เว็บเพื่อการเลี้ยงลูก,เว็บท่องเที่ยววังน้ำเขียว,สื่อสุขภาพ,ครอบครัวการเลี้ยงลูก,ทิปคอมพิวเตอร์
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2557
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
21 พฤศจิกายน 2557
 
All Blogs
 
คลอโรฟิลล์สำหรับเด็กทารกดีจริงไหม?

อาหารเสริมสำหรับเด็กทารก ระบบการตลาดที่น่ากลัว
ต้องขอบคุณคนที่แชร์เรื่อง “น้ำคลอโรฟิลล์” จนถึงเพจคุณหมอวิชิต (จ่าพิชิต) ที่ให้ทารกกินน้ำคลอโรฟิลล์แล้วบอกว่าสุขภาพแข็งแรงดี จริงๆ มันเป็นเรื่องที่อันตรามาเลยนะการที่ให้เด็กกินน้ำอย่างอื่นที่ไม่ใช่นมแม่ แต่ประเทศนี้มีความเชื่อผิดๆ อยู่แล้วว่า เมื่อกินนมก็ต้องกินน้ำโดยเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง จริงๆ เด็กทารกกินนมแม่อย่างเดียวก็เพียงพอครับ น้ำอย่างอื่นไม่ต้องรวมถึงน้ำเปล่าด้วย ไม่จำเป็น ในนมแม่มีครบแล้ว และหากให้น้ำ ยังไงก็บอกว่านมแม่พอ เด็กฉี่เกินหกครั้ง แต่ได้รับสารอาหารนิดเดียว บ่นลูกน้อยตัวเล็กน้ำหนักไม่ตามเกณฑ์ จะโทษใครละครับ


ตามที่แชร์มานะ บอกเลยอย่างเลียนแบบเด็ดขาด การที่เด็กทารกแรกเกิดหนัก 5 กก. ไม่ใช่เรื่องปกติ ไม่ควรยินดี ไม่ใช่สิ่งที่น่าชื่นชม หรือว่าเลียนแบบ อาจเกิดจากการที่คุณแม่เป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ หรือ เด็กอาจเป็นโรคผิดปกติบางอย่างที่ทำให้มีปัญหาน้ำตาลในเลือดต่ำ มีผลกับสมองตามมา หากไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้อง และ การให้ทารกกินน้ำอื่นๆที่ไม่ใช่นมแม่ หรือ นมผงสำหรับทารกที่ได้รับการเตรียมอย่างถูกสัดส่วน และ สะอาด จะเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ เช่น เกิดภาวะน้ำเกินหรือน้ำเป็นพิษจนสมองบวม ท้องร่วงจากติดเชื้อ หรือ เกิดอาการแพ้รุนแรงเฉียบพลัน ถือว่าอันตรายเป็นอย่างมาก

การให้อาหารเสริมที่ถูกต้อง
เมื่อก่อนสมัย 10 ปีที่ผ่านมา มีการ แนะนำให้เริ่มอาหารตามวัยหลัง 4 เดือน แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น 6 เดือนแล้ว โดยมีงานวิจัยมากมายสนับสนุนคำแนะนำดังกล่าว แต่บุคลากรทางการแพทย์จำนวนหนึ่ง และหนังสือคู่มือเลี้ยงลูกหลายๆเล่ม ยังไม่ทราบข้อมูลใหม่เหล่านี้ จึงยังมีบางส่วนที่ยึดกับ การเริ่มอาหารเสริมตอน 4 เดือนอยู่ หน่วยงานต่อไปนี้เป็นหน่วยงานที่ส่งเสริมให้เริ่มอาหารตอนหกเดือน และให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวจนถึงหกเดือน

- องค์การอนามัยโลก
- ยูนิเซฟ
- สมาคมกุมารแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา
- คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติออสเตรเลีย
- คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติแคนาดา

จะเห็นว่ามีแต่กงค์กรค์หน่วยงานที่ดูแลระดันโลก หรือประเทศที่เขาพัฒนาแล้วทั้งนั้น เพราะทารกส่วนใหญ่จะมีความพร้อมทั้งด้านพัฒนาการและร่างกายในการกินอาหารอื่นที่ไม่ใช่นมแม่ หรือ นมผสมสำหรับเด็ก เมื่ออายุประมาณ 6 เดือน

ข้อดีของการเริ่มอาหารเสริมเมื่อ 6 เดือน
- ช่วยลดอัตราการเจ็บป่วย เพราะได้รับภูมิต้านทานจากนมแม่เต็มที่ มากกว่า 50 ชนิด และยังมีอีกมากมายที่ยังไม่รูัจัก การศึกษาหนึ่งพบว่าเด็กที่ได้รับนมแม่อย่างเดียวใน 4 เดือนแรก พบปัญหาโรคหูชั้นกลางอักเสบน้อยกว่ากลุ่มที่เริ่มอาหารตามวัยเร็ว โดยลดลงถึง 40% และมีปัญหาโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจลดลงอย่างชัดเจน
- ไม่ทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานหนักเกินไป ถ้าเริ่มเร็วเกินไป อาจมีปัญหา ท้องอืด ท้องผูก น้ำย่อยโปรตีนยังพัฒนาไม่เต็มที่ ทำให้ย่อยโปรตีนได้ไม่เต็มที่ น้ำย่อยคาร์โบไฮเดรตยังไม่สมบูรณ์จนกว่าจะอายุ 6-7 เดือน น้ำย่อยไขมันยังไม่สมบูรณ์จนกว่าจะอายุ 6-9 เดือน
- ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคแพ้อาหาร งานวิจัยพบว่า ยิ่งให้นมแม่นาน ยิ่งลดความเสี่ยงของโรคแพ้อาหาร เพราะว่าก่อน 6 เดือน เซลเยื่อบุลำไส้ยังอยู่กันแบบหลวมๆ (open) เพื่อให้ ภูมิคุ้มกันจากนมแม่ผ่านเข้าไปตามช่องว่างดังกล่าวเข้าไปอยู่ในเลือดของลูก ช่วยป้องกันการติดเชื้อโรค แต่หากมีการให้อาหารแปลกปลอมอื่นเข้าไป สารแปลกปลอมก็จะเล็ดลอดเข้าไปกระตุ้นให้ร่างกายทารกสร้างสารต่อต้าน จนเกิดปัญหาแพ้อาหารตามมาได้ หลัง 6 เดือนเซลเยื่อบุลำไส้จะอยู่กันชิดๆแล้ว (close) ความเสี่ยงจึงลดลง
- ลดความเสี่ยงปัญหาขาดธาตุเหล็ก การให้อาหารอื่นก่อนอายุ 6 เดือน จะทำให้ลำไส้ดูดซึมธาตุเหล็กจากนมได้น้อยลง งานวิจัยพบว่า เด็กที่ได้รับอาหารอื่นก่อน 6 เดือน จะมีปัญหาซีดจากขาดธาตุเหล็กที่อายุ 1 ขวบมากกว่า และเมื่อเริ่มอาหารเสริมแล้ว อย่าลืมให้กินอาหารที่มีธาตุเหล็กเป็นประจำ จะได้ไม่ซีด อีกปัจจัยหนึ่งที่จะลดความเสี่ยงของโรคซีดหลัง 6 เดือน คือ ตอนคลอดควรรีดเลือดจากสายสะดือเข้ามาทางลูก ถึงแม้จะเพิ่มปัญหาตัวเหลืองขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่มีความสำคัญอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
- ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคอ้วนเมื่อโตขึ้น
- ช่วยให้แม่ผลิตน้ำนมได้เต็มที่ เพราะหากกินอาหารตามวัย จะทำให้เด็กกินนมแม่ลดลง แม่จะสร้างน้ำนมลดลง พบว่าเด็กที่เริ่มอาหารตามวัยเร็วก่อน 6 เดือน มีแนวโน้มหย่านมแม่เร็วขึ้น
- ลูกมีปัญหาการกินน้อยกว่ากลุ่มที่เริ่มอาหารตามวัยก่อน 6 เดือน เพราะลูกมีความพร้อมมากกว่า อย่าเชื่อคำขู่ว่า ถ้าไม่เริ่มเร็วๆ ลูกจะกินข้าวยาก เพราะเริ่มเร็วเริ่มช้ากว่า 6 เดือน ก็มีปัญหากินข้าวยากได้ทั้ง 2 กลุ่ม ทั้งเด็กที่กินนมแม่หรือนมผง ก็เจอปัญหากินข้าวยากทั้ง 2 กลุ่ม และข้อเท็จจริง คือ กลุ่มที่เริ่มเร็วกว่า 6 เดือน (เพราะน้ำย่อยและการเคลื่อนไหวของลำไส้ยังไม่พร้อม) และ กลุ่มนมผง (เพราะเด็กนมแม่ รสชาตินมแม่จะแปรเปลี่ยนไปตามอาหารที่แม่กิน จึงทำให้เด็กคุ้นเคยกับรสชาติอาหารมากกว่า แต่นมผง รสชาติจะคงเดิมตลอด) จะมีปัญหากินข้าวยากมากกว่าค่ะ

หากท่านใดที่จะค้านบอกว่า ลูกฉันกินก่อน 6 เดือน แล้วไม่มีปัญหาอะไร ก็ถือว่าโชคดีไปอย่าง ให้กินกล้วยตั้งแต่ 1 เดือน ลูกก็ไม่เห็นเป็นไร กระเพาะอาหารก็ไม่เห็นแตกเหมือนกับที่เป็นข่าว ก็เหมือนกับการสวมหมวกนิรภัย บางคนไม่เกิดอุบัติเหตุ แต่บางคนเสียชีวิต แต่ถึงอย่างไรผลกระทบต่อสุขภาพระยะยาวนั้นมีแน่ๆ อย่าง แทนที่ลูกจะได้กินนมแม่มากๆ ซึ่งมีสารบำรุงสมอง สารต้านเชื้อโรค สารต้านมะเร็ง ก็ต้องเสียพื้นที่ไปในการกินกล้วยซึ่งไม่มีสารเหล่านี้ และ งานวิจัยพบว่า การเริ่มกินสิ่งอื่นก่อน 6 เดือน จะเป็นสาเหตุทำให้หย่านมแม่ก่อนเวลาอันควร หากคุณอยากให้ลูกกินนมแม่ไปได้นานๆ ก็ไม่ควรเริ่มอาหารอื่นก่อน 6 เดือนไม่ใช่เพื่อใคร เพื่อลูกรักของท่านเอง

Power by i9 เว้บเพื่อสุขภาพแม่และเด็ก




Create Date : 21 พฤศจิกายน 2557
Last Update : 21 พฤศจิกายน 2557 7:41:52 น. 0 comments
Counter : 1454 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

fnhero125
Location :
นครราชสีมา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add fnhero125's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.