ถ้าพระเจ้าไม่มีจริง คุณได้หรือเสียอะไร? แต่ถ้าพระเจ้ามีจริง คุณได้หรือเสียอะไร?

<<
สิงหาคม 2550
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
14 สิงหาคม 2550
 

ดำเนินชีวิตโดยความเชื่อ

12 สิงหาคม 2007
คริสตจักร ยะลา

มัทธิว 16:1-12
1พวกฟาริสีกับพวกสะดูสีได้มาทดลองพระองค์ โดยขอแสดงหมายสำคัญจากฟ้าสวรรค์ให้เขาเห็น 2พระองค์จึงตรัสตอบเขาว่า ["พอตกเย็นท่านทั้งหลายพูดว่า "รุ่งขึ้นอากาศจะโปร่งดีเพราะฟ้าสีแดง" 3ในเวลาเช้าท่านพูดว่า "วันนี้จะเกิดพายุฝนเพราะฟ้าแดงและมัว" ท้องฟ้านั้นท่านทั้งหลายยังอาจสังเกตรู้และเข้าใจได้ แต่หมายสำคัญแห่งกาละนี้ท่านกลับไม่เข้าใจ] 4คนชาติชั่วและคิดคดทรยศต่อพระเจ้าแสวงหาหมายสำคัญ และจะไม่โปรดให้หมายสำคัญแก่เขา เว้นไว้แต่หมายสำคัญของโยนาห์เท่านั้น" แล้วพระองค์ก็เสด็จไปจากเขา 5ฝ่ายพวกสาวกของพระองค์ เมื่อข้ามฟากนั้นได้ลืมเอาขนมปังไปด้วย 6เมื่อพระเยซูตรัสกับเขาว่า "จงสังเกตและระวังเชื้อแห่งพวกฟาริสี และพวกสะดูสีให้ดี" 7เหล่าสาวกจึงพูดกันว่า "เพราะเหตุที่เรามิได้เอาขนมปังมา" 8ฝ่ายพระเยซูทรงทราบจึงตรัสกับเขาว่า "โอ ผู้มีความเชื่อน้อย เหตุไฉนพวกท่านจึงพูดกันและกันถึงเรื่องไม่มีขนมปัง 9ท่านยังไม่หยั่งรู้และจำไม่ได้หรือ เรื่องขนมปังห้าก้อนกับคนห้าพันคนนั้น ท่านเก็บที่เหลือได้กี่ตะกร้า 10หรือขนมปังเจ็ดก้อนกับคนสี่พันคนนั้น ท่านเก็บที่เหลือได้กี่ตะกร้า 11เป็นไฉนพวกท่านจึงไม่หยั่งรู้ว่า เรามิได้พูดกับท่านด้วยเรื่องขนมปัง แต่ได้ว่าให้ระวังเชื้อแห่งพวกฟาริสีและพวกสะดูสีให้ดี" 12แล้วพวกสาวกก็เข้าใจว่า พระองค์มิได้ตรัสสั่งเขาให้ระวังเชื้อขนมปัง แต่ให้ระวังคำสอนของพวกฟาริสีและพวกสะดูสี


อธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ข้าพระองค์ทั้งหลายขอบพระคุณพระองค์สำหรับความรอดที่ได้ทรงโปรดประทานให้กับข้าพระองค์ทั้งหลายผู้เป็นคนต่างชาติ แต่โดยความรักที่พระองค์ทรงมีต่อเรา พระองค์ได้ทรงให้โอกาสที่ข้าพระองค์ทั้งหลายจะสามารถรับเอาความรอดได้ โดยการเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ ขอบพระคุณพระเจ้า ที่โดยความเชื่อนั้นพระเจ้าทรงชำระเราและทรงนับเราเป็นคนชอบธรรม โดยความเชื่อนั้นคนชอบธรรมสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ และโดยความเชื่อเราได้รับการรับรองจากพระเจ้า ในเวลานี้เราอยู่เบื้องพระพักตร์พระองค์ ทูลขอให้พระองค์ทรงเพิ่มเติมความเชื่อให้เราโดยพระวจนะของพระองค์ ในส่วนที่ยังขาดอยู่นั้น ขอทรงโปรดให้เชื่อเถิด เพื่อเราจะดำเนินชีวิตโดยมีฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์


“ความเชื่อ” เป็นคำที่เราได้ยินบ่อยมากในชีวิตของคริสเตียนผู้ติดตามพระเจ้า พระคัมภีร์ให้ความสำคัญอย่างมากกับ “ความเชื่อ” ตั้งแต่เริ่มต้นของข่าวประเสริฐและสุดท้ายที่แผ่นดินของพระเจ้า ก็คือ “ความเชื่อ” น่าเสียดายที่ในสังคมปัจจุบัน โดยเฉพาะในสังคมแห่งความมืดมนที่แวดล้อมเราอยู่นั้น ได้ทำให้คำว่า “ความเชื่อ” กลายเป็นเรื่องของความโง่เขลา ส่งผลกระทบมาถึงคริสเตียนจำนวนไม่น้อย เพราะทำให้คริสเตียนเองก็เริ่มรู้สึกว่า “ความเชื่อ” เป็นเรื่องของคนโง่เขลา งมงาย ขาดความรู้ ไร้สติปัญญา หากว่าผู้ที่เรียกตัวเองว่าคริสเตียนแต่ปฏิเสธการดำเนินชีวิตโดยความเชื่อ ก็เท่ากับว่า เขาได้ออกนอกทางแห่งความรอดไปแล้ว

แน่นอนว่า “ความเชื่อ” ที่ผมกำลังพูดถึงนั้น เป็นความเชื่อตามความหมายของพระคัมภีร์ ซึ่งเราจะต้องรับรู้ และรู้จักเป็นอย่างดี เราจึงจะสามารถแยกแยะความเชื่อที่พระคัมภีร์พูดถึง ออกจากคำว่าความเชื่อที่โลกนี้กำลังติดตามอยู่

ความเชื่อคืออะไรในความหมายของพระคัมภีร์ เราคงคุ้นเคยกับคำจำกัดความที่ปรากฏในพระธรรมฮีบรูบทที่ 11 ดีอยู่แล้ว ขอยกมาให้พิจารณาอีกครั้ง

ฮีบรู 11:1
1ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง


ความเชื่อมีความหมายอย่างนั้น และผมก็เชื่อว่า คนทั่วโลกก็ใช้คำว่าความเชื่อตามความหมายอันนี้ด้วย เช่น บางคนเชื่อว่า การที่ไปจุดธูปและนั่งถูที่โคนต้นไม้ในเวลาเที่ยงคืน จะทำให้รู้ว่าลอตเตอรี่งวดต่อไปจะออกเลขอะไร บางคนเชื่อว่าการได้ตักน้ำเหลืองๆจากแอ่งเล็กๆที่หลังส้วมแห่งหนึ่งมาดื่มกินจะทำให้หายจะโรคภัยไข้เจ็บ บางคนก็เชื่อว่าการที่สัตว์บางชนิดต้องหลบหนีศัตรูที่มาแย่งอาหารบ่อยๆในที่สุดก็จะวิวัฒนาการจนมีปีกแล้วบินได้ บางคนก็เชื่อว่าครั้งหนึ่งเคยมีวัตถุที่เล็กยิ่งกว่าปลายเข็มล่องลอยในที่เวิ้งว้างว่างเปล่า แล้วจู่ๆก็เกิดระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง กระจายตัวกันออกมา เวลาผ่านไปหลายพันล้านปี ก็กลายมาเป็นดวงดาวและจักรวาลอันกว้างใหญ่

จะเห็นว่าความเชื่อเหล่านั้น ก็เข้าหลักการตามที่พระคัมภีร์กล่าวไว้เช่นกัน นั่นคือ “แม้ไม่เคยเห็นด้วยตา แต่ก็คาดหวังว่าเป็นความจริง”

เอาล่ะครับ ความเชื่อของคริสเตียนจะต่างอะไรกับความเชื่อของเหล่านั้น เพราะคนเหล่านั้นต่างก็กำลังชี้หน้าซึ่งกันและกันพร้อมกับกล่าวว่า “แกมันงมงาย โง่เขลา และไร้การศึกษา” อีกฝ่ายก็ตอบโต้ว่า “ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่ กระทรวงวิทยาศาสตร์และพวกด๊อกเตอร์นักวิทยาศาสตร์ที่พวกแกยกย่องนับถือ ก็ยังทำพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลย เผลอๆยังแอบปรึกษาหมอดูอีกด้วย”

ความเชื่อของคริสเตียน ก็อยู่บนคำจำกัดความอันเดียวกันที่ว่า “แม้ไม่เคยเห็นด้วยตา แต่ก็คาดหวังว่าเป็นความจริง” แต่ความแตกต่างอยู่ที่คริสเตียนกำลัง “เชื่อในใครบางคน” ไม่ใช่ “เชื่อในอะไรบางอย่าง”

ความเชื่อของคริสเตียนนั้น “เป็นการแสดงออกถึงความไว้เนื้อเชื่อใจ ในบุคคลผู้หนึ่ง ซึ่งเฉลยให้เรารู้ถึงความเป็นมาของโลกนี้ ยังบอกให้เราสังเกตจากธรรมชาติรอบๆตัวเพื่อจะพิจารณาว่าพระองค์ทรงมีอยู่จริงหรือไม่ นอกจากนี้เรื่องราวในประวัติศาสตร์ได้สำแดงให้เห็นแล้วว่า บุคคลผู้นี้ได้นำบรรพบุรุษในโบราณกาลผ่านเหตุการณ์ต่างๆมาได้อย่างไร และยังบอกถึงอนาคตที่จะเป็นไปอีกด้วย” สิ่งเหล่านี้คือคำท้าทายว่า “ท่านจะเชื่อและวางใจในเราหรือไม่”

นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด เพราะไม่ว่าใครในโลกนี้จะเชื่อในอะไร หรือเชื่อในใครก็ตาม บั้นปลายจะเป็นคำตอบที่ตัดสินผลลัพธ์ของความเชื่อนั้น เช่นหากมีใครสักคนเดินมาหาคุณแล้วบอกว่า เชื่อผมสิ ผมสามารถให้คุณเป็นเจ้าของเกาะสมุยได้ ความเชื่อสามารถเกิดขึ้นได้ คุณอาจจะเชื่อในเขาคนนั้นอย่างจริงใจ แต่ผลลัพธ์ของความเชื่อนั้นจะเป็นจริงได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่า คนที่คุณเชื่อสามารถทำอย่างนั้นได้จริงหรือไม่

ความเชื่อของคริสเตียน วางไว้อยู่บนพระเจ้าผู้สูงสุด ผู้ทรงมีฤทธานุภาพยิ่ง ผู้ทรงประกาศอย่างชัดแจ้งว่าเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้เพียงพระองค์เดียว ได้ทรงสำแดงให้เห็นว่าทรงกระทำได้และได้ทรงกระทำแล้ว และจะทรงกระทำอะไรต่อไป

ฮีบรู 11:6
6แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าก็ไม่ได้เลย เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้าได้นั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่แสวงหาพระองค์

พระธรรมฮีบรูได้บอกให้รู้อีกครั้งถึงความสำคัญของความเชื่อ แต่น่าเสียดายที่ผู้ที่เรียกตนเองว่าคริสเตียน ติดตามพระเจ้ามาหลายปี ก็ยังมีจำนวนไม่น้อยที่รู้จักคำว่า “ความเชื่อ” เพียงแค่คำพูดที่ออกจากปากไปอย่างไร้ความหมาย

การดำเนินชีวิตโดยความเชื่อของคริสเตียนเป็นอย่างไร นี่เป็นคำถามที่ดูเหมือนจะตอบไม่ยาก แต่อาจต้องคิดสักหน่อยก่อนที่จะตอบอะไรออกมา

คือการเชื่อว่ามีพระเจ้าอยู่จริง อย่างนั้นหรือ? ใช่ แต่พระคัมภีร์บอกว่า “มารก็เชื่อ และกลัวจนตัวสั่นด้วย”
คือการเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้าหรือ? ใช่ แต่อย่างไรล่ะ ที่จะแตกต่างจากมาร เพราะมันก็รู้ว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า
หรือ คือการเชื่อว่าพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า? ใช่ แต่อย่างไรล่ะ ถ้าพระวจนะของพระเจ้าไม่เคยอยู่ในใจเลยตลอดทั้งวัน มันต่างอะไรกับคนที่ไม่เชื่อ

ผมอยากให้เราร่วมกันสำรวจว่า เราได้ดำเนินชีวิตโดยความเชื่ออย่างที่พระวจนะของพระเจ้าเรียกร้องหรือเปล่า (โรม 1:17 คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ)

ประการที่ 1 เราตระหนักถึงความจริงของพระเจ้าหรือไม่
แปลเป็นคำพูดง่ายๆว่า แท้จริงแล้ว เราเชื่อว่ามีพระเจ้าอยู่จริงหรือเปล่า หรือเราเป็นอีกคนหนึ่งที่เชื่อๆตามๆกัน พ่อแม่เชื่อ ก็เชื่อด้วย, ญาติพี่น้องเชื่อกัน ก็เชื่อด้วย, เพื่อนๆเค้าเชื่อกัน ก็เชื่อด้วย เรากำลังอยู่ในสภาพอย่างนั้นหรือเปล่า ผมไม่ต้องการคำตอบ แต่ขอให้แต่ละคนตอบตัวเอง

การที่เราจะบอกว่า เราเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง เรามีหลักฐานอะไรมาพิสูจน์ความเชื่อของเรา พระองค์มีอยู่จริงตามเรื่องที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์แน่นอน แต่พระองค์มีอยู่จริงในประสพการณ์ในชีวิตเราหรือเปล่า เราเคยได้รับการช่วยเหลือจากพระองค์จริงๆตามที่พระองค์สัญญาหรือเปล่า หรือเราตอบไม่ได้เลย โดยเฉพาะเมื่อถึงเวลาแบ่งพระพร เราไม่มีอะไรจะพูดเลย เพราะเราไม่เคยมีประสบการณ์ใดๆกับพระองค์เลย หรือแม้กระทั่งบางครั้งอับจนขนาดต้องปั้นเรื่องขึ้นมาว่า พระเจ้าได้ช่วยเราอย่างโน้นอย่างนี้ เพียงเพื่อหลอกตัวเองและผู้อื่น

ความจริงของพระเจ้าจะได้รับการพิสูจน์ด้วยประสพการณ์ชีวิตของผู้เชื่อ

ประการที่ 2 เราตระหนักถึงการมีส่วนร่วมของพระเจ้าในชีวิตของเราหรือไม่
การที่เราดำเนินชีวิตในโลกนี้โดยที่พระเจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือมีส่วนเพียงบางเรื่อง แสดงให้เห็นว่า เราไม่ได้เชื่อในพระองค์จริงๆ เรากำลังอยู่ในสภาพอย่างนั้นหรือเปล่า ผมไม่ต้องการคำตอบ แต่ขอให้แต่ละคนตอบตัวเอง

การที่จะให้พระเจ้ามีส่วนร่วมในการดำเนินชีวิตเป็นอย่างไร พระคัมภีร์สุภาษิตบอกว่า “จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกๆทางของเจ้า” แปลว่า ให้เรามีพระเจ้าร่วมอยู่ด้วยเสมอในทุกอย่างที่เรากระทำ ในทุกๆที่ที่เราไป ไม่ใช่มีพระเจ้าอยู่กับเราเฉพาะวันอาทิตย์ หรือเฉพาะเวลาที่เราเดือดร้อน แต่ให้มีพระเจ้าอยู่ร่วมกับเราในทุกๆเวลา ในทุกๆเรื่องของเรา

คริสเตียนที่แยกชีวิตฝ่ายวิญญาณและชีวิตการงานออกจากกัน ก็เป็นตัวอย่างของการดำเนินชีวิตที่ไม่ถูกต้อง เมื่อเราได้รับการไถ่โดยพระชนม์ชีพของพระเยซูแล้ว เราเข้ามาเป็นประชากรของพระเจ้า ชีวิตของเราจะถูกครอบครองโดยพระเจ้า เหมือนกับเราได้รับการเปลี่ยนสัญชาติแล้ว เราไม่สามารถจะบอกว่าส่วนหัวของเราเป็นสัญชาติไทย ส่วนลำตัวเป็นสัญชาติลาว ส่วนแขนขาเป็นสัญชาติเวียตนาม เป็นอย่างนั้นไม่ได้ เราจะบอกว่าวิญญาณเราถือสัญชาติพระเจ้าแล้ว แต่ร่างกายยังเป็นสัญชาติของโลกนี้อยู่ ดังนั้นวันสะบาโต เราเป็นของพระองค์ ส่วนวันอื่นๆ เราเป็นของโลกนี้ อย่างนี้ไม่ได้

ผู้ดำเนินชีวิตโดยความเชื่อจะมีพระเจ้าร่วมอยู่ด้วยในทุกๆด้าน

ประการที่ 3 เราตระหนักถึงพระประสงค์ของพระเจ้าหรือไม่
พระเจ้ามีพระประสงค์ให้เรามีชีวิตที่บริสุทธิ์ ซึ่งก็คือเป็นคนที่ถูกแยกไว้แล้วสำหรับพระเจ้า ไม่เป็นคนของโลกนี้อีกต่อไป หมายความว่าชีวิตของเราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับความบาปอีก ตามนิสัยใหม่ที่พระเจ้าสร้างขึ้น นั่นก็คือ ไม่ปรารถนาจะทำบาปอีก นอกจากนี้ พระองค์ทรงมอบหมายหน้าที่ให้กับเราแต่ละคนในลักษณะต่างๆ เปรียบได้กับอวัยวะในร่างกาย หรือภาชนะในบ้าน ซึ่งมีวัตถุประสงค์พิเศษสำหรับแต่ละคนเป็นรายๆไป

ปัญหาใหญ่ก็คือ เมื่อมีความคิดหรือแผนการของเราเองที่ขัดขวางพระประสงค์ของพระเจ้า เราจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร ถ้าเรื่องนั้นเห็นชัดเจนว่าเป็นการทำบาป เราอาจตัดสินใจได้ง่าย เพราะเรารู้ว่าเป็นสิ่งผิด จึงระงับไว้ได้

แต่ถ้าหากสิ่งนั้นไม่ได้เป็นการทำบาปที่เด่นชัดโดยตัวของมันล่ะ แถมดูดีกว่าพระประสงค์ของพระเจ้าด้วยซ้ำไป เช่นเราอาจบอกว่า พระองค์เจ้าข้า พระองค์จะใช้ข้าพระองค์ไปเมืองจีนเหรอ อย่างนี้ดีกว่า ขอเวลาข้าพระองค์ 4 ปี ขอไปทำตามแผนการของข้าพระองค์ก่อน เมื่อสำเร็จตามแผนของข้าพระองค์แล้ว ข้าพระองค์จะมีเงินมากพอที่จะส่งคนไปทำงานให้พระองค์ 8 คนเลย ดูเหมือนว่าน่าจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า แต่นี่เป็นการกระทำที่ไม่อาจเรียกได้ว่า เป็นผู้ดำเนินชีวิตโดยความเชื่อ

ผู้ดำเนินชีวิตโดยความเชื่อ จะให้พระประสงค์ของพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญกว่าความคิดความต้องการของตนเอง

ประการที่ 4 เราตระหนักถึงความจริงของพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่
เมื่อถูกถามว่า เชื่อเรื่องราวในพระคัมภีร์หรือเปล่า ตอบอย่างไม่คิดเลยก็บอกว่าเชื่อสิ คำถามที่สองก็จะตามมา เชื่อหรือว่าพระเยซูห้ามพายุได้ เชื่อสิ คำถามที่สาม แล้วคุณเชื่อหรือไม่ว่าพระองค์จะกระทำอย่างนั้นกับวิกฤตการณ์ในชีวิตของคุณเองด้วย เอ่อ... ชักไม่ค่อยมั่นใจ

บางครั้งความเชื่อในเรื่องราวต่างๆที่อ่านพบในพระคัมภีร์นั้น ดูเหมือนง่าย ในขณะที่อยู่ไกลตัวเรา แต่เมื่อเรื่องอย่างนั้นจะเกิดขึ้นกับตัวเราเองด้วย เราจะยังมีความเชื่อหรือไม่ว่า ความจริงในพระวจนะจะเกิดขึ้นกับเราได้ด้วย

พี่น้องที่รัก ในเวลาไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ เราทุกคน ณ ที่นี่กำลังจะเผชิญหน้ากับการท้าทายความเชื่อครั้งสำคัญ เราได้ร่วมกันลงมติไปว่า เห็นชอบให้มีการสร้างอาคารใหม่ของคริสตจักร สิ่งนี้จะเป็นการทดสอบความเชื่อของเราว่า เราเป็นผู้มีความเชื่ออย่างแท้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงผู้ที่แอบใช้ชื่อว่าเป็นผู้มีความเชื่อ ความเชื่อในพระเจ้าของแต่ละคนจะได้ผ่านการพิสูจน์ ความรักในพระเจ้าของแต่ละคนจะได้ผ่านการพิสูจน์
เราอ่านพบในพระคัมภีร์ว่า เมื่อชนชาติอิสราเอลสร้างพลับพลาของพระเจ้านั้น (อพยพ 35:30 - 36:1-7) พระเจ้าได้ให้สติปัญญาและความสามารถแก่บางคนเป็นพิเศษในการดำเนินการบางอย่าง เช่นการแกะสลัก การทำภาชนะ การทำเครื่องใช้ในพระนิเวศน์ และประชาชนทั้งปวงก็เอาทองคำมาถวายเพื่อร่วมในการสร้างพระวิหาร นอกจากนั้นในการสร้างพระวิหารของพระเจ้าที่ได้อนุญาตให้กษัตริย์ซาโลมอนดำเนินการนั้น(1 พงษ์กษัตริย์ 5) พระเจ้าได้จัดเตรียมวัสดุต่างๆที่จำเป็นต้องใช้มาจากต่างแดน ข้ามน้ำข้ามทะเลมา ไม่ว่าจะเป็นไม้สนสีดาห์ หินขนาดใหญ่ เราจะเห็นว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้ดำเนินการในเหตุการณ์เหล่านั้นร่วมกับคนของพระองค์

วันนี้หากเราโดนถามว่า เชื่อหรือไม่ว่า พระเจ้าจะทรงดำเนินการอย่างนั้นเช่นกัน เมื่อเรากำลังสร้างอาคารใหม่ของคริสตจักรที่นี่ เราอยากเป็นส่วนหนึ่งอย่างคนเหล่านั้นหรือไม่ ที่ได้ยื่นมือเข้ามามีส่วนในด้านต่างๆ และบางคนพระเจ้าจะทรงประทานสมรรถภาพ และสติปัญญาพิเศษให้ เพื่อการสร้างพระนิเวศน์นี้ หรือเราเป็นเหมือนกับเหล่าสาวกของพระเยซูที่กำลังเป็นห่วงเรื่องไม่มีขนมปัง ทั้งๆที่ได้เคยเห็นมาแล้วว่าพระเยซูทรงเลี้ยงคนห้าพันคนมาแล้วอย่างไร

8ฝ่ายพระเยซูทรงทราบจึงตรัสกับเขาว่า "โอ ผู้มีความเชื่อน้อย เหตุไฉนพวกท่านจึงพูดกันและกันถึงเรื่องไม่มีขนมปัง 9ท่านยังไม่หยั่งรู้และจำไม่ได้หรือ เรื่องขนมปังห้าก้อนกับคนห้าพันคนนั้น ท่านเก็บที่เหลือได้กี่ตะกร้า 10หรือขนมปังเจ็ดก้อนกับคนสี่พันคนนั้น ท่านเก็บที่เหลือได้กี่ตะกร้า 11เป็นไฉนพวกท่านจึงไม่หยั่งรู้ว่า เรามิได้พูดกับท่านด้วยเรื่องขนมปัง แต่ได้ว่าให้ระวังเชื้อแห่งพวกฟาริสีและพวกสะดูสีให้ดี"

ผู้ที่ดำเนินชีวิตโดยความเชื่อ จะมั่นใจในความจริงที่ปรากฎในพระวจนะของพระเจ้า และมั่นใจว่าจะเป็นความจริงที่ปรากฎในชีวิตของเขาเองด้วย


1โครินธ์ 2:4-7
4คำพูดและคำเทศนาของข้าพเจ้าไม่ใช่คำที่เกลี้ยกล่อมด้วยสติปัญญา แต่เป็นคำซึ่งได้แสดงพระวิญญาณและพระเดชานุภาพ 5เพื่อความเชื่อของท่านจะไม่ได้อาศัยสติปัญญาของมนุษย์ แต่อาศัยฤทธิ์เดชของพระเจ้า 6เรากล่าวถึงเรื่องปัญญาในหมู่คนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วก็จริง แต่มิใช่เรื่องปัญญาของยุคนี้ หรือเรื่องปัญญาของอำนาจครอบครองในยุคนี้ ซึ่งจะเสื่อมสูญไป 7แต่เรากล่าวถึงเรื่องพระปัญญาของพระเจ้าซึ่งเป็นข้อลับลึก คือพระปัญญาซึ่งทรงซ่อนไว้นั้น และซึ่งพระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ก่อนปฐมกาล เพื่อให้เราถือศักดิ์ศรีของเรา




Create Date : 14 สิงหาคม 2550
Last Update : 14 สิงหาคม 2550 11:11:36 น. 4 comments
Counter : 4628 Pageviews.  
 
 
 
 
 
 

โดย: boatboat วันที่: 14 สิงหาคม 2550 เวลา:13:25:26 น.  

 
 
 
ตอนนี้อยากจะบอกเลยนะว่ารักพระเจ้ามาก ๆ เลย
พระเจ้าเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง พระเจ้าทรงรักมนุษย์ทุกคน
เพราะเราคือสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง (ขอบคุณพระเจ้า)
ขอพระเกียรติจะเป็นของพระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์
 
 

โดย: เด็กโบสถ์ยะลาเองล่ะ IP: 222.123.145.94 วันที่: 13 กันยายน 2550 เวลา:22:19:33 น.  

 
 
 
เพราะว่าพระเจ้าเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมา เจ้าเป็นลูกของเรา
เราไม่เคยทอดทิ้งเจ้าไปไกลเลย
เมื่อเจ้าร้องไห้ เราก็จะเข้าใจและร้องไห้กับเจ้า
เมื่อเจ้าร้องตะโกนด้วยความชื่นชมยินดี
เราก็จะหัวเราะไปกับเจ้าด้วย
เมื่อเจ้าล้ม เราก็จะหนุนกำลังเจ้า
เมื่อเจ้าตกต่ำ เราจะยกเจ้าขึ้น
เมื่อเจ้าเหนื่อย เราก็จะอุ้มเจ้าไว้
เราจะอยู่กับเจ้าจนถึงวันสุดท้าย
และเรา......จะรักเจ้าตลอดไป....

จาก พระเจ้าของเจ้า
 
 

โดย: เด็กโบสถ์ยะลาเองล่ะ IP: 222.123.145.94 วันที่: 13 กันยายน 2550 เวลา:22:26:19 น.  

 
 
 
คคห 2 กับ 3 นี่ใครเอ่ย
 
 

โดย: ksk วันที่: 14 กันยายน 2550 เวลา:11:00:09 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

ksk
 
Location :
ยะลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ผมเป็นคริสเตียนครับ
เป็นชาวยะลา เกิดปัตตานี ลูกจีนไหหลำ
จบวิศวกรรมไฟฟ้า(ระบบควบคุม) จากพระจอมเกล้าพระนครเหนือ EL รุ่น 24 รหัส 31 (เคยเรียน ป.วส. IE ห้องอิเล็ก ที่ วทอ. 2 ปี รหัส 29 ห้องเดียวกับ ศิริ แว่น สมชาย สุกิตติ จั๊บ ไพบูลย์ จ่าบุญเลิศ ก่อนย้อนไปเริ่มต้นป.ตรี ปี 1 ใหม่กับรุ่นน้องในคณะวิศวฯ พูดง่ายๆว่า ซิ่ว 2 ปี)
ป.โท วิศวกรรมการบิน(Avionique) จาก SUPAERO
Toulouse FRANCE ปี 1994
เคยรับราชการเป็นอาจารย์ในคณะวิศวฯที่พระนครเหนือ 8 ปี ผลงานก็ไม่มีอะไรมาก KMITNB Robot Camp เป็นสิ่งที่ยังพอให้ภาคภูมิใจเมื่อมองกลับไปที่เทคโนฯ ด้วยความคิดถึง 14 ปี อันแสนหวานกับชีวิตในพระนครเหนือ(มิย.ปี 29 - มิย.ปี 43)
ตอนนี้ลาออกจากราชการ มาหากินด้วยลำแข้ง(ไม่ใช่เป็นนักมวยไทยนะ)
ที่จังหวัดยะลาบ้านเกิด ตั้งแต่มิถุนายน ปี Y2K
กำลังจะรุ่งเรืองแล้วเชียว 4 มกราคม 2547
สถานการณ์ไฟใต้ก็เริ่มขึ้น
สิ่งที่เคยคิดว่าสักวันหนึ่งจะต้องเกิด มันก็เกิด
และยาวมาจนถึงตอนนี้
ผมยังนึกไม่ออกมันจะจบลงแบบไหน free counter

free counter

New Comments
[Add ksk's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com