จากนักร้องสู่อาจารย์ จากแฟนคลับสู่แฟนคลับ


หมายเหตุ : บล็อกนี้มีความเวิ่นเว้อ อาจจะหาสาระอะไรไม่ค่อยได้นะคะ

เนื่องจากวันนี้เราได้แชร์ลิงค์ดาวน์โหลด ‘แจกฟรี!! พจนานุกรมคำใหม่ เล่ม 1 ฉบับราชบัณฑิตยสถาน’ //www.trueplookpanya.com/new/cms_detail/teacher/25889 ลงในเฟซ ก็ได้มีคนมากดไลค์ 1 ในนั้นก็มีพี่มาร์ตินซึ่งเป็นอดีตนักร้องที่เราชื่นชอบมากด บอกตรงๆ เวลาเห็นศิลปินมากดไลค์ หรือใครก็ตามที่เราชื่นชอบมากดไลค์ เราก็แอบกรี๊ดอยู่ในใจนะ

ปัจจุบันพี่เขาเป็นอาจารย์แล้ว เราก็ยังกรี๊ดอยู่ ในความรู้สึกของเรา เขายังคงเป็นศิลปินที่เราชื่นชอบและชื่นชมอยู่ ในบทบาทของอาจารย์เขาก็ทำได้ดีเยี่ยม เราชอบเข้าไปดูเฟซของเขา ชอบดูแนวคิด หลักการสอน และดูรูปนักศึกษาที่เขาถ่ายไว้เวลาให้ออกมาพรีเซนต์หรือลองฝึกสอนที่หน้าชั้นเรียน ทุกๆ คนดูมีความสุขมากนะ นักศึกษาทุกๆ คนก็รักเขา

เราชอบอ่านคอมเมนต์นักศึกษาในเฟซเขาเหมือนกัน เขาดูเป็นกันเองกับนักศึกษาดีนะ แต่ถ้าเราเจอเขา เราคงจะเกร็งอยู่ เพราะเราก็ไม่ได้เจอเขามานานมากๆ ตอนที่เราเจอเขา เขาเป็นนักร้อง เราเป็นแฟนคลับ ก็มีเกร็งช่วงแรกๆ แต่หลังๆ เราก็รู้สึกผ่อนคลาย เพราะเขาเข้ามาคุยเป็นกันเองมาก เขาจำเราได้ เพราะเราตามเกือบตลอด งานไหนเราไปได้เราก็ไป ตอนนั้นมีเบอร์โทรผู้จัดการเขาด้วย เวลามีงานอะไรพี่เขาก็จะโทรมา ก็รู้สึกดีนะที่ได้รู้จักและผูกพันกับศิลปินคนหนึ่ง

ถึงตอนนี้สถานะเขาจะเปลี่ยนไป แต่เราก็ยังคงเป็นแฟนคลับอยู่เสมอ และจะเป็นตลอดไป เพราะเราคงไม่มีโอกาสเป็นนักศึกษาของเขา หรือถึงเป็น เราก็คงเรียนไม่รู้เรื่อง อาจจะมัวแต่นั่งมองอาจารย์ นักศึกษาที่เรียนกับเขา บางคนอาจจะไม่รู้ว่าเขาเคยเป็นศิลปินมาก่อน

เขาเป็นอาจารย์ที่ดูสุขุม บางครั้งก็มีแอบดุ (ดูจากในเฟซ) แต่ก็อย่างนี้แหละบทบาทของอาจารย์ ย่อมต้องมีความจริงจัง แต่ถ้าจริงจังเกินไป เด็กก็อาจจะกลัว ต้องมีมุมที่ผ่อนคลายบ้าง

เพื่อนของเราที่เป็นอาจารย์ก็มีสองมุม คือ มุมจริงจัง กับ มุมผ่อนคลาย เราก็ชอบเข้าไปอ่านเฟซเพื่อนคนนี้เหมือนกันก็ได้แง่คิดและได้เห็นเรื่องราวเกี่ยวกับนักศึกษา ซึ่งมันก็คล้ายๆ กับยุคของเราและยุคที่เขาเป็นนักศึกษานั่นแหละ



หน้าปกซีดี.พร้อมลายเซ็นของพี่เทมส์และพี่มาร์ติน




รูปพี่มาร์ติน ณ ปัจจุบัน และวง 3 Plus One จาก Prism Digital Magazine



Create Date : 07 กรกฎาคม 2559
Last Update : 7 กรกฎาคม 2559 19:01:54 น.
Counter : 2042 Pageviews.

10 comment
ว่าด้วยเรื่องลูกเสือ เนตรนารี



 


พอดีเห็นจากในพันทิปว่าวันนี้ (วันที่ 1 กรกฎาคม) เป็นวันสถาปนาลูกเสือแห่งชาติ ก็เลยอยากจะเขียนเรื่องราวความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องลูกเสือ เนตรนารี ซึ่งแน่นอนว่าเป็นผู้หญิงก็เป็นลูกเสือไม่ได้ ต้องเป็นเนตรนารีอยู่แล้ว เราก็เป็นเนตรนารีมาตั้งแต่เรียนประถม จนมาเข้ามัธยมที่ศรีวิกรม์ก็ยังเป็นเนตรนารีอยู่ เพราะไม่มีให้เลือก

ความจริงเราอยากเป็นอย่างอื่นนะ อยากเป็นบำเพ็ญประโยชน์ เพราะมีความรู้สึกว่าเนตรนารีมันหนัก มันโหดกว่าตัวเลือกอื่น บอกตรงๆ ว่าแอบอิจฉาเพื่อนโรงเรียนอื่นที่มีให้เลือกเยอะทั้งยุวกาชาด บำเพ็ญประโยชน์ ลูกเสือสมุทร แต่เราไม่มีให้เลือก ก็ต้องเป็นเนตรนารีกันไป

แล้วพอเป็นเนตรนารีมันก็ต้องมีหัวหน้าหมู่ ทีนี้ความซวยมาเยือนละ เพราะหัวหน้าหมู่เขาจะเลือกจากคนตัวสูง และไอ้เราก็ดันตัวสูงซะด้วย ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงสูง กีฬาก็ไม่ค่อยชอบเล่น บางทีก็อยากจะแบ่งๆ ความสูงไปให้คนอื่นมั่ง โดยเฉพาะเวลาที่จะต้องมาเป็นหัวหน้าหมู่

ตอนเลือกหัวหน้าหมู่เนี่ยคนที่ตัวสูงก็จะมาเปรียบเทียบความสูงกัน ซึ่งแต่ละคนก็อยากจะเป็นกันมาก ผลักกันไปผลักกันมา “แกสูงกว่า” “แกนั่นแหละสูงกว่า” เอิ่ม... สุดท้ายคนที่เถียงไม่ออก ก็ต้องเป็นไปตามระเบียบ (กรูเนี่ย)

เมื่อมีคนตัวสูงแล้ว ก็ต้องมีคนตัวเล็กมาเป็นรองหัวหน้า คนที่ตัวเล็กนี่ก็พอกัน ไม่มีใครอยากเป็น คือ บางครั้งก็ไม่เข้าใจ ทำไมไม่เอาคนที่สูงกลางๆ มาเป็นมั่ง คนที่สูงที่สุดกับคนที่ตัวเล็กที่สุดนี่โดนตลอด บางครั้งก็อยากจะให้มีการโอน้อยออก ใครออกก็เป็นเลย มันดูแฟร์ๆ ดี หรือไม่ก็จับสลาก จะได้ไม่รู้สึกว่าเป็นชะตากรรมของคนตัวสูงกับคนตัวเล็ก

เพราะพอเป็นหัวหน้าหมู่ ความรับผิดชอบอะไรต่างๆ มันจะตกมาที่หัวหน้าหมู่หมด จะทำกิจกรรมอะไรต่างๆ ก็จะต้องเป็นคนนำ แต่มองในแง่ดี มันก็เป็นการฝึกเรานะ ให้เรารับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าที่บางครั้งก็ไม่ได้เตรียมตัว

อย่างตอนที่ต้องนำสวดมนต์เราไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน จู่ๆ อาจารย์ก็ชี้มือมาทางหมู่เราให้เป็นคนนำสวด คนที่นำสวดต้องเป็นหัวหน้าหมู่คือเรา ต้องนำทั้งระดับชั้นสวด (ณ จุดจุดนั้นอยากเปลี่ยนศาสนาขึ้นมาทันที) เมื่อทุกสายตาจับจ้อง เราก็โคตรตื่นเต้น สวดผิดๆ ถูกๆ ไม่รู้จะต้องเว้นจังหวะตรงไหน ด้วยความที่เวลาอยู่โรงเรียนก็สวดๆ ตามคนอื่นเขา ไม่ได้คิดว่าวันหนึ่งจะต้องมาเป็นคนนำสวด หลังจากนำสวดมนต์จบ อาจารย์ก็ถาม “เธอนับถือพุทธหรือเปล่า” ตอนนั้นแทบอยากจะเอาปี๊บคลุมหัว อย่างอายอะ เลยต้องไปฝึกสวดมนต์เผื่อต้องใช้ในโอกาสข้างหน้า

นอกจากการเป็นหัวหน้าหมู่แล้ว การไปเข้าค่ายก็ได้ฝึกอะไรหลายๆ อย่าง อย่างเวลาไปอาบน้ำก็ต้องผลัดเปลี่ยนผ้าถุงให้เป็นซึ่งเราก็ได้ฝึกมาตั้งแต่ป.6 ช่วงที่ไปเข้าค่ายลูกเสือวชิราวุธรวมกับหลายๆ โรงเรียน และไม่มีห้องน้ำพอสำหรับผู้หญิง เราต้องอาบน้ำกลางแจ้ง โดยมีผ้าขึงกั้นรอบด้าน

ตอนนั้นก็อายนะ เพราะคนภายนอกก็สามารถมองเห็นได้ เพราะผ้าที่ขึงมันไม่ได้สูงเลยระดับศีรษะ มันแค่ประมาณช่วงตัว แต่เพราะนุ่งผ้าถุงและอาบกับหลายๆ คนมันก็ลดความอายลงไป


การเข้าค่ายทำให้เราได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง และทำให้ได้รู้ซึ้งถึงคำว่ามิตรภาพและความสามัคคีจากเพื่อนต่างห้อง เพราะในหมู่เราจะมีคนที่มาจากห้องเดียวกันแค่คนสองคน นอกนั้นจะเป็นคนต่างห้อง นอกจากนี้ความห่วงใยจากคนอื่นๆ จากครูอาจารย์ก็ทำให้เรารู้สึกซึ้ง อย่างครูพละตอนม.ต้นเขาจะรู้ว่าเราไม่ค่อยถนัดด้านกีฬา พอถึงวันที่มีผจญภัย เขาก็มาให้กำลังใจ บอกตั้งแต่ตอนเช้าให้กินข้าวเยอะๆ จะได้มีแรง เป็นครูที่น่ารักมาก

นอกจากจะได้กำลังใจจากคุณครูแล้ว ครั้งหนึ่งตอนไปเข้าค่าย(ค่ายลูกเสือวชิราวุธตอนป.6) เรายังได้รับกำลังใจจากคุณตาเปี๊ยก น้องชายของคุณยายที่อยู่ที่ศรีราชาแวะมาเยี่ยมและเอาขนมมาให้ ตอนนั้นกำลังเล่นกิจกรรมรอบกองไฟอยู่กับหลายๆ โรงเรียน คุณตาเปี๊ยกก็มาหา แต่จำชื่อจริงเราไม่ได้ ก็บอกคุณครูว่ามาหาแตง ป.6/1 ครูเขาก็บอกว่าไม่มีนะคะ มีแต่แตงป.6/7 โชคดีที่มีครูคนหนึ่งรู้จักชื่อเล่นเรา เป็นครูประจำชั้นเราตอนป.3 เพราะปกติโรงเรียนเราจะเรียกชื่อจริงกัน มีคุณครูตอนป.3 ที่เรียกชื่อเล่น ไม่อย่างนั้นก็อาจจะไม่ได้เจอกันก็ได้

ตอนไปเข้าค่ายลูกเสือวชิราวุธตอนป.6 มีช่วงหนึ่งเกิดไฟป่าด้วย เลยทำให้งดฐานกิจกรรมผจญภัย ซึ่งวันนั้นกลุ่มเราจะต้องไปเข้าฐาน เราแอบดีใจอยู่เงียบๆ แต่คนอื่นๆ คงเสียใจ เพราะหลายๆ คนก็ชอบกิจกรรมในฐานนี้

และนี่ก็คือเรื่องราวที่ว่าด้วยเรื่องลูกเสือ เนตรนารีที่อยู่ในความทรงจำของเราที่ต้องขอบันทึกไว้เป็นอนุสรณ์...




Create Date : 02 กรกฎาคม 2559
Last Update : 2 กรกฎาคม 2559 0:15:17 น.
Counter : 1652 Pageviews.

4 comment
น้ำท่วมในความทรงจำ
ใจจริงอยากจะเขียนเรื่องนี้ตั้งแต่สัปดาห์ก่อน ช่วงที่ฝนตกหนักมากๆ และมีน้ำท่วมในหลายจุด เพราะให้คิดถึงอดีตที่มีความทรงจำที่น่ารักๆ และความทรงจำที่น่าหวาดเสียว (เฉียดตาย) กับเหตุการณ์ที่ฝนตกหนักและน้ำท่วม

ขอเริ่มต้นกับความทรงจำที่น่ารักๆ ก่อน คือ ตอนเด็กๆ จำได้คร่าวๆ ว่าได้นั่งลอยกะละมังเล่นที่หน้าบ้าน โตขึ้นมาหน่อยก็เป็นความสุขใจที่ได้หยุดเรียน (อันนี้ไม่ดีนะ) เด็กๆ อะ พอรู้ว่าเลื่อนเปิดเทอมก็ดีใจ ตอนนั้นอยู่ม.ต้นได้เลื่อนเปิดเทอมไป 1 สัปดาห์

ขึ้นม.ปลาย อันนี้เป็นความทรงจำที่น่าหวาดเสียว และเป็นความทรงจำที่เราไม่อาจจะลืมได้ คือ ในวันนั้นเป็นวันที่ห้องเรามีสอบอ่านภาษาอังกฤษหลังจากที่เลิกเรียน เราก็จะไปเข้าคิวสอบอ่านกัน ช่วงขณะนั้นฝนก็เริ่มตกแล้วล่ะ คนที่เขาเลิกเรียนกันแล้วเขาก็ทยอยกลับกันไป คงเหลือแต่ห้องเราเพียงเท่านั้นที่ยังรอสอบอ่านกันทีละคน คนที่สอบอ่านเสร็จแล้วบางคนก็รอเพื่อนยังไม่กลับ ขณะนั้นฝนก็เริ่มตกหนักขึ้น ตกแบบจั้กๆ ก็เริ่มกลับลำบากละ ยังไงก็ต้องรอให้ฝนซาก่อนถึงจะลงกันไปได้ ตอนนั้นเพื่อนๆ ที่ยังอยู่กันในห้อง ก็น่าจะประมาณสัก 30 คน พอฝนเริ่มซาก็ทยอยกันลงมา ลงมาเป็นกลุ่มๆ แต่ยังไงเราก็มากระจุกตัวรวมกัน ณ ที่จอดรถสองแถว เพื่อจะรอรถสองแถวเพื่อจะออกไปหน้าปากซอย ซึ่งวันนั้นฝนก็ตก น้ำท่วมนะ เราก็เดินลุยน้ำกันมารอขึ้นรถ แต่รถก็ยังไม่มาสักที เป็นครึ่งชั่วโมง ตอนนั้นก็น่าจะประมาณสักหกโมงครึ่งได้แล้ว ฟ้าเริ่มมืด

เมื่อรถสองแถวเล็กมาเราก็กรูกันขึ้น แต่เราน่ะตัวเราได้มาอยู่รั้งท้ายโหนตรงบันได แต่ได้เพื่อนที่นั่งช่วยถือกระเป๋านักเรียนให้ ครั้งนั้นก็เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เรายืนบันไดรถสองแถว ปกติเราจะไม่ขึ้นนะถ้ารถเต็ม แต่นี่มันไม่ปกติ เราก็ไม่รู้ว่าต้องรอต่อไปอีกเท่าไหร่ รถคันใหม่ถึงจะมา และมันก็ค่ำลงเรื่อยๆ ก็ยืนมันไป ต้องบอกเลยว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืม เพราะรถมันต้องขึ้นสะพานข้ามทางด่วนสุขุมวิท 62 เป็นจุดที่ค่อนข้างอันตราย และรถก็วิ่งกันเร็ว ตอนที่ขึ้นสะพาน ใจเราปิ๋ววิ้วมากๆ เพราะเพื่อนที่ยืนในรถก็เล่นกันดันกัน บอกตรงๆ เสียวตกลงไปสุดๆ ถ้าจับราวไม่แน่นพอ หรือทรงตัวได้ไม่ดี ก็คิดว่าคงจะไม่มีมานั่งพิมพ์อะไรอยู่ตรงนี้ คงจะจบชีวิตไปแล้วตั้งแต่ม.4 ซึ่งจากเหตุการณ์ในวันนั้นก็ทำให้เราได้ข้อคิดว่าเราไม่ควรประมาท และอย่าเอาชีวิตไปเสี่ยงกับอะไรให้มันมากเกินไป เพราะถ้าเราตายเราก็แค่ตาย แต่คนข้างหลังเรานี่คงจะเสียใจมาก

นับจากวันนั้นเราก็บอกกับตัวเองว่าถ้าเจอเหตุการณ์แบบวันนั้นอีก เราจะลุย คือ ถอดรองเท้าเดินลุยเลย เราสามารถเดินออกจากโรงเรียนเรา (พระโขนงพิทยาลัย) ไปหน้าปากซอยสุขุมวิท 62 ได้นะ เพราะชอบเดินอยู่แล้ว ก็เดินไปเรื่อยๆ แต่ก็อาจจะเป็นน้ำกัดเท้าได้ ก็ช่างมัน หรือไม่ก็ทนรอคันใหม่ จะมาอีกครึ่งชั่วโมง หรือชั่วโมงก็รอไป แต่เราจะไม่ทำอีกแล้ว คือยืนตรงบันได

น้ำท่วมในความทรงจำครั้งถัดมาก็น่าจะเป็นน้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯ ที่แต่ละคนก็อพยพกันไปอยู่ต่างจังหวัด เราก็ไปอยู่แม่กลอง บ้านเก่า(บ้านเกิด)ของคุณตาที่ปัจจุบันทำเป็นโฮมสเตย์ให้ญาติๆ ดูแล ก็ไปอยู่กันที่นั่น ก็สบายๆ ดี รู้สึกชีวิตช้าลง อยู่กับธรรมชาติ

และนี่ก็เป็นน้ำท่วมในความทรงจำของเรา ที่แน่นอนว่าจะไม่มีวันลืม...



Create Date : 01 กรกฎาคม 2559
Last Update : 1 กรกฎาคม 2559 0:17:03 น.
Counter : 1126 Pageviews.

10 comment
น่าสงสารพี่ทศ คนดีๆ ที่เธอไม่รัก (ลายหงส์)



 

ในละครส่วนใหญ่ คนดีๆ ที่มักถูกทิ้งคือพระรอง แต่เรื่องนี้คือพระเอก แต่อย่างว่าพระเอกกับนางเอกก็ไม่มีอะไรที่เข้ากันได้มาตั้งแต่ต้น พระเอกคิดว่าจะสามารถเปลี่ยนนางเอกได้หลังจากแต่งงาน แต่ความจริงคือไม่ได้เลย จริงๆ ถ้าจะเปลี่ยนมันต้องเปลี่ยนให้ได้ตั้งแต่ก่อนแต่ง หรือถ้าจะปล่อยให้เขาเป็นอย่างนั้น ใจเราต้องมีความอดทนและนิ่ง ต้องยอมรับสภาพและแบกรับในสิ่งที่เขาเป็นให้ได้

ถ้ายอมรับไม่ได้ แบกรับไม่ได้ ก็จะเกิดการทะเลาะ พอทะเลาะและอีกฝ่ายหนึ่งทนไม่ไหว เขาก็ไป ดังนั้น ความรักกับความดีบางครั้งมันก็ไม่ได้ไปด้วยกัน

คนดีก็คือคนดี ทำดีสักวันก็ต้องได้ดี แต่คนดีทำดี ไม่ได้แปลว่าจะได้รักนะ คนที่ไม่ดีได้รักก็มีถม แต่สุดท้ายแล้วคนที่เลือกคนไม่ดีก็จะรู้เองแหละว่าจะเป็นยังไง เหมือนอย่างในเพลง... “และแล้วฉันเองก็ได้รู้ความจริง ว่าสิ่งที่เคยตามไปเสาะหา มันเป็นแค่เพียงภาพลวง ไม่อาจจะสัมผัสมันได้เลย”

เพราะคนไม่ดีเขาก็จะมีหน้ากาก อยู่ที่ว่าคุณมองเห็นหรือมองไม่เห็น หรือบางครั้งมองเห็นก็อยากจะไปเล่น ให้ได้มีความสุข ความสนุกกันเพียงชั่วครู่ ถ้าคนไม่ดีเปลี่ยนเป็นคนดีได้ก็ดี แต่ถ้าเปลี่ยนไม่ได้ก็สวัสดีกันไป เมื่อเลือกกันไปแล้วก็ต้องยอมรับกับผลนั้นๆ

ไม่มีใครคอยบอก หรือช่วยเหลือกันได้ตลอด คุณต้องอยู่และยอมรับกับผลตรงนั้นให้ได้ไม่ว่ามันจะเป็นยังไง แต่ถ้าให้แนะ ก็เลือกคนดีดีกว่า เพราะคนดียังไงก็เป็นคนดี ถึงจะไม่ใช่คนที่เรารักอะไรมาก แต่เขาก็เป็นคนดี

เลยรู้สึกสงสารพี่ทศที่ถูกหนึ่งทิ้ง แต่สุดท้ายแล้วพี่ทศก็จะได้เจอคนที่เข้ากับพี่ทศได้นั่นแหละ ส่วนหนึ่งเธอก็คงจะต้องเผชิญอะไรอีกเยอะ และสุดท้ายเธอก็จะรู้ว่า... ขอบฟ้าไม่มีจริง





Cr. Youtube : ขอบฟ้าไม่มีจริง Ost. ลายหงส์ (เพลิงกฤษณา)




Create Date : 29 มิถุนายน 2559
Last Update : 1 ตุลาคม 2559 17:06:10 น.
Counter : 1778 Pageviews.

4 comment
Club Friday The Series 7 ตอน 'รักต้องเลือก' กับประเด็นแม่ผัวลูกสะใภ้


จบไปแล้วกับ Club Friday The Series 7 ตอน Home ซึ่งก็จบไม่สวยอย่างที่คาดเอาไว้จริงๆ นั่นเป็นเพราะทั้งคู่ไม่เคยรับฟังความรู้สึกที่แท้จริงของกันและกัน เมื่อฝ่ายหนึ่งต้องทนเก็บความรู้สึกเอาไว้ ไม่สื่อสารหรือแสดงอะไรออกมา ณ วันวันหนึ่งเมื่อเขาเจอใครที่รู้สึกว่าเข้ากับตัวเองได้ เขาก็หาทางไป นางเอกก็เศร้าซึมไปตามระเบียบก็เพราะความจัดแจงของตัวเองด้วยส่วนหนึ่ง ถ้าได้พูดคุย นั่งจับเข่าคุยกันสักนิด เรื่องมันคงไม่ลงเอยแบบนี้

ความรักจึงไม่ใช่แค่มีรักอย่างเดียวแล้วจะสมหวัง มันต้องมีความเข้าใจ ยอมรับตัวตน และความต้องการของอีกฝ่ายหนึ่งด้วย ถ้าไม่มีตรงนี้ เราว่าการอยู่เป็นโสดก็เป็นทางออกที่ดี เพราะคุณไม่ต้องคาดหวัง อยากจะทำอะไรก็ทำ

ส่วนตอนหน้าก็จะเป็นตอนสุดท้ายของซีซั่นนี้ เรียกว่าเป็นตอนที่แรงตอนหนึ่ง กับ ‘รักต้องเลือก’ ซึ่งมันมีอยู่ 2 ประเด็น คือ 1.ประเด็นแม่ผัวกับลูกสะใภ้ 2.ประเด็นเรื่องอาชีพพริตตี้






สำหรับประเด็นเรื่องแม่ผัวลูกสะใภ้ เราว่าในชีวิตจริงคงจะมีหลายบ้านที่เจอปัญหา ในนิยายในละครเราก็จะพบเห็นบ่อยครั้ง แต่กับบ้านเราไม่มีนะ เพราะแม่เราใจดีมาก ลูกรักใครแม่ก็รักด้วย เรียกว่าผ่านด่านแม่อย่างชิลล์ๆ แต่กับบ้านอื่นๆ ก็คงต้องปรับตัวกัน เพราะแต่ละบ้านก็คงไม่เหมือนกัน

อย่างที่เขาบอกเวลาเราแต่งงานเราไม่ได้แต่งกันแค่สองคน เราแต่งกับครอบครัวเขาด้วย ดังนั้น ก่อนจะไปถึงงานแต่งงาน คุณจะต้องฝ่าด่านเขาไปให้ได้ ซึ่งจะหนักหนาสาหัสสากรรจ์แค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบ้าน แต่อย่างที่พี่อ้อย พี่ฉอดบอก “ถ้าเรารักกันมากพอ เรามันจะผ่านมันไปได้” แต่ที่ผ่านกันไม่ได้ เพราะมีคนใดคนหนึ่งท้อไปก่อนนั่นเอง

ต่างฝ่ายต่างก็ต้องพิสูจน์ พยายามอดทน เปลี่ยนแปลงตัวเอง เพราะถ้าจะให้เปลี่ยนแปลงความคิดของผู้ใหญ่บางทีมันก็เป็นเรื่องยาก

ประเด็นถัดมาคือประเด็นเรื่องอาชีพ อาชีพพริตตี้ที่แอม นางเอกในเรื่องทำ ประเด็นนี้จากในตัวอย่างเป็นอะไรที่ค่อนข้างแรงจากคำพูดของแม่พระเอกในเรื่อง ซึ่งจะว่าไปมันก็เป็นความคิดของผู้ใหญ่แค่บางคนเท่านั้น บางทีการที่เราเสพสื่ออะไรเข้าไปมาก โดยไม่แยกแยะ มันก็อาจจะทำให้เกิดความคิดด้านลบได้ เราต้องมองว่าทุกอาชีพ มันก็มีอะไรที่เทาๆ มีทั้งคนดี คนไม่ดี อาชีพพริตตี้ไม่ใช่อาชีพของผู้หญิงหากิน เขาแค่ใช้ความสวย รูปร่างเป็นจุดขายเท่านั้น พริตตี้บางคนก็มีความรู้มาก แต่เราดันไปตัดสินที่อาชีพของเขา ซึ่งมันไม่ถูก

ทุกๆ คนก็ต้องทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพ อยู่ที่ว่าเขาจะถนัดงานด้านไหน อย่างตัวเราเขียนนิยายโรมานซ์ที่บ้านก็ไม่ได้สนับสนุนนะ น้าเราอ่านแล้วยังบอกไม่อยากให้เขียน เพราะกลัวว่าวัยรุ่นอ่าน แล้วอยากจะเลียนแบบ ซึ่งบางทีเราก็อยากจะบอกว่าวัยรุ่นน่ะเขาอ่านนิยายแจ่มใสกัน กลุ่มเป้าหมายของคนที่อ่านนิยายโรมานซ์ส่วนใหญ่จะเป็นวัยมหา’ลัย ไปจนถึงวัยทำงานแล้วและเป็นผู้ใหญ่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอาจจะมีกลุ่มวัยรุ่นมาซื้อ เพราะวางขายในเซเว่น หยิบง่าย ซื้อง่ายไม่มีการตรวจบัตร

เราเลยต้องหันไปเขียนแนวอื่นๆ บ้าง และหวังว่าสักวันเราจะเลิกเขียนงานนิยายโรมานซ์ได้อย่างถาวร เพราะเราก็เจอคำด่าจากเพื่อนสนิทสมัยประถม จนทำให้เราต้องบล็อกเขาไปถึงสองครั้ง แต่เราไม่ได้โกรธเขาหรอกนะ ก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่นั่นแหละ เพียงแต่ตอนนี้ขอห่างๆ ไว้ก่อน ไว้เมื่อไหร่เราเลิกเขียนนิยายโรมานซ์ได้อย่างถาวร เมื่อนั้นเราจะปลดบล็อกเขา

การเปลี่ยนความคิดอะไรใครจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าเราไม่ปรับที่ตัวเรา ก็ไม่รู้จะไปปรับที่ไหนละ


เครดิตรูปภาพ : เว็บผู้จัดการ ละครออนไลน์
คลิปวิดีโอ Youtube : Club Friday The Series 7 เหตุเกิดจากความรัก ตอน รักต้องเลือก




Create Date : 26 มิถุนายน 2559
Last Update : 26 มิถุนายน 2559 9:48:19 น.
Counter : 6843 Pageviews.

4 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  

comicclubs
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 27 คน [?]



Group Blog
All Blog
  •  Bloggang.com