ส่วน "วัดศรีดอนมูล" นั้นเดิมมีชื่อว่าวัดก้นกิ่งไม่มีหลักฐานว่าสร้างขึ้นเมื่อใด เนื่องจากมีฝูงช้างเข้ามาหาอาหารกินและได้ใช้งางัดพระพุทธรูปที่มีอยู่มากมายในวัด จนหน้าคว่ำลงฐานพระยกขึ้น จึงเรียกขานกันไปว่า วัดก้นกิ่งตามภาษาล้านนาแต่สันนิษฐานว่าสร้างสมัยพระเจ้าติโลกราช ต่อมาพม่าเข้ามารุกรานอาณาจักรล้านนาไทย ทำให้บ้านเมืองเสียหายประชาราษฏร์เดือดร้อน หนีกันกระจัดกระจายไป ทำให้วัดเป็นวัดร้าง
จนกระทั่งพระเจ้ากาวิละกู้อิสรภาพคืนมาได้และปราบดาภิเษกเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ ต่อมาได้ยกทัพไปตีเชียงแสนและได้กวาดต้อน ชาวเชียงแสนมาและให้พญาชมภูเป็นหัวหน้านำราษฏรเชียงแสนที่ต้อนมาไปอยู่ที่บริเวณบ้านยางเนิ้ง (อำเภอสารภี) จึงทำการบูรณะและตั้งชื่อใหม่คือทางเหนือเป็นวัดพญาชมภู วัดทางใต้เป็นชัยภูมิที่ดีเพราะเป็นที่ดอนเป็นเนินสูง จึงตั้งชื่อว่า "วัดศรีดอนมูล" ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
จขบ.เดินมาด้านหลังวัดสร้างได้อลังการมากคืองานปั้นเนี่ยละเอียดเชียวล่ะ มิน่าล่ะครูบาน้อยท่านบอกให้เดินมาดูข้างหลัง
เดินเข้าไปดูด้านในก็ไม่แพ้ด้านนอกเลยค่ะ วิจิตรตะการตามากๆ
ครูบาน้อยบอก จขบ.ว่างานปั้นมีปริศนาธรรมซ่อนอยู่เดินวนไปวนมาสังเกตุดีๆ จะเห็นอะไรหลายๆ อย่างซ่อนอยู่ในงานปั้นรอบทิศ
โดยทางขึ้นแต่ละด้านจะสื่อถึงความรัก ความโลภ ความโกรธและความหลง
พวกเราก็ยืนเล็งกันใหญ่เลยเจอจริงๆ แฮะเพลินดีเหมือนกันกับการเสพคำว่า "ศิลปะ"
จขบ. อยู่จนเย็นเลยล่ะ วัดแห่งนี้สงบร่มรื่นหลายสิ่งสร้างด้วยพลังแห่งความศรัทธา ได้เรียนรู้วัตถุประสงค์ของผู้สร้างคำว่า "ให้" ไม่มีวันหมดตราบใดที่ยังมีพลังแห่งความศรัทธาศาสนาสอนให้เราเป็นคนดีแล้วจะมีคุณค่าแก่สังคม การที่ได้เห็นสิ่งก่อสร้างอลังการในประเทศเราถือว่าเรายังเห็นความสำคัญของศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของเราชาวพุทธอยู่นั่นเอง
เอาล่ะเริ่มต้นทริปเราก็ได้เข้าวัดประเดิมเลยเอาฤกษ์เอาชัยก่อนไปยังสถานที่อื่นๆ ใครมาเชียงใหม่ก็แวะสักหน่อยมีหลายๆ วัดให้เลือกตามอัธยาศัยมาเชียงใหม่ใครมาไม่ถึงวัดเนี่ย เหมือนมาไม่ถึงเชียงใหม่นะ สำหรับตอนหน้า จขบ.จะพาไปขึ้นพระธาตุดอยสุเทพยามค่ำคืนกันค๊า