พอดีเห็นจากในพันทิปว่าวันนี้ (วันที่ 1 กรกฎาคม) เป็นวันสถาปนาลูกเสือแห่งชาติ ก็เลยอยากจะเขียนเรื่องราวความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องลูกเสือ เนตรนารี ซึ่งแน่นอนว่าเป็นผู้หญิงก็เป็นลูกเสือไม่ได้ ต้องเป็นเนตรนารีอยู่แล้ว เราก็เป็นเนตรนารีมาตั้งแต่เรียนประถม จนมาเข้ามัธยมที่ศรีวิกรม์ก็ยังเป็นเนตรนารีอยู่ เพราะไม่มีให้เลือก
ความจริงเราอยากเป็นอย่างอื่นนะ อยากเป็นบำเพ็ญประโยชน์ เพราะมีความรู้สึกว่าเนตรนารีมันหนัก มันโหดกว่าตัวเลือกอื่น บอกตรงๆ ว่าแอบอิจฉาเพื่อนโรงเรียนอื่นที่มีให้เลือกเยอะทั้งยุวกาชาด บำเพ็ญประโยชน์ ลูกเสือสมุทร แต่เราไม่มีให้เลือก ก็ต้องเป็นเนตรนารีกันไป
แล้วพอเป็นเนตรนารีมันก็ต้องมีหัวหน้าหมู่ ทีนี้ความซวยมาเยือนละ เพราะหัวหน้าหมู่เขาจะเลือกจากคนตัวสูง และไอ้เราก็ดันตัวสูงซะด้วย ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงสูง กีฬาก็ไม่ค่อยชอบเล่น บางทีก็อยากจะแบ่งๆ ความสูงไปให้คนอื่นมั่ง โดยเฉพาะเวลาที่จะต้องมาเป็นหัวหน้าหมู่
ตอนเลือกหัวหน้าหมู่เนี่ยคนที่ตัวสูงก็จะมาเปรียบเทียบความสูงกัน ซึ่งแต่ละคนก็อยากจะเป็นกันมาก ผลักกันไปผลักกันมา แกสูงกว่า แกนั่นแหละสูงกว่า เอิ่ม... สุดท้ายคนที่เถียงไม่ออก ก็ต้องเป็นไปตามระเบียบ (กรูเนี่ย)
เมื่อมีคนตัวสูงแล้ว ก็ต้องมีคนตัวเล็กมาเป็นรองหัวหน้า คนที่ตัวเล็กนี่ก็พอกัน ไม่มีใครอยากเป็น คือ บางครั้งก็ไม่เข้าใจ ทำไมไม่เอาคนที่สูงกลางๆ มาเป็นมั่ง คนที่สูงที่สุดกับคนที่ตัวเล็กที่สุดนี่โดนตลอด บางครั้งก็อยากจะให้มีการโอน้อยออก ใครออกก็เป็นเลย มันดูแฟร์ๆ ดี หรือไม่ก็จับสลาก จะได้ไม่รู้สึกว่าเป็นชะตากรรมของคนตัวสูงกับคนตัวเล็ก
เพราะพอเป็นหัวหน้าหมู่ ความรับผิดชอบอะไรต่างๆ มันจะตกมาที่หัวหน้าหมู่หมด จะทำกิจกรรมอะไรต่างๆ ก็จะต้องเป็นคนนำ แต่มองในแง่ดี มันก็เป็นการฝึกเรานะ ให้เรารับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าที่บางครั้งก็ไม่ได้เตรียมตัว
อย่างตอนที่ต้องนำสวดมนต์เราไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน จู่ๆ อาจารย์ก็ชี้มือมาทางหมู่เราให้เป็นคนนำสวด คนที่นำสวดต้องเป็นหัวหน้าหมู่คือเรา ต้องนำทั้งระดับชั้นสวด (ณ จุดจุดนั้นอยากเปลี่ยนศาสนาขึ้นมาทันที) เมื่อทุกสายตาจับจ้อง เราก็โคตรตื่นเต้น สวดผิดๆ ถูกๆ ไม่รู้จะต้องเว้นจังหวะตรงไหน ด้วยความที่เวลาอยู่โรงเรียนก็สวดๆ ตามคนอื่นเขา ไม่ได้คิดว่าวันหนึ่งจะต้องมาเป็นคนนำสวด หลังจากนำสวดมนต์จบ อาจารย์ก็ถาม เธอนับถือพุทธหรือเปล่า ตอนนั้นแทบอยากจะเอาปี๊บคลุมหัว อย่างอายอะ เลยต้องไปฝึกสวดมนต์เผื่อต้องใช้ในโอกาสข้างหน้า
นอกจากการเป็นหัวหน้าหมู่แล้ว การไปเข้าค่ายก็ได้ฝึกอะไรหลายๆ อย่าง อย่างเวลาไปอาบน้ำก็ต้องผลัดเปลี่ยนผ้าถุงให้เป็นซึ่งเราก็ได้ฝึกมาตั้งแต่ป.6 ช่วงที่ไปเข้าค่ายลูกเสือวชิราวุธรวมกับหลายๆ โรงเรียน และไม่มีห้องน้ำพอสำหรับผู้หญิง เราต้องอาบน้ำกลางแจ้ง โดยมีผ้าขึงกั้นรอบด้าน
ตอนนั้นก็อายนะ เพราะคนภายนอกก็สามารถมองเห็นได้ เพราะผ้าที่ขึงมันไม่ได้สูงเลยระดับศีรษะ มันแค่ประมาณช่วงตัว แต่เพราะนุ่งผ้าถุงและอาบกับหลายๆ คนมันก็ลดความอายลงไป
การเข้าค่ายทำให้เราได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง และทำให้ได้รู้ซึ้งถึงคำว่ามิตรภาพและความสามัคคีจากเพื่อนต่างห้อง เพราะในหมู่เราจะมีคนที่มาจากห้องเดียวกันแค่คนสองคน นอกนั้นจะเป็นคนต่างห้อง นอกจากนี้ความห่วงใยจากคนอื่นๆ จากครูอาจารย์ก็ทำให้เรารู้สึกซึ้ง อย่างครูพละตอนม.ต้นเขาจะรู้ว่าเราไม่ค่อยถนัดด้านกีฬา พอถึงวันที่มีผจญภัย เขาก็มาให้กำลังใจ บอกตั้งแต่ตอนเช้าให้กินข้าวเยอะๆ จะได้มีแรง เป็นครูที่น่ารักมาก
นอกจากจะได้กำลังใจจากคุณครูแล้ว ครั้งหนึ่งตอนไปเข้าค่าย(ค่ายลูกเสือวชิราวุธตอนป.6) เรายังได้รับกำลังใจจากคุณตาเปี๊ยก น้องชายของคุณยายที่อยู่ที่ศรีราชาแวะมาเยี่ยมและเอาขนมมาให้ ตอนนั้นกำลังเล่นกิจกรรมรอบกองไฟอยู่กับหลายๆ โรงเรียน คุณตาเปี๊ยกก็มาหา แต่จำชื่อจริงเราไม่ได้ ก็บอกคุณครูว่ามาหาแตง ป.6/1 ครูเขาก็บอกว่าไม่มีนะคะ มีแต่แตงป.6/7 โชคดีที่มีครูคนหนึ่งรู้จักชื่อเล่นเรา เป็นครูประจำชั้นเราตอนป.3 เพราะปกติโรงเรียนเราจะเรียกชื่อจริงกัน มีคุณครูตอนป.3 ที่เรียกชื่อเล่น ไม่อย่างนั้นก็อาจจะไม่ได้เจอกันก็ได้
ตอนไปเข้าค่ายลูกเสือวชิราวุธตอนป.6 มีช่วงหนึ่งเกิดไฟป่าด้วย เลยทำให้งดฐานกิจกรรมผจญภัย ซึ่งวันนั้นกลุ่มเราจะต้องไปเข้าฐาน เราแอบดีใจอยู่เงียบๆ แต่คนอื่นๆ คงเสียใจ เพราะหลายๆ คนก็ชอบกิจกรรมในฐานนี้
และนี่ก็คือเรื่องราวที่ว่าด้วยเรื่องลูกเสือ เนตรนารีที่อยู่ในความทรงจำของเราที่ต้องขอบันทึกไว้เป็นอนุสรณ์...