้เราทุกคนได้มีประสพการณ์กับพระองค์ เพื่อเราจะรู้จักพระองค์ด้วยชีวิตของเราเอง และเพื่อความเชื่อของเราจะเข้มแข็งเพียงพอที่จะสามารถผ่านยุคสุดท้ายไปได้ ขอทรงชำระเราให้สะอาดด้วยพระวจนะของพระองค์ และขอทรงนำสิ่งที่ไม่ใช่ของพระองค์ออกไปจากชีวิตของเรา เพื่อเราจะมีชีวิตที่สมกับการเป็นผู้ที่พระองค์ทรงเรียกนั้น ขอพระวจนะในวันนี้จะเป็นการตรัสของพระองค์เอง เพื่อเราทุกคนจะได้รับการเสริมสร้างขึ้นบนพระวจนะนั้น และเพื่อเราจะประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพร้อมเสมอที่จะต้อนรับการเสด็จกลับมาของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา


ผมได้มีโอกาสเยี่ยมชมเวบไซท์ของหน่วยงานคริสเตียนหลายแห่ง และได้ใช้ช่องทางในระบบอินเทอร์เน็ตเพื่อการประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ หลายเดือนก่อนผมได้แวะไปเยี่ยมชมเวบไซท์ของคริสตจักรใจสมาน ก็ได้พบกับจุดเชื่อมโยงที่แนะนำให้ไปเยี่ยมชมเวบไซท์ของคริสเตียนชาวเกาหลีแห่งหนึ่ง หลังจากที่ผมได้เข้าไปเยี่ยมชมครั้งแรก ก็มีโอกาสกลับไปเยี่ยมชมอีกหลายๆครั้ง บางครั้งผมก็นั่งน้ำตาซึมกับเรื่องราวที่ท้าทายความเชื่อ กับเรื่องราวที่ตั้งคำถามกลับมายังชีวิตของตัวผมเองว่า ชีวิตของเราผูกพันกับพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราอย่างที่ควรหรือไม่ วันนี้ผมขอถือโอกาสนำภาพแอนิเมชั่นจากเวบไซท์ดังกล่าวมาเสนอให้พี่น้องได้รับชม ผมจะพยายามบรรยายตามไปด้วย

//www.donghaeng.net/english/cross2/cross2.swf

ผู้สร้างภาพแอนิเมชั่นนี้ได้ให้ข้อมูลไว้ว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นที่กรุงโซลประเทศเกาหลี เมื่อฤดูหนาวปี 1884 ค่ำที่แสนหนาวเย็นวันหนึ่ง มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เมื่อผู้ที่อยู่ในบ้านเปิดประตูออกมาด้วยท่าทีประหลาดใจกับการปรากฏตัวของผู้มาเยือนที่ไม่รู้จัก แต่ก็เอ่ยปากถามว่า “มีอะไรที่ผมจะช่วยคุณได้บ้าง?” ผู้ที่มานั้นมี 3 คน เป็นชายสอง หญิงหนึ่ง พวกเขาเอ่ยปากถามว่า “ท่านเป็นศิษยาภิบาล ใช่ไหมครับ กรุณาให้บัพติสมาแก่พวกเราด้วย” ศิษยาภิบาลท่านนั้นก็แปลกใจจึงถามกลับไปว่า “ขอโทษครับ ไม่ทราบว่าพวกคุณมีความเข้าใจเรื่องของการเป็นคริสเตียนแล้วหรือ?” พวกเขาตอบว่า “แน่นอนครับ ท่านสามารถถามเราได้ทุกเรื่องเกี่ยวกับพระคัมภีร์” ดังนั้นศิษยาภิบาลท่านนั้นก็เริ่มถามคำถามจากพระคัมภีร์ และคนเหล่านั้นก็ตอบ ผ่านไประยะหนึ่ง ศิษยาภิบาลก็เริ่มเห็นว่าคนเหล่านี้มีความรู้ในเรื่องของพระคัมภีร์ จึงมีท่าทีที่จะยอมรับคนเหล่านั้น ทำให้คนเหล่านั้นรู้สึกยินดี และเขาก็ถอดเสื้อคลุมชั้นนอกออก เพื่อจะทำพิธีบัพติสมา

เมื่อถอดเสื้อคลุมออก ศิษยาภิบาลก็สังเกตเห็นว่า ทั้งสามคนมีไม้กางเขนแบกไว้ที่หลังของตน จึงถามพวกเขาว่า “ทำไมพวกคุณจึงแบกไม้กางเขนไว้” พวกเขาจึงเล่าให้ฟังว่า “พวกเรามาจากเมืองจังยุน ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงโซลไปทางเหนือ 400 กิโลเมตร พวกเราได้รับข่าวประเสริฐจากคนหนึ่งที่มาจากแมนจูเรีย พวกเราจึงต้องการที่จะรับบัพติสมา แต่เมืองที่เราอยู่นั้นเป็นชนบทห่างไกล ไม่มีศิษยาภิบาลคนใดเดินทางไปถึง ดังนั้นเมื่อเราได้ยินว่ามีศิษยาภิบาลมาที่กรุงโซลจึงตั้งใจจะมาพบ และก่อนที่จะออกเดินทางได้อ่านพบในพระคัมภีร์ว่า ในขณะที่พระเยซูกำลังจะเดินทางไปยังกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์ตรัสว่า ‘ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามาให้ผู้นั้นเอาชนะตนเอง และรับกางเขนของตนแบกแล้วตามเรามา’ พวกเราแต่ละคนจึงทำไม้กางเขน และแบกไว้เพราะเราอยากจะทำตามที่พระเยซูได้ตรัสสั่งไว้”

“กรุณาให้บัพติสมากับพวกเราด้วย” พวกเขาขอร้องอีกครั้ง ศิษยาภิบาลท่านนั้นถึงกับน้ำตาคลอด้วยความยินดีที่เห็นความเชื่อที่เป็นเหมือนเด็กๆของคนเหล่านั้น เขาสวมกอดคนเหล่านั้นพร้อมกับกล่าวว่า “แน่นอน แน่นอน ผมจะทำบัพติสมาให้พวกคุณ”

พี่น้องที่รัก ผมไม่ทราบว่าภาพแอนิเมชั่นที่ชมผ่านไปนั้นแตะต้องใจของแต่ละท่านอย่างไรบ้าง แต่สิ่งที่ผมจะนำมาแบ่งปันในวันนี้ มาจากพระดำรัสของพระเยซูที่ว่า ‘ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามาให้ผู้นั้นเอาชนะตนเอง และรับกางเขนของตนแบกแล้วตามเรามา’ และคำถามที่ว่า

- เราใคร่จะตามพระเยซูคริสต์หรือไม่?
- เราต้องทำอะไรบ้างในการติดตามพระเยซูคริสต์?
- การเอาชนะตนเอง คืออะไร?
- แบกกางเขนนั้น คืออะไร?

ลองมาพิจารณาหัวข้อแรกด้วยกัน

เราใคร่จะติดตามพระเยซูคริสต์หรือไม่ ?
ผมค่อนข้างมั่นใจว่า เราทุกคนในที่ประชุมแห่งนี้เรียกตัวเองว่า ผู้ที่ติดตามพระเยซูคริสต์ และผมก็หวังว่าพวกเราทุกคนเป็นผู้ติดตามพระเยซูคริสต์จริงๆ วันนี้ผมอยากให้เราแต่ละคนได้มีโอกาสทบทวน ด้วยกัน เพื่อว่าจะไม่มีสักคนหนึ่งคนใดในท่ามกลางเราที่พลาดไปจากการเป็นผู้ที่ติดตามพระเยซูคริสต์ ขอให้ทุกท่านเข้าใจว่า สิ่งที่ผมพูดในวันนี้ ไม่ได้เป็นการจับผิดผู้ใด เพราะผมเองก็ต้องสำรวจตัวเองด้วยคำถามเดียวกันนั้นด้วย เพราะว่าการพิพากษาของพระเจ้านั้น ไม่ได้ทรงเห็นแก่หน้าผู้ใดเลย

ผู้ที่ติดตามพระเยซูคริสต์ หมายความว่าอย่างไร? สำหรับคำตอบทั่วๆไปตามมาตรฐานของโลกอาจบอกว่า ก็คือพวกที่นับถือศาสนาคริสต์ แต่วันนี้ผมอยากบอกว่า “การมีชื่อเป็นผู้นับถือศาสนาคริสต์ ไม่ใช่คุณสมบัติที่ครบถ้วนของผู้ที่ติดตามพระเยซูคริสต์”

ผู้คนนับล้านทั่วโลกมีชื่อในทะเบียนสัมโนครัวว่าเป็นคริสเตียน หรือนับถือศาสนาคริสต์ แต่วิถีชีวิตประจำวัน ไม่มีกลิ่นไอ หรือท่าทีของการเป็นผู้ติดตามพระเยซูคริสต์เลย ทำไมจึงพูดเช่นนั้น ไม่มีงานทำหรือไง ไปเที่ยวชี้นิ้วตัดสินผู้อื่น

พี่น้องที่รักการตัดสินเป็นของพระเจ้า และพระวจนะของพระองค์เองได้แสดงคำตัดสินให้เราได้ประจักษ์
ลูกา 6:44 เพราะว่าจะรู้จักต้นไม้ทุกต้นได้ก็เพราะผลของมัน เพราะว่าเขาย่อมไม่เก็บผลมะเดื่อจากต้นไม้มีหนาม หรือย่อมไม่เก็บผลองุ่นจากต้นระกำ
ยอห์น 15:4 จงเข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในท่าน แขนงจะออกผลเองไม่ได้ นอกจากจะติดอยู่กับเถาฉันใด ท่านทั้งหลายก็จะเกิดผลไม่ได้ นอกจากจะเข้าสนิทอยู่ในเราฉันนั้น

ไม่มีคำพูดของมนุษย์คนใดจะตัดสินใครได้ แต่ผลที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนนั้นจะเป็นสิ่งที่พิสูจน์ธาตุแท้ในชีวิตของแต่ละคน

ถ้าคุณเป็นผู้ติดตามพระเยซูคริสต์อย่างแท้จริง ใครจะชี้หน้าคุณแล้วกล่าวหาว่าคุณไม่ติดตามพระเยซู คำพูดนั้นจะทำให้คุณกลายเป็นผู้ที่ไม่ติดตามพระเยซูอย่างจริงจังก็หามิได้

แต่ถ้าคุณเป็นผู้ที่ไม่ติดตามพระเยซูคริสต์อย่างจริงจัง ใครจะพยายามยกชูคุณขึ้น ด้วยคำป้อยอว่าคุณเป็นผู้ที่ติดตามพระเยซูด้วยสุดหัวใจ คำพูดเหล่านั้นก็ไม่สามารถทำให้คุณกลายเป็นผู้ติดตามพระเยซูด้วยสุดหัวใจไปได้เช่นกัน

สมัยนี้มีคนที่ถือโชคลางจำนวนไม่น้อยที่ทำอย่างนี้ เขาเอาตัวหนังสือติดไว้ที่รถยนต์ของเขาว่า “รถคันนี้สีแดง” หรือ “รถคันนี้สีเหลือง” ทั้งๆที่รถคันนั้นเป็นสีอื่นๆ ทั้งนี้เขาเชื่อว่าเป็นการแก้เคล็ด เพื่อแก้ไขให้สีของรถถูกโฉลกกับชะตาชีวิตของเขา พี่น้องคิดอย่างไรครับ รถคันนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีตามที่ตัวหนังสือนั้นว่าไว้หรือเปล่า

ถ้าคุณประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์จริงๆ ใครจะบอกว่าคุณไม่มีพระวิญญาณ คำพูดนั้นก็ไม่อาจทำลายความเป็นจริงได้
แต่ถ้าคุณไม่ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้วไซร้ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถป้อยอให้คุณประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ขึ้นมาได้ ผลที่สำแดงออกในชีวิตของคุณจะแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเป็นอย่างไร


อย่าให้เราหลอกตัวเอง เราจะหลอกมนุษย์ก็อาจจะหลอกได้ แต่จะหลอกพระเจ้าไม่ได้ พระองค์ทรงทอดพระเนตรดูภายในใจของคุณว่า คุณเป็นผู้ที่ติดตามพระองค์หรือไม่

ผู้ที่ติดตามพระเยซูคริสต์จะเป็นอย่างไร? พระเยซูได้บอกไว้ชัดเจนในพระคัมภีร์ว่า ผู้ที่ติดตามพระองค์จะเป็นอย่างไร
ยอห์น 8:12 อีกครั้งหนึ่งพระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า "เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต"
ยอห์น 10:26-28
26แต่ท่านทั้งหลายไม่เชื่อเพราะท่านมิได้เป็นแกะของเรา 27แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา และเรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นตามเรา 28เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะนั้น แกะนั้นจะไม่พินาศเลย และจะไม่มีผู้ใดแย่งชิงแกะเหล่านั้นไปจากมือของเราได้


พระคัมภีร์ทั้ง 2 ตอนที่ว่ามานั้น ชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่ตามพระเยซูจะไม่เดินในความมืด และจะฟังเสียงและติดตามพระองค์ไปเหมือนแกะที่ติดตามผู้เลี้ยง นั้นคือความหมายของผู้ที่ตามพระเยซูที่พระคัมภีร์บอกไว้

เราต้องทำอะไรบ้างในการติดตามพระเยซูคริสต์?
พระธรรมมัทธิว บทที่ 16:24 ที่ได้อ่านไปในตอนต้นได้บอกไว้ว่า “ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตนเอง…” ในภาคภาษาไทยทั้งในสำนวนปัจจุบัน และในสำนวนเก่าฉบับ King James ได้ใช้คำว่า “เอาชนะตนเอง” ส่วนในภาคภาษาอังกฤษทั้งฉบับ NIV และฉบับ King James ใช้คำว่า “deny himself” แปลว่า “ปฏิเสธตนเอง” จะบอกว่าเหมือนกันก็เหมือนกัน จะบอกว่าต่างกันก็ต่างกัน

ในส่วนที่ดูว่าเหมือนกันนั้น
การเอาชนะตนเองนั้น เราสามารถจินตนาการเป็นภาพออกมาได้ว่า ผู้ที่จะเอาชนะใจตนเองนั้นจะต้องเป็นผู้ที่มีใจปรารถนาอันแรงกล้า และได้แสดงออกถึงความปรารถนานั้นออกมาด้วยตัวของเขา เอาชนะอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดก็คือใจของตัวเอง
ส่วนการปฏิเสธตนเองนั้น จินตนาการให้เห็นภาพของผู้ที่มีใจปรารถนาแรงกล้าเช่นกัน ในการที่จะละทิ้งความปรารถนาส่วนตัวของตนเอง เพื่อเห็นแก่อีกสิ่งหนึ่งที่เขาตีคุณค่าไว้สูงกว่าความปรารถนาส่วนตัว

ในส่วนที่ดูว่าแตกต่างกันนั้น
ดูเหมือนกว่าการเอาชนะตัวเอง จะออกไปแนวของความเก่งกล้าสามารถที่จะฝันฝ่าอุปสรรคที่แสนยากเย็น
ส่วนการปฏิเสธตนเอง จะออกไปในแนวการปรัชญา หรือการหันหลังให้กับโลก

การเอาชนะตนเอง คืออะไร?
ไม่ว่าจะในแง่ของความเหมือนหรือความต่าง สิ่งสำคัญคือ มันได้เกิดขึ้นหรือยังในชีวิตของพวกเราที่ติดตามพระเยซูคริสต์ เราได้เอาชนะตนเองหรือเปล่า เราได้ปฏิเสธตนเองหรือเปล่า
การเอาชนะตนเอง หรือการปฏิเสธตนเอง ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเป็นเหมือนพระธุดงธ์ หรือต้องพยายามทำตัวเป็นคนสันโดดร่อนเร่พเนจร ต้องมีเสื้อผ้าชุดเดียวเดินเท้าเปล่า ทำตัวเหมือนฤาษีชีไพร ไม่สามารถดำเนินชีวิตเหมือนคนปกติในสังคม พระคัมภีร์ไม่ได้ให้ภาพของการปฏิเสธตนเองในลักษณะแบบนั้น อย่าพยายามเข้าใจผิด เพราะนอกจากเราจะตัดโอกาสของเราเองที่จะทำในสิ่งที่พระเยซูตรัสสั่ง ยังอาจทำให้เราเข้าใจพี่น้องผิดด้วย

เราต้องเอาชนะตนเองในด้านใดหรือ? ในภาพแอนิเมชั่นที่เราได้ชมผ่านไปนั้น แสดงให้เห็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าพี่น้องชาวเกาหลีทั้ง 3 คนนั้น ได้เอาชนะตนเองอย่างไร พวกเขาต้องเดินทางไกล 400 กิโลเมตร ด้วยเท้าเพื่อไปขอรับบัพติสมา พวกเรามีใจปรารถนาได้ขนาดนั้นหรือเปล่า พวกเขาเดินผ่านหิมะอันหนาวเย็น ยากลำบากและอันตราย จะเห็นว่ามีภาพหนึ่งที่มีคนตกลงไปในน้ำและอีก 2 คนช่วยกันดึงเขาขึ้นมา เราได้แสดงออกถึงการเอาชนะตนเองคือการติดตามพระองค์โดยการเอาชนะความกลัวความยากลำบากและอันตรายอย่างนั้นบ้างหรือเปล่า สมมุติว่าคริสตจักรที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างจากบ้านที่เราพักอาศัยเป็นระยะทาง 40 กิโลเมตร เราจะพยายามหาหนทางไปนมัสการพระเจ้าหรือเปล่า? หากว่าวันอาทิตย์เรามีลูกค้าเยอะกว่าวันปกติ เราจะยินดีหยุดงานเพื่อมานมัสการพระเจ้าหรือเปล่า? หากว่าการแสดงตัวว่าเป็นคริสเตียนจะทำให้วางตัวลำบาก จะไปเที่ยวเตร่เฮฮากับเพื่อนร่วมงานไม่ได้ เรายินดีจะแสดงตัวว่าเป็นคริสเตียนหรือเปล่า? หากเรามีเรื่องคัดเคืองใจกับพี่น้อง และเราดูจะเป็นผู้มีศักดิ์ศรีสูงกว่าเขา แต่พระคัมภีร์สอนให้เราไปขอคืนดีกับพี่น้อง เราจะเอาชนะทิฐิของตัวเราได้ไหม? ขอให้เราเอาชนะตัวเองให้ได้จากเรื่องเหล่านี้

เราจะต้องปฏิเสธตนเองในด้านใดบ้างหรือ? หากคนรักของเรายื่นคำขาดให้เราเลือกเขากับพระเยซูคริสต์ เราปฏิเสธความปรารถนาแห่งหัวใจของเราแล้วเลือกพระองค์หรือเปล่า? หากหน้าที่การงานของเราจะรุ่งเรืองได้ก็ต่อเมื่อเราต้องทำผิดต่อพระวจนะของพระเจ้า เราปฏิเสธความปรารถนาในความสำเร็จส่วนตัวและเลือกที่จะติดตามพระเยซูคริสต์หรือเปล่า? หากพระวจนะของพระเจ้าทิ่มแทงเราให้รู้สึกเจ็บปวด เราปฏิเสธความคิดเคียดแค้นของเราและเลือกที่จะเชื่อฟังเสียงเตือนจากพระวจนะนั้นหรือเปล่า?
หากเราเป็นคนมีความสามารถน่าจะมีชีวิตที่หรูหราได้ แต่พระเจ้าเรียกให้เราไปรับใช้พระองค์ในที่ที่ทุรกันดาร เราปฏิเสธความปรารถนาส่วนตัวของเราและเลือกทำตามการทรงเรียกของพระองค์ได้หรือเปล่า?

“รถคันนี้สีแดง”

ไม่มีใครป้อยอให้คุณเป็นผู้ติดตามพระเยซูได้ ถ้าคุณไม่ได้เป็นจริงๆ
และ คำให้ร้ายของใครก็ทำให้คุณไม่เป็นผู้ติดตามพระเยซูไม่ได้ ถ้าหากคุณเป็นจริงๆ


แบกกางเขน คืออะไร?
การแบกกางเขนที่พระคัมภีร์กล่าวถึง ไม่ได้หมายถึงการที่พวกเราทุกคนต้องไปหาไม้มาทำกางเขนแล้วแบกไว้ที่หลังเหมือนกับที่พี่น้องเหล่านั้นทำ ภาพที่เราเห็นนั้นอาจทำให้เราอมยิ้มเมื่อเห็นความซื่อของพี่น้องเหล่านั้นที่ทำไม้กางเขนแล้วมาแบกไว้ แต่สิ่งที่เราต้องชื่นชมและแอบละอายใจก็คือเขาปรารถนาจะทำในสิ่งที่พระเยซูตรัสสั่งไว้ทุกประการ แม้ว่าจะยังไม่เข้าใจ ปัญหาอยู่ที่พวกเราผู้ซึ่งเข้าใจดีว่าพระเยซูไม่ได้สั่งให้ทำไม้กางเขนมาแบกไว้ แต่เราก็ไม่มีความปรารถนาที่จะกระทำอย่างที่พระเยซูได้ตรัสสั่งไว้

การแบกกางเขนคืออะไรกัน ?
ภาระกิจของพระเยซูคริสต์ที่ได้ทรงรับมอบจากพระเจ้าพระบิดา ที่ให้เสด็จเข้ามาในโลกก็เพื่อที่จะสิ้นพระชนม์บนกางเขน อันเป็นการจ่ายค่าไถ่ให้กับประชากรของพระองค์ ในพระวจนะของพระเจ้าก็ได้บอกไว้ว่าเราที่เป็นคริสเตียนจะต้องเข้าส่วนในการตายกับพระคริสต์ และมีส่วนร่วมกับพระองค์ในการถูกตรึงนั้น
กาลาเทีย 2:20 ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า

แน่นอนว่า เราที่นั่งที่นี่ ไม่จำเป็นต้องไปถูกตะปูตอกตรึงบนไม้กางเขนจริงๆ เพราะเมื่อเรารับเชื่อในพระเยซูคริสต์นั้น เราได้ขอสมัครเข้ารับส่วนในการตายของพระองค์ เราจึงเป็นผู้ที่ถูกไถ่ไว้โดยความตายของพระเยซูคริสต์ และเมื่อพระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นแล้ว เราจึงเป็นผู้มีชีวิตของพระคริสต์

แต่การแบกกางเขนนั้น พระวจนะได้บอกว่า “กางเขนของตน” นั่นมีความหมายพิเศษที่บอกว่าเราแต่ละคนต้องรับผิดชอบในส่วนของตนเอง จะให้ผู้อื่นมารับแทนก็ไม่ได้ จะไปรับแทนผู้อื่นก็ไม่ได้

ต้องทำอย่างไรเรียกว่าแบกกางเขน ?
ฟิลิปปี 2:6-8
6ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ 7แต่ได้กลับทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ 8และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน

ไม้กางเขน เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นความเชื่อฟังและการถ่อมพระองค์ของพระเยซูคริสต์ ดังนั้นการที่เราเชื่อฟังพระเจ้าก็เป็นการแบกกางเขน การที่เราเป็นคนถ่อมตัวก็เป็นการแบกกางเขน


1 ยอห์น 3:16-18
16ดังนี้แหละเราจึงรู้จักความรัก โดยที่พระองค์ได้ทรงยอมสละพระชนม์ของพระองค์เพื่อเราทั้งหลาย และเราทั้งหลายก็ควรจะสละชีวิตของเราเพื่อพี่น้อง 17แต่ถ้าผู้ใดมีทรัพย์สมบัติในโลกนี้ และเห็นพี่น้องของตนขัดสนแล้วยังใจจืดใจดำไม่สงเคราะห์เขา ความรักของพระเจ้าจะดำรงอยู่ในผู้นั้นอย่างไรได้ 18ลูกทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่านั้น แต่จงรักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง

ไม้กางเขน เป็นสิ่งที่แสดงออกถึงความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา อย่างไม่มีเงื่อนไข เราจึงต้องสำแดงความรักอย่างนั้นต่อเพื่อนร่วมโลก ไม่ว่าจะยากจนหรือมั่งมี มีชาติตระกูลหรือไร้ชาติตระกูล มีการศึกษาหรือไร้การศึกษา เป็นญาติของเราหรือไม่ใช่ญาติของเรา การแสดงความรักอย่างนั้นต่อพี่น้องร่วมโลก ก็เป็นการแบกกางเขน


โคโลสี 3:5-10
5เหตุฉะนั้นจงประหารโลกียวิสัยในตัวท่านเสีย มีการล่วงประเวณี การโสโครก ราคะตัณหา ความปรารถนาชั่ว และความโลภ ซึ่งเป็นการนับถือรูปเคารพ 6เพราะสิ่งเหล่านี้ พระอาชญาของพระเจ้าก็จะลงมา 7ครั้งหนึ่งท่านเคยประพฤติสิ่งเหล่านี้ด้วย ครั้งเมื่อท่านยังดำรงชีวิตอยู่กับสิ่งเหล่านี้ 8แต่บัดนี้ สารพัดสิ่งเหล่านี้ท่านจงเปลื้องทิ้งเสีย คือความโกรธ ความขัดเคือง การคิดปองร้าย การพูดเสียดสี คำพูดหยาบโลน 9อย่าพูดมุสาต่อกัน เพราะว่าท่านได้ปลดวิสัยมนุษย์เก่า กับการปฏิบัติของมนุษย์นั้นเสียแล้ว 10และได้สวมวิสัยมนุษย์ใหม่ ที่กำลังทรงสร้างขึ้นใหม่ตามพระฉายของพระองค์ผู้ทรงสร้าง ให้รู้จักพระเจ้า

ไม้กางเขน เป็นสัญญลักษณ์ของความตาย เป็นการลงโทษที่เฉียบขาด การเลิกจากวิถีชีวิตเก่าของเรา การแยกตัวออกจากการยุ่งเกี่ยวกับความบาป การประหารโลกียวิสัยที่มีอยู่ในชีวิตเดิมโดยเด็ดขาด เป็นการแบกกางเขน


โรม 8:16-17
16พระวิญญาณนั้นเป็นพยานร่วมกับวิญญาณจิตของเราทั้งหลายว่า เราทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้า 17และถ้าเราทั้งหลายเป็นบุตรแล้ว เราก็เป็นทายาท คือเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ เมื่อเราทั้งหลายทนทุกข์ทรมานด้วยกันกับพระองค์นั้น ก็เพื่อเราทั้งหลายจะได้ศักดิ์ศรีด้วยกันกับพระองค์ด้วย

ไม้กางเขน เป็นเครื่องหมายแห่งการทนทุกข์ และศักดิ์ศรี ดังนั้นการทนทุกข์กับพระคริสต์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของคริสเตียนจึงเป็นการแบกกางเขน พระคัมภีร์ได้ทรงบอกไว้ล่วงหน้าแล้วว่า แท้จริงผู้ที่ปรารถนาจะดำเนินชีวิตในทางของพระเจ้า ในพระคริสต์จะต้องถูกข่มเหง (2 ทิโมธี 3:12) แต่นั่นก็คือการแบกกางเขน


ภาระกิจของคริสเตียน หรือผู้ติดตามพระเยซู หรือสาวกของพระเยซู คือการแบกกางเขนของตนแล้วตามพระเยซูคริสต์ไป

ลูกา 14:27 ผู้ใดมิได้แบกกางเขนของตนตามเรามา ผู้นั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้


Create Date : 16 เมษายน 2550
Last Update : 16 เมษายน 2550 11:31:56 น. 5 comments
Counter : 5025 Pageviews.  
 
 
 
 
อาเมนค่ะ

ขอพระเจ้าอวยพรท่าน
 
 

โดย: ~ Jenny B. Good ~ IP: 124.120.98.187 วันที่: 17 เมษายน 2550 เวลา:10:11:12 น.  

 
 
 
ขอบพระคุณสำหรับข้อคิด การสอนของท่าน
ขอพระเจ้าอวยพระพรค่ะ
 
 

โดย: อ๋อย IP: 118.172.67.219 วันที่: 30 สิงหาคม 2551 เวลา:12:51:49 น.  

 
 
 
เห็นคนที่รักพระเจ้าอีกคนหนึ่ง ก็ดีใจคะ
เป็นเด็กนราฯ มาเชื่อพระเจ้าที่ กทม.
ตอนนี้รับใช้พระเจ้าคะ
ข้อความหนุนใจและเป็นฐานข้อมูลที่ดี มากๆ
ratt.rody@gmail.com
 
 

โดย: ดี......มากๆ IP: 202.176.139.203 วันที่: 17 มิถุนายน 2552 เวลา:23:32:19 น.  

 
 
 
ขอพระเกียรติเป็นของพระเจ้าครับ

ขอพระเจ้าอวยพระพรคุณเช่นกัน
ผมมีญาติเป็นสมาชิกอยู่ที่ ค.นราธิวาส
ข่าวว่าขาดผู้รับใช้พระเจ้าที่จะสอนพระวจนะ
อยากให้ลองอธิษฐานดูนะครับ
พระเจ้าอาจมีพระประสงค์ให้คุณได้กลับมาที่นราธิวาสอีก
 
 

โดย: ksk วันที่: 18 มิถุนายน 2552 เวลา:9:46:37 น.  

 
 
 
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับผู้รับใช้ ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมมาให้สอนและประกาศเรื่องราวของพระองค์ ขอพระเจ้าทรงอวยพรผู้ที่รู้จักพระนามของพระองค์ทุกคน และผู้รับใช้ ผู้หลงหาย และผู้ที่ยังไม่เขื่อ ให้มาเชื่อพระองค์ด้วย
อาเมน..
 
 

โดย: Thank God IP: 118.172.136.215 วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:20:25:35 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

ksk
 
Location :
ยะลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ผมเป็นคริสเตียนครับ
เป็นชาวยะลา เกิดปัตตานี ลูกจีนไหหลำ
จบวิศวกรรมไฟฟ้า(ระบบควบคุม) จากพระจอมเกล้าพระนครเหนือ EL รุ่น 24 รหัส 31 (เคยเรียน ป.วส. IE ห้องอิเล็ก ที่ วทอ. 2 ปี รหัส 29 ห้องเดียวกับ ศิริ แว่น สมชาย สุกิตติ จั๊บ ไพบูลย์ จ่าบุญเลิศ ก่อนย้อนไปเริ่มต้นป.ตรี ปี 1 ใหม่กับรุ่นน้องในคณะวิศวฯ พูดง่ายๆว่า ซิ่ว 2 ปี)
ป.โท วิศวกรรมการบิน(Avionique) จาก SUPAERO
Toulouse FRANCE ปี 1994
เคยรับราชการเป็นอาจารย์ในคณะวิศวฯที่พระนครเหนือ 8 ปี ผลงานก็ไม่มีอะไรมาก KMITNB Robot Camp เป็นสิ่งที่ยังพอให้ภาคภูมิใจเมื่อมองกลับไปที่เทคโนฯ ด้วยความคิดถึง 14 ปี อันแสนหวานกับชีวิตในพระนครเหนือ(มิย.ปี 29 - มิย.ปี 43)
ตอนนี้ลาออกจากราชการ มาหากินด้วยลำแข้ง(ไม่ใช่เป็นนักมวยไทยนะ)
ที่จังหวัดยะลาบ้านเกิด ตั้งแต่มิถุนายน ปี Y2K
กำลังจะรุ่งเรืองแล้วเชียว 4 มกราคม 2547
สถานการณ์ไฟใต้ก็เริ่มขึ้น
สิ่งที่เคยคิดว่าสักวันหนึ่งจะต้องเกิด มันก็เกิด
และยาวมาจนถึงตอนนี้
ผมยังนึกไม่ออกมันจะจบลงแบบไหน free counter

free counter

New Comments
[Add ksk's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com