|
อดีต ปัจจุบันส่งผ่านถึงอนาคตจะเป็นฉันใด
เมื่อครั้งที่ไปเรียนอยู่ที่เมืองหลวง และได้ทำงานอยู่ที่นั่นหลายปี แรกๆก็มีเพื่อนๆอยู่ด้วยกัน หารค่าห้องกันได้ แต่สุดท้ายต้องแยกย้าย เพราะเพื่อนไปเรียนต่อคนละที่ เสียดายค่าเช่าจึงย้ายไปหาที่อยู่ใหม่
ครั้งที่ย้ายไปสิงสถิตอยู่แถวๆสุขุมวิทเพราะใกล้ที่ทำงาน คุณยายอาศัยอยู่กับหลานชายสองคน แบ่งพื้นที่บ้านบางส่วนให้เช่า บ้านอยู่ติดกับคลองแสนแสบ ค่าเช่าไม่แรงเกินไปพอรับได้ มีต้นไม้มากมายบรรยากาศดี หลานชายสองคนไม่เป็นพิษเป็นภัย เพราะเป็นผู้ชายนะฮ้า
ในแต่ละวันมีเรือหางยาวแล่นผ่านไปมาไม่ค่อยหนาตามากนัก จากพระโขนงมาสุดทางที่ประตูน้ำ น้ำสีดำๆส่งกลิ่นกรุ่นกำจายมาตามสายลม ช่วงบ่ายในยามว่าง มักมายืนมองไปยังท่าน้ำฝั่งตรงข้าม แล้วจินตนาการเอาว่าเมื่อครั้งที่น้ำยังใสไหลริน ขวัญกับเรียมคงจะแหวกว่ายไปมาที่คลองแสนแสบแห่งนี้
แต่ตอนที่มองลงไป น่าจะแสบแสนคันมากกว่า เพราะทั้งดำทั้งเหม็น ตกลงไปในน้ำคงจะทั้งคันทั้งแสบเหลือประมาณ วันลอยกระทงหลังเลิกงาน เดินกลับบ้าน เดินลุยน้ำจากปากซอย ประมาณสะโพก เดินมาถึงห้องพักที่อยู่ชั้นล่าง น้ำปริ่มขอบเตียงแต่ยังไม่ถึงที่นอน เสื้อผ้าของใช้ทุกอย่างวางอยู่บนเตียง ไม่กล้าเปิดไฟ เพราะกลัวไฟดูด
นอนมองน้ำสะท้อนแสงเทียน วับๆแวมๆแสนจะโรแมนติค ในเวลากลางวัน เรือหางยาวแล่นผ่าน น้ำจะกระฉอกขึ้นมาเกือบถึงที่นอนต้องปิดประตูห้องเอาไว้ ลงจากเตียงลุยน้ำออกไปหาอาหารมาตุนไว้ จะไปไหนก็ไปไม่ได้ เพราะยังห่วงงาน
ก่อนออกไปลุยน้ำต้องทาวาสลีนที่เท้าเพื่อทำให้เท้าชุ่มชื้นกันน้ำกัดเท้า ทุกครั้งที่จะขึ้นเตียง ต้องนำผ้าแห้งมาเข็ดขาทีละข้าง ก้าวขึ้นเตียงใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเช็ดอีกครั้งแล้วซับให้แห้ง จึงก้าวขึ้นเตียงได้ ทาด้วยยากันเชื้อราอีกรอบ
นอนมองน้ำเป็นคลื่นน้อยๆในวันลอยกระทง ออกจากบ้านไปทำงานสวมกางเกงขาสั้นสะพายเป้ ห้องน้ำที่บ้านไม่ต้องพูดถึงเข้าไม่ได้ ต้องไปอาศัยห้องน้ำอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันที่ทำงานเช่นกัน
เย็นวันหนึ่ง มีคนมาเคาะประตู เปิดมาเจอ เจ้าน้อย(อ.น้อย อานนท์ ศิริสมบัติวัฒนา) เจ้าแดง เจ้าบั๊น มาถึงก็เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า ลากตัวให้ไปพักด้วยกันที่ซอยเซ็นหลุยส์ ที่บ้านนายอานนท์ มีอามากับพี่สาวอยู่หลายคน เรื่องนี้เคยเล่าไว้เมื่อครั้งก่อนใน
อานนท์ที่รัก
ในยามที่เกิดวิกฤต เข้าใจในความรู้สึกในยามนี้เลยค่ะ ครั้งนั้นกว่าที่น้ำจะลด ก็กินเวลาเป็นเดือน จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ต่อมาอีก 12 ปีจึงเกิดน้ำท่วมใหญ่อีกครั้ง เราคงไม่โชคร้ายจนเกินไป ปีหน้าฟ้าใหม่ ฟ้าฝนอาจเมตตา เลื่อนเวลาให้พอมีเวลาลุกขึ้นมาอีกครั้ง คงไม่บาปซ้ำกรรมซัด ท่วมแบบนี้ติดๆกันหลายปี
ไม่มีข้อมูลเชิงวิชาการหรอกค่ะ แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา หวังใจว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น เพียงวันนี้เราจะผ่านมันไปได้ เหมือนทุกครั้งที่เคยผ่านมันมาแล้ว
ลองมาย้อนอดีตไปด้วยกัน
. . . .
พ.ศ.2485
เกิดน้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯ เนื่องจากฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยามีระดับสูงมาก ไหลล้นคันกั้นน้ำทั้งสองฝั่งแม่น้ำตลอดแนว ซึ่งวัดระดับน้ำท่วมที่สะพานสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ได้ 2.27 เมตร นับว่าเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ก่อนที่จะมีการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่อย่างเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ เพื่อมากักเก็บน้ำ
พ.ศ.2518
พายุดีเปรสชั่นได้พาดผ่านตอนบนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้มีปริมาณน้ำสูงทางภาคกลางตอนบน จนเป็นเหตุให้น้ำไหลทะลักเข้าท่วมกรุงเทพมหานคร
พ.ศ.2521
พายุลูกใหญ่ 2 ลูก คือ "เบส" และ "คิท" ได้พาดผ่านพื้นที่ตอนบนลุ่มน้ำปริมาณสูง รวมไปถึงปริมาณน้ำจากแม่น้ำป่าสักไหลบ่าเข้าท่วมเป็นจำนวนมาก ทำให้ด้านตะวันออกของกรุงเทพมหานครถูกน้ำท่วมไปโดย ปริยาย
พ.ศ.2523
ปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ทวีระดับความสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนที่สะพานสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ 2.00 เมตร ระดับน้ำสูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 2 เมตร ประกอบกับมีฝนตกในพื้นที่กรุงเทพมหานครถึง 4 วัน 4 คืน ทำให้เกิดน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่
พ.ศ.2526
พายุหลายลูกพัดผ่านเข้าภาคเหนือ และภาคกลางในช่วง กันยายน - ตุลาคม ทำให้น้ำท่วมในครั้งนี้ถือว่ารุนแรงมากอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งวัดปริมาณฝนตลอดทั้งปีได้ 2119 มม. จากค่าฝนเกณฑ์เฉลี่ยอยู่ที่ 1,200 มม. ส่งผลให้กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล น้ำท่วมเป็นเวลานานที่สุดถึง 4 เดือน ประเมินความเสียหายสูงถึง 6,598 ล้านบาท
พ.ศ.2529
ฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน ที่กรุงเทพฯในหลายพื้นที่ ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน โดยเฉพาะที่เขตราษฎร์บูรณะ ถนนวิภาวดีตั้งแต่ช่วงสะพานลอยเกษตรเข้าไป ย่านถนนสุขุมวิท ย่านรามคำแหง ย่านบางนา ทำให้การจราจรติดขัดมาก แต่อย่างไรก็ดี ในครั้งนั้นอยู่ในช่วงที่น้ำทะเลไม่ได้หนุน ทำให้มีการระบายน้ำออกเป็นไปอย่างรวดเร็ว
พ.ศ.2533
เดือนตุลาคม พายุโซนร้อน "อีรา" และ "โลล่า" ได้พัดผ่านภาคตะวันออกเฉียงเหนือทางจังหวัดบุรีรัมย์, สุรินทร์ ทางภาคตะวันออกและภาคกลาง ทำให้ฝนตกหนักที่กรุงเทพมหานครถึง 617 มม. เลยทีเดียว ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขังสูงประมาณ 30-60 ซม. ในหลายพื้นที่ ทั้งบริเวณเขตมีนบุรี, หนองจอก, บางเขน, ดอนเมือง, บางกะปิ, พระโขนง, ลาดกระบัง, ลาดพร้าว, บึงกุ่ม และปริมณฑล โดยน้ำท่วมขังเป็นเวลานานกว่า 1 เดือน ประเมินความเสียหายสูงถึง 177 ล้านบาท
พ.ศ.2537
พายุฝนฤดูร้อน ถล่มกรุงเทพมหานคร และปริมณฑลเมื่อวันที่ 7 และ 8 พฤษภาคม 2537 ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันที่บริเวณถนนจันทร์ เขตยานนาวา ถนนพหลโยธิน ตั้งแต่ย่านสะพานควาย ถนนประดิพัทธ์ สวนจตุจักร ถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซอยสุทธิสารตลอดทั้งซอย รวมไปถึง ถนนวิภาวดีรังสิตและรัชดาภิเษก ถนนลาดพร้าว ถนนสุขุมวิท ตั้งแต่ย่านพระโขนง จนถึงอำเภอสำโรง จังหวัดสมุทรปราการ ส่วนถนนสาธร โดยเฉพาะซอยเซ็นต์หลุยส์ มีน้ำท่วมขังมากที่สุดประมาณ 50 ซม. และจากเหตุการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้ ส่งผลให้การจราจรของกรุงเทพมหานครเป็นอัมพาต เกิดไฟฟ้าดับหลายจุด สร้างความเดือดร้อนทั่วทุกพื้นที่
พ.ศ.2538
พายุหลายลูก ได้พัดผ่านทั้ง ภาคเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะพายุโอลิส ที่ถล่มกระหน่ำ ทำให้เกิดในตกหนักอย่างต่อเนื่องหลายวัน ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยามีระดับสูง โดยวัดที่สะพานสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2538 มีค่าระดับสูงถึง 2.27 เมตร (รทก.) ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์
คันกั้นน้ำริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาถูกน้ำทะลักเข้าท่วมพื้นที่ระดับสูงถึง 1 เมตร โดยเฉพาะบริเวณถนนจรัลสนิทวงศ์ เขตบางพลัด บางกอกน้อย และถนนเจริญกรุง เขตคลองสาน รวมระยะเวลาน้ำท่วมประมาณ 2 เดือน สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนเป็นอย่างมาก การคมนาคมเป็นไปอย่างยากลำบาก ต้องอาศัยเรือในการเดินทาง เพราะเกือบจะทั่วทุกพื้นที่ กลายเป็นคลองไปหมด แทบจะแยกไม่ออกว่า ตรงไหนเป็นน้ำจากแม่น้ำ คลอง หรือน้่ำจากน้ำท่วม
พ.ศ.2539
มีฝนตกหนักในภาคเหนือและภาคกลางทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยามีปริมาณมาก ทำให้ระดับน้ำสูงล้นแนวป้องกันน้ำท่วมเข้าท่วมพื้นที่ริมแม่น้ำฝั่งธนบุรี บริเวณถนนจรัลสนิทวงศ์ ถนนเจริญนคร ฝั่งพระนคร บริเวณถนนสามเสนถนนพระอาทิตย์ ซึ่งน้ำได้ท่วมขังกินระยะเวลานาน 2 เดือนเลยทีเดียว ตั้งแต่ พฤศจิกายน -ธันวาคม 2539
พ.ศ.2541
เหตุการณ์น้ำท่วมในกรุงเทพครั้งนี้ไม่รุนแรงเท่าไร วัดน้ำฝนได้สูงสุดที่สถานีดับเพลิงพญาไท 2541 มม. ส่วนจุดที่น้ำระบายออกได้ช้าที่สุดคือถนนประชาสงเคราะห์ (จากแยกดินแดงยาวตลอดสาย) เขตดินแดงท่วมสูง 20 ซม. นาน 19 ชม. ส่วนระดับน้ำที่ท่วมสูงสุดคือ ถนนเพลินจิต และถนนราชดำริ เขตปทุมวัน ท่วมสูง 20 - 40 ซม. นาน 11 ชม.
พ.ศ. 2554
ถึงแม้ว่าน้ำจะยังไม่เข้าท่วมกรุงเทพฯ แต่มีความเป็นไปได้สูงมากว่ากรุงเทพฯ จะประสบปัญหาน้ำท่วมเหมือนในปีก่อน ๆ และจะรุนแรงเทียบเท่ากับปี 2538 เลยทีเดียว
หมายเหตุ : ภาพน้ำท่วมในอดีตจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติค่ะ
HotLine สายด่วนน้ำท่วม สำนักนายกรัฐมนตรี โทร.1111 สายด่วน ปภ. (กรมป้องกันและบรรเทา สาธารณภัย) โทร.1784 บริการแพทย์ฉุกเฉิน และนำส่งโรงพยาบาล ฟรี โทร.1669 ศูนย์ความปลอดภัย กรมทางหลวงชนบท โทร.1146 ตำรวจทางหลวง สอบถามเส้นทางน้ำท่วม ได้ตลอด 24 ชั่วโมง โทร.1193 การรถไฟแห่งประเทศไทย โทร.1690 สายด่วน กฟภ. โทร.1129 ท่าอากาศยานไทย โทร.0-2535-1111 ศูนย์ประสานและติดตามสถานการณ์น้ำ โทร.0-2243-6956
แอมอร
Create Date : 28 ตุลาคม 2554 |
|
11 comments |
Last Update : 28 ตุลาคม 2554 15:43:39 น. |
Counter : 1045 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: อุ้มสี 28 ตุลาคม 2554 19:58:40 น. |
|
|
|
| |
โดย: peeamp 29 ตุลาคม 2554 15:33:35 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 61 คน [?]
|
บางที ปลายทางก็ไม่ได้สำคัญมากไปกว่า
.....
สิ่งที่อยู่ระหว่างทาง
..............^^.... และความสุขในปัจจุบัน
ก็เป็นสิ่งที่เราจับต้องได้
....^^.....^^......
โดยไม่ต้องรอคอย
ความสุขของอนาคต
ปูปรุง
|
|
|
|
|
|
|
|
แล้วก็ท่วมในปัจจุบันอีกหลายครั้ง แม้ฝนตกหนักนานกว่าครึ่งชั่วโมงก็ท่วมครับ แต่อยู่ไม่นานก็แห้ง
ขอบคุณที่เอาคำเตือนเรื่องผู้ที่ถูกน้ำท่วมสูง แล้วจะอยู่เฝ้าบ้าน ไปวางในกระทู้ของผม ที่ไร้สังกัด อาจมีประโยชน์แก่ผู้อ่านตามสมควรครับ.