Group Blog
 
All Blogs
 

กรรมของพ่อลูก

เสี้ยวสามก๊ก

กรรมของพ่อลูก

เล่าเซี่ยงชุน

ขณะที่โจโฉเป็นมหาอุปราชผู้โด่งดัง อยู่ในยุทธจักรสามก๊กนั้น ได้สุมาอี้บุตรของ สุมาหองเจ้าเมืองโฮโล่ มาเป็นที่ปรึกษา แต่ให้ควบคุมบัญชีทหารเลวทั้งปวง ทำนองเจ้ากรมกำลังสำรอง ไม่ค่อยจะได้ปรึกษาถึงเรื่องยุทธการสักเท่าใด แม้เมื่อโจโฉได้สิ้นชีวิตไปแล้ว พระเจ้าโจผี ฮ่องเต้องค์แรกของวุยก๊ก ก็ยังไม่ค่อยไว้ใจใช้สอยแต่อย่างใด

จนกระทั่งพระเจ้าโจผีสิ้นพระชนม์ จึงฝากฝังให้โจจิ๋น และสุมาอี้ซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ เอาใจใส่ทำนุบำรุงพระเจ้าโจยอยซึ่งรับราชสมบัติต่อเมื่อ พ.ศ.๗๗๐ แต่ทั้งสองไม่ค่อยจะปรองดองกัน เพราะโจจิ๋นถือว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ของโจผี

ขงเบ้งแม่ทัพใหญ่ของจ๊กก๊กได้ที จึงทำอุบายปิดประกาศเป็นทำนองว่า สุมาอี้จะคิดขบถ พระเจ้าโจยอยก็หลงเชื่อจึงถอดสุมาอี้ลงเป็นไพร่ และให้ไปอยู่ที่บ้านเก่า ขงเบ้งก็ยกกองทัพมาตีวุยก๊กเป็นครั้งแรก

พระเจ้าโจยอยส่งแฮหัวหลิมเป็นแม่ทัพ ออกไปสู้รบก็พ่ายแพ้แก่ขงเบ้ง จึงให้โจจิ๋นเป็นแม่ทัพออกไป ก็พ่ายแพ้แก่ขงเบ้งอีก พระเจ้าโจยอยจึงกลับแต่งตั้งให้สุมาอี้มียศอย่างเดิม และให้เป็นแม่ทัพ ยกทหารจากเมืองอ้วนเซียไปยันขงเบ้งที่เมืองเตียงฮัน สุมาอี้ก็ยกทัพไปปราบเบ้งตัดซึ่งเป็นขบถที่เมืองซงหยงก่อน และก็ยึดตำบลเกเต๋งที่มั่นสำคัญของขงเบ้งได้ แล้วก็มุ่งไปตีเมืองหลิวเซียต่อไป

ขณะนั้นโจจิ๋นซึ่งรักษาเมืองไปเซีย รู้ข่าวว่าสุมาอี้ตีได้เกเต๋งแล้ว ก็คิดว่าสุมาอี้มีความชอบในครั้งนี้เป็นอันมาก คิดจะทำการศึกแก้ตัวให้มีความชอบบ้าง จึงให้โกฉุยทหารเอกคุมทหารยกมาจะชิงเอาเมืองหลิวเซียให้ได้เสียก่อน แต่ก็ยังช้ากว่าสุมาอี้ เมื่อโกฉุยไปถึงกำแพงเมืองก็เห็นธงยี่ห้อสุมาอี้ปักอยู่แล้ว ตัวสุมาอี้ก็ยังยื่นหน้ามาสัพยอกว่า เป็นไฉนโกฉุยท่านจึงยกมาช้าล้าหลังฉะนี้เล่า และเมื่อโกฉุยเข้าไปคำนับแม่ทัพสุมาอี้ตามประเพณี สุมาอี้ก็สั่งให้โกฉุยกับโจจิ๋น ยกทหารติดตามไปจับตัวขงเบ้งมาให้ได้ โกฉุยจำต้องรับคำสั่งกลับมาบอกโจจิ๋น

ส่วนตัวสุมาอี้ก็ยกกองทัพจะไปตีเมืองเสเสีย ซึ่งขงเบ้งเก็บเสบียงอาหารไว้เป็นอันมาก แล้วจะได้เลยไปยึดเมืองลำอั๋น เมืองเทียนซุย ที่อยู่ใกล้เคียงด้วย แต่ก็แพ้กลอุบายของขงเบ้ง ที่ให้ทหารขนเสบียงอาหารออกไปจนหมดสิ้น และให้รื้อถอนธงที่ปักไว้บนกำแพงลงเสีย กับให้เปิดประตูเมืองไว้ทั้งสี่ด้าน แล้วให้ทหารที่มีอยู่ไม่มาก แอบซ่อนตัวเสียให้หมดไม่ส่งเสียงอื้ออึง เหลือแต่คนกวาดพื้นไว้เพียงยี่สิบคน ส่วนตนเองกับเด็กน้อยถือกระบี่คนหนึ่ง และถือแซ่อีกคนหนึ่ง ขึ้นไปนั่งดีดกระจับปี่อยู่บนหอรบ ไม่มีอาการสะดุ้งสะเทือนแต่ประการใด สุมาอี้เกรงกลลวงของขงเบ้ง จึงไม่กล้าบุกเข้าไปในเมือง ต้องถอนทหารกลับ พอมาถึงเขาบุกองสันก็ถูกดักโจมตีจนระส่ำระสายไป

ฝ่ายโจจิ๋นรู้ข่าวว่าขงเบ้งเลิกทัพ ก็รีบตามไปแต่ก็ถูกดักโจมตี จนแตกพ่ายไปเช่นเดียวกัน ส่วนโกฉุยตามไปอีกทางหนึ่ง พบกับจูล่งทหารเอกของขงเบ้งตั้งยันอยู่ ก็เกรงฝีมือไม่สามารถที่จะบุกต่อไปได้ ต้องยกกลับมารวมกับโจจิ๋น

ส่วนสุมาอี้ภายหลังทราบว่าขงเบ้งทิ้งเมืองเสเสียแล้ว จึงเข้าไปยึดไว้ได้ และการสงครามครั้งนี้ สุดท้ายขงเบ้งก็ต้องกลับไปเมืองฮันต๋ง และสุมาอี้ก็กลับไปเมืองลกเอี๋ยง ไม่มีผู้แพ้และชนะอย่างแท้จริง

จนกระทั่งขงเบ้งยกกองทัพมารบวุยก๊กเป็นครั้งที่สอง โจจิ๋นก็ขออาสาออกไปตั้งรับที่ตำบลตันฉอง คราวนี้ถูกเกียงอุยนายทหารเอกของวุยก๊ก ที่ไปเข้าเป็นพวกขงเบ้งมีหนังสือมาหลอก ให้เข้าโจมตีกองทัพของจ๊กก๊ก แต่ปีเอียวนายทหารใหญ่ขออาสาคุมพลไปแทน จึงถูกล้อมหลายด้านไม่สามารถหักออกได้ ต้องเอากระบี่เชือดคอตายไป

เมื่อพระเจ้าโจยอยทราบข่าวก็ปรึกษากับสุมาอี้ และมีรับสั่งให้โจจิ๋นตั้งยันข้าศึกไว้ไม่ต้องออกรบ แต่โจจิ๋นรู้ว่าเป็นความคิดของสุมาอี้ จึงไม่ยอมเชื่อฟังและวางอุบายเอาเกวียนเสบียงไปล่อ จะเผาทหารของขงเบ้ง กลับถูกขงเบ้งซ้อนกลล้อมเผากองเสบียงนั้นเสีย ทหารของโจจิ๋นก็แตกพ่ายไป แล้วขงเบ้งก็ยกทัพกลับเมืองฮันต๋งด้วยความปลอดภัย

ต่อมาถึง พ.ศ.๗๗๒ ขงเบ้งก็ยกกองทัพจ๊กก๊กไปตีวุยก๊กเป็นครั้งที่สาม พระเจ้าโจยอยก็แต่งตั้งให้สุมาอี้เป็นแม่ทัพใหญ่ สู้รบกับขงเบ้งเป็นสามารถหลายยก สุดท้ายเตียวเปาบุตรเตียวหุยถึงแก่ความตาย ขงเบ้งเสียใจอาเจียนเป็นโลหิตแล้วป่วย ต้องยกทัพกลับ พระเจ้าโจยอยก็ให้โจจิ๋นกับสุมาอี้ยกทัพไปตีจ๊กก๊กบ้าง แต่ยกไปในฤดูฝนเมื่อถึงตำบลตันฉองก็มิได้เห็นผู้คนเหย้าเรือนเหลืออยู่เลย สอบถามได้ความว่า เมื่อกองทัพจ๊กก๊กถอยกลับไปเมืองเสฉวนนั้น ได้อพยพผู้คนและเผาบ้านเรือและเสบียงเสียสิ้น

โจจิ๋นกับสุมาอี้ก็พักกองทัพอยู่ประมาณสิบวัน ฝนก็ตกหนักติดต่อกันถึงสามสิบวัน น้ำท่วมลึกประมาณสามศอก เสบียงอาหารก็เสียหายสิ้น ทแกล้วทหารทั้งหลายไม่มีที่จะนั่งนอน ได้ความลำบากยากแค้นมาก ความทราบถึงพระเจ้าโจยอย จึงมีรับสั่งให้ยกทัพกลับเมือง ลกเอี๋ยง ระหว่างที่กองทัพวุยก๊กถอยนั้น ขงเบ้งก็มิได้แต่งทหารตามมาแต่ประการใด โจจิ๋นก็เกิดความประมาท แต่สุมาอี้คาดว่าขงเบ้งจะต้องยกมาที่เขากิสานแน่ ทั้งสองจึงแยกทางกัน และพนันกันว่า ถ้าขงเบ้งไม่ยกมาในสิบวัน สุมาอี้ยอมให้โจจิ๋นเอาแป้งทาหน้า และแต่งตัวเป็นผู้หญิงให้อายแก่ทหารทั้งปวง โจจิ๋นก็ว่าถ้าขงเบ้งยกมาดังว่า ตนก็จะเอาเครื่องประดับหยก และม้าดีที่ฮ่องเต้พระราชทานั้นให้สุมาอี้เป็นรางวัล แล้วโจจิ๋นก็แยกไปรักษาด่านจำก๊กด้านตะวันตก ส่วนสุมาอี้ไปรักษาด่านกิก๊กด้านตะวันออก

แล้วขงเบ้งก็ยกทัพมาถึงและเข้าตีด่านจำก๊กของโจจิ๋นแตก ต้องหนีมาอาศัยด่าน กิก๊กของสุมาอี้ โดยเหลือทหารเพียงห้าสิบคนเท่านั้น แล้วสุมาอี้ก็ถอยทัพไปตั้งอยู่ที่แม่น้ำอุยโห ส่วนโจจิ๋นนั้นอายสุมาอี้จนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ถึงกับล้มป่วยลงต้องพักรักษาตัวอยู่ในค่ายนั้น ขงเบ้งรู้ข่าวก็ให้ชาวบ้านถือหนังสือมาให้โจจิ๋น ซึ่งกำลังป่วยหนักอยู่ มีข้อความเป็นการเยาะเย้ยโจจิ๋น ที่ต้องพ่ายแพ้แก่ตนอย่างยับเยิน โจจิ๋นอ่านแล้วก็โกรธเป็นกำลัง โรคซึ่งป่วยก็กำเริบหนักขึ้น ถึงแก่ความตายในคืนนั้นเอง

หลังจากที่โจจิ๋นถึงแก่ความตายไปแล้ว ขงเบ้งก็รบรับขับเคี่ยวกับสุมาอี้ต่อไปอีกหลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะแก่กันได้ ครั้งสุดท้ายขงเบ้งป่วยและถึงแก่ความตาย ในระหว่างการรบ เมื่อ พ.ศ.๗๗๗ การศึกสงครามของวุยก๊กและจ๊กก๊ก จึงระงับไปถึงหกปี จนพระเจ้าโจยอย สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ.๗๘๓

ขณะนั้นสุมาอี้ได้เป็นมหาอุปราชของวุยก๊ก ก่อนที่พระเจ้าโจยอยจะสิ้นพระชนม์ ได้ฝากโจฮอง พระราชบุตรเลี้ยงอายุแปดขวบ ให้สืบราชสมบัติ และให้นับถือสุมาอี้เหมือนบิดา กับให้โจซองบุตรของโจจิ๋น เป็นผู้สำเร็จราชการแทนฮ่องเต้ แต่เมื่อมีราชการสิ่งใดโจซองก็ปรึกษาหารือกับสุมาอี้ ก่อนตัดสินใจทุกเรื่อง

โจซองนั้นมีคนสนิทอยู่ห้าคน และมีทหารอารักขาห้าร้อยคน วันหนึ่งคนสนิทที่ชื่อโฮอั๋นก็บอกว่า

“……ตัวท่านเป็นเชื้อพระวงศ์ พระเจ้าโจยอยก็ให้เป็นผู้ช่วยราชการ ข้าพเจ้าเห็น สุมาอี้มีใจกำเริบสูงศักดิ์อยู่ ซึ่งท่านจะไปคำนับสุมาอี้นั้นไม่ควร……”

โจซองก็ตอบว่า

“……สุมาอี้ก็เป็นที่อุปราช ตัวเราเป็นผู้ช่วยราชการ พระเจ้าโจยอยก็ได้สั่งไว้ให้ประนอมกัน ทำนุบำรุงบ้านเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุข สุมาอี้นั้นก็มีอายุแก่กว่าเรา ซึ่งจะมิให้เราคำนับเขานั้นไม่ควร…….”

โฮอั๋นก็แย้งว่า

“……โจจิ๋นบิดาท่านครั้งไปรบกับกองทัพเมืองเสฉวนนั้น ก็ได้ความแค้นเพราะ สุมาอี้ จนบิดาท่านถึงแก่ความตาย แลตัวท่านจะไม่มีความแค้น ไปคำนับสุมาอี้นั้น ควรอยู่แล้วหรือ ……..”

โจซองก็ปรึกษากับพรรคพวก หาทางที่จะไม่ให้สุมาอี้มีอำนาจ บังคับบัญชาพวกตน แล้วจึงทูลพระเจ้าโจฮองว่า สุมาอี้มีความชอบเป็นอันมาก ขอให้เลื่อนที่ขึ้นเป็นอาจารย์ผู้ใหญ่ เพื่อจะได้สั่งสอนฮ่องเต้และขุนนางทั้งปวง ฮองเต้ก็ให้เลื่อนสุมาอี้ตามที่โจซองเสนอ และตั้งโจซองเป็นที่อุปราชแทน โจซองก็ตั้งคนสนิททั้งห้าเป็นที่ปรึกษา และให้น้องชายสามคนเป็นนายทหารเอก กับนายทหารซ้ายขวา เวลาเข้าเฝ้ามีทหารแห่สามพัน แม้ผู้ใดเดินผ่านหน้าก็ให้จับตัวเอาไปฆ่าเสีย

โจซองนั้นแต่งตัวเหมือนพระเจ้าโจฮอง ถ้ามีเครื่องบรรณาการจากหัวเมืองมาถวายฮ่องเต้ โจซองก็เลือกเอาของดีไว้ตามชอบใจ และให้จัดหญิงบรรดารูปงามมีตระกูล มาไว้ขับร้องบำเรอประมาณสี่สิบคน โจซองกับที่ปรึกษาห้าคน ก็ชวนกันเสพสุราทุกวันมิได้ขาด สุมาอี้เห็นดังนั้นก็แกล้งลาป่วยมิได้เข้าเฝ้า และสุมาสูกับสุมาเจียวบุตรของสุมาอี้ ก็ชวนกันลาออกจากราชการ กลับไปอยู่บ้าน

พระเจ้าโจฮองเสวยราชมาได้สิบปีถึง พ.ศ.๗๙๒ โจซองก็เป็นใหญ่ขุนนางทั้งปวงอยู่ในเงื้อมมือสิ้น ก็มีใจกำเริบทำการหยาบช้าต่าง ๆ ไม่มีใครกล้าขัดขวาง เมื่อมีขุนนางได้รับการแต่งตั้งให้ไปอยู่ตามหัวเมือง ก็ให้ไปลาสุมาอี้และดูอาการว่าป่วยจริงหรือไม่ ขุนนางก็กลับมารายงานว่า สุมาอี้นั้นป่วยหนักพูดจาฟั่นเฟือน หูก็ตึงพูดไม่ได้ยิน เวลากินอาหารก็สะอึก กินไม่ลงหกเลอะเทอะ เวลานอนก็หอบนอนไม่สะดวก โจซองก็เชื่อว่าสุมาอี้ป่วยจริงรอเวลาที่จะตายเท่านั้น วันหนึ่งโจซองก็เชิญเสด็จพระเจ้าโจฮองและขุนนางทั้งปวง ออกไปเซ่นศพพระเจ้าโจยอยที่ตำบลโกเบงเหลง แล้วจะเลยไปล่าสัตว์ด้วย คนสนิททั้งห้าและน้องชายทั้งสาม ก็ร่วมขบวนไปด้วย ฮวนห้อมขุนนางกรมนาที่รักใคร่สนิทกับโจซองก็ทักท้วงว่า ท่านเป็นผู้ใหญ่จะพาพี่น้องออกมา นอกเมืองนี้ไม่ควร เกลือกจะมีอันตรายขึ้นในเมือง เห็นจะป้องกันไม่ทันที โจซองก็โกรธตวาดเอาว่า

“……..ขุนนางทั้งปวงอยู่ในเงื้อมมือเราสิ้น ผู้ใดจะบังอาจเป็นขบถได้ อย่ามาว่ามากมายเลย…….” ว่าแล้วก็นำขบวนออกไปตามกำหนดการ

ขณะที่โจซองเซ่นศพฮ่องเต้องค์ก่อน แล้วเที่ยวล่าสัตว์อยู่ในป่า ก็มีทหารมาบอกว่า บัดนี้ในเมืองเกิดวุ่นวาย สุมาอี้จึงให้คนถือหนังสือมาถวายพระเจ้าโจฮอง เนื้อความประการใดมิได้แจ้ง

โจซองก็ตกใจลงจากหลังม้ารีบไปเฝ้าฮ่องเต้ เห็นคนถือหนังสือหมอบอยู่ จึงรับเอาหนังสือส่งให้เจ้าพนักงานอ่านถวาย หนังสือของสุมาอี้นั้นกล่าวโทษโจซองเป็นข้อใหญ่ ว่าจะคิดขบถต่อแผ่นดิน และลงท้ายว่า

อนึ่งพี่น้องแลทหารพรรคพวกโจซอง คุมเหงขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยแลราษฎรทั้งปวง ได้ความเดือดร้อนเป็นอันมาก โจซองทำทั้งนี้หาคิดถึงคำพระบิดาของพระองค์ซึ่งฝากไว้ไม่เลย อันตัวข้าพเจ้าหาลืมคำสั่งพระบิดาของพระองค์ไม่ ข้าพเจ้า กับเจียวเจ้ สุมาหู รำลึกถึงคุณพระบิดาของพระองค์ ซึ่งชุบเลี้ยงมาแต่ก่อน จึงปรึกษาพร้อมกันจัดแจงให้ทหาร ไปรักษาจวนของโจซองและจวนของพี่น้องโจซอง ข้าพเจ้าจึงเข้าไปทูลเนื้อความทั้งนี้แก่พระมารดาของพระองค์ พระมารดาของพระองค์ก็เห็นชอบด้วย จึงให้ข้าพเจ้าทำเรื่องนี้มากราบทูลแก่พระองค์ ข้าพเจ้าจึงให้ห้องหวุนเอาเรื่องมาถวาย

ขอให้พระองค์ถอดโจซอง โจอี้ โจหุ้น ออกจากที่ แล้วให้ยกเอาทหารทั้งปวงไปเป็นของหลวง ข้าพเจ้าคอยหาช่องมาพึ่งมาได้ทีครั้งนี้ ข้าพเจ้าคิดอ่านทำการทำนุบำรุงพระองค์ ข้าพเจ้าก็ยกกองทหารมารักษาอยู่ ณ เชิงสะพานแพตำบลลกโห คอยดูผิดแลชอบ

พระเจ้าโจฮองได้ฟังดังนั้นจึงตรัสแกโจซองว่า ท่านจะคิดประการใด โจซองแจ้งดังนั้นก็ตกใจนักหน้าเผือดไม่มีเลือด อ่อนระทวยไปทั้งตัวจึงเหลียวหน้ามาปรึกษาโจอี้ว่า ความทุกข์มีมาถึงครั้งนี้ จะคิดอ่านแก้ไขประการใด โจอี้ก็ว่า

“……สุมาอี้คนนี้มีสติปัญญาความคิดมากนัก จนถึงขงเบ้งซึ่งเป็นคนดีหลักแหลมนัก ก็หามีชัยชนะแก่สุมาอี้ไม่ เราพี่น้องเท่านี้จะรู้ที่จะคิดอ่านแก้ไขประการใด ควรที่จะมัดตัวเข้าไปหาเขา ยอมให้ทำโทษเห็นจะรอดชีวิต……”

พอดีมีพรรคพวกของโจซองที่หนีออกจากเมืองมาได้ โจซองก็ถามถึงการในเมือง ก็ได้ความว่า สุมาอี้ส่งกำลังไปล้อมบ้านของโจซองและพี่น้องไว้ทุกคน และยึดคลังแสงที่รักษาอาวุธไว้หมด กับปิดประตูเมืองและให้ทหารรักษาประตูกับสะพานข้ามไว้มั่นคง

ขณะนั้นฮวนห้อมควบม้ามาถึง ก็บอกว่าสุมาอี้คิดขบถแล้ว ขอให้เชิญเสด็จไปเมืองฮูโต๋เถิด จะได้เกลี้ยกล่อมทหารจัดแจงศัสตราวุธให้พร้อม แล้วจะได้ยกมาทำการแก้ตัวกับ สุมาอี้ โจซองจึงว่าขุนนางทั้งหมดที่มานี้ ครอบครัวบุตรภรรยาอยู่ในเมืองสิ้นทุกคน อันจะคิดทำดังนั้นหาได้ไม่ ฮวนห้อมก็ว่า ความกลัวบุตรภรรยาจะเป็นอันตราย จึงไม่คิดการสงคราม จะยอมเข้าไปหาข้าศึก คิดอ่านทั้งนี้หารักชีวิตไม่เลย รักบุตรภรรยายิ่งกว่าชีวิตอีกเล่า แล้วก็พยายามเกลี้ยกล่อมว่า หนทางที่จะไปเมืองฮูโต๋มิสู้ไกลนัก เดินไปประมาณสองยามก็จะถึง ที่นั้นข้าวปลาอาหารก็มาก พอจะเลี้ยงทหารได้สักสองเดือนกว่า พอจะเตรียมการต่อสู้ได้

โจซองก็ขอตรึกตรองดูก่อน พอดีมีขุนนางของโจซองที่สุมาอี้ส่งมา ให้ว่ากล่าวเกลี้ยกล่อมแก่โจซองว่า สุมาอี้กระทำทั้งนี้หาทำอันตรายแก่โจซองไม่ ทำแต่พอจะยกเอาทหารของโจซองและพี่น้องให้เป็นของหลวงเท่านั้น ฝ่ายตัวโจซองนั้นอย่าวิตกเลยหาเป็นไรไม่ ให้เร่งเข้าไปหาบุตรภรรยาของตนเถิด

โจซองก็อ่อนใจ คิดอยู่ตลอดคืนด้วยความเศร้าโศก หาอุบายที่จะแก้ตัวก็ไม่เห็นช่อง เป็นทุกข์ทอดถอนใจใหญ่น้ำตาไหลลงอาบหน้า คิดไปแต่เวลาค่ำจนสว่างก็ไม่เห็นหนทางเลย พอรุ่งเช้าฮวนห้อมมาถามก็บอกว่า เห็นจะไม่ยกทัพไปให้ลำบากแล้ว สุมาอี้จะถอดตนออกเสียจากที่ก็ตามเถิด จะได้นั่งนอนกินให้สบาย

แล้วโจซองก็ยอมมอบตัวกับสุมาอี้ พร้อมทั้งพี่น้องสามคน สุมาอี้ซึ่งยึดอำนาจการปกครองไว้ในกำมือ เรียบร้อยไม่มีผู้ใดขัดขวางแล้ว ก็ให้เอาตัวโจซองและพี่น้องไปควบคุมไว้ในบ้าน ไม่ให้ผู้ใดเข้าออก แล้วให้เอาขุนนางที่เป็นพวกของโจซองมาชำระและเฆี่ยนถาม จนรับว่าโจซองกับพวกคิดการขบถจริง จึงสั่งให้ประหารชีวิตโจซองและญาติพี่น้องหมดทั้งโคตร ประมาณพันคน แล้วพระเจ้าโจฮองก็ต้องตั้งให้สุมาอี้เป็นมหาอุปราช ว่าราชการแผ่นดินต่อไปตามเดิม

โจจิ๋นกับโจซองสองพ่อลูก ซึ่งคิดเป็นปฏิปักษ์กับเสือเฒ่าสุมาอี้ พยายามชิงดีชิงเด่นมาถึงยี่สิบกว่าปี แต่ไม่สามารถแข่งบารมีได้ จึงต้องรับผลกรรม ถึงชีวิตด้วยกันทั้งคู่ ดังนี้.

##########




 

Create Date : 28 มกราคม 2560    
Last Update : 28 มกราคม 2560 13:17:32 น.
Counter : 367 Pageviews.  

กลเลือกนาย



เสี้ยวสามก๊ก

กบเลือกนาย

เล่าเซี่ยงชุน

ตามธรรมดาของข้าราชการในทุกประเทศย่อมไม่มีสิทธิที่จะเลือกผู้บังคับบัญชา นอกเสียจากว่าตนไม่ชอบนายคนนี้ก็ขอย้ายหน่วยไปอยู่กับนายคนโน้น ซึ่งอาจจะได้ย้ายก็ได้ หรือไม่ได้ย้ายก็ได้และนายใหม่นั้นจะดีหรือแย่กว่านายเก่าก็ได้ แล้วแต่กรรมของผู้นั้นเอง

ในพงศาวดารสามก๊กก็เช่นเดียวกันมีนายทหารหลายคนที่ชอบเปลี่ยนนาย ด้วยความสมัครใจบ้างหรือโดนสถานการณ์บีบบังคับบ้าง เปลี่ยนแล้วได้ดีก็มี ไปตกอับหรือโชคร้ายกว่าเก่าก็มี

คนแรกก็คือ ลิโป้อัศวินที่มีฝีมือเข้มแข็ง เป็นลูกเลี้ยงของเต๊งหงวน เจ้าเมืองเต๊งจิ๋วต่อมาก็ฆ่าเต๊งหงวนไปเป็นลูกเลี้ยงของตั๋งโต๊ะแล้วก็ฆ่าตั๋งโต๊ะมาเป็นลูกเขยของอ้องอุ้น ลงท้ายได้เป็นเจ้าเมืองชีจิ๋วเมื่อถูกโจโฉตีเมืองแตกถูกจับตัวได้ ก็จะขออยู่รับใช้โจโฉต่อไปแต่โจโฉรู้นิสัยที่ชอบฆ่าผู้มีคุณ จึงให้ประหารชีวิตเสีย

เตียวเลี้ยวที่เป็นทหารของลิโป้ก็ถูกจับตัวมาได้พร้อมกัน แต่โจโฉชอบใจในความกล้าหาญและกวนอูซึ่งยังเป็นพันธมิตรกันขอร้อง จึงรับไว้เป็นทหารและรับราชการอยู่นาน จน โจโฉตายแล้วก็ได้เป็นนายทหารองค์รักษ์ของพระเจ้าโจผีบุตรชายคนโตของโจโฉจนเสียชีวิตในระหว่างการรบกับกองทัพของเมืองกังตั๋งเพราะช่วยป้องกันเจ้านายให้พ้นอันตรายจากข้าศึก

เตียวคับเดิมเป็นทหารของอ้วนเสี้ยวยกพลไปตีค่ายของโจโฉที่ตำบลกัวต๋อ แล้วถูกโจโฉวางกำลังตอบโต้ไว้อย่างแข็งแรงต้องแตกพ่ายกลับมา แต่กลัวอ้วนเสี้ยวจะลงอาญาจึงกลับไปขอสมัครเป็นทหารของโจโฉเสียเลย ซึ่งโจโฉก็รับไว้เลี้ยงดูอย่างดีแต่เตียวคับโชคไม่ดีนักไปรบที่ไหน ก็มักจะเป็นฝ่ายแพ้อยู่เสมอแต่ก็รอดชีวิตมาได้จากสมัยพระเจ้าโจผี จนถึงสมัยพระเจ้า โจยอย จึงถูกกลอุบายของขงเบ้งหลอกให้ติดตามไปจนถึงซอกเขาแล้วให้ลิ่วล้อเอาหินทุ่มและยิงด้วยเกาทัณฑ์ถึงแก่ความตายในการรบครั้งที่ห้าระหว่างวุยก๊กกับจ๊กก๊ก

คนต่อไปคือบังเต๊กซึ่งเป็นทหารของม้าเฉียว ลูกชายเจ้าเมืองเสเหลียงนายทิ้งไว้ที่เมืองฮันต๋งก็เลยเป็นทหารของเตียวฬ่อ ต่อมาโจโฉยกทัพมาตีเมืองฮันต๋งก็ถูกจับตัวไปเป็นเชลย แต่โจโฉเกลี้ยกล่อมให้เข้าเป็นพวกด้วยจึงเป็นทหารของโจโฉรบกับกวนอูตอนแก่ เกือบจะได้ชัยชนะแล้วแต่แม่ทัพอิจฉาเกรงจะมีความชอบเกินหน้าจึงสั่งให้ถอยเลยเสียทีถูกกวนอูจับตัวได้ กวนอูก็เกลี้ยกล่อมอีก แต่คราวนี้บังเต๊กไม่ยอมอ่อนน้อม เลยถูกประหารชีวิต

ม้าเฉียวนายของบังเต๊กก็เหมือนกันเป็นนักรบมีฝีมือลือลั่น แต่รบกับโจโฉก็พ่ายแพ้ไป กลับมาแก้ตัวก็แพ้อีกต้องมาอยู่กับเตียวฬ่อแล้วออกไปรบกับเล่าปี่ ถูกอุบายของขงเบ้งกลับเป็นพวกเล่าปี่เข้ายึดเมืองเสฉวนของเล่าเจี้ยงได้ จึงเป็นทหารเสือของเล่าปี่จนแก่เล่าปี่ตายไปก่อน แล้วม้าเฉียวก็ป่วยตายไปในภายหลัง

คราวนี้มาถึงเบ้งตัดนายทหารของเล่าเจี้ยงเจ้าเมืองเสฉวนเมื่อคิดจะเชิญเล่าปี่มาช่วยป้องกันเมืองจากเตียวฬ่อและโจโฉเล่าเจี้ยงก็ส่งหนังสือไปเชิญเล่าปี่ถึงเมืองเกงจิ๋ว แม้จะมีขุนนางที่หวังดีคัดค้านหลายคนก็ตามแล้วก็ให้เบ้งตัดคุมทหารห้าพันไปคอยรับที่กลางทางเบ้งตัดก็เลยอยู่ในกองทัพของเล่าปี่ ครั้นเล่าปี่กับเล่าเจี้ยงผิดใจกันเบ้งตัดจึงโอนไปเป็นทหารของเล่าปี่อยู่รักษาเมืองซงหยงกับเล่าฮองลูกเลี้ยงของเล่าปี่

เมื่อกวนอูถูกซุนกวนล้อมอยู่ที่เมืองเป๊กเสียนั้นได้ส่งเลียวฮัวมาขอให้เล่าฮองกับเบ้งตัดยกทัพไปช่วยแต่เบ้งตัดแหย่ว่ากวนอูนั้นริษยาว่าเล่าปี่จะรักลูกเลี้ยงเกินตัวจึงไม่เห็นด้วยที่เล่าปี่จะตั้งให้เล่าฮองเป็นเจ้าต่างกรมหาว่าเป็นคนโง่เง่าหาชาติตระกูลมิได้ เล่าฮองจึงลังเลที่จะยกทหารไปช่วยกวนอูเบ้งตัดก็บอกกับเลียวฮัวว่า

“……อันข้าศึกซึ่งจะมาทำการ ณ เมืองเกงจิ๋วครั้งนี้อุปมาเหมือนกองไฟอันใหญ่ แลซึ่งจะให้เรายกไปช่วยนั้นเหมือนหนึ่งจะเอาน้ำในจอกอันน้อย ไปดับไฟกองใหญ่นั้นจะดับหรือท่านจงเร่งกลับไปคอยท่ากองทัพเมืองเสฉวนเถิด…….”

เลียวฮัวจึงต้องบ่ายหน้าไปแจ้งเล่าปี่ที่เมืองเสฉวนซึ่งไกลกว่ากันมาก และไม่ทันการกวนอูต้องพ่ายแพ้แก่ซุนกวนถูกจับตัวไปประหารชีวิตเสียก่อนเล่าปี่ได้ทราบข่าวก็เสียใจแทบจะตายตามไปด้วยแล้วก็อาฆาตแค้นแก่เล่าฮองกับเบ้งตัดเป็นยิ่งนัก สั่งให้จับตัวคนทั้งสองมาประหารชีวิตเสียแต่เพื่อนสนิทของเบ้งตัดมีหนังสือลับ ไปแจ้งให้เบ้งตัดรู้ตัวเสียก่อนจึงตัดสินใจเอาตัวรอด ด้วยการเข้าไปสวามิภักดิ์กับพระเจ้าโจผีข้าศึกของพระเจ้าเล่าปี่เสียเลย

เมื่อพระเจ้าเล่าปี่รู้เรื่องจึงมีหนังสือให้เล่าฮองตามไปจับตัวเบ้งตัดมาให้ได้ เล่าฮองอยากจะแก้ความผิดจึงยกทหารห้าหมื่นยกตามเบ้งตัดไปถึงเมืองยังหยงขณะนั้นเบ้งตัดกำลังเฝ้าพระเจ้าโจผีอยู่พระเจ้าโจผีจึงให้เบ้งตัดคุมทหารออกไปรบกับเล่าฮอง และตัดศรีษะเอามาให้ได้จึงจะเชื่อว่ามาสามิภักดิ์จริง

เบ้งตัดจึงเขียนหนังสือไปเกลี้ยกล่อมเล่าฮองให้มาสามิภักดิ์กับพระเจ้าโจผีเช่นเดียวกับตน แต่เล่าฮองไม่ยอมจึงต้องรบกันเล่าฮองสู้ไม่ได้ก็ถอยหนีไปเฝ้าพระเจ้าเล่าปี่ ที่เมือง เสฉวน จึงถูกพระเจ้าเล่าปี่ประหารชีวิตเสียตามโทษานุโทษ ส่วนเบ้งตัดนั้นพระเจ้าโจผีก็รับเลี้ยงดูให้เป็นเจ้าเมืองหลายเมือง

ภายหลังเมื่อพระเจ้าเล่าปี่และพระเจ้าโจผี สิ้นพระชนม์ไปแล้ว เบ้งตัดก็ยังเป็น เจ้าเมืองซงหยงขึ้นอยู่กับวุยก๊กของพระเจ้าโจยอยที่สืบราชสมบัติต่อจากพระเจ้าโจผี ขงเบ้งก็ยกกองทัพมาตีวุยก๊กเป็นครั้งที่สองคราวนี้เบ้งตัดเกิดจะกลับใจไปเข้ากับขงเบ้ง จึงให้คนมาแจ้งแก่ ขงเบ้ง ว่าตนมาอยู่กับโจผีด้วยความจำใจเพราะกลัวอาญาของเล่าปี่ โจผีก็ตั้งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ไปรักษาเมืองซงหยงครั้นโจผีหาบุญไม่แล้ว โจยอยได้ราชสมบัติขุนนางทั้งปวงก็อิจฉาริษยาตนจนไม่มีความสุขจึงคิดถึงคุณของขงเบ้งที่เคยอุปการะมาแต่ก่อน แม้มหาอุปราชยกโทษแล้วเมื่อไปตีเมืองเตียงฮัน ตนจะยกทหารสามเมืองในบังคับบัญชามาบรรจบกันตีเมืองลกเอี๋ยงแทนคุณมหาอุปราชให้จงได้

ต่อมาเบ้งตัดก็ได้รับหนังสือจากขงเบ้งว่า

“…….แม้สำเร็จราชการครั้งนี้ความชอบของท่านก็จะมีในพระเจ้าเล่าเสี้ยนมากกว่าขุนนางทั้งปวง บัดนี้เราได้ยินกิตติศัพท์ว่าโจยอยตั้งให้สุมาอี้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ แล้วให้จัดแจงทหารมาบรรจบกันกับกองทัพโจยอยณ เมืองเตียงฮัน แม้สุมาอี้รู้เนื้อความว่าท่านจะทำการฉะนี้ก็จะยกกองทัพมารบท่านตัดศึกเสียก่อน เห็นว่าท่านจะทำการไม่สำเร็จ……..”

แต่เบ้งตัดไม่เชื่อความคิดของขงเบ้งจึงมีหนังสือตอบไปว่า

“……ข้อซึ่งสุมาอี้นั้น มหาอุปราชอย่าวิตกเลยข้าพเจ้าจะรับเป็นธุระ เพราะ สุมาอี้อยู่ณ เมืองอ้วนเซียนั้น ทางไกลเมืองลกเอี๋ยงแปดพันเส้นแต่เมืองลกเอี๋ยงจะมาถึงเมืองข้าพเจ้านี้ทางไกลหมื่นสองพันเส้น แม้สุมาอี้รู้เนื้อความกว่าจะขึ้นไปบอกโจยอย แล้วจึงจะยกทหารมาถึงข้าพเจ้า สักเดือนหนึ่งก็มิใคร่จะถึง……”

ต่อมาสุมาอี้ซึ่งพักราชการอยู่เป็นเวลานานด้วยพระเจ้าโจยอยระแวงว่าจะคิดขบถ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพมาสู้รบกับขงเบ้งโดยตรง ได้มีหนังสือแจ้งมาถึงเบ้งตัด ให้จัดเสบียงอาหารไว้ให้พร้อมตนจะยกกองทัพไปบรรจบกันที่เมืองเตียงฮัน เพื่อทำศึกกับขงเบ้งเบ้งตัดจึงไปชักชวนซินหงีเจ้าเมืองกิมเสีย กับซินต่ำเจ้าเมืองซินเสียให้เข้าเป็นพวกเพื่อยกทัพไปช่วยกันตีเมืองลกเอี๋ยงเจ้าเมืองทั้งสองกลัวเบ้งตัดจึงรับปากว่าจะช่วย

หลายวันต่อมาขณะเบ้งตัดจัดแจงทหารอยู่ในเมืองมีทหารเลวเข้ามาบอกว่า นอกเมืองนั้นมีข้าศึกยกมาเป็นอันมาก แต่มิได้แจ้งว่าเป็นทหารของผู้ใดเบ้งตัดก็ตกใจขึ้นไปดูบนกำแพง เห็นธงก็รู้ว่าเป็นกองทัพของซิหลงทหารเอกเก่าแก่สมัยโจโฉของวุยก๊ก จึงให้ทหารชักสะพานข้ามคูเมืองออก และปิดประตูไว้ให้มั่นคง

ซิหลงก็ควบม้าพาทหารเข้ามาถึงหน้าประตูเมืองเห็นเบ้งตัดยืนอยู่บนกำแพง ก็ร้องด่าว่า

“…….อ้ายโจรขบถต่อเจ้าเร่งออกมาหากูโดยดีกูจะไว้ชีวิต……..”

เบ้งตัดได้ยินก็โกรธให้ทหารเอาเกาทัณฑ์ระดมยิงลงไปถูกหน้าผากซิหลง ทหารทั้งหลายก็เข้าประคองตัวนาย แล้วพากันถอยทัพไปเบ้งตัดเห็นดังนั้นก็เปิดประตูเมืองจะยกทหารออกไปไล่ฆ่าซิหลงพอดีสุมาอี้ยกทัพมาถึง เบ้งตัดจึงกลับเข้าไปตั้งมั่นอยู่ในเมืองดังเก่าส่วนซิหลงนั้น เมื่อกลับไปถึงค่ายพิษเกาทัณฑ์กำเริบขึ้น พอตกเย็นก็ถึงแก่ความตาย

เช้าวันรุ่งขึ้นเบ้งตัดขึ้นไปดูบนเชิงเทินเห็นทหารของสุมาอี้เข้าล้อมเมืองไว้โดยรอบ

แน่นหนามั่นคงมากไม่เห็นทางที่จะหนีรอดออกไปทางใดได้ ก็คิดวิตกหนักไม่รู้จะแก้ไขประการใดเพราะคิดไม่ถึงว่าสุมาอี้จะทราบข่าว เรื่องที่ตนคิดกลับใจไปเข้าด้วยขงเบ้งจากซินหงีเจ้าเมือง กิมเสียโดยตลอด และไม่รอกราบทูลพระเจ้าโจยอยก่อนรีบยกทัพมุ่งมาเมืองซงหยง เพื่อจัดการกับตนก่อนครั้นเห็นซินหงีกับซินต่ำยกทหารมาถึงก็ดีใจ สำคัญว่าจะยกมาช่วยตามที่ได้ตกลงกันไว้ก็เปิดประตูเมืองและคุมทหารออกไปรับ

เจ้าเมืองทั้งสองควบม้าเข้ามาใกล้แล้วก็ร้องด่าเบ้งตัดว่า อ้ายขบถมึงคิดทรยศต่อเจ้านาย เร่งไปหาที่ตายเถิด เบ้งตัดยิ่งตกใจหนักขึ้นชักม้าหันกลับจะหนีเข้าเมืองนายทหารของตนที่อยู่บนกำแพงเมืองก็ให้ทหารเอาเกาทัณฑ์ยิงต้านไว้แล้วร้องว่าอ้ายขบถมึงอย่าเข้ามาเลย เบ้งตัดจะควบม้าหนีก็ตกอยู่ในที่ล้อมพอดีซินต่ำมาถึงจึงเอาทวนแทงเบ้งตัดตกม้าตาย แล้วก็ตัดศรีษะ เอาไปให้สุมาอี้ทหารในเมืองก็เข้ามาอ่อนน้อมต่อสุมาอี้หมดไม่มีผู้ใดเป็นพวกของเบ้งตัดเลยแม้แต่คนเดียว

สุมาอี้เข้าเมืองได้ก็เกลี้ยกล่อมให้ราษฎรชาวเมืองอยู่เย็นเป็นสุข ไม่กระด้างกระเดื่องแล้วจึงให้ทหารเอาศรีษะเบ้งตัดไปเสียบประจานไว้ ณ ทางสามแพร่งจากนั้นจึงยกกองทัพไปเฝ้าพระเจ้าโจยอยที่เมืองเตียงฮันโดยด่วน

เมื่อพระเจ้าโจยอยเห็นสุมาอี้ก็มีความยินดีตรัสว่า

“…….ท่านอย่าน้อยใจเราเลยซึ่งเราคิดผิดเบาความ แพ้กลอุบายขงเบ้งนั้น เราขออภัยเสียเถิดครั้งนี้เบ้งตัดคิดขบถหากว่าท่านรู้ หาไม่เมืองก็จะเป็นอันตราย……”

สุมาอี้จึงทูลว่า

“..เมื่อซินหงีให้ทหารไปบอกข้าพเจ้าว่าเบ้งตัดเป็นขบถนั้น ข้าพเจ้าก็คิดอยู่ว่า เบ้งตัดเป็นขุนนางผู้ใหญ่ จะบอกหนังสือขึ้นไปกราบทูลพระองค์ให้มีหนังสือลงมาก่อน ก็กลัวจะช้าไป ซึ่งข้าพเจ้าทำการละเมิดนอกรับสั่งโทษข้าพเจ้าก็ผิดอยู่ ตามแต่พระองค์จะโปรด……..”

พระเจ้าโจยอยก็พระราชทานรางวัลแก่สุมาอี้เป็นอันมากและมีรับสั่งให้เร่งยกทัพไปรบกับขงเบ้ง สุมาอี้ก็รีบยกทัพไปฟาดฟันกับคู่แค้นเก่าตามรับสั่งโดยไม่รอช้า

ปล่อยให้ศรีษะของเบ้งตัดข้าหลายเจ้าบ่าวหลายนาย ตากแดดตากลม แห้ง แหงแก๋อยู่ที่เมืองซงหยง เป็นอุทาหรณ์สำหรับข้าราชการทั้งหลายที่ใจไม่มั่นคงประเภทเดียวกันกับ กบเลือกนาย คอยแต่จะหาความสุขใส่ตัว หาความก้าวหน้าชองตนเองมากกว่าราชการต่อไป ไม่ว่าเวลาจะล่วงเลยมากี่ร้อยกี่พันปีก็ตาม.

##########




 

Create Date : 28 มกราคม 2560    
Last Update : 28 มกราคม 2560 7:43:44 น.
Counter : 650 Pageviews.  

แม่ทัพกับปีศาจ



เสี้ยวสามก๊ก

แม่ทัพกับปีศาจ

เจียวต้าย

ในบรรดานิยายอิงพงศาวารดารจีนเกือบทุกเรื่องจะหนีไม่พ้นที่จะมี การใช้เวทย์มนต์คาถา อาวุธวิเศษหรือต้องเกี่ยวข้องกับเทพยดา เซียนผู้วิเศษ และปีศาจ หรือมารร้ายต่าง ๆอย่างเช่นเรื่อง ไซอิ๋ว ซวยงัก ซ้องกั๋ง ไม่เว้นแม้แต่ สามก๊กซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องราวของการศึกสงครามตลอดทั้งเรื่องอันยืดยาวก็ยังมีเรื่องที่เกี่ยวกับปีศาจแทรกอยู่หลายตอน

เมื่อครั้งที่ซุนเซ็กพี่ชายของซุนกวนเจ้าเมืองกังตั๋งถูกลิ่วล้อของเจ้าเมืองง่อกุ๋น ลอบเอาเกาทัณฑ์ยิงปักหน้าผาก ได้รับบาดเจ็บสาหัสหมอผู้รักษาบอกว่า

“…..แผลเกาทัณฑ์นั้นเข้าถึงกระดูกแล้วใส่ยาพิษด้วย ถ้าจะรักษานั้นเชิญท่านไปอยู่ที่สงัดอย่าให้ผู้คนรุมเร้าท่านจงดับความโกรธเสียด้วย ต่อถึงกำหนดร้อยวันแผลจึงจะหายแม้ระงับความโกรธไม่ได้พิษยาก็จะกำเริบมากไป……….”

แต่ซุนเซ็ก เป็นคนมีอารมณ์ร้อนรักษาอยู่ได้ประมาณยี่สิบวัน ก็มีเรื่องให้โมโหอยู่เรื่อยเห็นชาวเมืองเคารพนับถืออิเกียดซินแสผู้วิเศษมากกว่าตนก็อิจฉาอ้างว่าจะเป็นภัยต่อการปกครองของตนจึงหาเหตุฆ่าเสียแล้วเอาศพไปประจานไว้ที่ทางสามแพร่ง

ถึงเวลากลางคืนฝนตกห่าใหญ่ทหารที่เฝ้าศพมาบอกว่าศพอิเกียดหายไป ซุนเซ็กก็ชักกระบี่จะฆ่าทหารผู้นั้นเสียแต่กลับเห็นรูปอิเกียดเข้ามาขวางซุนเซ็กจึงไล่ฟันปีศาจอิเกียดจนตนเองล้มลงสลบอยู่กับพื้นทหารต้องช่วยกันอุ้มเข้าไปรักษาพยาบาลที่ข้างใน คืนนั้นซุนเซ็กนอนป่วยอยู่บนเตียงก็มีลมพัดมาจนเทียนดับ แล้วก็กลับติดขึ้นดังเก่า แล้วก็เห็นรูปอิเกียดมายืนตรงหน้าซุนเซ็กจึงลุกขึ้นตวาดว่า

“…….น้ำใจกูนี้ชังคนโกหกถือผีจึงฆ่ามึงเสีย บัดนี้มึงก็ตายแล้วเหตุใดยังเป็น อสุรกายมาใกล้กู……”

ว่าแล้วก็คว้ากระบี่ขว้างออกไปแต่ก็ไม่ถูกและรูปนั้นก็หายไป รุ่งขึ้นนางงอฮูหยินมารดาซุนเซ็ก จึงพาซุนเซ็กไปทำบุญที่วัดยกเซียงก๋วนหลวงจีนก็จัดของเครื่องเซ่นและให้ซุนเซ็กจุดธูปเทียนบูชาพอซุนเซ็กจุดธูปเทียนก็เห็นรูปอิเกียดนั่งลอยอยู่บนควันธูปซุนเซ็กก็โกรธด่าว่าเป็นข้อหยาบช้า แล้วก็เดินกลับออกมาถึงประตูศาลเจ้าก็เห็นรูปอิเกียดถลึงตาขวางทางอยู่ จึงชักกระบี่ขว้างออกไปอีกกลับไปถูกทหารของตนล้มลง เลือดจมูกและปากปะทุออกมาตายคาที่

พอเดินจะออกประตูวัดก็เห็นรูปอิเกียดอีก ซุนเซ็กก็ว่าวัดนี้ปีศาจมาสิงอยู่แล้วหลอกหลอนร้ายกาจนักจะเอาไว้มิได้ แล้วก็สั่งให้ทหารเร่งรื้อวัดเสียรูปอิเกียดก็ลอยขึ้นไปอยู่บนหลังคาเอากระเบื้องทิ้งขว้างลงมาถูกทหารบาดเจ็บไปหลายคนซุนเซ็กจึงสั่งให้หลวงจีนออกมาจากวัดให้สิ้น แล้วให้ทหารจุดเพลิงเผาวัดเสียแต่ซุนเซ็กจะไปอยู่ที่ใด ก็เห็นแต่รูปอิเกียดทุกที่จนต้องหนีออกไปตั้งค่ายนอกเมือง แต่ก็ไม่พ้นแม้แต่ส่องกระจกดูหน้าตนเองก็เห็นรูปอิเกียดอยู่ในกระจกแทน ซุนเซ็กตกใจทิ้งกระจกและร้องออกมาด้วยเสียงอันดังแผลเกาทัณฑ์ก็กำเริบขึ้นโลหิตไหลออกมา ถึงกับล้มลง และในที่สุดก็สิ้นใจตายไปเมื่อมีอายุได้เพียงยี่สิบหกปีเท่านั้น

ขณะนั้น โจโฉยังมีอายุประมาณสี่สิบเศษได้ก่อกรรมทำเวรแก่ผู้อื่นต่อไปอีกร่วมยี่สิบปี จนเลื่อนเป็นวุยอ๋องอายุได้หกสิบหกปีก็ล้มป่วยลง สาเหตุเกิดจากซุนกวนตีเมืองเกงจิ๋วได้และจับตัวกวนอูมาประหารชีวิต แล้วตัดศรีษะส่งมาให้โจโฉที่เมืองลกเอี๋ยงโจโฉมีความยินดี ครั้นเปิดหีบเห็นหน้ากวนอูยังปกติเหมือนเมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็หัวเราะเย้ยว่ากวนอูยังเป็นอยู่ไม่มาหาเราบัดนี้ยังแต่ศรีษะเปล่าอุตส่าห์มาหาเราพูดยังมิทันขาดคำศรีษะของกวนอูก็อ้าปากตากลอกไปมา โจโฉตกใจล้มลงสิ้นสติไป และตั้งแต่บัดนั้นก็ป่วยมาตลอด นอนหลับตาลงครั้งใดก็เห็นแต่หน้าของกวนอู และให้ปวดศรีษะเป็นกำลัง

ที่ปรึกษาของโจโฉก็ให้ความเห็นว่าวังเก่านี้มีปีศาจสิงสู่มากนัก ควรจะสร้างวังใหม่ให้สุขกายสบายใจโจโฉก็หาช่างมาก่อสร้างวังและให้ไปตัดต้นสาลี่ใหญ่ เอาไม้มาทำวังต้นสาลี่นั้นขึ้นอยู่ใกล้ศาลเทพารักษ์ในป่าเอียกหลงห่างจากเมืองไปประมาณสามร้อยเส้น แต่ช่างไม้จะตัดจะถากเอาสิ่วเจาะเอาเลื่อยชักประการใดก็มิเข้าเลยก็กลับมาทูลโจโฉ แต่โจโฉไม่เชื่อจึงขึ้นม้าออกไปดูด้วยตนเองกับบริวารประมาณสามร้อยคนโจโฉลงจากหลังม้าให้ลิ่วล้อเอาขวานฟันต้นไม้นั้นก็ไม่เข้าผู้เฒ่าที่เป็นชาวบ้านอยู่แถวนั้นก็ทูลห้ามไม่ให้โค่นต้นสาลี่เพราะเป็นต้นไม้โบราณอายุกว่าสี่ร้อยปี และมีเทพารักษ์สิงอยู่ โจโฉก็ประกาศว่า

“…….กูได้เป็นใหญ่ในเมืองนี้กว่าสี่สิบปีแล้วบรรดาราษฎรแลเทพารักษ์ซึ่งอยู่ในแว่นแคว้นแดนเมืองนี้ ก็อาศัยพึ่งบุญเราสิ้นเราจะเอาต้นไม้นี้เทพารักษ์จะไม่ให้เราหรือว่าไร……”

ว่าแล้วก็ชักกระบี่ประจำกายออกฟันต้นไม้ก็ปรากฎเสียงผีร้องไห้เซ็งแซ่ไป ยางไม้ก็ไหลออกมาเป็นโลหิตโจโฉก็ตกใจทิ้งกระบี่เสีย แล้วขึ้นม้ากลับเข้าวังแต่เมื่อถึงเวลานอนก็เห็นเทพารักษ์ แต่งกายสีเขียวเอาดาบไล่ฟันจนตกใจตื่นแล้วแต่นั้นมาก็ให้ปวดศรีษะเป็นอันมาก หมอนวดหมอยาก็รักษาไม่หาย

ครั้นโรคกำเริบกล้าขึ้นวันหนึ่งก็ฝันเห็นม้าสามตัวกินหญ้าในรางเดียวกัน จึงรำลึกถึงม้าเท้ง ม้าฮิวม้าเทียด สามพ่อลูกซึ่งตนฆ่าเสีย เพราะร่วมมือกับพระเจ้าเหี้ยนเต้ จะคิดร้ายกับตน คืนต่อมาปวดศรีษะตลอดเวลาให้ร้อนกายร้อนใจนอนไม่หลับ จนถึงยามสามก็ลุกออกมานั่งเก้าอี้ ก็ได้ยินเสียงฉีกแพรและแลไปเห็นนางฮกเฮามเหสีของพระเจ้าเหี้ยนเต้นางตังกุยหุยสนมเอกของฮ่องเต้และบุตรสองคน กับฮกอ้วนบิดานางฮกเฮาและตังสินบิดาของนางตังกุยหุย กับพรรคพวกประมาณยี่สิบคนซึ่งได้สั่งฆ่าเสียด้วยเหตุเดียวกัน แต่ละคนมีโลหิตแดงทั้งร่างร้องว่าโจโฉท่านเอาชีวิตมาคืนให้แก่เรา โจโฉก็ชักกระบี่ออกฟันไปในอากาศจนถูกประตูสิ้นแรงล้มลง บริวารก็ช่วยพาไปอยู่ตำหนักอื่น แต่ก็นอนไม่หลับทั้งคืนเช่นเคยได้ยินแต่เสียงปีศาจทั้งหญิงชายร้องไห้เซ็งแซ่อยู่คืนยันรุ่ง ถึงเวลาเช้าจึงปรารภกับขุนนางทั้งหลายว่า

“……..เราทำสงครามมาช้านานถึงสามสิบปีเศษหาได้ยินเสียงปีศาจปรากฎดังนี้ไม่เลย มาบัดนี้มีปีศาจมาหลอกหลอนร้องไห้เสียงเซ็งแซ่ไป ประหลาดนัก……….”

ขุนนางทั้งหลายจึงแนะนำให้ทำการเซ่นวักพลีกรรมเสียแต่โจโฉกลับว่า

“……..โบราณว่ากรรมมาถึงตัวแล้วจะทำประการใดก็หาพ้นไม่ บัดนี้กรรมมาถึงแล้วใครจะมาช่วยเราได้……..”

แล้วโจโฉก็เฉยเสียหาได้ทำตามที่ขุนนางแนะนำไม่ ต่อมาโรคก็กำเริบหนักขึ้นกว่าเก่าแล้วก็สิ้นใจตายไปตามกรรมที่ว่านั้น ด้วยอาการที่ไม่ค่อยจะสงบนัก

หลังจากโจโฉตายแล้วโจผีบุตรชายคนโตก็ชิงราชสมบัติจากพระเจ้าเหี้ยนเต้ ขึ้นเป็นฮ่องเต้แห่งวุยก๊ก เล่าปี่จึงตั้งตนเป็นฮ่องเต้แห่งจ๊กก๊กแล้วก็ยกทัพไปรบกับซุนกวนเพื่อแก้แค้นแทนกวนอูแต่กลับถูกลกซุนแม่ทัพพลเรือนของซุนกวน ตีแตกพ่ายไม่เป็นขบวนลกซุนก็ยกทหารไล่ติดตามพระเจ้าเล่าปี่ไปจนถึงตำบลอิปักโป้ แลเห็นข้างหน้ามีคนยืนถืออาวุธอยู่มากมายจึงให้หยุดทัพแล้วใช้ทหารไปสอดแนม ดูว่าจะเป็นประการใดทหารก็กลับมาบอกว่าจะได้มีคนก็หาไม่ เห็นแต่ศิลากองไว้ประมาณแปดสิบเก้าสิบกองลกซุนก็สงสัยนัก จึงให้ทหารไปจับคนในป่ามาถามว่า ผู้ใดมาทำศิลาเป็นกอง ๆ อยู่ ดูเป็นรูปคนถืออาวุธนี้และทำไว้ด้วยเหตุผลประการใด ชาวบ้านป่าก็บอกว่าเมื่อครั้งที่ขงเบ้งยังไม่ได้เข้าไปยึดครองเมืองเสฉวนนั้นได้ให้ทหารมาขนศิลากองไว้ และดูเป็นคนถืออาวุธดังว่าจนทุกวันนี้

ลกซุนจึงพาทหารสามสิบคนไปดูให้เห็นแก่ตา เมื่อถึงที่นั้นแล้วก็ดูอยู่ข้างนอก พิจารณาเห็นเป็นก้อนศิลาธรรมดาก็หัวเราะแล้วว่าขงเบ้งแกล้งทำกลอุบายลวงไว้ให้คนกลัวและพาทหารเดินเข้าไปในหว่างก้อนศิลานั้นเที่ยวดูอยู่จนเวลาบ่ายลกซุนชักม้าจะกลับออกมา ก็บังเกิดพายุพัดหนักและได้ยินเสียงเหมือนชักกระบี่ออกจากฝัก ศิลาก็กระทบกันเป็นประกาย ทรายก็ปลิวขึ้นมืดคลุ้มมองเห็นเป็นคนถืออาวุธขวางหน้าและล้อมไว้มากมาย ไม่เห็นทางที่จะออกได้ลกซุนตกใจเป็นอันมากนึกว่าคงจะตายด้วยความคิดของขงเบ้งจริงแล้วพอดีมีชายแก่คนหนึ่งออกมายืนอยู่ตรงหน้าม้า ถามว่าท่านจะใคร่ออกไปให้พ้นจากที่นี่หรือ ลกซุนจึงขอร้องให้พาออกไปจากที่นี่เถิดนึกว่าเอาบุญตาแก่ถือไม้เท้าก็พาลกซุนออกไปจากกลุ่มศิลาเหล่านั้นได้ลกซุนจึงถามว่าท่านเป็นใครอยู่ที่ไหน และเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ชายแก่บอกว่า

“……..เราชื่อฮองเสงงันอยู่ในที่นี้เป็นพ่อตาขงเบ้ง เมื่อลูกเขยเราจะเข้าไปเมืองเสฉวนนั้น ได้ทำไว้ด้วยวิชาความรู้ มีประตูอยู่แปดประตูมีฤทธิ์เดชต่างๆ กัน ไม่รู้ที่จะพรรณาฤทธิ์ให้ท่านฟังแล้ว แม้มีทหารไว้สิบหมื่นก็ไม่เท่าแต่เมื่อขงเบ้งจะไปนั้นสั่งเราไว้ว่าอยู่ข้างหลังนี้จะมีทหารใหญ่เมืองกังตั๋งหลงเข้ามา แล้วอย่าให้เราชักพาออกไปนี่เราเห็นก็เอ็นดูจึงชักพาออกมาหวังจะเอาบุญ…….”

ลกซุนถามว่าความรู้วิชาการเช่นขงเบ้งทำไว้นี้ท่านรู้บ้างหรือไม่ ตาแก่บอกว่าตนไม่ได้เรียน ลกซุนคิดถึงคุณที่ช่วยไว้จึงลงจากหลังม้ากราบตาแก่นั้น แล้วก็ลาไป

ครั้นพระเจ้าเล่าปี่สิ้นพระชนม์ไปด้วยความตรอมใจที่ไม่สามารถจะแก้แค้นแทนน้องทั้งสองได้แล้ว อาเต๊าหรือเล่าเสี้ยนบุตรชายคนโตได้เป็นฮ่องเต้สืบราชสมบัติจ๊กก๊กที่เมือง เสฉวนต่อจากบิดาขงเบ้งก็ได้เป็นมหาอุปราชและยกกองทัพไปปราบเบ้งเฮ็กเจ้าเมืองมันอ๋องได้ชัยชนะถึงเจ็ดครั้ง จนเบ้งเฮ็กสิ้นฤทธิ์ยอมอ่อนน้อมขงเบ้งจึงตั้งให้เป็นเจ้าเมืองดังเก่า แล้วก็ยกทัพกลับเมืองเสฉวน

เบ้งเฮ็กและชาวเมืองก็ตามมาส่งพอถึงแม่น้ำลกซุย อุยเอี๋ยนซึ่งคุมทหารเป็นทัพหน้าก็เจอกับลมพายุพัดแรงจนก้อนศิลากระเด็นลงมาจากยอดเขาในแม่น้ำนั้นก็มืดมัวไปด้วยหมอก ไม่เห็นทางที่จะข้ามไปได้ จึงกลับมาบอกขงเบ้งครั้นขงเบ้งยกไปถึงแม่น้ำเห็นเหตุวิปริตนั้น ก็ถามเบ้งเฮ็กว่าเหตุนี้เป็นเพราะอะไรเบ้งเฮ็กก็บอกว่า

“…..อันแม่น้ำนี้มีปีศาจสำแดงฤทธิ์แต่ก่อนมาก็เคยเป็นอยู่ ขอให้ท่านเอาศรีษะ คนสี่สิบเก้าศรีษะ กับม้าเผือก กระบือดำมาเซ่นสรวงจึงจะหาย……”

ขงเบ้งจึงว่า

“……เราทำศึกกับท่านจนสำเร็จการแผ่นดินราบคาบถึงเพียงนี้ คนแก่คนหนึ่งก็ มิได้ตายเพราะมือเรา บัดนี้กลับมาถึงแม่น้ำลกซุนจะเข้าแดนเมืองอยู่แล้วจะมาฆ่าคนเสียนั้นไม่ชอบ……”

แต่ขงเบ้งก็ระลึกได้ว่าเมื่อตอนที่ยกกองทัพ ข้ามแม่น้ำลกซุยนี้ไปเป็นฤดูร้อนทหารลงอาบน้ำในแม่น้ำเวลากลางวัน ก็เกิดโลหิตไหลออกทางปากและจมูกตายไปประมาณพันห้าร้อยคน ต้องต่อแพข้ามไปในเวลาดึก เลยเที่ยงคืนไปแล้วจึงเอาชนะเบ้งเฮ็กได้ และในการรบครั้งที่เจ็ด ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายขงเบ้งก็ทำอุบายเผาทหารของลุดตัดกุดเจ้าเมืองออโกก๊กซึ่งใส่เกราะหวายแช่น้ำมันทำให้แทงฟันไม่เข้าและว่ายข้ามน้ำไปได้โดยไม่ต้องใช้เรือ ถึงแก่ความตายด้วยความทรมานถึงสามหมื่นคนไม่นับรวมกับที่ตายเพราะการรบก่อนหน้านั้นอีกหกครั้ง จึงรำพึงว่า

“…….เมื่อทำศึกอยู่นั้นทหารเบ้งเฮ็กก็ล้มตายอยู่ในที่นี้เป็นอันมาก ปีศาจทั้งปวงผูกเวรเราจึงบันดาลให้เป็นเหตุต่าง ๆ เราจะคิดอ่านทำการคำนับให้หายเป็นปกติจงได้…..”

และเมื่อสอบถามชาวบ้านแถวนั้นต่างก็บอกเหมือนกับที่เบ้งเฮ็กว่าทุกประการขงเบ้งจึงสั่งให้ทหารฆ่าม้าเผือกและกระบือดำแล้วเอาแป้งมาปั้นเป็นศรีษะคนสี่สิบเก้าศรีษะแล้วยกออกไปตั้งไว้ริมน้ำในเวลากลางคืน ขงเบ้งก็ออกไปจุดธูปเทียนปักทั้งสี่สิบเก้าศรีษะและให้เจ้าหน้าที่อ่านคำบวงสรวงสรรเสริญ ทั้งทหารฝ่ายตนและฝ่ายข้าศึกแล้วจึงเอาเครื่องเซ่นทั้งปวง ลอยไปตามน้ำ พายุและละลอกคลื่นก็สงบลงเป็นปกติขงเบ้งจึงนำกองทัพกลับเมืองเสฉวนได้

ตัวขงเบ้งเองก็ถึงแก่ความตายหลังจากนั้นอีกเก้าปี และเมื่อขงเบ้งตายไปแล้วประมาณยี่สิบเก้าปีจงโฮยแม่ทัพใหญ่ของวุยก๊ก ก็ยกทัพไปตีเมืองเสฉวน เมื่อเข้ายึดด่าน แฮบังก๋วนได้แล้วขณะที่พักอยู่ในด่านนั้น ถึงเวลาดึกก็ได้ยินเสียงอื้ออึงทำให้ทหารตกใจ จงโฮยก็ออกมาดูทางทิศเหนือและทิศใต้ ก็มิได้มีสิ่งใดผิดปกติรุ่งเช้าจึงขี่ม้าพาทหารร้อยคนไปตรวจดูตามชายเขาทางทิศใต้แลไปบนเนินเขาเห็นผงคลีขึ้นตระหลบอยู่ ดังหนึ่งทหารมาตั้งอยู่แถวนั้น จงโฮยจึงให้หาตัวนายบ้านนั้นมาถามว่า ตำบลนี้ชื่อไร นายบ้านบอกว่าเขาเตงกุนสัน

จงโฮยก็พาทหารกลับพอมาถึงกลางทางเกิดพายุใหญ่มืดคลุ้ม จงโฮยก็ชักม้าพาทหารรีบหนีไปครั้นเหลียวดูข้างหลังเห็นทหารไล่ติดตามมาเป็นอันมาก ทั้งนายและพลต่างก็ครั่นคร้ามรีบหนีจนเข้าด่านแฮบังก๋วนแล้วทหารจึงบอกว่าทหารที่ไล่ตามมาเมื่อกี้มาดินก็มีเหาะมาก็มี มิรู้ที่จะนับจะประมาณได้แต่ตามมาทันแล้วก็หายไป หาทำอันตรายแต่ประการใดไม่ จงโฮยจึงถามนายทหารคนสนิทว่าบนเขาเตงกุนสันนี้มีศาลเทพารักษ์อยู่บ้างหรือไม่ นายทหารบอกว่าหามีศาลเทพารักษ์ไม่มีแต่กุฏิศพขงเบ้งฝังอยู่ที่นั้น

พอรุ่งเช้าจงโฮยจึงจัดเครื่องเซ่นไปคำนับศพขงเบ้งครั้นกลับมาแล้วเวลาค่ำนอนหลับไป จงโฮยก็ฝันว่ามีชายคนหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่หน้าขาวดังสีหยก มือหนึ่งถือพัดแต่งตัวอย่างอาจารย์ เดินเข้ามาหาจนใกล้จงโฮยจึงลุกขึ้นคำนับแล้วถามว่าท่านนี้ชื่อไร มาหาตนด้วยประสงค์อะไรชายคนนั้นไม่บอกชื่อแต่กล่าวว่า

“…….เราได้มาพบท่านวันนี้เพราะจะบอกความให้รู้ว่า พระเจ้าเล่าเสี้ยนสิ้นบุญแล้วถ้าแลท่านได้เมืองเสฉวนก็เอ็นดูเถิด อย่าฆ่าอาณาประชาราษฎรเลย……”

จงโฮยก็สดุ้งตื่นขึ้นมาและรู้ว่าชายในความฝันนั้นคือขงเบ้ง จึงประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่าเมื่อตีเมืองเสฉวนได้แล้ว อย่าให้ทหารผู้ใดฆ่าฟันชาวเมืองเป็นอันขาด ถ้าแลผู้ใดมิฟังจะมีโทษถึงประหารชีวิตชาวเมืองเสฉวนจึงยอมอ่อนน้อมแก่กองทัพวุยก๊ก และมิได้รับความเดือดร้อนด้วยอานุภาพของความจงรักภักดีต่อบ้านเมือง ของขงเบ้งผู้ล่วงลับไปแล้วนี้เอง

เรื่องนี้พอจะทำให้ได้ความรู้ว่าคนเราแม้จะมีอำนาจ มีสติปัญญาและฝีมือกล้าแข็งเพียงใดในที่สุดก็ต้องยอมแพ้แก่ภูติผีปีศาจจนได้ .

##########




 

Create Date : 27 มกราคม 2560    
Last Update : 27 มกราคม 2560 17:06:52 น.
Counter : 614 Pageviews.  

นักรบยอดทรหด

เสี้ยวสามก๊ก

นักรบยอดทรหด

เล่าเซี่ยงชุน

ตัวละครเล็ก ๆ ที่นำมาเล่าในชุด เสี้ยวสามก๊กนี้ อาจจะมีบางตอนหรือหลายตอนดูจะซ้ำ ๆ กันบ้าง ก็เพราะพฤติกรรมของเขาเหล่านั้น อาจจะเกี่ยวข้องกันอยู่ แต่เชื่อว่าคงจะไม่เหมือนกันเสียจนน่าเกลียด เอาเป็นว่าถ้าจะมีละม้ายคล้ายคลึงกันบ้าง ก็ถือเสียว่าเป็นการมองคนละมุมก็แล้วกัน

คราวนี้ก็จะได้เล่าถึงนายทหารที่ไม่ค่อยจะมีชื่อเสียงนัก แต่มีฝีมือเข้มแข็ง และมีความทรหดอดทนในการสู้รบเป็นเลิศ ซึ่งมีอยู่หลายคน

คนแรกนั้นเป็นชาวเมืองอุยก๋วนชื่อ ไทสูจู้ เมื่อยังเด็กอยู่กับมารดาซึ่งยากจน มีผู้อุปการะให้เสื้อผ้าข้าวปลาอาหาร ต่อมาผู้นั้นได้เป็นเจ้าเมืองปักไฮชื่อ ขงหยง ครั้งหนึ่งนายโจรชื่อ กวนไฮ ได้ยกพลมาล้อมเมืองไว้เพื่อจะขอเสบียงหมื่นถัง ขณะนั้นไทสูจู้โตเป็นหนุ่มแล้ว ได้ทราบข่าวจึงขึ้นม้าถือทวนแต่ผู้เดียว ตีฝ่าพวกโจรเข้าไปหาขงหยงในเมือง และขอทหารพันเดียวจะอาสาออกไปตีพวกโจร แทนคุณที่มีแก่มารดาของตน ถึงแม้จะตายในที่รบก็ยอม ขงหยงก็ชอบน้ำใจจึงเอาเสื้อเกราะให้เป็นบำเหน็จ แล้วให้ถือหนังสือไปหา เล่าปี่ ซึ่งเป็นเจ้าเมืองเพงงวนก๋วน ให้ยกทหารมาช่วย เล่าปี่ก็พากวนอูเตียวหุยมาช่วยขงหยงจนพวกโจรแตกพ่ายไป ขงหยงก็ให้ไทสูจู้อยู่รับราชการกับตน

ต่อมา เล่าอิ้ว เจ้าเมืองเอียงจิ๋ว ส่งคนมาตามให้ไปช่วยทำราชการด้วย ไทสูจู้จึงลาขงหยงกลับไปหามารดา เล่าเรื่องที่ได้ไปช่วยขงหยง แล้วก็ไปอยู่กับเล่าอิ้วที่เมืองเอียงจิ๋ว ต่อมา เล่าอิ้วย้ายไปอยู่เมืองฉิวฉุน แล้วก็ถูกอ้วนสุดกับซุนเซ็กร่วมมือกันยกทัพมาตีเมือง จึงถอยไปตั้งรับที่ตำบลขยกโอ๋

เล่าอิ้วนี้เป็นญาติกับเล่าเปียว ซึ่งเป็นอริกับ ซุนเกี๋ยน บิดาของซุนเซ็ก และฆ่า ซุนเกี๋ยนตายเมื่อนานมาแล้ว ซุนเซ็กจึงยกทหารมาแก้แค้น ไทสูจู้ขออาสาคุมทหารเป็นกองหน้า ไปรบ แต่เล่าอิ้วไม่เห็นด้วยและให้ผู้อื่นไปก็แตกกลับมา เล่าอิ้วจึงยกพลไปตั้งอยู่ที่เชิงเขาสินเต๋งทางทิศเหนือ ซุนเซ็กก็ยกทหารมาตั้งอยู่ด้านทิศไต้

บนเขาสินเต๋งนั้นมีศาลเจ้าฮั่นกองบู๊ตั้งอยู่ ซุนเซ็กก็พาทหารสิบกว่าคนขึ้นไปเซ่นไหว้บนเขา และลาดตระเวนดูกำลังข้าศึกด้วย ไทสูจู้รู้ข่าวก็พาทหารเลวอีกคนหนึ่งขึ้นไปบนเขา เพื่อจะจับตัวซุนเซ็ก เมื่อพบกันไทสูจู้ก็ร้องถามว่าผู้ใดชื่อว่าซุนเซ็ก เราชื่อไทสูจู้จะมาจับตัวซุนเซ็ก

ซุนเซ็กก็หัวเราะแล้วว่า

“…..ตัวจะมาจับเราแต่สองคนนี้เรามิได้กลัว…..”

ไทสูจู้ก็ย้อนเอาว่า

“……เราผู้เดียวให้ตัวออกมาทั้งสิบสองคนนั้น เราก็ไม่กลัว…..”

แล้วทั้งสองก็เข้ารบกันได้ห้าเพลงไทสูจู้ก็ถอย ซุนเซ็กตามมาทันก็รบกันอีกห้าสิบเพลง จนประชิดตัวต่างก็คว้าทวนของฝ่ายตรงข้ามไว้ แล้วแย่งชิงกันจนตกจากหลังม้า ก็ยังปล้ำกันจนเสื้อเกราะขาดหลุดลุ่ย ซุนเซ็กก็คว้าทวนสั้นที่ไทสูจู้เหน็บหลัง ออกมาแทงเจ้าของ ไทสูจู้ก็ชิงเอาหมวกของซุนเซ็กมารับไว้ได้ พอดีทหารของทั้งสองฝ่ายตามมาทัน ซุนเซ็กนั้นมีลิ่วล้ออยู่สิบสองคน ส่วนทหารของไทสูจู้ยกกันมาตั้งพันคน ซุนเซ็กจึงเป็นฝ่ายถอยเข้าค่ายไป

ต่อมาจิวยี่ยกทัพมาช่วยซุนเซ็กอีกแรงหนึ่ง เล่าอิ้วจึงเป็นฝ่ายถอย แต่ถูกตามตีในตอนกลางคืน ไทสูจู้จึงพลัดกับเล่าอิ้วไปอยู่ที่เมืองเกงก๋วน กับทหารเพียงสิบห้าคน ซุนเซ็กก็ตามมาล้อมเมืองไว้ ไทสูจู้ยกทหารออกไปต่อสู้ ก็ถูกอุบายของฝ่ายซุนเซ็กถูกจับตัวได้ แต่ซุนเซ็กนับถือความกล้าหาญของไทสูจู้ จึงเกลี้ยกล่อมให้มาอยู่ด้วยกัน ไทสูจู้เห็นว่าซุนเซ็กไม่มีความพยาบาท จึงยอมอยู่กับซุนเซ็กตั้งแต่บัดนั้น

ซุนเซ็กก็รวบรวมกำลังไปตั้งหลักอยู่ที่เมืองกังตั๋ง และพาไทสูจู้ไปรบขยายอาณาเขตออกไปถึงเมืองต๋องง่อ เมืองกังหนำ เมืองโลกั๋ง เมืองอิเจี๋ยง เจ้าเมืองง่อกุ๋นเกรงว่าเมืองของตนจะเป็นอันตราย จึงมีใบบอกไปแจ้งแก่โจโฉ แต่ถูกจับได้ซุนเซ็กจึงหลอกเอาตัวมาฆ่าเสีย แต่ตัวซุนเซ็กเองกลับถูกทหารเลวที่ติดตามเจ้าเมืองง่อกุ๋น ดักยิงด้วยเกาทัณฑ์อาการสาหัส และอีกไม่นานก็ถึงแก่ความตาย ไทสูจู้จึงอยู่กับซุนกวน น้องชายผู้รับมรดกเป็นเจ้าเมืองกังตั๋งต่อไปอีกนาน

จนเมื่อการศึกครั้งใหญ่ที่ตำบลเซ็กเพ็ก ริมอ่าวหน้าเมืองกังตั๋งได้สิ้นสุดลง โดยกองทัพของโจโฉแตกพ่ายไม่เป็นขบวนไปแล้ว จิวยี่ก็เสียทีถูกอุบายของขงเบ้งจนเจ็บป่วย ต้องพักรักษาตัวอยู่ที่เมืองฉสองกุ๋น ฝ่ายซุนกวนยกกองทัพไปตีเมืองหับป๋า ไทสูจู้ก็ติดตามไปด้วย แต่รบกับเตียวเลี้ยวนายทหารเอกของโจโฉ กว่าสิบครั้งแล้วยังไม่แพ้ชนะกัน จิวยี่จึงให้ โลซก กับ เทียเภา ยกกองทัพไปช่วย ซุนกวนจึงมีมานะจะรบกับเตียวเลี้ยวให้ถึงแตกหัก

เมื่อยกทหารมาประจันหน้ากันแล้ว ไทสูจู้ก็ควงทวนเข้ารบกับเตียวเลี้ยว ถึงแปดสิบเพลงก็ยังไม่เพลี่ยงพล้ำแก่กัน ซุนกวนยืนม้าดูทหารเอกทั้งคู่รบกันเพลินจนไม่ระวังตัว ทหารรองของเตียวเลี้ยว ก็ควงดาบควบม้าเข้ามาจะฟันซุนกวนซึ่งกำลังเผลอ นายทหารของซุนกวนก็ช่วยป้องกันไว้ได้ทัน จึงเกิดการรบอลหม่านขึ้น ไทสูจู้ก็ตกใจผละจากเตียวเลี้ยวเพื่อมาป้องกันนาย และพาหนีไป เตียวเลี้ยวก็ไล่ติดตามมาอย่างกระชั้นชิด พอดีเทียเภายกทหารหนุนมา จึงเข้าตีสกัด ข้าศึกไว้ได้ เตียวเลี้ยวจึงต้องถอยกลับเข้าเมืองหับป๋า

ต่อมาไทสูจู้ก็บอกซุนกวนว่า ตนมีพรรคพวกอยู่ในเมืองหับป๋าสองคน รับรองว่าจะช่วยเป็นใส้ศึกข้างในเมือง ตนจึงขอทหารไปทำการแก้แค้นในเวลากลางคืน ซุนกวนก็อนุญาตให้ไปแต่ก็เตือนว่า เตียวเลี้ยวมีสติปัญญาทั้งฝีมือก็เข้มแข็ง เห็นจะไม่ประมาท จงคิดอ่านตรึกตรองให้ดี ไทสูจู้ก็รับคำแล้วยกทหารไปในตอนค่ำ

ส่วนในเมืองนั้นเมื่อพรรคพวกของไทสูจู้จุดไฟขึ้นที่หลังค่าย และช่วยกันร้องว่า ข้าศึกเข้าเมืองได้แล้ว ชาวเมืองก็แตกตื่นกันวุ่นวาย แต่เตียวเลี้ยวระวังตัวอยู่แล้ว จึงไม่ตกใจ สั่งให้ทหารไปเที่ยวหาตัวผู้ก่อเหตุ ก็จับตัวได้ทั้งสองคนจึงให้เอาไปประหารเสีย แล้วก็สวมรอยเปิดประตูเมืองให้ไทสูจู้ขับม้านำทหารเข้าเมือง แล้วล้อมยิงด้วยเกาทัณฑ์ถูกไทสูจู้หลายดอก ต้องถอยออกมา พอดีนายทหารสองคนของซุนกวน ยกทหารตามมาช่วยจึงเอาตัวไทสูจู้กลับเข้าค่ายได้

ซุนกวนเห็นว่าไม่สามารถจะตีเมืองหับป๋าได้ จึงถอยทัพลงเรือกลับมาเมืองลำซี ไทสูจู้นั้นบาดเจ็บสาหัสอาการหนักมาก ซุนกวนให้เตียวเจียวไปเยี่ยม ไทสูจู้ก็ปรารภว่า

“……เกิดมาเป็นชาย ถึงจะตายในท่ามกลางศึก ก็ไม่เสียดายชีวิต….แต่เหตุใดจึงมาสิ้นอายุเสียแต่ยังหนุ่ม……..”

แล้วไทสูจู้ลิ่วล้อผู้มีฝีมือของกังตั๋งก็สิ้นใจตาย เมื่ออายุได้สี่สิบเอ็ดปี ซุนกวนก็แต่งการศพไปฝังไว้ที่เชิงเขาปักกัว และรำลึกถึงอยู่เสมอ

คนต่อมาเป็นทหารตรีของโจโฉ ชื่อเตียนอุย เป็นชาวเมืองตันลิว เมื่อครั้งที่โจโฉเริ่มตั้งตัวที่เมืองกุนจิ๋ว ได้เกลี้ยกล่อมผู้คนมาเข้าเป็นสมัครพรรคพวกด้วยจำนวนมากนั้น เตียนอุยยังอยู่ในป่า ทหารเอกคนหนึ่งของโจโฉไปพบเข้า ขณะที่กำลังปล้ำกับเสือด้วยมือเปล่าจนเสือตาย จึงพาตัวมาสมัครเป็นทหารกับโจโฉ ซึ่งโจโฉก็พอใจในรูปร่างอันใหญ่โต กำยำล่ำสัน ถือทวนคู่หนักเล่มละแปดสิบชั่ง ก็ยินดีรับไว้ พอดีขณะธงผืนใหญ่ประจำกองทัพถูกลมพัดเอนจะล้มลง ทหารของโจโฉร่วมยี่สิบคนช่วยกันดันไว้ก็ทำท่าจะไม่ไหว เตียนอุยก็โดดเข้าไปช่วยดันให้ตั้งตรงอย่างเดิมได้ โจโฉจึงตั้งให้เป็นองครักษ์ประจำตัว ไปไหนไปด้วยกัน

คราวหนึ่งโจโฉรบกับลิโป้ ถูกลิโป้หลอกให้เข้าตีเมืองปักเอี้ยง แล้วเผาเมืองจะให้เพลิงคลอกโจโฉ ก็ได้เตียนอุยพาตัวออกมาจากกองไฟได้ แม้ว่าขื่อหอรบจะพังลงมาทับม้าที่ขี่ตาย และตัวโจโฉก็ถูกไฟไหม้ผมและหนวดเกรียนไป แต่ก็รอดชีวิตมาได้ ต่อมาอีกนานโจโฉยกทัพไปตีเมืองอ้วนเซียของเตียวสิ้ว ซึ่งครั้งแรกเตียวสิ้วยอมอ่อนน้อมด้วย แต่เมื่อโจโฉแอบพาอาสะใภ้ของเตียวสิ้วซึ่งเป็นม่าย ไปอยู่ด้วยกันในค่ายนอกเมือง ก็ยอมไม่ได้จึงยกทหารเข้าตีค่ายของโจโฉในกลางดึก เตียนอุยถูกหลอกให้ไปกินเลี้ยงในเมือง กลับมาก็นอนเฝ้าโจโฉอยู่หน้าที่พัก พอทหารของ เตียวสิ้วจู่โจมเข้ามาโดยไม่รู้ตัว งัวเงียลุกขึ้นได้ไม่ทันใส่เกราะ หาอาวุธคู่มือก็ไม่เจอ จึงคว้าเอาดาบของทหารเลวเข้าต่อสู้กับข้าศึกร่วมยี่สิบคน ที่รุมเข้าฟันแทงจนได้บาดแผลทั่วตัว ดาบก็หักสบั้น คามือ ต้องคว้าเอาทหารข้าศึกที่ตายแล้วเป็นอาวุธ เหวี่ยงซ้ายป่ายขวาตีข้าศึกกระจัดกระจายไป โจโฉจึงหนีรอดไปได้อีกครั้งหนึ่ง แต่เตียนอุยถูกยิงด้วยเกาทัณฑ์ปักทั่วตัว ยืนพิงประตูที่พักของโจโฉสิ้นใจตายไป สมศักดิ์ศรีของนายทหารองครักษ์ชั้นดี

อีกคนหนึ่งเป็นทหารเสือของโจโฉชื่อเคาทู เป็นชาวเมืองเจียวก๊ก สมัยที่พวกโจรโพกผ้าเหลืองอาละวาดอยู่ ได้คุมพวกชาวบ้านหลบอยู่ในถ้ำบนภูเขาแห่งหนึ่ง แล้วเอาก้อนหินมากองไว้เป็นอาวุธ พอพวกโจรมารังควาญก็เอาก้อนหินทุ่มหัว จนไม่สามารถจะขึ้นมาปล้นได้ ต่อมาพวกโจรเอาเสบียงอาหารมาแลกโคคู่หนึ่ง เคาทูก็ตกลงแต่พวกโจรจูงโคไปได้สักห้าสิบเส้น โคก็ตื่นวิ่งหนีเข้าป่า เคาทูเลยตามไปเอาคืนมาทั้งคู่ ด้วยการจับหางลากมาด้วยมือทั้งสองของตนเอง

เมื่อครั้งที่ม้าเฉียวยกทัพมารบกับโจโฉ เพื่อแก้แค้นแทนม้าเท้งผู้บิดา ซึ่งถูกโจโฉฆ่าตาย ครั้งแรกปะทะกันที่ด่านตงก๋วนใกล้แม่น้ำอุยโห โจโฉยกทหารไปทางเรือพอขึ้นฝั่งก็โดน ม้าเฉียวดักตีโดยไม่รู้ตัว เคาทูต้องพาหนีลงเรือกลับโดยเอาเบาะม้าคลุมตัวโจโฉไว้ และตนเองแจวเรือมือหนึ่ง อีกมือหนึ่งถือกระบี่คอยปัดป้องลูกธนู ที่ข้าศึกยิงตามหลังมาดังห่าฝน จนรอดข้ามฝั่งไปได้ แต่มีลูกเกาทัณฑ์ปักติดเสื้อเกราะตนเองเต็มไปหมด

อีกครั้งหนึ่งเคาทูได้ลองฝีมือกับม้าเฉียวตัวต่อตัว กลางสนามรบต่อหน้าทหารทั้งสองฝ่าย ทั้งคู่ฟาดฟันกันถึงร้อยเพลงก็ไม่เพลี่ยงพล้ำแก่กัน ต้องเปลี่ยนม้าแล้วฟาดกันต่ออีกสามสิบเพลง ง้าวของเคาทูและทวนของม้าเฉียวก็หักสบั้น ต้องแยกกลับเข้าค่ายไป

การรบครั้งนี้สุดท้ายโจโฉเป็นฝ่ายได้ชัยชนะ ม้าเฉียวต้องแตกหนีออกไปอาศัยอยู่ ที่เมืองเจี๋ยง นอกอาณาเขตจีน ส่วนเคาทูได้เป็นทหารของวุยก๊กอยู่อีกนาน จนโจโฉสิ้นบุญไป แต่ก็ไม่ปรากฎว่าเสียชีวิตในการรบครั้งใด คงจะแก่ตายไปเอง

คนหลังนี้ก็เป็นทหารเอกของโจโฉอีกคนหนึ่ง ชื่อบังเต๊ก ชาวเมืองลำหัน ตอนแรกอยู่กับม้าเฉียวรบกับโจโฉ ต่อมาม้าเฉียวไปเข้าเป็นพวกเล่าปี่ ทิ้งให้บังเต๊กอยู่กับเตียวฬ่อที่เมือง ฮันต๋ง โจโฉก็ยกทัพมาตีเมืองฮันต๋ง จับตัวบังเต๊กได้แล้วก็เกลี้ยกล่อมเอาไว้เป็นพวก แต่อยู่มานานก็ไม่ได้แสดงฝีมือแต่อย่างใด ครั้นกวนอูยกทัพมาตีเมืองอ้วนเซียของโจโฉ เจ้าเมืองเห็นท่าจะต้านทานไม่ไหว จึงขอให้โจโฉยกทัพไปช่วย โจโฉก็ให้อิกิ๋มเป็นแม่ทัพ

บังเต๊กจึงอาสาเป็นแม่ทัพหน้า แล้วก็สั่งให้ทหารต่อโลงขึ้นใบหนึ่ง สั่งไว้ว่าถ้าฆ่ากวนอูได้จะตัดศรีษะกวนอูใส่โลงมาให้โจโฉ ถ้าตนตายในสนามรบก็ให้ใส่ศพกลับมา ทหารก็พากันสรรเสริญความกล้าหาญของบังเต๊กเป็นอันมาก เมื่อพบกับกวนอูผู้มีฝีมือเป็นที่เลื่องลือกันมากว่าสามสิบปีแล้ว บังเต๊กก็เอาโลงศพมาตั้งตรงหน้า แล้วก็ประกาศว่าโจโฉใช้ให้มาเอาศรีษะกวนอู ใส่โลงนี้กลับไป กวนอูก็แค้นนักที่นักรบรุ่นลูกหมิ่นประมาทดังนั้น จึงว่าถ้าตนจะฆ่าบังเต๊กก็เหมือนฆ่าหนูตัวหนึ่ง ออกจะเสียดายคมง้าวเสียด้วยซ้ำ แล้วก็เข้าปะทะกันด้วยง้าวทั้งคู่ถึงร้อยเพลงเศษ บังเต๊กก็ยังไม่เสียท่าให้แก่กวนอู ทั้งสองฝ่ายจึงแยกกันกลับเข้าค่าย และต่างก็สรรเสริญเพลงง้าวของคู่ต่อสู้ว่าทัดเทียมกันมาก

กวนเป๋งลูกชายของกวนอู เกรงว่าบิดาซึ่งชราแล้วจะเสียทีข้าศึก จึงว่า

“……ถึงมาตรว่าท่านจะต่อรบฆ่าบังเต๊กเสีย ถ้าชนะก็เหมือนชนะผู้หญิง ถ้าแพ้แก่มันก็จะเสียเกียรติยศของพระเจ้าฮันต๋ง หาควรไม่…..”

กวนอูก็ว่า ถ้าเรามิได้ฆ่าอ้ายบังเต๊กเสีย ก็หาหายความแค้นไม่ แล้วก็ยกพลออกไปปะทะกับบังเต๊กอีก คราวนี้บังเต๊กทำเป็นชักม้าหนี กวนอูรู้เชิงแต่ก็ขับม้าตามไป บังเต๊กก็หันไปเอาเกาทัณฑ์ยิง กวนเป๋งเห็นจึงร้องเตือนบิดา พอกวนอูมัวเหลียวไปดูลูกเลยหลบไม่ทัน ลูกเกาทัณฑ์ปักที่ไหล่ขวา กวนเป๋งก็เข้าไปช่วยกันบิดากลับเข้าค่าย

ขณะที่กวนอูรักษาแผลเกาทัณฑ์อยู่ในค่าย ประมาณสิบวัน บังเต๊กจะยกพลเข้าตีค่ายให้แตกหัก แต่อิกิ๋มแม่ทัพใหญ่เกิดความริษยา จึงห้ามไว้และให้ย้ายค่ายถอยไปตั้งที่ทุ่งจันเค้าในหุบเขา ซึ่งเป็นที่ลุ่ม ขณะนั้นเป็นฤดูฝนมีฝนตกแทบทุกวัน น้ำในแม่น้ำก็เอ่อสูงขึ้น กวนอูหายป่วยแล้วก็วางแผนเอาชนะโดยให้เตรียมเรือไว้ พอฝนตกหนักน้ำเริ่มท่วมค่ายบังเต๊กก็เตรียมย้ายขึ้นเขา แต่ไม่ทันการน้ำท่วมค่ายประมาณหกศอก บังเต๊กก็พาทหารตะกายหนีน้ำขึ้นไปอยู่บนเนินน้อยแห่งหนึ่ง

กวนอูก็ยกทหารลงเรือเข้าตีกองทหารวุยก๊ก อิกิ๋มต้องยอมจำนน แต่บังเต๊กยืนหยัดสู้จนถึงคนสุดท้าย ก็โดดลงเรือของทหารข้าศึกกวัดแกว่งง้าวไล่ทหารเลวโดดลงน้ำไปหมด แล้วก็แจวเรือหนี แต่ไม่พ้นทหารองครักษ์ของกวนอูซึ่งแจวเรือใหญ่กว่า มาเกยเรือเล็กของบังเต๊กล่มลง จึงถูกจับตัวได้ กวนอูก็เกลี้ยกล่อมให้บังเต๊กยอมอ่อนน้อม เพราะบังฮิวพี่ชาย และม้าเฉียวนายเก่าก็อยู่กับพระเจ้าเล่าปี่แล้ว แต่บังเต๊กตอบว่า

“……..เราเป็นข้าพระเจ้าวุยอ๋อง พระเจ้าวุยอ๋องมีคุณแก่เราเป็นอันมาก ซึ่งเราจะยอมเข้ากับท่านนั้น มิบังควร เราจะขอตายด้วยคมหอกคมดาบหารักชีวิตไม่……”

กวนอูจึงสั่งให้ประหารชีวิตเสีย แต่ก็ยังปราณีในความกล้าหาญ จึงให้เอาศพไปฝังไว้ โลงศพที่บังเต๊กเอาติดตัวมาด้วย จึงไม่ได้ใช้งานแต่ประการใด

และตำนานนักรบยอดทรหดของสามก๊ก ก็คงจะพักไว้เพียงแค่นี้ ถ้าหากรู้สึกว่าเคยได้อ่านที่ไหนมาบ้างแล้ว ก็โปรดอภัยให้แก่ผู้เฒ่า เล่านั้ง ด้วย ก็จะเป็นกุศลอย่างยิ่ง .

###########




 

Create Date : 25 มกราคม 2560    
Last Update : 25 มกราคม 2560 18:18:03 น.
Counter : 408 Pageviews.  

คนรูปทราม

เสี้ยวสามก๊ก

คนรูปทราม

เล่าเซี่ยงชุน

ในวรรณคดีเรื่องสามก๊ก มีการบรรยายถึงรูปร่างหน้าตา ของตัวละครอยู่หลายคน เช่น โจโฉ ซึ่งสูงประมาณห้าศอก ดวงตาเล็ก หนวดยาว หรือซุนกวน หน้าผากใหญ่ ปากกว้าง นัยตาเป็นสีแดง ไม่ทราบว่าชอบเสพสุราเป็นอาจิณหรือเปล่า จูล่งนั้นหน้าผากใหญ่ คิ้วดก นัยตาโต ส่วนม้าเฉียว ไหล่ผายเอวกลม ใบหน้าขาวดังสีหยก ปากแดงเรื่ออย่างคนมีสุขภาพดีทั่วไป

และสามพี่น้องร่วมสาบานที่เมืองตุ้นก้วนนั้น ผู้อ่านจำกันได้ดีว่า กวนอูสูงประมาณหกศอก หนวดยาวประมาณศอกเศษ หน้าแดงดังผลพุทราสุก ปากแดงดังชาดแต้ม คิ้วดังตัวไหม นัยตายาวดังนกการเวก ส่วนเตียวหุยนั้นสูงประมาณห้าศอก ศรีษะเหมือนเสือ ดวงตา กลมใหญ่ คางพองโต ซึ่งก็พอจะเห็นภาพได้ชดเจน

แต่บางครั้งผู้อ่านที่มีวิจารณญาณอันดี ในสมัยปัจจุบัน ซึ่งไม่ยอมเชื่ออะไรง่าย ๆ อาจจะรับไม่ได้กับรูปลักษณ์ของพระเอกอย่างเล่าปี่ ที่บรรยายว่าสูงประมาณห้าศอกเศษ หูยาน ถึงบ่า มือยาวถึงเข่า และดวงตาสามารถชำเลืองไปเห็นใบหู ซึ่งไม่รู้จะเปรียบกับอะไร นอกจากมนุษย์ต่างดาวเท่านั้น

แต่ก็ช่างเถอะ เราอ่านกันมานานร่วมสองร้อยปีแล้ว เรื่องเพียงแค่นี้ไม่ทำให้ อรรถรสของวรรณคดี อ่อนด้อยลงแต่ประการใด

และมีอีกหลายคนที่จงใจจะบรรยายให้เห็นว่า เป็นคนรูปร่างอัปลักษณ์ เช่น โจจู๋ มีรูปร่างประหลาดพิกล ดวงตาส่อน และขาสั้นข้างหนึ่ง

กับเตียวสงที่ปรึกษาของเล่าเจี้ยงเจ้าเมืองเสฉวน ซึ่งมีรูปร่างต่ำเตี้ย ศรีษะรีดังผลมะตูม จมูกก็แฟบ ฟันก็เสี้ยม จึงไม่ค่อยจะเป็นที่เชื่อถือของเล่าเจี้ยงเท่าใดนัก เมื่อเล่าเจี้ยงเกรงว่าเตียวฬ่อเจ้าเมืองเจ้าเมืองฮันต๋ง จะยกทัพมาตีเมืองเสฉวน และเตียวสงอาสาจะหาทางป้องกัน มิให้เตียวฬ่อมาทำอันตรายแก่เมืองเสฉวน เล่าเจี้ยงจึงบอกให้ชี้แจงให้เข้าใจก่อนว่าจะทำประการใด เตียวสงก็กล่าวว่า

“…….ข้าพเจ้าแจ้งอยู่ว่า โจโฉนี้เที่ยวปราบปรามขอบขันฑสีมาให้อยู่ในอำนาจสิ้น ทั้งอ้วนเสี้ยว อ้วนสุด นั้นก็กำจัดเสียได้ บัดนี้ม้าเฉียวบุตรม้าเท้งเล่าก็แตกโจโฉ โจโฉมีทหารเป็นอันมาก ขอให้ตกแต่งเครื่องบรรณาการไปอ่อนน้อมคำนับโจโฉ ข้าพเจ้าจะอาสาถือหนังสือไปว่ากล่าว ให้โจโฉยกกองทัพมาตีเมืองฮันต๋ง ถ้าเมืองฮันต๋งเป็นศึกรบติดพันกันอยู่แล้ว ก็เห็นจะไม่ยกกองทัพมาทำอันตรายแก่เราได้……..”

เล่าเจี้ยงก็เห็นชอบด้วย จึงจัดแจงแต่งเครื่องบรรณาการกับหนังสือฉบับหนึ่ง ให้เตียวสงถือไปหาโจโฉที่เมืองฮูโต๋ โดยเดินทางผ่านเมืองเกงจิ๋วไป

แต่เมื่อถึงเมืองฮูโต๋แล้ว เตียวสงก็ต้องรออยู่ด้วยความหงุดหงิดถึงสามวัน เพราะโจโฉไม่ออกว่าราชการ เมื่อโจโฉได้รับหนังสืออ่านดูรู้ความแล้ว ก็ถามท่านทูตผู้มีร่างกายไม่ค่อย สมประกอบว่า

“………เล่าเจี้ยงนายท่านนั้น หลายปีแล้วมิได้ส่งเครื่องบรรณาการ มาคำนับตามประเพณี ด้วยเหตุอันใด…..”

เตียวสงก็บอกว่า

“……เมืองเสฉวนเป็นทางไกลกันดาร ยากที่จะไปมานัก อนึ่งหัวเมืองทั้งปวงก็เป็นเสี้ยนหนาม ยังมิราบคาบเป็นปกติ กลัวโจรผู้ร้ายจะคุมกันเข้าช่วงชิง สิ่งของบรรณาการในกลางทาง จึงมิได้มา……..”

โจโฉก็โกรธจึงว่า ตนเที่ยวปราบปรามหัวเมืองทั้งปวง ราบคาบเป็นผาสุขแล้ว โจรที่ไหนยังจะมีอยู่อีกเล่า เตียวสงก็แย้งว่า ทางทิศใต้นั้นก็มีซุนกวน ทิศตะวันตกก็มีเล่าปี่ ทิศเหนือก็มีเตียวฬ่อ ทั้งหมดก็ยังเป็นศัตรูอยู่ อันเมืองข้าศึกยังมีอยู่รอบทิศเช่นนี้ เหตุไฉนจึงว่าปราบปรามหัวเมือง ราบคาบแล้วเล่า

โจโฉยิ่งโกรธหนักขึ้นไปอีก คิดว่าทูตคนนี้ปากเสียพอกันกับรูปร่างลักษณะ ไม่อยากจะเจรจาด้วย จึงลุกเข้าข้างไปเสีย ที่ปรึกษาซึ่งอยู่ในที่นั้นก็ว่า เตียวสงนี้หาอัธยาศัยมิได้ มาพูดแทงใจดำมหาอุปราชดังนี้ควรหรือ มี่หากว่าเป็นทูตนำเอาบรรณาการมาแต่เมืองไกล จึงมิได้เอาโทษ จงเร่งออกไปเสียเถิดอย่าอยู่ช้าเลย

เตียวสงก็ตอบโต้ว่า ตนนั้นเป็นชาวเมืองเสฉวน จะพูดจาสิ่งใดก็ตามซื่อ มิได้เอาเท็จมาเจรจาสอพลอ เหมือนคนทั้งปวง เอียวสิ้วนายคลังของโจโฉก็ว่า ถ้าเตียวสงเป็นคนพูดซื่อ แล้วคนที่เป็นชาวเมืองหลวงนี้ เห็นว่าผู้ใดพูดประจบประแจงเล่า เตียวสงฟังดูรู้ว่าเอียวสิ้วเป็นคนมีปัญญา จึงตามไปพูดคุยด้วยที่บ้าน จนถูกอัธยาศัยกัน แล้วเตียวสงก็จะขอลากลับ เอียวสิ้วก็ว่าอย่าเพ่อด่วนกลับไปเมืองเลย ตนจะขอให้โจโฉพาไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ เตียวสงก็มีความยินดี

แต่โจโฉก็ไม่ยอมพาเตียวสงไปเฝ้าฮ่องเต้ กลับสั่งให้เอียวสิ้วพาไปดูการฝึกหัดทหารก่อน แล้วโจโฉก็เกณฑ์ทหารที่มีฝีมือเรียกว่าทหารเสือจำนวนเป็นหมื่น แต่งตัวใส่เกราะขี่ม้าถือง้าวแลทวน จัดขบวนเข้าสู้รบกันเป็นที่เอิกเกริก เตียวสิ้วก็แลดูการฝึกซ้อมนั้นอย่างตื่นตา โจโฉจึงถามว่า ทหารในเมืองเสฉวนเหมือนทหารของตนฉะนี้มีหรือไม่ เตียวสงก็ตอบว่า

“……..อันเมืองเสฉวนนั้น จะได้ซ่องสุมผู้คนหัดปรือทหารทั้งปวง ยกไปปราบปรามบ้านเมืองเหมือนฉะนี้หามิได้ ข้าพเจ้าไม่เคยเห็น อันประเพณีเมืองเสฉวน ปราบปรามข้าศึกซึ่งเป็นเสี้ยนหนามนั้น ต้องถือเอาความสัตย์สุจริตเป็นเบื้องหน้า…….”

โจโฉก็โกรธอีกตามเคย จึงคุยโอ่ว่า

“………ในขอบขัณฑสีมานี้เราเล็งดู มิได้เห็นผู้ใดที่จะมีทหารเหมือนเรา บรรดาบ้านเมืองทั้งปวงซึ่งขัดแข็ง มิได้คำนับต่อเรานั้น จะอุปมาก็เหมือนหย่อมหญ้า ถ้าจะยกทหารไปแห่งใดก็จะเหยียบเสียเป็นผงคลี ผู้ใดก็มิอาจต่อด้วยทหารเราได้ แม้จะตีเมืองไหนก็ได้เมืองนั้น ท่านรู้หรือไม่……..”

เตียวสงก็ย้อนให้อีกว่า เขาเลื่องลือกันเอิกเกริกทั้งแผ่นดิน ว่าโจโฉมีวิชาชำนาญการศึกนัก เมื่อรบกับลิโป้ที่เมืองปักเอี้ยง ก็เกือบถูกไฟครอกตาย หนวดเคราเผ้าผมไหม้หมด เมื่อครั้งรบกับเตียวสิ้วที่เมืองอ้วนเซีย ก็ถูกจู่โจมจนต้องหนีเตลิด เสียเตียนอุยนายทหารองครักษ์ กับ โจอันบิ๋นหลานชาย และโจงั่งลูกชายคนโต ครั้นรบกับจิวยี่ที่เมืองกังตั๋งก็แตกทั้งทัพบกทัพเรือ ดีแต่พบกวนอูผู้ซื่อสัตย์กตัญญู จึงรอดชีวิตมาได้ สุดท้ายที่ด่านตงก๋วนรบกับม้าเฉียวก็ถึงกับต้องถอกเกราะตัดหนวดหนีปนไปกับทหารเลว จึงรอดจากเงื้อมมือของม้าเฉียวมาได้ เรื่องเหล่านี้ตนก็รู้อยู่

เมื่อโดนตอกหน้าอย่างจังเช่นนั้น โจโฉก็ระงับความโกรธไม่ไหว สั่งให้เอาตัวท่านทูตปากมอมไปประหารเสียทันที ดีแต่เอียวสิ้วเตือนสติไว้จึงรอดตาย แต่โจโฉก็ให้ทหารไล่ตีเตียวสงออกจากเมืองไปในคืนนั้นเอง

ความเมืองที่รับมาเจรจาจึงไม่สำร็จ สมประสงค์ของเจ้านาย ก็ด้วยหน้าตาที่ไม่น่าดู และปากที่ไม่มีหูรูดของตนเอง มิใช่อื่นใดเลย

ผู้ที่มีรูปร่างไม่เจริญตาต่อผู้พบเห็น ยังมีอีกคนหนึ่ง เป็นชาวเมืองซงหยง ชื่อ บังทอง ซึ่งท่านบรรยายว่ามีหน้าดำ คิ้วใหญ่ จมูกโด่ง แต่หนวดสั้น บังทองเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกับขงเบ้ง เมื่อโจโฉไล่ล่าเล่าปี่มาจากเกงจิ๋วนั้น บังทองก็หนีภัยสงคราม หลบมาลอยเรืออยู่แถวเมืองกังตั๋ง จนรู้จักเป็นเพื่อนกับโลซก ที่ปรึกษาของซุนกวนและ จิวยี่แม่ทัพใหญ่ของกังตั๋ง จึงช่วยออกอุบายให้เผากองทัพของโจโฉ เสียวอดวายไปทั้งบกเรือ เมื่อเสร็จศึกคราวนี้ โลซกก็พาไปฝากให้ทำราชการกับซุนกวน แต่ซุนกวนไม่ชอบหน้า จึงไปหาขงเบ้งเสนาธิการใหญ่ของเล่าปี่ ขอทำราชการด้วย ขงเบ้งก้เขียนหนังสือฝากให้ แต่ตัวไปราชการต่างหัวเมือง เล่าปี่ก็คิดเหมือนกับซุนกวน แต่ก็ยังรับไว้แล้วให้ไปเป็นเจ้าเมืองลอยเอี๋ยง อยู่ห่างจากเมืองเกงจิ๋วประมาณสามร้อยเส้น

เมืองลอยเอี๋ยงนั้นเป็นเมืองเล็กนิดเดียว บังทองไปถึงแล้วก็กินแต่เหล้าแล้วก็นอน ตื่นขึ้นมาก็กินเหล้าต่อ มิได้ว่าราชการ ชาวเมืองก็มาฟ้องเล่าปี่ว่าเจ้าเมืองเอาแต่เสพสุรา มิได้ทำราชการงานเมือง เล่าปี่ก็ให้เตียวหุยกับซุนเขียน ไปสอบสวนเอาความจริงให้ได้

เมื่อสองผู้ตรวจราชการไปถึงเมืองลอยเอี๋ยง ก็เจอเจ้าเมืองเมาสุรานอนอยู่ในจวน จึงไปที่ศาลากลางแล้วให้คนไปตามเจ้าเมืองมาทำงาน คนใช้ก็พยุงบังทองออกมานั่งที่เอ้หมึง เตียวหุยก็ถามว่า

“……พี่เราคิดว่าท่านเป็นคนดีจึงให้มาเป็นเจ้าเมือง เหตุใดมากินสุราแล้วละราชการบ้านเมืองเสีย…..มารักษาเมืองอยู่ร้อยวันเศษ กินแต่สุรามิได้ตัดสินเนื้อความราษฎร จนราษฎรไปฟ้อง……..”

บังทองก็หัวเราะแล้วว่า

“…….เราเห็นเมืองก็น้อย ราชการก็น้อย ยากอะไรกับจะตัดสินเนื้อความเพียงนี้ เชิญท่านนั่งอยู่สักครู่หนึ่งเถิด ข้าพเจ้าจะตัดสินเนื้อความของราษฎรให้ฟัง…….”

ว่าแล้วบังทองก็ให้เจ้าพนักงานเอาความที่ราษฎรฟ้องร้องกล่าวโทษกันที่ค้างอยู่ ทั้งโจทก์และจำเลยมาหลายคู่ บังทองก็ให้เสมียนอ่านคำฟ้องและคำให้การของทั้งคู่ เสมียนก็อ่านข้อความไป บังทองก็กล่าวตัดสินด้วยปาก มือจับพู่กันจดความไว้อย่างรวดเร็วว่องไว เพียงครู่เดียวก็แล้วเสร็จ มิได้ผิดแต่สักข้อหนึ่ง

อาณาประชาราษฎรทั้งปวง ที่มาฟังความอยู่ ก็สรรเสริญเป็นอันมาก บังทองก็ถามเตียวหุยว่า แล้วยังมีราชการอันใดอีกก็ว่ามาเถิด เตียวหุยก็ว่าหมดสิ้นเพียงแต่เท่านี้ บังทองเลยคุยต่อไปว่า อย่าว่าแต่งานแค่นี้เลย ถึงราชการศึกกับโจโฉหรือซุนกวนก็ดี เหมือนจับหนังสือชูไว้บนฝ่ามือ ถ้าเปิดพลิกดูเมื่อใดก็จะรู้แจ้งสิ้น

เตียวหุยก็ยอมรับว่า เล่าปี่กับตนไม่รู้เลยว่าบังทองมีสติปัญญาถึงเพียงนี้ บังทองจึงเอาหนังสือฝากของโลซก ส่งให้ซุนเขียนอ่านให้เตียวหุยฟัง เตียวหุยก็ถามว่า เมื่อมาพบเล่าปี่นั้นเป็นไรมิให้เล่าปี่เล่า บังทองก็ว่า

“…….เมื่อแรกพบนั้นเล่าปี่ยังหารู้ว่าข้าพเจ้าดีชั่วไปม่ ครั้นจะให้ดูหนังสือนั้น ก็เหมือนข้าพเจ้าแกล้งขอหนังสือมาเป็นนายหน้า ให้ผู้อื่นช่วยสรรเสริญ ข้าพเจ้าจึงมิให้ดู……”

ทั้งสองจึงลากลับไปหาเล่าปี่ที่เมืองเกงจิ๋ว เอาหนังสือนั้นให้เล่าปี่ดู มีใจความว่า

บังทองคนนี้ได้ร่ำเรียนความรู้วิชาการเป็นอันมาก แล้วก็มีสติปัญญาควรจะเป็นที่ปรึกษาของท่านได้ แม้จะดูแต่ลักษณะรูปร่างภายนอก ก็เห็นว่าไม่สมที่จะว่ามีความรู้วิชาการดี ข้าพเจ้าเสียดายบังทอง กลัวบังทองจะไปอยู่ด้วยผู้อื่นเสีย ข้าพเจ้าจึงมีหนังสือให้บังทองมาหาท่าน

พอดีขงเบ้งกลับจากราชการหัวเมือง แล้วถามว่าบังทองมาอยู่นั้น เขาได้ความสบายอยู่หรือ เล่าปี่ก็แจ้งเรื่องที่บังทองไปอยู่เมืองลอยเอี๋ยงให้ฟัง ขงเบ้งก็หัวเราะแล้วสนับสนุนว่า บังทองนี้มีความรู้มากกว่าตนสักสิบส่วน ตนได้ให้หนังสือมากับบังทองฉบับหนึ่ง ได้เห็นแล้วหรือยัง เล่าปี่ก็ว่าเห็นแต่หนังสือของโลซก ขงเบ้งจึงว่า

“…….ท่านตั้งให้บังทองเป็นเจ้าเมืองลอยเอี๋ยง ซึ่งเป็นเมืองน้อย ชะรอยบังทองจะเห็นว่าไม่สมควร จึงแกล้งละราชการกินแต่เหล้าแล้วนอนเสีย……”

เล่าปี่จึงให้เตียวหุยไปเชิญบังทองมาที่เมืองเกงจิ๋ว แล้วขอโทษบังทองว่า ตนไม่รู้เลยว่าบังทองมีสติปัญญา จึงส่งไปอยู่เมืองเล็กนั้น ขออภัยเสียเถิด บังทองจึงเอาหนังสือของขงเบ้งยื่นให้เล่าปี่ ในนั้นมีความว่าบังทองนี้มีชื่อว่าฮองซู เล่าปี่จึงระลึกขึ้นได้ว่า เมื่อครั้งที่ตนไปเจออาจารย์สุมาเต๊กโช ก่อนที่จะได้พบกับขงเบ้งนั้น อาจารย์บอกว่า

“……..โบราณท่านว่าไว้แต่ก่อนว่า สิบคนจะหาผู้กล้าหาญได้คนหนึ่ง ร้อยคนจะจัดหาผู้มีสติปัญญาได้คนหนึ่ง แลคนทั้งปวงก็มีอยู่เป็นอันมาก…….ซึ่งคนมีสติปัญญานั้นก็มีอยู่มิสู้ไกลนัก……อันฮกหลงกับฮองซูสองคนนี้ ถ้าได้มาเป็นที่ปรึกษาด้วยแต่ผู้ใดผู้หนึ่ง ก็อาจสามารถจะคิดอ่าน ปราบปรามศัตรูแผ่นดินให้สงบได้……..”

เล่าปี่ก็ยินดี ด้วยว่าฮกหลงก็คือขงเบ้ง เมื่อได้บังทองหรือฮองซูมาอีกคนหนึ่ง ก็ควรที่จะทำนุบำรุงแผ่นดินพระเจ้าเหี้ยนเต้ ให้รุ่งเรืองสืบไป เล่าปี่จึงตั้งบังทองให้เป็นที่ปรึกษาคู่กันกับขงเบ้ง และต่อมาเมื่อจำเป็นต้องรบชิงเมืองเสฉวนจากเล่าเจี้ยง เล่าปี่ก็ได้บังทองเป็นผู้วางแผนการศึกแทนขงเบ้ง

แต่โชคร้ายที่บังทองขี่ม้าของเล่าปี่เข้าสมรภูมิ ข้าศึกเข้าใจว่าเป็นเล่าปี่ จึงล้อมยิงด้วยเกาทัณฑ์ ถึงแก่ความตาย อยู่ในช่องเขาลกห้องโห เมื่ออายุเพียงสามสิบหกปี ก่อนที่เล่าปี่จะได้เป็นใหญ่ในเมืองเสฉวน การจึงไม่เป็นไปตามที่อาจารย์สุมาเต๊กโช ได้ทำนายไว้

เรื่องราวของคนรูปทราม แต่ความคิดสติปัญญาแตกต่างกัน ก็คงจะสิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้.

##########




 

Create Date : 25 มกราคม 2560    
Last Update : 25 มกราคม 2560 15:06:53 น.
Counter : 611 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.