อาหารเสริม มื้อแรกของลูก เริ่มเมื่อไร อย่างไร
อาหารเสริม มื้อแรกของลูก เริ่มเมื่อไร อย่างไร เมื่อวัยที่ลูกน้อยกินนมแม่อย่างเดียวไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของลูกน้อยลูกน้อยจึงควรได้รับอาหารเสริม และในอาหารเสริมนั้น คุณแม่ควรใส่ใจทั้งการเลือกสรรและความสอดคล้องกับพัฒนาการเรื่องการเคี้ยวและการฝึกวินัยเรื่องการกินของหนูน้อยด้วยวันนี้เราจะมารู้กันในเรื่องนี้
มื้อแรกของลูกน้อย ส่วนมากแล้วคุณแม่จะเริ่มให้อาหารเสริมกับลูกในวัย 4-6 เดือนแต่ลำไส้ของลูกน้อยจะพัฒนาการย่อยได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นเมื่ออายุ 6 เดือนขึ้นไปดังนั้นควรเริ่มอาหารเสริมเมื่อลูกอายุ 6 เดือนอาหารเสริมที่ให้ลูกเป็นครั้งแรกนั้น มักจะเป็นน้ำส้มคั้นแต่คุณแม่จำนวนไม่น้อยใช้วิธีคั้นน้ำส้มใส่ขวดนมให้ลูกดูดเหมือนเวลาให้นมกับเค้าซึ่งในความเป็นจริงแล้วควรเริ่มให้ในปริมาณน้อย ๆ เพียงแค่ 1-2 ช้อนชาก่อนหลังจากนั้นจึงค่อย ๆ เพิ่มปริมาณทีละน้อย เมื่อลูกคุ้นกันน้ำส้มแล้วค่อยเปลี่ยนไปให้น้ำผลไม้หรือน้ำผักชนิดอื่น ๆ หรือเพิ่มกล้วยน้ำว้าสุกครูด ข้าวบดหรือข้าวบดผสมไข่แดง ฟักทองนึ่ง โดยเมื่ออายุลูกเข้า 7 เดือนจึงให้เนื้อสัตว์ทุกประเภทได้การเตรียมอาหารเสริมให้ลูกต้องเป็นอาหารที่มีคุณค่าครบทั้ง 5 หมู่และเหมาะสมในแต่ละวัย เพื่อช่วยให้การเจริญเติบโตทางร่างกายของลูกเป็นไปอย่างสมบูรณ์ กว่าลูกน้อยจะเคี้ยวเป็น เรื่องการเคี้ยวอาหารเป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่มักมองข้ามไป ด้วยความคิดที่ว่า เด็กควรทำได้เองเหมือน ๆการดูดนม แต่ความจริงแล้วการเคี้ยว มีขั้นตอนและพัฒนาการที่ซับซ้อนและต้องการการฝึกฝน ต่างจากการดูดนมที่เด็กสามารถดูดได้คล่องแคล่วตามธรรมชาติเชื่อไหมว่า สาเหตุของการไม่ยอมกินอาหาร หรือการเป็นเด็กกินยากในเด็กวัย 1-3 ปีส่วนหนึ่งมาจากการที่เค้าขาดทักษะเกี่ยวกับการเคี้ยว ปกติเด็กจะเริ่มแสดงอาการที่บ่งบอกว่าพร้อมจะเคี้ยว ในช่วงหย่านมซึ่งก็คือช่วงวัย 7-12 เดือน โดยในช่วงแรกเค้าจะรู้จักกลืนอาหารโดยใช้ลิ้นเคลื่อนไหวไปด้านหน้าและด้านหลัง พร้อมกับปิดปากซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขาเรียนรู้ที่จะปิดปากขณะกลืนอาหารหลังจากที่เคลื่อนไหวลิ้นได้เก่งแล้วเค้าจะเริ่มรู้จักใช้ลิ้นบดอาหารกับเพดานปากก่อนที่จะกลืนอาหารของไปต่อมาเขาจะเริ่มรู้จักการเคี้ยวด้วยการใช้ลิ้นดันอาหารเข้าไปยังเหงือกด้านในแล้วใช้เหงือกบดอาหาร การเคี้ยวโดยใช้เหงือกนี้เป็นสัญญาณของการเคี้ยวอย่างผู้ใหญ่เราที่ใช้ฟันด้านในในการบดเคี้ยวอาหารนั่นเอง ระหว่างที่ลูกหัดเคี้ยวด้วยเหงือกนี้คุณแม่ควรให้ลูกได้ลองรับประทานอาหารหลากหลายชนิด ที่มีความแข็ง นุ่ม แตกต่างกันเพื่อให้ลูกได้มีพัฒนาการด้านการเคี้ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ สารอาหารที่ควรเสริม ไม่เพียงลูกจะต้องได้รับอาหารที่หลากหลายเพื่อฝึกเคี้ยว สารอาหารต่าง ๆในอาหารต้องครบถ้วน โดยเฉพาะ ไอโอดีน ธาตุเหล็ก โปรตีน วิตามินเอ และแคลเซียมซึ่งในสารอาหารเหล่านี้ มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายของเด็กมาก จึงควรเน้นเป็นพิเศษ ไอโอดีนเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์ และการพัฒนาของสมองมีผลต่อการเรียนรู้และความจำ ไอโอดีนพบมากในอาหารทะเล แต่เด็กอายุต่ำกว่า 1ปีจะแพ้อาหารทะเลได้ง่ายจึงยังไม่ควรให้ลองกิน ธาตุเหล็กมีส่วนสำคัญต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง ป้องกันโรคโลหิตจาง มีมากในตับ เนื้อสัตว์เลือด ไข่แดง ผักสีเขียวเข้ม ถั่วเมล็ดแห้ง ถ้าเด็กทารกขาดธาตุเหล็กอาจจะทำให้พัฒนาการทางสมองด้อยกว่าเด็กปกติหากต้องการให้ร่างกายของลูกดูดซึมธาตุเหล็กไปใช้ได้ดีขึ้นควรให้ลูกรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูงควบคู่ไปด้วย โปรตีนเป็นสารอาหารที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายของลูก ช่วยในการเสริมสร้างเนื้อเยื่อและการเจริญเติบโต โปรตีนมีมากในเนื้อสัตว์ทุกชนิด นม ถั่วเมล็ดแห้ง ไข่ เต้าหู้นมถั่วเหลือง วิตามินเอช่วยปรับสภาพสายตา สร้างเซลล์เนื้อเยื่อและเป็นเกราะป้องกันโรคต่าง ๆให้แก่ร่างกาย นอกจากนี้ยังเป็นอาหารบำรุงผิวได้เป็นอย่างดี มีในผักใบเขียว เหลืองและแสด เช่น มะม่วงสุก มะละกอสุก ส้มเขียวหวาน ฟักทอง แครอทคุณพ่อคุณแม่สามารถนำผักผลไม้เหล่านี้มาบดรวมกันเป็นอาหารเสริมให้ลูกได้ แคลเซียมมีประโยชน์ต่อการสร้างกระดูก ฟัน และเล็บของลูก พบในกุ้งแห้ง กุ้งแห้งป่นปลาตัวเล็ก ๆ ผักใบเขียว เช่น บร็อคโคลี่ กวางตุ้ง คะน้า ถั่วเมล็ดแห้ง งา ถั่วแดงซึ่งเราสามารถนำไปทำเป็นอาหารให้ลูกทานอย่างง่าย ๆ ได้ เช่น ตุ๋นปลาป่นกับไข่ผักต้มหรือผักบดรวมมิตร น้ำเต้าหู้ถั่วแดง ฯลฯ สารปรุงรสที่ต้องระวัง ช่วงที่หัดให้ลูกรับประทานอาหารเสริม คุณแม่มักอยากให้ลูกรับประทานได้เยอะๆ จึงอดไม่ได้ที่จะเติมน้ำตาล และสารปรุงรสต่าง ๆ ลงไปในอาหารจริงอยู่ว่าการทำเช่นนั้นทำให้ลูกเจริญอาหารขึ้น แต่ก็อาจจะทำให้ลูกติดรสหวานจนหากไม่ได้เติมน้ำตาลลงในอาหารจะรู้สึกว่าไม่อร่อยและไม่ยอมรับประทานอาหารนั้นเลย เด็กบางคนติดหวานจนหากไม่ได้รับประทานของหวาน ๆ เช่น ทอฟฟี่ หรือขนมหวานจะงอแง ไม่ยอมรับประทานอาหารมื้อหลักและนิสัยติดหวานนี้ก็จะติดตัวไปจนเขาโตเป็นผู้ใหญ่ด้วยซึ่งเด็กติดหวานมักมีน้ำหนักที่ไม่ได้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน คือ ไม่อ้วนเกินไปเพราะกินแต่อาหารหวาน ๆ ที่มีแป้งและน้ำตาลมาก ก็จะมีน้ำหนักจะต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานไปเลยเพราะไม่ยอมกินอะไรนอกจากขนม จนกลายเป็นเด็กซูบผอมอมโรค นอกจากนี้หากลูกติดที่จะรับประทานแต่อาหารหวาน ๆ ก็จะทำให้ฟันผุได้ง่ายโดยเฉพาะบริเวณหลุมร่องฟันบนด้านบดเคี้ยวและซอกฟันรูฟันที่ผุนี้ยังเป็นที่สะสมของเศษอาหารและเชื้อโรค ซึ่งนำไปสู่โรคภัยไข้เจ็บได้อีกหลายๆ โรค จะสังเกตได้ว่าเด็กที่ติดหวาน ฟันผุ มักเป็นหวัดและเจ็บคอบ่อย ๆ ดังนั้นควรใช้ความหวานจากความสดใหม่ของอาหารที่นำมาปรุง หรือความหวานจากผักบางชนิดมากกว่าและไม่ควรเติมซอสปรุงรสในปริมาณที่มากเกินไป เพราะในซอสปรุงรสนอกจากจะมีความเค็มที่อันตรายต่อเด็ก ๆ ไม่แพ้ความหวานแล้วแถมยังมีผงชูรสอยู่ด้วยทางที่ดีควรเลี่ยงการเติมให้ลูกน้อยเพื่อสุขภาพของลูกคุณเอง ฝึกให้ลูกน้อยหม่ำเป็นที่ ในวัยเริ่มรับประทานอาหารเสริมนี้คุณแม่ควรฝึกให้เค้ารับประทานอาหารอยู่กับที่ โดยจัดให้เค้านั่งกินอาหารที่โต๊ะรับประทานอาหารสำหรับเด็กซึ่งก็มีหลายแบบหลายขนาดให้เลือก ส่วนระยะเวลาในการให้รับประทานอาหารนั้น ขึ้นอยู่กับนิสัยของเด็กแต่ละคนบางคนกินเร็ว บางคนกินช้า แต่ถ้าช้าเกินไป กว่าจะกินหมดแต่ละมื้อต้องเสียเวลาป้อนเป็นชั่วโมงล่ะก็ แปลว่าเด็กไม่ได้ชอบอาหารนั้นหรือไม่ก็เพราะเค้ายังไม่หิวจริง ๆ ดังนั้นถ้าคุณแม่ป้อนอาหารให้เขากินครึ่งชั่วโมงแล้ว ก็ไม่ควรป้อนต่อไปอีกเพราะนอกจากจะเสียเวลาเปล่า ๆ แล้ว ยังทำให้เค้าคุ้นชินกับการถูกคุณแม่ป้อนอาหารไปเล่นไป ไปจนโต และอาจติดเป็นนิสัยของการกินอาหารได้ครับ
Create Date : 30 กรกฎาคม 2555 |
Last Update : 30 กรกฎาคม 2555 16:17:39 น. |
|
1 comments
|
Counter : 19021 Pageviews. |
|
|
นมแม่นั่นดีที่สุดค่ะ..
แต่พอเริ่มโตขึ้น..ก็จะต้องมีอาหารเสริม
ไม่มีลูกเป็นของตัวเองคะ..
ได้แต่เลี้ยงลูกคนอื่นๆ เกือบทุกวัน..555
อ้อมแอ้มขอขอบพระคุณที่อวยพรวันเกิดให้นะค่ะ
อ้อมแอ้มได้จับสลากของรางวัลเนื่องในวันเกิดแล้วนะค่ะ
มีผู้โชคดี 5 ท่านค่ะ เป็นชาย 1 หญิง 4ค่ะ
อยากทราบว่าใครเป็นผู้โชคดี ติดตามได้ที่บล็อคนะค่ะ