ถ้าพระเจ้าไม่มีจริง คุณได้หรือเสียอะไร? แต่ถ้าพระเจ้ามีจริง คุณได้หรือเสียอะไร?

<<
กันยายน 2554
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
12 กันยายน 2554
 

รู้จักพระเยซูผ่านพระธรรม กาลาเทีย

21 สิงหาคม 2011
คริสตจักรยะลา

กาลาเทีย 2:20
20ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า


อธิษฐาน
ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับความรอดที่ทรงโปรดประทานให้ โดยทางความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ ขอพระคุณสำหรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงประทานให้ประทับอยู่กับเรา ขอพระองค์ทรงให้เราเชื่อฟังและดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ เพื่อให้ชีวิตของเราสำแดงผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเป็นชีวิตที่พระองค์ทรงพอพระทัย


เราได้มาถึงเล่มที่ 9 ของพระค้มภีร์พันธสัญญาใหม่แล้ว และเรากำลังทำความรู้จักกับพระเยซูโดยผ่านทางพระคัมภีร์แต่ละเล่ม วันนี้จะเป็นพระธรรม กาลาเทีย ซึ่งจัดอยู่ในหมวดของจดหมายฝากที่เขียนไปถึงคริสตจักร ซึ่งอัครทูตเปาโลเป็นผู้เขียน และส่งไปยังคริสตจักรซึ่งอยู่ในแคว้นกาลาเทีย ซึ่งผู้เชื่อส่วนใหญ่ที่นั่นเป็นชาวต่างชาติ

อย่างที่ได้กล่าวแล้วในครั้งก่อนๆว่า เนื้อหาที่จะพูดถึงในซีรีย์นี้คือ การตามหาและทำความรู้จักกับพระเยซูในปรากฎในพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ วันนี้เราจึงไม่ลงไปในรายละเอียดของเนื้อหาในกาลาเทีย ขอเล่าเพียงย่อๆดังนี้

จดหมายฝากฉบับนี้เป็นจดหมายฉบับแรกๆของเปาโล เขียนขึ้นในราวปี คศ.48 เพื่อส่งไปยังผู้เชื่อในแคว้นกาลาเทีย เนื่องจากมีปัญหาการสอนผิดเกิดขึ้น และยังมีการกล่าวหาว่าคำสอนของเปาโลไม่น่าเชื่อถือ ดังนั้นเนื้อหาในพระธรรมกาลาเทียจึงเริ่มต้นด้วยการที่เปาโลยืนยันถึงการเป็นอัครทูตที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้า และได้กล่าวถึงประวัติในการออกประกาศข่าวประเสริฐในที่ต่าง รวมถึงการที่บรรดาอัครทูตคนอื่นๆรู้จักและให้การยอมรับเปาโล

ปัญหาหลักๆที่กล่าวถึงในพระธรรมกาลาเทียคือ เรื่องของการที่มีผู้สอนให้ชาวต่างชาติที่มารับเชื่อในพระเยซูต้องถือรักษาธรรมบัญญัติของยิวด้วย ซึ่งเปาโลได้เน้นย้ำอย่างชัดเจนว่า ความรอดนั้นได้มาโดยทางความเชื่อ ไม่ใช่โดยธรรมบัญญัติ ดังนั้นการที่พวกผู้เชื่อในพระเยซูที่มีพื้นเพมาจากยิวจะไปบังคับให้ผู้เชื่อที่เป็นชาวต่างชาติต้องถือรักษาธรรมบัญญัติอย่างเคร่งครัดด้วยก็เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าพระเจ้าได้ทรงประทานเสรีภาพให้กับเรา ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะดำเนินชีวิตอย่างไรก็ได้ เพราะว่าผู้ที่เชื่อจะได้รับพระวิญญาณของพระเจ้า และผู้เชื่อควรดำเนินชีวิตตามการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้น ซึ่งสามารถสังเกตได้ว่าผู้ที่ไม่ได้ดำเนินตามพระวิญญาณก็จะปรากฏผลของฝ่ายเนื้อหนังออกมา ส่วนผู้ที่ดำเนินตามพระวิญญาณก็จะปรากฏผลของพระวิญญาณในชีวิตของเขา

วันนี้เราจะมาค้นหาพระเยซูด้วยกัน เพื่อจะรู้จักกับพระองค์ผ่านทางพระธรรมกาลาเทีย

กาลาเทีย 1:7-8
7ความจริงข่าวประเสริฐอื่นไม่มี แต่ว่ามีบางคนที่ทำให้ท่านยุ่งยาก และปรารถนาที่จะบิดเบือนข่าวประเสริฐของพระคริสต์ 8แม้แต่เราเองหรือทูตสวรรค์ ถ้าประกาศข่าวประเสริฐอื่นแก่ท่าน ซึ่งขัดกับข่าวประเสริฐที่เราได้ประกาศแก่ท่านไปแล้วนั้น ก็จะต้องถูกแช่งสาป


ปัญหาน่าปวดหัวอย่างเดียวกันก็กำลังเกิดขึ้นในยุคสมัยของเราด้วย มีลัทธิเทียมเท็จต่างๆเกิดขึ้นมากมาย บางส่วนก็เป็นเหมือนกระเทยโบราณ ที่เรามองแว่บเดียวก็สามารถระบุได้เช่นมอร์มอน พยานพระยะโฮวาห์ เพราะเขาปฏิเสธสภาพความเป็นพระเจ้าของพระเยซูคริสต์อย่างชัดเจน และยังกล้าพอที่ประกาศตัวอย่างชัดเจนว่าเขามีความเชื่อแตกต่างจากพวกเรา กลุ่มมอร์มอน ยังบอกด้วยซ้ำไปว่าพวกเขาไม่ใช่เป็นลัทธิหนึ่งในศาสนาคริสต์ แต่เป็นศาสนามอร์มอน

สิ่งที่น่ากลัวสำหรับยุคปัจจุบันก็คือ ความผิดเพี้ยนของคริสตจักรบางกลุ่มที่มีความแนบเนียนอย่างมาก เมื่อเราพิจารณาหลักข้อเชื่อของเขาที่ปรากฏในหน้าเวบไซท์หรือในธรรมนูญคริสตจักร ก็ไม่พบความผิดใดๆในเรื่องของศาสนศาสตร์ แต่ลักษณะการดำเนินงานเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อดวงวิญญาณของสมาชิก เมื่อ 2 วันก่อนผมได้อ่านข้อเขียนของ ศจ.ดร.ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์ ท่านได้กล่าวถึงกลุ่มแบบนี้ซึ่งกำลังแพร่หลายไปทั่วโลก เรียกว่า “คริสตจักรอันตราย” หากพี่น้องท่านใดสนใจ ผมจะพริ้นท์เอกสารดังกล่าวให้ไปศึกษาดู

ไม่ทราบว่า พี่น้องสามารถบอกกับคนทั่วไปได้หรือไม่ว่า ข่าวประเสริฐที่พี่น้องกำลังติดตามอยู่นั้น พูดเรื่องอะไร สิ่งนี้ก็เป็นเรื่องน่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย บางทีคริสเตียนเองไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าข่าวประเสริฐคือเรื่องอะไร บางคนถึงกับบอกว่า พระเจ้าสอนให้เราเป็นคนดี พระเจ้าสอนให้เราทำดี พระเจ้าสอนให้ทุกคนรักกันโลกจะได้สงบสุข ฯลฯ สิ่งที่พูดมาเป็นเรื่องที่ไม่ผิดครับ แต่ไม่ใช่คำตอบของคำถาม งงไหมครับ ตัวอย่างของปัญหานี้ก็คือ สมมุติมีคนมาถามคำถามว่า ผมต้องการไปหาดใหญ่จะไปขึ้นรถได้ที่ไหนครับ แล้วเราก็ตอบว่า 5 x 8 เท่ากับ 40 คำตอบนี้ผิดไหมครับ คำตอบนี้ถูกในตัวของมันเอง แต่ตอบไม่ตรงคำถาม ถ้าเป็นข้อสอบ ก็ถือว่าไม่ได้คะแนน แม้จะเป็นคำตอบที่ “ถูกของมัน” ก็ตาม ลักษณะแบบนี้บางทีเราเรียกว่า ไปไหนมา 3 วา 2 ศอก

การที่เราเองไม่สามารถตอบได้อย่างมั่นใจว่าข่าวประเสริฐคืออะไร ก็จะเป็นปัญหาอย่างน้อย 2 ประการ

-เราจะไปประกาศข่าวประเสริฐได้อย่างไร? บางทีจะกลายเป็นว่า เราไปประกาศว่า มาเชื่อพระเยซูสิ พระองค์จะปลดหนี้ให้คุณ หรือ มาเชื่อพระเยซู พระองค์จะให้คุณประสบความสำเร็จ และอื่นๆ ซึ่งจริงๆจะบอกว่าประโยคเหล่านั้นผิดไหม โดยตัวประโยคนั้นเองผมก็คิดว่าไม่ผิด แต่ไม่ใช่เนื้อหาของข่าวประเสริฐที่แท้จริง และหากผู้ที่เข้ามารับเชื่อยังไม่ได้รับรู้เรื่องราวของข่าวประเสริฐที่แท้จริง ก็จะต้องหลงหายไปในภายหลัง

-หากว่ามีผู้สอนผิดนำข่าวประเสริฐอื่นๆที่ไม่ใช่ข่าวประเสริฐแท้เข้ามา เราจะรู้ตัวได้อย่างไร? สมัยนั้นมีการบิดเบือนข่าวประเสริฐว่าต้องเข้าสุหนัตด้วยจึงจะเข้าส่วนในความรอดได้ สมัยนี้การบิดเบือนเป็นเรื่องอะไรบ้าง ก็เช่นต้องรับบัพติสมาแบบจุ่มมิดน้ำเท่านั้นจึงจะรอดได้ ต้องนมัสการพระเจ้าวันเสาร์เท่านั้นจึงจะรอด

ข่าวประเสริฐแท้ มีเพียงข่าวประเสริฐเดียว คือพระเจ้าทรงโปรดประทานพระคุณให้แก่มนุษย์โดยทางพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน รับโทษความผิดบาปแทนมนุษย์ และทรงเป็นขึ้นจากความตาย ประกาศชัยชนะและความสำเร็จของแผนการของพระเจ้า คนบาปทุกเชื้อชาติสามารถรอดพ้นจากโทษของบาปได้โดยเชื่อและรับพระเยซูเป็นพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดเพียงผู้เดียว สารภาพและกลับใจหันจากการเดินในความบาป

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นหัวใจสำคัญของข่าวประเสริฐ ข่าวประเสริฐที่ปราศจากพระเยซู ไม่ใช่ข่าวประเสริฐ แต่ข่าวประเสริฐแบบไปไหนมา 3 วา 2 ศอกนั้น แม้จะมีคำว่าพระเยซูประดับอยู่ด้วยก็ไร้คุณค่า

กาลาเทีย 2:20
20ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า


พี่น้องที่นี่ ใครได้ถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้วบ้าง ใครตายแล้วบ้าง คำถามนี้ออกจะดูแปลกๆพอสมควรเพราะหากมองดูที่มือของพี่น้องแต่ละคน ก็ไม่เห็นมีรอยตะปูเลย แถมยังหายใจและเดินไปเดินมาและกินข้าวเหนียวทุเรียนได้อีกด้วย อย่างนี้จะถูกตรึงไว้กับพระคริสต์ หรือตายแล้ว ได้อย่างไร เอ๊ะ หรือว่าตอนที่รับเชื่อพระเยซู แล้วกลับไปนอนคืนนั้นแล้วไหลตาย แล้วพระเยซูมาเข้าสิง ชักจะเลอะเทอะไปกันใหญ่

พระคัมภีร์ข้อนี้ได้ให้ภาพเปรียบเทียบลักษณะที่ควรจะเกิดขึ้นในชีวิตของคริสเตียนทุกคน คือการที่เรารู้สึกตัวอยู่เสมอว่า พระเยซูได้ทรงจ่ายหนี้แห่งความบาปของเราแทนเราบนไม้กางเขนแล้ว แม้ว่าเราไม่ได้เป็นผู้จ่ายหนี้เองบนไม้กางเขน แต่ให้เราสำนึกว่า เราถูกตรึงไว้ร่วมกับพระองค์ เข้าส่วนในความตายของพระองค์ เพื่อเราจะเป็นขึ้นร่วมกับพระองค์ด้วย

เรื่องนี้อาจจะกล่าวว่า ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของเงื่อนไขแห่งความรอด แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับการดำเนินชีวิตในโลกนี้ต่อไปหลังจากที่เราได้รับความรอดโดยทางความเชื่อแล้ว

พระเยซูคริสต์จะทรงมีชีวิตอยู่ในชีวิตของเราได้อย่างไร จะบอกว่าพระองค์มาเข้าสิงเรา ก็อาจเป็นคำพูดที่ฟังดูน่ากลัวมากกว่าน่ายินดี พระคัมภีร์ได้บอกเราว่า พระเจ้าได้ประทานพระวิญญาณของพระเจ้าให้สถิตอยู่ในผู้เชื่อทุกคน แต่ไม่เหมือนกับการเข้าสิง เราสังเกตได้ว่า กรณีที่ผีเข้าสิงนั้น คนที่ถูกสิงจะตกอยู่ในอำนาจ อยู่ในการบังคับควบคุมของผี โดยสูญเสียการควบคุมตนเอง แต่การเข้ามาสถิตของพระวิญญาณของพระเจ้านั้น ไม่ได้ทรงบังคับควบคุมชีวิตของเรา แต่ทรงครอบครอง ทรงชี้นำ ทรงเตือนสติ ทรงช่วยเหลือ โดยที่เราเองยังเป็นตัวของตัวเอง เราสามารถตัดสินใจเรื่องต่างๆได้ แต่การที่เรายินยอมรับฟังพระวิญญาณของพระเจ้าก็จะทำให้เราดำเนินชีวิตอย่างที่พระเจ้าพอพระทัย และไม่ผิดพลาดหรือล้มลงในบาป


การที่พระคริสต์มีชีวิตอยู่ในคริสเตียนอย่างที่เปาโลบอกไว้นั้น สามารถปรากฏได้ชัดเจนเมื่อคริสเตียนดำเนินชีวิตตามอย่างพระเยซู ด้วยเหตุนี้บรรดาผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์จึงถูกเรียกว่า คริสเตียน เพราะดำเนินชีวิตเหมือนพระเยซูนั่นเอง พี่น้องเคยถูกเรียกว่า ไอ้พระเยซูไหม บางทีนั่นอาจเป็นสัญญาณที่ดีก็ได้ว่า เขาได้เห็นพระเยซูปรากฏในชีวิตของเราบ้างแล้ว แต่หวังว่าที่มาของการเรียกนั้น เป็นเพราะเราดำเนินชีวิตเหมือนอย่างพระเยซูจริงๆ

กาลาเทีย 5:1
1เพื่อเสรีภาพนั้นเอง พระคริสต์จึงได้ทรงโปรดให้เราเป็นไท เหตุฉะนั้นจงตั้งมั่น และอย่าเข้าเทียมแอกเป็นทาสอีกเลย


พระคัมภีร์ข้อนี้ได้กล่าวถึงเสรีภาพจากการอยู่ใต้ธรรมบัญญัติ พระเยซูคริสต์ได้ทรงโปรดให้เราเป็นไท เป็นอิสระแล้วจากธรรมบัญญัติ เราไม่ได้ถูกควบคุมไว้ใต้ธรรมบัญญัติอีก แต่ทั้งนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าต่อไปนี้ให้เรามาละเมิดธรรมบัญญัติกันเล่นให้สนุกไปเลย

ธรรมบัญญัติไม่ได้ช่วยให้มนุษย์เป็นผู้ชอบธรรมได้ แต่เป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์รู้ว่าอะไรคือบาป เราไม่ได้ใช้ธรรมบัญญัติมาเป็นสิ่งควบคุมชีวิต เพื่อให้เราเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า แต่เราเดินกับพระเจ้าโดยการเชื่อฟังพระวิญญาณ

ปัญหาหนึ่งที่พระเยซูตำหนิพวกฟาริสีคือ การที่พวกเขาเอาบทบัญญัติของมนุษย์ มาตู่ว่าเป็นพระคำของพระเจ้า ดังนั้นจงระวังให้ดีที่เราจะไม่พยายามทำอย่างนั้น เพราะเป็นการนำพี่น้องกลับเขาไปสู่การเทียมแอกตกเป็นทาสของบัญญัติของเราเอง ทั้งๆที่พระเยซูได้ทรงโปรดให้เขาเป็นไทแล้ว

การเสริมสร้างพี่น้องในคริสตจักรให้เติบโตขึ้นนั้นเป็นงานที่ไม่ง่ายครับ เพราะไม่ใช่งานที่จะสำเร็จได้ด้วยฝีมือมนุษย์ แต่ด้วยพระวจนะของพระเจ้า กับการตอบสนองที่พี่น้องจะยินยอมเชื่อฟังและดำเนินตามพระวิญญาณของพระเจ้า สิ่งที่เราทำได้คืออธิษฐานเผื่อ และให้พระวจนะของพระเจ้าตรัสกับเขา ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนแปลงจากภายใน โดยพระวิญญาณของพระเจ้า ไม่ใช่การบังคับจากภายนอก สร้างกฏระเบียบต่างๆมากมาย และบีบบังคับ จำได้ไหมครับ พระวิญญาณของพระเจ้าที่เข้ามาครอบครองชีวิตของคริสเตียน ต่างกับผีที่เข้าสิงผู้คนอย่างไร

กาลาเทีย 6:14
14แต่ข้าพเจ้าไม่ต้องการอวด นอกจากเรื่องกางเขนของพระเยซูคริสตเจ้าของเรา ซึ่งโดยกางเขนนั้นโลกตรึงไว้แล้วจากข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ตรึงไว้แล้วจากโลก


เรื่องที่เราชอบเอามาเล่าอวดกัน ก็มักจะเป็นเรื่องที่เราภาคภูมิใจ บางคนก็ชอบอวดทรัพย์ บางคนก็ชอบอวดภูมิความรู้ บางคนก็ชอบอวดความสามารถ ผมเชือว่าแต่ละคนน่าจะมีเรื่องที่สามารถอวดคนอื่นๆได้ แม้ว่าเรื่องที่เอามาอวดนั้นอาจจะไม่ได้ยิ่งใหญ่นัก แต่แรงจูงใจในการอวดนั้นก็สำคัญไม่น้อยไปกว่าเรื่องที่นำมาอวด

หากเราอวดเพื่อให้เห็นว่าเราน่านับถือ หรือเราโดดเด่น ก็เป็นกับดักที่จะนำเราไปสู่ความหลงตัวเองและไปสู่การทำบาปได้ แต่หากเราอวดเพื่อให้เห็นว่าสิ่งที่เราอวดนั้นมีคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อผู้ฟังได้ การอวดแบบนี้สามารถทำได้

ก่อนที่จะอวดเรื่องใดๆ หากเราต้องการจะหลีกเลี่ยงการเข้าสู่การทดลอง ก็ให้ลองสำรวจดูว่าทิศทางของเรื่องราวที่จะอวดนั้นเป็นไปในแนวทางไหน หากว่ามันชี้กลับมาที่ตัวเราเสมอ ก็ต้องระมัดระวัง และเปลี่ยนท่าทีเสียใหม่ เรื่องราวเดียวกัน แต่เกิดจากแรงจูงใจภายในที่ต่างกัน ก็จะทำให้เรื่องถูกเล่าออกมาฟังดูต่างกันอย่างชัดเจน

เปาโลเองหากจะอวดก็มีเรื่องให้อวดมากมาย แต่เราก็เห็นได้ว่าเมื่อเปาโลเล่าเรื่องราวการตรากตรำเพื่องานของพระเจ้านั้น ทิศทางของเรื่องราวนั้นไม่ได้ชี้มาที่ความดีความเด่นของตนเองเลย และแท้จริงแล้วเขาพยายามหลีกเลี่ยงไม่ต้องการอวดเรื่องราวเหล่านั้น (2 โครินธ์ 11)

กางเขนของพระเยซู เป็นเรื่องที่เราอวดด้วยความภาคภูมิใจหรือเปล่า ทุกครั้งที่เป็นพยานเล่าเรื่องราวชีวิตของเรา หรือว่าเรื่องส่วนใหญ่เป็นเรื่องของความสำเร็จในชีวิตของเรา แม้ว่าบางครั้งจะพยายามจบลงด้วยคำว่า “ขอพระเจ้าได้รับเกียรติ” แต่ผู้ฟังก็ได้แต่งงว่า “ตรงไหนที่พระเจ้าสมควรได้รับเกียรติ พระเจ้าได้ทำอะไรในชีวิตคุณบ้าง ไม่เห็นมีเลย มีแต่ความเก่งกาจของผู้เล่าตลอดเรื่อง”

กางเขนของพระคริสต์ได้ตรึงเราไว้จากโลกแล้วหรือไม่ การตรึงในที่นี้หมายถึงการประหารให้ตาย โลกนี้ยังคงมีอิทธิพลต่อชีวิตของเราหรือไม่ เรื่องนี้บางทีก็พิจารณายากลำบากอยู่เหมือนกัน

ถามว่าไฟฟ้าดับ เราเดือดร้อนหรือไม่ แน่นอนอยู่แล้ว แอร์ไม่ทำงาน ห้องประชุมนี้ก็คงลำบาก เครื่องเสียงก็ใช้การไม่ได้ เครื่องดนตรีก็ใช้ไม่ได้ แล้วยังไงต่อ หากมันส่งผลถึงขนาดว่าต้องเลิกการนมัสการพระเจ้าในวันนั้นไปเลย ก็น่าจะบอกได้ว่า โลกมีอิทธิพลต่อชีวิตของเรา แต่หากว่า เรายังนมัสการกันได้ไม่มีปัญหา แอร์ใช้ไม่ได้ ก็หาสมุดหนังสือมาพัดมาวีเอา เครื่องเสียงใช้ไม่ได้ ไม่มีปัญหา ผู้นำ ผู้เทศนาก็พูดให้ดังขึ้นหน่อย เครื่องดนตรีใช้ไม่ได้ก็ร้องเพลงปากเปล่าก็ได้

ถามว่าฝนตก เราเดือดร้อนหรือไม่ แน่นอนอยู่แล้ว เดินทางลำบาก เปียกและเลอะเทอะ แต่มันเป็นเหตุให้เราไม่ไปร่วมสามัคคีธรรมหรือเปล่า
ถามว่าเศรษฐกิจซบเซา เราเดือดร้อนหรือไม่ แน่นอนอยู่แล้ว เดือดร้อนเพราะไม่พอใช้จ่าย แต่มันเป็นเหตุให้เราหยุดรับใช้พระเจ้าหรือไม่
ถามว่าใกล้สอบแล้ว เราเดือดร้อนหรือไม่ แน่นอนอยู่แล้ว เดือดร้อนเพราะถ้าอ่านหนังสือไม่ทัน เดี๋ยวจะทำข้อสอบไม่ได้ แต่มันเป็นสิ่งที่ทำให้เรายุติบทบาทในงานรับใช้หรือไม่ โดยที่เรายังไม่เคยหยุดไปเตะบอล หรือไม่หยุดการเล่นเกมส์เลย

พระเยซูไม่ได้ทรงคาดคั้นบังคับเอาสิ่งใดจากเรา ทั้งสิ้นนั้นขึ้นอยู่กับการตอบสนองของเราที่มีต่อพระองค์ ผู้ที่เราบอกเสมอว่า เรารักพระองค์ เวลานมัสการร้องเพลงน้ำมูกน้ำตาไหล แต่เรายินดีเลือกที่จะตัดพระองค์ออกเป็นสิ่งแรก เมื่อต้องตัดสินใจเลือกบางสิ่งบางอย่าง

เปาโลบอกว่า โดยกางเขนของพระเยซูนั้น โลกไม่มีอิทธิพลต่อเขาอีกต่อไป สำหรับเราเป็นสิ่งตรงกันข้ามหรือไม่ “โดยโลกนี้ ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้แล้ว จากกางเขนของพระเยซูคริสต์” ขออย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย




 

Create Date : 12 กันยายน 2554
1 comments
Last Update : 12 กันยายน 2554 13:40:17 น.
Counter : 1824 Pageviews.

 
 
 
 
ขอบคุณครับ
 
 

โดย: devilmanb วันที่: 12 กันยายน 2554 เวลา:16:24:37 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

ksk
 
Location :
ยะลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ผมเป็นคริสเตียนครับ
เป็นชาวยะลา เกิดปัตตานี ลูกจีนไหหลำ
จบวิศวกรรมไฟฟ้า(ระบบควบคุม) จากพระจอมเกล้าพระนครเหนือ EL รุ่น 24 รหัส 31 (เคยเรียน ป.วส. IE ห้องอิเล็ก ที่ วทอ. 2 ปี รหัส 29 ห้องเดียวกับ ศิริ แว่น สมชาย สุกิตติ จั๊บ ไพบูลย์ จ่าบุญเลิศ ก่อนย้อนไปเริ่มต้นป.ตรี ปี 1 ใหม่กับรุ่นน้องในคณะวิศวฯ พูดง่ายๆว่า ซิ่ว 2 ปี)
ป.โท วิศวกรรมการบิน(Avionique) จาก SUPAERO
Toulouse FRANCE ปี 1994
เคยรับราชการเป็นอาจารย์ในคณะวิศวฯที่พระนครเหนือ 8 ปี ผลงานก็ไม่มีอะไรมาก KMITNB Robot Camp เป็นสิ่งที่ยังพอให้ภาคภูมิใจเมื่อมองกลับไปที่เทคโนฯ ด้วยความคิดถึง 14 ปี อันแสนหวานกับชีวิตในพระนครเหนือ(มิย.ปี 29 - มิย.ปี 43)
ตอนนี้ลาออกจากราชการ มาหากินด้วยลำแข้ง(ไม่ใช่เป็นนักมวยไทยนะ)
ที่จังหวัดยะลาบ้านเกิด ตั้งแต่มิถุนายน ปี Y2K
กำลังจะรุ่งเรืองแล้วเชียว 4 มกราคม 2547
สถานการณ์ไฟใต้ก็เริ่มขึ้น
สิ่งที่เคยคิดว่าสักวันหนึ่งจะต้องเกิด มันก็เกิด
และยาวมาจนถึงตอนนี้
ผมยังนึกไม่ออกมันจะจบลงแบบไหน free counter

free counter

New Comments
[Add ksk's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com