รู้จักพระเยซูผ่านพระธรรมวิวรณ์
28 ตุลาคม 2012 คริสตจักรยะลา วิวรณ์ 1:7-8 7ดูเถิดพระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆและนัยน์ตาทุกดวง และคนเหล่านั้นที่ได้แทงพระองค์จะเห็นพระองค์และมนุษย์ทุกชาติทั่วโลกจะร่ำไห้เพราะพระองค์ จะเป็นไปอย่างนั้น อาเมน 8พระเจ้าผู้ทรงอยู่เดี๋ยวนี้ผู้ได้ทรงเป็นอยู่ในกาลก่อน ผู้จะเสด็จมานั้น และผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ได้ตรัสว่า"เราเป็นอัลฟา และโอเมกา" อธิษฐาน สาธุการพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ข้าพระองค์ทั้งหลายขอถวายคำสรรเสริญยกย่องพระนามของพระองค์ขอบพระคุณสำหรับแผนการแห่งการช่วยกู้ของพระองค์ที่ได้กระทำสำเร็จในพระเยซูพระบุตรทำให้เราทั้งหลายได้มาเป็นประชากรของพระองค์ขอบพระคุณสำหรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงประทานให้ประทับอยู่กับเราเพื่อพระวิญญาณจะได้ทรงสำแดงความจริงของพระองค์ในใจของเราทั้งหลายขอทรงโปรดให้เรามีความหวังเสมอในการรอคอยการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์ตามที่ได้ทรงสัญญาไว้นั้นและให้เราได้สัตย์ซื่อในการกระทำหน้าที่ที่ทรงมอบหมายเพื่อเราจะชื่นชมยินดีเมื่อได้พบกับพระองค์ ขอบคุณพระเจ้าสำหรับค่ายประจำปีที่เพิ่งผ่านพ้นไปจริงๆก่อนหน้านี้ตามตารางผมจะต้องแบ่งปันพระวจนะให้กับพี่น้องเมื่อสัปดาห์ก่อนซึ่งนับเป็นเรื่องลำบากใจไม่น้อยเนื่องจากว่าพี่น้องเพิ่งจะรับฟังคำเทศนามาจากค่ายน่าจะยังคงอิ่มเอมกับสิ่งที่รับฟังมาจาก ศจ.จักรพันธ์อยู่เหมือนเพิ่งจะกลับจากงานเลี้ยงโต๊ะจีนอย่างหรูทำให้ผู้ที่จะกล่าวพระวจนะในวันถัดจากค่ายต้องรู้สึกว่าเรื่องราวที่เราเตรียมมาจะดูจืดชืดไปแต่พระเจ้าก็ทรงเมตตาต่อผม ได้ส่งอาจารย์ยงยุทธมาคั่นเวลาไว้ในสัปดาห์ก่อน ผมจึงรอดตัวไปได้ คำเทศนาจากค่าย Change คงจะมีส่วนไม่มากก็น้อยในการนำพี่น้องไปสู่การเปลี่ยนแปลงเพื่อเราจะมีชีวิตที่เหมือนกับพระเยซูมากขึ้นทุกวัน และชีวิตเก่าๆ ท่าทีเก่าๆนิสัยเก่าๆ มุมมองและความคิดเก่าๆจะได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่โดยฤทธานุภาพของพระเจ้าการนมัสการในภาคค่ำวันนี้พี่น้องจะมีโอกาสแบ่งปันพระพรว่าพระเจ้าทรงตรัสอะไรกับพี่น้องบ้างจากค่ายครั้งนี้เชื่อว่าจะเป็นความชื่นชมยินดีร่วมกันอีกครั้ง วันนี้เราได้เดินทางมาถึงตอนสุดท้ายของซีรีย์แล้วเราได้ติดตามหนังสือแต่ละเล่มในพันธสัญญาใหม่เพื่อมองหาและเรียนรู้เกี่ยวกับพระเยซูในมุมมองต่างๆผ่านหนังสือเหล่านั้นวันนี้ก็เป็นเล่มสุดท้ายคือหนังสือวิวรณ์ ซึ่งจัดอยู่ในหมวดของหนังสือพยากรณ์อัครสาวกยอห์นได้บันทึกเรื่องราวของนิมิตที่พระเยซูได้ทรงสำแดงให้กับท่านในช่วงบั้นปลายชีวิตขณะที่ถูกจำคุกบนเกาะปัทมอส คำว่าวิวรณ์ แปลว่า การเปิดเผย เนื้อหาในหนังสือนี้จึงเป็นเรื่องราวที่พระเยซูทรงเปิดเผยให้ผู้เชื่อทุกคนทราบถึงวาระสุดท้ายของโลกที่จะมาถึงในอนาคตแน่นอนว่าใครก็ตามที่ได้รับคำบอกอย่างนี้ก็คงจะสนใจและไปลองเปิดอ่านเพื่อจะรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรอย่างไรบ้างแต่พี่น้องที่เคยเปิดอ่านหนังสือวิวรณ์คงจะมีความรู้สึกเหมือนกันคือ งุนงงและเข้าใจยาก เนื่องจากการเปิดเผยส่วนหนึ่งจะเป็นสัญลักษณ์การจะตีความหมายก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแม้แต่นักศาสนศาสตร์ที่เชี่ยวชาญก็ยังไม่สามารถอธิบายสัญลักษณ์ต่างๆได้อย่างกระจ่าง วันนี้เราจะติดตามหาพระเยซูในหนังสือวิวรณ์ซึ่งสามารถพบได้ไม่ยากเพราะการเสด็จกลับมาของพระเยซูเป็นหมายสำคัญของการสิ้นสุดของโลก วิวรณ์ 1:1-8 1วิวรณ์ของพระเยซูคริสต์ซึ่งพระเจ้าได้ทรงประทานแก่พระองค์เพื่อชี้แจงให้ผู้รับใช้ทั้งหลายของพระองค์รู้ว่า อะไรจะต้องอุบัติขึ้นในไม่ช้าและพระองค์ได้ทรงใช้ทูตสวรรค์ไปสำแดงแก่ยอห์นผู้รับใช้ของพระองค์ 2ยอห์นเป็นพยานฝ่ายพระวจนะของพระเจ้าและเป็นพยานของพระเยซูคริสต์ท่านเป็นพยานในเหตุการณ์ทั้งสิ้น ซึ่งท่านได้พบเห็น 3ขอความสุขจงมีแก่บรรดาผู้อ่านและผู้ฟังคำพยากรณ์เหล่านี้และถือรักษาข้อความที่เขียนไว้ในคำพยากรณ์นี้ เพราะว่าเวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว 4ยอห์นขอเรียนคริสตจักรทั้งเจ็ดที่อยู่ในแคว้นเอเชียให้ทราบดังนี้ขอให้ท่านทั้งหลายจงได้รับพระคุณและสันติสุข จากพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ในปัจจุบันและผู้ทรงดำรงอยู่ในอดีตและผู้จะเสด็จมาในอนาคตและจากวิญญาณทั้งเจ็ดที่เฝ้าอยู่หน้าพระที่นั่งของพระองค์ 5และจากพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นพยานที่ซื่อสัตย์และทรงเป็นผู้แรกที่ได้ฟื้นจากความตาย และผู้ทรงครอบครองกษัตริย์ทั้งปวงในโลกแด่พระองค์ผู้ทรงรักเราทั้งหลายและได้ทรงปลดเปลื้องบาปของเราด้วยพระโลหิตของพระองค์ 6และทรงตั้งเราไว้ให้เป็นอาณาจักรและเป็นปุโรหิตของพระเจ้าพระบิดาของพระองค์พระเกียรติและไอศวรรย์จงมีแด่พระองค์สืบๆไปเป็นนิตย์ อาเมน 7ดูเถิดพระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆและนัยน์ตาทุกดวง และคนเหล่านั้นที่ได้แทงพระองค์จะเห็นพระองค์และมนุษย์ทุกชาติทั่วโลกจะร่ำไห้เพราะพระองค์ จะเป็นไปอย่างนั้น อาเมน 8พระเจ้าผู้ทรงอยู่เดี๋ยวนี้ผู้ได้ทรงเป็นอยู่ในกาลก่อน ผู้จะเสด็จมานั้น และผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ได้ตรัสว่า"เราเป็นอัลฟา และโอเมกา" หากเรายังจำได้พระเยซูได้เคยตรัสไว้ว่าพระบุตรจะไม่ทรงทำอะไรโดยพลการแต่พระองค์จะกระทำในสิ่งที่พระบิดาทรงโปรดให้พระองค์ทำสิ่งที่พระเยซูทรงเปิดเผยในหนังสือวิวรณ์นี้ ก็ได้รับมาจากพระบิดา จากวิวรณ์ 1:4-6ได้บอกให้เรารู้จักพระเยซูคริสต์ในหลายประการด้วยกันดังนี้ พระเยซูทรงเป็นผู้ที่ดำรงอยู่ในการก่อนผู้ทรงดำรงในปัจจุบัน และเป็นผู้ซึ่งจะเสด็จมา พระเยซูที่คนทั่วไปรู้จักและยอมรับได้คือศาสดาของศาสนาคริสต์ ซึ่งเริ่มต้นเมื่อประมาณสองพันปีก่อนและคนทั่วไปที่ไม่รู้จักพระองค์ก็คงคิดว่าพระองค์ทรงเป็นเหมือนศาสดาในศาสนาอื่นๆคือเป็นมนุษย์ที่เกิดมา และใช้ชีวิตในโลกนี้ชั่วระยะหนึ่ง มีคำสอนดีๆมีความคิดที่ก้าวไกลกว่าคนในยุคเดียวกัน และได้ตายจากไปเนื่องจากมีสาวกติดตามจำนวนหนึ่งจึงเกิดเป็นศาสนาสืบต่อมา แต่สำหรับพระเยซูแล้วพระคัมภีร์ซึ่งบันทึกไว้ก่อนสมัยของพระองค์นานกว่าหนึ่งพันปีได้ให้หลักฐานไว้ว่าพระเยซูทรงดำรงอยู่ก่อนแล้ว และแท้ที่จริงทรงดำรงอยู่ตั้งแต่ก่อนที่จะมีสรรพสิ่งเกิดขึ้น เป็นเรื่องปกติมากที่คนทั่วไปจะหัวเราะเยาะเมื่อคริสเตียนบอกว่าพระเยซูทรงดำรงอยู่ตั้งแต่ก่อนสรรพสิ่งทั้งปวง และการที่คริสเตียนบอกว่าทุกวันนี้พระเยซูยังทรงพระชนม์อยู่ คือยังไม่ตาย ยังมีชีวิตอยู่ก็ยิ่งทำให้เป็นเรื่องเกินจะเป็นจริงได้สำหรับมนุษย์ ยิ่งกว่านั้นคริสเตียนยังบอกว่าพระเยซูจะเสด็จกลับมาอีกเพื่อรับคนของพระองค์ยิ่งเป็นเรื่องช๊อคเกินกว่าจะรับได้ เหตุผลของการหัวเราะเยาะก็เป็นเพราะการที่เขาไม่สามารถยอมรับว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าเขายอมรับได้เพียงว่า พระเยซูเป็นมนุษย์คนหนึ่งในประวัติศาสตร์ดังนั้นหลักการสำคัญแห่งความรอดคือการยอมรับพระเยซูเป็นพระเจ้า (โรม 10:9 คือว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจว่า พระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด) ถ้าไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้าก็เท่ากับไม่เชื่อว่าพระองค์ช่วยได้ศาสนาคริสต์จึงเป็นได้แค่หลักคำสอนดีๆที่ปฏิบัติตามไม่ได้เท่านั้น พระเยซูผู้ทรงเป็นพยานที่สัตย์ซื่อพยานเป็นสิ่งสำคัญในการพิจารณาคดีความ ถ้าพยานไม่ทำหน้าที่อย่างสัตย์ซื่อการพิจารณาคดีก็จะไม่เป็นไปอย่างถูกต้อง ปกติแล้วในศาลยุติธรรมผู้ทำหน้าที่ในการเป็นพยานจะต้องให้คำสัตย์สาบานว่าจะให้การตามความเป็นจริงทั้งนี้ในความเป็นจริงแล้วคำให้การของพยานจะเป็นจริงหรือไม่ก็ไม่มีใครอาจยืนยันได้ได้แต่ฝากความหวังไว้ว่าเขาจะเกรงกลัวในคำสาบานและพูดความจริง ปัจจุบันเราพบว่าผู้คนไม่เกรงกลัวคำสาบานแล้ว ทำให้พยานที่เป็นมนุษย์หาความน่าเชื่อถือได้ยากมาก พระเยซูคริสต์จะทรงทำหน้าที่เป็นพยานต่อหน้าบัลลังก์พิพากษาให้เรากับทั้งหลายว่าเราทั้งหลายที่เชื่อในพระองค์ได้รับการชำระโทษแล้วพระองค์ทรงรักษาสัญญาที่ได้ให้ไว้กับเรา ทรงเป็นพยานที่สัตย์ซื่อ จะไม่ทรงบิดพลิ้วไม่ทรงเฉไฉ ไม่ทรงปรักปรำหรือกล่าวหาอย่างอธรรม เป็นเหตุให้เรามั่นใจได้ว่าเราจะได้ผ่านพ้นการพิพากษาโทษไปได้อย่างแน่นอนความมั่นใจอย่างนี้จะเกิดขึ้นได้ในผู้ที่เชื่อและเดินติดตามพระองค์และมีประสบการณ์กับพระองค์เท่านั้นจึงจะสามารถวางใจในพระองค์อย่างสิ้นสงสัยได้ พระเยซูผู้ทรงเป็นผู้แรกที่ฟื้นจากความตายเราคงได้อ่านพบในพระคัมภีร์ว่าพระเยซูได้ทรงเรียกลาซารัสให้เป็นขึ้นจากตายและยังมีเหตุการณ์อื่นๆอีกด้วยที่พระองค์ทรงเรียกคนตายให้เป็นขึ้นซึ่งล้วนแต่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดก่อนหน้าที่พระเยซูจะถูกตรึงที่ไม้กางเขนแล้วอย่างนี้ พระองค์จะทรงเป็นผู้แรกที่ฟื้นจากความตายได้อย่างไรความหมายของการเป็นผู้แรกที่ฟื้นจากความตายในข้อนี้คือพระเยซูทรงเป็นผู้แรกที่ทรงชนะความตาย อย่างเด็ดขาด เพราะพระองค์ไม่ได้ตายอีกเลยในขณะที่คนอื่นๆที่ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่าได้รับการชุบให้เป็นขึ้นจากตายนั้นในที่สุดก็ถึงความตายอีกนอกจากนี้การฟื้นจากความตายของพระองค์เป็นเหตุให้ผู้เชื่อในพระองค์เป็นขึ้นจากตายในฝ่ายวิญญาณด้วย พระเยซูผู้ทรงครอบครองกษัตริย์ทั้งปวงในโลกดินแดนต่างๆในโลกมีผู้นำผู้ปกครอง หรือกษัตริย์ แต่ละประเทศก็มีขอบเขต มีพรมแดนซึ่งเป็นสิ่งบ่งบอกถึงอาณาเขตที่ผู้ปกครองเหล่านั้นครอบครองดูแลและสามารถใช้อำนาจของตนได้ นอกจากขอบเขตทางภูมิศาสตร์แล้วยังมีเรื่องของกาลเวลาที่กำหนดอายุขัยของบรรดาผู้ครอบครองทั้งปวงในโลกอำนาจของผู้ครอบครองได้รับมอบจากประชาชน ยามที่ประชาชนยินยอมให้ใช้อำนาจผู้ครอบครองก็มีสิทธิ์ใช้อำนาจได้หากว่าประชาชนไม่ยอมรับก็ยากที่สามารถใช้อำนาจปกครองได้ดังที่เราจะเห็นได้ว่าพระมหากษัตริย์ของประเทศไทยทรงเป็นที่รักของประชาชนจึงทรงครอบครองทั้งแผ่นดินและหัวใจของประชาชนทั้งประเทศได้ผิดกับกษัตริย์ในบางประเทศที่กดขี่ข่มเหงประชาชนจนในที่สุดก็ต้องหมดสิ้นอำนาจไป แต่สำหรับพระเยซูคริสต์ อาณาเขตของพระองค์ไม่ได้ถูกจำกัดไว้ด้วยดินแดนของโลกนี้ พระองค์ทรงดำรงอยู่เหนือกาลเวลาความตายไม่อาจฉุดพระองค์ไว้ได้การครอบครองของพระองค์จึงเหนือยิ่งกว่าผู้ครอบครองที่เป็นมนุษย์ พระองค์ได้ตอบต่อปีลาตเจ้าเมืองที่ได้สอบสวนพระองค์ว่าราชอำนาจของพระองค์ไม่ได้มาจากโลกนี้ หมายความว่าอำนาจในการครอบครองของพระองค์นั้น ไม่ต้องใช้สิ่งใดในโลกนี้ให้การรับรองพระองค์ได้ทรงเสด็จเข้ามาในโลกนี้เพื่อช่วยให้รอด ผู้ใดที่ยอมรับพระองค์เป็นกษัตริย์ผู้นั้นได้เป็นประชากรของพระองค์ และได้รับสิทธิ์ในการเข้าอยู่ในแผ่นดินของพระองค์ผู้ใดที่ไม่ยอมรับพระองค์เป็นกษัตริย์ ผู้นั้นก็ไม่ได้เข้าเป็นประชากรของพระองค์และพินาศไปตามธรรมชาติพร้อมกับโลกนี้ พระเยซูผู้ทรงรักเราทั้งหลายสมัยนี้มีคำพูดที่บอกว่า รักนะ แต่ไม่แสดงออก ซึ่งก็อาจจะเป็นไปได้ว่าเป็นเรื่องจริงของคนขี้อายแต่ก็อาจจะเป็นคำแก้ตัวของคนที่ไม่ได้มีความสัตย์ซื่อต่อคนรัก สำหรับพระเยซูแล้วความรักที่พระองค์มีต่อเราพระองค์ได้ทรงสำแดงให้เห็นอย่างชัดเจนนั่นคือทรงยอมพลีชีวิตเพื่อเรา ทรงยอมทนทุกข์ยาก เจ็บปวดก็เพื่อเรากลับกลายเป็นบรรดาคริสเตียนทั้งหลายเสียอีกที่ รักพระองค์แบบไม่แสดงออกหวังว่าคงเป็นเพียงคริสเตียนขึ้อาย ไม่ได้เป็นผู้หลอกลวงต่อพระองค์ พระเยซูผู้ทรงปลดเปลื้องบาปของเราด้วยพระโลหิตของพระองค์พระคัมภีร์ได้บ่งบอกไว้ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษของชาวยิวเกี่ยวกับการชำระความผิดหรือปลดเปลื้องโทษบาป โดยการใช้โลหิตเป็นเครื่องหมายในความเป็นจริงไม่ใช่ตัวของโลหิตเหล่านั้นที่สามารถชำระบาปได้แต่เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่า ในวันเวลาที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้พระเจ้าจะทรงปลดเปลื้องโทษความบาปของมนุษย์ทั้งหลายนั้นโดยโลหิตของพระเยซูคริสต์และการปลดเปลื้องบาปได้สำเร็จบนไม้กางเขนนั้นเมื่อพระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อรับโทษบาปแทนมนุษย์ทั้งปวง พระเยซูผู้ทรงตั้งเราไว้ให้เป็นอาณาจักรและปุโรหิตของพระเจ้าพระบิดาเมื่อคนบาปคนหนึ่งได้สารภาพความบาปของตนและยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดพระองค์ได้ทรงประทานสิทธิแห่งการเป็นบุตรของพระเจ้า สิทธิมาพร้อมกับหน้าที่ ฉันใดสิทธิในการเป็นบุตรของพระเจ้าก็มาพร้อมกับหน้าที่ของปุโรหิตฉันนั้น ปุโรหิตปรากฏใหพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมไม่เหมือนกับปุโรหิตที่เราเคยเห็นในละครจักรๆวงศ์ๆทางโทรทัศน์แต่เป็นผู้ทำหน้าที่ในการปรนนิบัติในพลับพลา หรือในพระวิหารของพระเจ้าสำหรับยุคสมัยของเรา หน้าที่ในการเป็นปุโรหิตเป็นอย่างไร ให้เราดูใน 1 เปโตร 2:9-11 9แต่ท่านทั้งหลายเป็นชาติที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้วเป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นประชาชาติบริสุทธิ์ เป็นชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะเพื่อให้ท่านทั้งหลายประกาศพระบารมีของพระองค์ผู้ได้ทรงเรียกท่านทั้งหลายให้ออกมาจากความมืดเข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์ 10เมื่อก่อนท่านทั้งหลายไม่มีชาติแต่บัดนี้ท่านเป็นชนชาติของพระเจ้าแล้ว เมื่อก่อนท่านทั้งหลายหาได้รับพระกรุณาไม่แต่บัดนี้ท่านได้รับพระกรุณาแล้ว 11ดูก่อนท่านที่รักข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านทั้งหลาย ผู้อาศัยในโลกอย่างโลกไม่เป็นบ้านเกิดเมืองนอนให้เว้นจากตัณหาของเนื้อหนัง ซึ่งเป็นข้าศึกต่อวิญญาณจิตของท่าน ให้เราได้ดำเนินตามอย่างนั้น วิวรณ์ 19:7-9 7ขอให้เราทั้งหลายร่าเริงยินดีและเต้นโลดถวายพระเกียรติแด่พระองค์เพราะถึงเวลามงคลสมรสของพระเมษโปดกแล้ว และเจ้าสาวของพระองค์ได้เตรียมพร้อมแล้ว" 8ทรงโปรดให้เจ้าสาวสวมผ้าป่านเนื้อละเอียดใสบริสุทธิ์เพราะผ้าป่านเนื้อดีนั้นได้แก่ การประพฤติอันชอบธรรมของพวกธรรมิกชน" 9และทูตสวรรค์องค์นั้นสั่งข้าพเจ้าว่า "จงเขียนไว้เถิดว่าความเจริญสุขมีแก่คนทั้งหลาย ที่ได้รับเชิญมาในการมงคลสมรสของพระเมษโปดก" และท่านบอกข้าพเจ้าว่า"ถ้อยคำเหล่านั้นเป็นพระวจนะแท้ของพระเจ้า" พระเยซูผู้ทรงเป็นพระเมษโปดก คำศัพท์ว่าพระเมษโปดก เป็นศัพท์ที่แปลกประหลาดและอาจทำให้เรางงว่า นอกจากพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์แล้วยังมีพระเจ้าเพิ่มมาอีก แต่จริงๆแล้ว พระเมษโปดก เป็นอีกพระนามหนึ่งของพระเยซูซึ่งแปลว่า ลูกแกะ ในเหตุการณ์ที่อับราฮัมนำบุตรชายของเขาไปถวายแด่พระเจ้าที่ภูเขาโมรียาห์นั้นพระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมแกะไว้ เพื่อเป็นเครื่องบูชาแทนอิสอัคบุตรชายของอับราฮัมในพิธีโบราณของชาวยิว เขาจะถวายแกะเป็นเครื่องบูชาในพิธีชำระบาปซึ่งเป็นสัญลักษณ์ตามที่พระเจ้าได้ทรงสำแดงไว้ และพระเยซูที่ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนจึงเป็นลูกแกะตัวจริงสำหรับการปลดเปลื้องบาปของมนุษย์ พระเยซูผู้ทรงเป็นเจ้าบ่าว ภาพเปรียบเทียบที่ปรากฏในพระคัมภีร์หลายๆตอนเป็นการเปรียบเทียบให้มนุษย์เข้าใจง่ายขึ้น เช่น พระบิดา พระบุตรไม่ได้หมายความว่า พระบิดาแต่งงานกับพระมารดาและเกิดลูกออกมาเป็นพระบุตรเราจะเห็นได้ว่า ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม ไม่ได้กล่าวถึงพระเจ้าในลักษณะแบบนี้แต่ในพันธสัญญาใหม่ ในข่าวประเสริฐแห่งความรอดที่เราคุ้นเคยในยอห์น 3:16ซึ่งเป็นคำตรัสของพระเยซูเองในขณะที่ทรงสนทนากับนิโคเดมัส ภาพจำลองของบิดากับบุตรได้ถูกนำมาใช้เพื่อให้มนุษย์ได้เข้าใจถึงความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษย์ที่ทรงสร้างเพราะพระเยซูคริสต์จะทรงเป็นเหมือนกับบุตรหัวปีและมนุษย์ผู้ที่พระเจ้าทรงไถ่ไว้นั้นก็จะเข้ามาเป็นบุตรของพระเจ้าโดยทางพระเยซูนั้น(โรม 8:29 เพราะว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่พระองค์ได้ทรงทราบอยู่แล้วผู้นั้นพระองค์ได้ทรงตั้งไว้ให้เป็นตามลักษณะพระฉาย แห่งพระบุตรของพระองค์เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพวกพี่น้องเป็นอันมาก) ในหนังสือวิวรณ์มีภาพเปรียบเทียบอีกภาพหนึ่งที่อาจทำให้เรารู้สึกจักกะจี้เพราะพระเยซูทรงเป็นเจ้าบ่าว และเราจะเป็นเจ้าสาวของพระองค์อย่าลืมว่านี่เป็นเพียงภาพเปรียบเทียบเท่านั้นเพราะในสภาพวิญญาณที่เราไปอยู่บนสวรรค์นั้น ไม่มีการแบ่งเป็นชายหรือหญิงอีกแล้วเพราะวิญญาณไม่ต้องสืบพันธ์อีก ภาพเปรียบเทียบนี้ก็เพื่อให้คริสตจักรหรือบรรดาคริสเตียนดำเนินชีวิตบริสุทธิ์เหมือนกับเจ้าสาวที่เตรียมพร้อมสำหรับเจ้าบ่าววันนั้นบรรดาผู้เชื่อที่ได้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์จะมีความยินดีอย่างที่เปรียบเทียบกับความยินดีของเจ้าสาวได้เข้าสู่การแต่งงานกับเจ้าบ่าว เราจะจบลงเพียงเท่านี้จริงๆแล้วไม่เพียงแต่ในพระคัมภีร์วิวรณ์ที่ผมต้องเลือกหยิบมาเพียงบางข้อแต่ในพระคัมภีร์เล่มที่ได้กล่าวมาก่อนหน้าก็เช่นกันยังมีอีกพระลักษณะของพระเยซูอีกหลายประการที่จำเป็นต้องข้ามไปเนื่องจากเวลาในการนำเสนอมีความจำกัดขอพระเจ้าทรงเปิดเผยความจริงแก่พี่น้องที่แสวงหาพระองค์เพื่อว่าเมื่อเรารู้จักพระองค์แล้ว เราจะดำเนินชีวิตในยุคสุดท้ายได้อย่างมั่นคง
Create Date : 19 มกราคม 2556 |
Last Update : 19 มกราคม 2556 20:29:43 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1443 Pageviews. |
|
|
|