|
"เกาะโลมาสีน้ำเงิน" แปลจาก Island of the Blue Dolphins ผู้แต่ง : Scott O Dell ผู้แปล : วิลาวัณย์ ฤดีศานต์ ผู้พิมพ์ : สนพ.มติชน (ครั้งที่ ๖ : กรกฎาคม ๒๕๕๑)
แปลมาแล้วกว่า ๒๓ ภาษาทั่วโลก ๑ ใน ๑๐ วรรณกรรมเยาวชนยอดเยี่ยมในรอบ ๒๐๐ ปี สมาคมวรรณกรรมเยาวชนอเมริกา
โปรยปกหลัง
ในมหาสมุทรแปซิฟิก มีเกาะอยู่แห่งหนึ่งมีรูปร่างเหมือนปลาตัวโตนอนอาบแดดอยู่ในทะเล รอบเกาะแห่งนี้มีโลมาสีน้ำเงิน นากทะเล แมวน้ำช้าง และนกทะเลมากมาย ครั้งหนึ่งชาวอินเดียนแดงเคยอาศัยอยู่ที่นี่ แต่เมื่อพวกเขาอพยพออกจากเกาะ ไปอยู่ในที่แห่งใหม่ทางทิศตะวันออก เด็กผู้หญิงคนหนึ่งถูกทิ้งไว้ นี่เป็นเรื่องราวของการานา เด็กหญิงชาวอินเดียนแดงที่อาศัยอยู่บนเกาะโลมาสีน้ำเงินคนเดียวเป็นเวลาหลายปี ปีแล้วปีเล่า เธอเฝ้าดูฤดูกาลผันผ่านและเฝ้าคอยให้เรือมารับเธอ แต่ตลอดเวลาที่อยู่บนเกาะ เธอต้องสร้างที่พัก ทำอาวุธ หาอาหาร และต่อสู้กับหมาป่า ชีวิตของเธอไม่เพียงเป็นการผจญภัยเพื่อการอยู่รอดที่น่าประทับใจ แต่ยังเป็นเรื่องราวที่แสดงความงดงามของธรรมชาติและการค้นพบสิ่งสำคัญในชีวิต
บางส่วนจากบันทึกผู้เขียน
"...เด็กหญิงโรบินสัน ครูโซ เจ้าของเรื่องที่ผมพยายามสร้างขึ้นใหม่นี้ อาศัยอยู่คนเดียวบนเกาะนี้จริง ตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๘๓๕ - ๑๘๕๓ และเป็นที่รู้จักในประวัติศาสตร์ในชื่อ "ผู้หญิงที่ถูกลืมแห่งซานนิโคลัส"(The Lost woman of San Nicolas)......
เธออยู่ตามลำพังกับสุนัขตัวหนึ่งในบ้านที่สร้างขึ้นอย่างหยาบ ๆ บนหัวแหลม และเธอสวมกระโปรงขนนกกาน้ำ...
..............
หนังสือของผมส่วนมาก ใช้ฉากเวลาในอดีต แต่ปัญหาเรื่องความโดดเดี่ยว การตัดสินใจบนพื้นฐานของศีลธรรม ความโลภ ความต้องการความรักและเมตตา เหล่านี้เป็นปัญหาของยุคปัจจุบันเช่นกัน"
ความรู้สึกหลังอ่าน....
ถามตัวเองว่า...นี่ฉันปล่อยให้วรรณกรรมดี ๆ ที่แสนจะพิเศษเช่นนี้ผ่านตาผ่านใจไปได้ไงเนี่ย.....? จำได้เป็นแม่นมั่นว่าเคยซื้อหนังสือเล่มนี้มาตั้งแต่ฉบับพิมพ์ครั้งแรก ๆ นู่น แต่ไม่รู้อะไรบังตาไว้จึงยังไม่ได้อ่าน ต่อเมื่อมาเห็นบนบล็อกคนนั้นคนนี้ก็ให้นึกคิดถึงขึ้นมา แต่ไปรื้อทั้งตู้ทั้งชั้นทั้งกล่อง ...เก๊าะหาไม่เจอ รู้สึกคับข้องใจเป็นอันมาก...(เคยเป็นกันมั่งไหมคะ เวลาต้องการหาอะไรที่เราแน่ใจว่าอยู่ตรงนั้นตรงนี้แต่หาไม่เจอเนี่ย...) แต่บังเอิญช่วงนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในชีวิต...มีการยักย้ายถ่ายเท(แหะ ๆ ฟังทะแม่ง ๆ ชอบกล เรียกว่า โยกย้ายถิ่นฐานแล้วกัน)...จนสมบัติกระจัดกระจาย...สูญหายไปก็หลายชิ้น ได้เพิ่มมาก็หลายกอง... จึงได้แต่พยายามทำใจ...
มาเข้าเรื่องหนังสือเล่มนี้ดีกว่า....(ได้รับอนุเคราะห์มาจากคุณโมกสีเงินค่ะ...ขอขอบคุณหลาย ๆ มา ณ ที่นี้)
ขอเล่าเรื่องตอนต้น ๆ เรื่องเพิ่มเติมจากเรื่องย่อข้างบนนิดหนึ่งค่ะ...
การานา เด็กหญิงอินเดียนแดงวัย ๑๒ อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ-ฆาลัส-อัต บนเกาะแห่งนี้กับครอบครัวของเธอ วันหนึ่งหมู่บ้านของเธอก็ถูกรุกรานโดยชาวรัสเซียและเผ่าอาลูตที่เป็นนักล่านากทะเล พ่อของเธอและผู้ชายหลายคนบนเกาะถูกฆ่าตาย...
ในเวลาต่อมา พวกเขาที่เหลืออยู่บนเกาะตัดสินใจที่จะหนีจากเกาะเพื่อขึ้นไปอยู่บนดินแดนแห่งใหม่ทางทิศตะวันออก...
ในวันเดินทาง "ราโม" น้องชายของเธอวิ่งกลับไปเอาหอกแทงปลา แต่ขณะนั้นพายุกำลังพัดโหมเข้ามาทำให้เรือต้องรีบเร่งออกไปโดยเร็ว... ทุกคนบอกเธอว่า...วันหลังค่อยกลับมารับเขาใหม่ เพราะวันนี้เรือกลับเข้าฝั่งไม่ได้แล้ว
การานาตัดสินใจกระโดดลงจากเรือและว่ายน้ำเข้าฝั่งเพื่อกลับมาหาน้องชาย.....
'ตอนที่ว่ายน้ำ ฉันคิดแล้วคิดอีกว่าพอถึงฝั่งฉันจะลงโทษราโมอย่างไร แต่เมื่อฉันรู้สึกถึงผืนทรายใต้เท้า และเห็นเขายืนอยู่ที่ปลายคลื่น มือถือหอกแทงปลา หน้าตาน่าสงสาร ฉันก็ลืมเรื่องที่วางแผนจะลงโทษเขาไปหมด ฉันคุกเข่าลงโอบแขนรอบตัวเขา...เรือหายไปแล้ว '
ราโมสถาปนาตัวเองเป็นหัวหน้าของฆาลัส-อัตด้วยวัยเพียงหกปี...แต่เขาก็เป็นหัวหน้าได้เพียงวันเดียวก็ถูกหมาป่าที่มีอยู่มากมายบนเกาะฆ่าตาย...
'ฉันจำอะไรตอนนั้นไม่ได้มากนัก จำได้แต่ว่าดวงอาทิตย์ขึ้นและตกไปหลายดวง ฉันคิดว่าจะทำอะไรต่อไปในเมื่อตอนนี้เหลือฉันอยู่เพียงคนเดียวแล้ว...........'
โอ...อ่านแล้วช่างสะท้อนสะเทือนใจเสียจริง... นึกย้อนถึงตัวเองในวัย ๑๒ ปี ถ้าต้องถูกทิ้งให้ต้องโดดเดี่ยวเดียวดายอยู่บนเกาะ เราจะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างไร...? นึกภาพไม่ออกเอาจริง ๆ แต่การานาทำได้ และทำได้อย่างแสนจะน่าประทับใจ อ่านไปลุ้นไป เอาใจช่วยเธออยู่ตลอดเวลา...
ร่วมรับรู้อารมณ์ของเด็กหญิงผู้โดดเดี่ยวโดยตลอด...ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์กลัว...กล้า...หวาดระแวง...หวังและสิ้นหวัง...ฯลฯ และเรียนรู้ที่จะเติบโต...และเอาชีวิตรอดไปพร้อม ๆ กับเธอ... เรื่องเล่าของเธอหมดจดงดงามและเรียบง่าย... หากก็ตื่นเต้นเร้าใจเป็นนักหนา... ทุกฉากทุกตอน เธอบรรยายทั้งเหตุการณ์และความรู้สึกของตัวเองได้อย่างละเอียดลออ...ชวนติดตามและน่าประทับใจ
....เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งชีวิตที่กล้าแกร่ง เข้มแข็งและอดทน...
**อ่านจบแล้วคิดถึงความตอนหนึ่งในบันทึกของธอโร (Henry David Thoreau) จากหนังสือชื่อ "วอลเดน" ที่บอกว่า...
'...มนุษย์คือสัตว์สังคม คือเผ่าพันธุ์แห่งการเอาเยี่ยงอย่าง และ ลอกเลียนแบบ มนุษย์มักรู้สึกกลัวที่ไม่ได้เป็นเหมือนคนอื่น ทว่ามีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่จะสามารถเอาชนะความกลัวภายในตนเอง กล้าที่จะหลุดพ้นออกไปจากกรอบอันเท็จเทียมของสังคม และพบกฎเบื้องสูงภายในตัวเอง... ........ ยิ่งเขาทำให้ชีวิตเรียบง่ายเท่าใด, กฎแห่งจักรวาลก็ยิ่งซับซ้อนน้อยลงเท่านั้น, และความสันโดษก็จะมิใช่ความสันโดษ, ความยากจนมิใช่ความยากจน, ความอ่อนแอ มิใช่อ่อนแอ' (คัดจาก 'วอลเดน' แปลโดยสุริยฉัตร ชัยมงคล หน้า ๔๑๙)
เมื่ออ่านจบ...มิพักต้องสงสัยในรางวัลมากมายจากหลายหลากสถาบันที่หนังสือเล่มนี้ได้รับ อีกทั้งถูกบันทึกให้เป็น ๑ ใน ๑๐ วรรณกรรมเยาวชนยอดเยี่ยมในรอบ ๒๐๐ ปีทีเดียว! จึงหยิบมาชวนอ่านอย่างแรงอีกเล่มค่ะ
|
เดี๋ยวแวะมาอ่านใหม่เน้อครับ