Group Blog
 
All Blogs
 
อาการแพ้อาหาร แท้จริงเป็นอย่างไร?

แท้จริงแล้วอาการหรือปฏิกิริยาทางร่างกายที่เกิดขึ้นเมื่อกินอาหารบางชนิดเข้าไป นั้น มีความแตกต่างระหว่างคำว่า การแพ้อาหาร (Food allergies) กับ การรับอาหารบางชนิดไม่ได้ (Food intolerance)

นพ.ไพบูลย์ เอกแสงศรี เรียบเรียง

คนเรานั้นมีโอกาสเกิดอาการแพ้ อาหารและการรับอาหารบางชนิดไม่ได้เป็นบางช่วงของชีวิต ซึ่งในเด็กประมาณร้อยละ 3 ที่พิสูจน์ได้ว่าแพ้อาหารจริง แต่เมื่อเป็นผู้ใหญ่อาการแพ้อาหารนั้นจะลดลงเหลือเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น

แท้จริงแล้วอาการหรือปฏิกิริยาทางร่างกายที่เกิดขึ้นเมื่อกินอาหารบางชนิดเข้า ไปนั้น มีความแตกต่างระหว่างคำว่า การแพ้อาหาร (Food allergies) กับ การรับอาหารบางชนิดไม่ได้ (Food intolerance) ทั้งนี้ การแพ้อาหาร (Food allergies) จะเกิดจากปฏิกิริยาที่ไวต่ออาหารนั้นๆ เป็นปฏิกิริยาที่ผิดปกติต่ออาหารเนื่องจากมีการกระตุ้นจากระบบภูมิต้านทาน ของร่างกาย ส่วน การรับอาหารบางชนิดไม่ได้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับระบบภูมิต้านทานแต่อย่างใด แต่ทั้งสองกลุ่มนี้จะมีอาการคล้ายคลึงกัน

ทั้งนี้การแพ้อาหาร จริงๆ มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดที่ต้องพยายามตรวจสอบและป้องกันการเกิดปฏิกิริยาการ แพ้ เพราะนอกจากทำให้เกิดภาวะเจ็บป่วยแล้ว บางคนอาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

กลไกการเกิดปฏิกิริยาการแพ้อาหาร
ปฏิกิริยาการแพ้ นั้นมีผลเกี่ยวข้องกับ 2 กลไกทางระบบภูมิต้านทาน คือ การสร้างภูมิต้านทานชนิด อี (Immunoglobulin E: IgE) ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งเรียกว่าแอนตี้บอดี้ที่อยู่ในกระแสเลือด และอีกกลไกหนึ่งเกี่ยวข้องกับมาสต์เซลล์ (Mast cell) ที่อยู่ในทุกเนื้อเยื่อของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณที่เกิดอาการแพ้ เช่น ในจมูก คอ ปอด ผิวหนัง และทางเดินอาหาร

ความสามารถในการสร้าง IgE ต่ออาหารนั้นมักมีส่วนที่ได้รับจากกรรมพันธุ์ เช่น มีคนในครอบครัวมีอาการแพ้ไม่ว่าจะแพ้อาหาร แพ้ฝุ่น แพ้เกสรดอกไม้ หอบหืด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพ่อแม่เป็นภูมิแพ้ทั้งสองฝ่าย ลูกก็จะมีโอกาสแพ้มากกว่าคนที่มีเพียงพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งที่เป็นภูมิแพ้

ก่อนที่จะเกิดอาการแพ้นั้น คนที่แพ้ต้องเคยได้รับอาหารชนิดนั้นมาก่อน เมื่อมีการย่อยอาหารก็จะกระตุ้นให้มีการสร้าง IgE จำนวนมาก ซึ่งจะเข้าไปเกาะผิวของมาสต์เซลล์ เมื่อมีการรับประทานอาหารชนิดนั้นอีกครั้ง อาหารจะไปกระตุ้น IgE จำเพาะบนผิวมาสต์เซลล์นั้น ทำให้เกิดการหลั่งสารเคมี เช่น ฮีสตามีน ซึ่งจะทำให้เกิดอาการแพ้ตามแต่บริเวณของเนื้อเยื่อที่มีการหลั่งสารเคมีนั้น เช่น มีการหลั่งสารเคมีที่บริเวณหู คอ จมูก ก็จะมีอาการคันหรือบวมที่ปาก คอ หายใจลำบาก หรือกลืนอาหารลำบาก แต่ถ้าเป็นที่บริเวณทางเดินอาหาร ก็อาจมีอาการปวดท้องหรือท้องร่วงได้

ส่วนของสารอาหารที่ทำให้ เกิดการแพ้นั้น เป็นโปรตีนในอาหารที่มักไม่ถูกสลายด้วยความร้อนในการปรุงอาหารหรือกรดใน กระเพาะอาหารหรือน้ำย่อย จึงทำให้สามารถดูดซึมผ่านเข้าสู่กระแสเลือดไปยังบริเวณเป้าหมายที่เกิดอาการ แพ้ขึ้นได้ทั่วร่างกาย

ความซับซ้อนในกระบวนการย่อยอาหารมีผล ต่อระยะเวลาและตำแหน่งที่เกิดอาการ ตัวอย่างเช่น อาการจะเริ่มต้นจากมีอาการคันที่ปากก่อนเมื่อเริ่มรับประทานอาหาร พออาหารถูกย่อยในกระเพาะอาหารแล้ว มักจะเกิดอาการทางเดินอาหาร เช่น อาเจียน ท้องร่วง และปวดท้องได้ เมื่อสารที่ทำให้แพ้เข้าสู่กระแสเลือดก็อาจทำให้ระดับความดันโลหิตตกลงได้ หากไปที่ผิวหนังก็เกิดอาการผื่นแพ้ หรือไปที่ระบบทางเดินหายใจก็อาจทำให้เกิดอาการหอบหืดได้ ซึ่งอาการต่างๆ นี้ อาจเกิดได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีจนเป็นชั่วโมงก็ได้เช่นกัน

การแพ้อาหารที่พบบ่อย
ในผู้ใหญ่อาหารที่พบว่าเกิดการแพ้ได้บ่อย ได้แก่ อาหารทะเล เช่น กุ้ง กั้ง ปู พืชเมล็ดบางชนิด เช่น ถั่ว ส่วนที่แพ้ได้แต่ไม่บ่อย ได้แก่ ปลา และไข่ ซึ่งเมื่อแพ้แล้วอาจมีอาการแพ้เพียงเล็กน้อยจนถึงขั้นรุนแรงได้ คือ อาจจะแค่คัน บวม กระทั่งความดันโลหิตตกอย่างเฉียบพลัน และอาจถึงแก่ความตายได้

ส่วนในเด็กนั้นอาหารที่พบว่าเกิดการ แพ้นั้นแตกต่างจากผู้ใหญ่ คือ มักมีอาการแพ้ไข่ นมวัว และถั่ว ซึ่งอาการแพ้อาหารนี้อาจจะหายไปได้เองเมื่อโตขึ้น แต่หากเป็นการแพ้ปลาและกุ้งก็มักจะไม่หาย ในขณะที่ผู้ใหญ่เมื่อแพ้อะไรแล้วมักจะไม่หาย

การแพ้อาหารในทารกและเด็ก
การแพ้นมวัวและถั่วเหลืองพบได้บ่อยในทารก และเด็ก ส่วนมากจะไม่มีอาการหอบหืด แต่มักมีอาการปวดท้อง นอนไม่หลับ มีเลือดออกมากับอุจจาระ ดูเด็กไม่มีความสุข หรือเลี้ยงไม่โต เป็นต้น สาเหตุที่ทำให้เด็กแพ้อาหารเชื่อว่าเกิดจากความไม่สมบูรณ์ของระบบภูมิต้าน ทานและระบบทางเดินอาหาร อาการแพ้นมหรือถั่วเหลืองนี้เริ่มแสดงอาการได้ตั้งแต่ทารกแรกเกิด หรือมีอายุเพียงไม่กี่เดือนนับตั้งแต่คลอด เด็กที่มีอาการแพ้อาจพบว่ามีประวัติคนเป็นภูมิแพ้ในครอบครัวด้วย

หากทารกแพ้นมวัวแพทย์ก็จะแนะนำให้เปลี่ยนเป็นนมถั่วเหลืองแทนหรือให้ดื่มนมแม่ เพียงอย่างเดียว หากมีการแพ้นมถั่วเหลืองด้วย ก็อาจต้องใช้นมสูตรพิเศษที่มีการย่อยโปรตีนแบบสมบูรณ์ ในกรณีที่เด็กมีอาการแพ้รุนแรงคุณหมออาจจะให้ยา เช่น สเตียรอยด์ แต่ก็ยังโชคดีที่อาการแพ้ในเด็กนั้นมักจะหายไปได้เองในช่วงปี สองปีหลังเกิดอาการ

การให้นมแม่อย่างเดียวโดยไม่ให้อาหารอื่น เลยแก่ทารกในช่วง 6-12 เดือนนั้น จะสามารถหลีกเลี่ยงการแพ้นมวัวและนมถั่วเหลืองได้ โดยเฉพาะในครอบครัวที่มีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้ แต่คุณแม่เองก็ต้องตระหนักด้วยว่าอาหารที่รับประทานนั้นอาจทำให้ลูกเกิด อาการแพ้ได้ ดังนั้นคุณแม่ที่ให้นมลูกควรต้องระมัดระวังเลือกอาหารให้ดีด้วยเพื่อหลีก เลี่ยงอาหารที่ทำให้ลูกแพ้

แม้ว่ายังไม่มีการพิสูจน์ว่าการให้ นมแม่นั้นสามารถป้องกันการแพ้ในวัยที่โตขึ้นได้ แต่อย่างน้อยการให้นมแม่ก็ช่วยเลื่อนเวลาการเกิดการแพ้อาหารออกไปได้ และหากเลื่อนการให้อาหารเสริมเป็นหลังอายุ 6 เดือน ก็จะช่วยเลื่อนระยะเวลาการเกิดอาการแพ้ได้ด้วยเช่นกัน

การแพ้อาหาร - การรับอาหารบางชนิดไม่ได้ ต่างกันอย่างไร?
บางคนเมื่อมีอาการหลังจากรับประทานอาหารบางชนิด แล้วไปบอกคุณหมอว่า ฉันคิดว่าฉันแพ้อาหาร แพทย์จะต้องแยกแยะวินิจฉัยอาการต่างๆ ก่อนเพื่อไม่ให้สับสนว่าจริงๆ แล้วคุณคนนั้นเขาแพ้อาหาร รับอาหารบางชนิดไม่ได้ หรืออาหารเป็นพิษจากเชื้อโรคปนเปื้อนในอาหารกัน แน่ ซึ่งทั้งหมดอาการคล้ายกันแต่ต่างกันที่สาเหตุ จึงต้องจำแนกแยกแยะให้ออกก่อนว่าเป็นอะไรกันแน่

บางครั้งสารเคมีตามธรรมชาติ เช่น สารฮีสตามีนที่มีอยู่ในอาหารก็ทำให้เกิดอาการคล้ายกับอาการแพ้อาหารได้ เช่น สารฮีสตามีนที่มีมากในเนยแข็ง ไวน์บางชนิด ปลาบางชนิดโดยเฉพาะปลาทูน่าและปลาแมคเคอเรล (คล้ายปลาทู) ซึ่งสารฮีสตามีนในปลานั้นเชื่อว่าเกิดจากการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะปลาที่ไม่ได้แช่แข็งอย่างดี หากใครรับประทานอาหารที่มีสารฮีสตามีนนี้มากก็จะเกิดอาการเหมือนแพ้อาหารได้ เรียกว่าเกิดพิษจากสารฮีสตามีน (histamine toxicity)

การแพ้อาหาร จะเกิดจากปฏิกิริยาของระบบภูมิต้านทานในร่างกาย ส่วนการรับอาหารบางชนิดไม่ได้ อาจเกิดจากความบกพร่องของสารบางชนิดในร่างกาย หรือการไม่ถูกกันระหว่างสารในร่างกายกับสารบางชนิดที่มีอยู่ในอาหาร ทั้งสองกรณีต่างจากอาหารเป็นพิษ ที่มีสาเหตุจากเชื้อโรคปนเปื้อนดังที่กล่าวแล้ว

การรับอาหารบางชนิด ไม่ได้ที่มักจะพบบ่อยคือ ภาวะพร่องน้ำย่อยน้ำตาลนม (lactase deficiency) ซึ่งพบได้ถึง 1 ใน 10 คน น้ำย่อยนี้สร้างจากผิวของลำไส้ทำหน้าที่ย่อยน้ำตาลนม หากคนที่มีน้ำย่อยน้ำตาลนมไม่พอ เมื่อดื่มนมหรือรับประทานผลิตภัณฑ์จากนมเข้าไป น้ำตาลนมที่ไม่สามารถถูกย่อยก็จะถูกแบคทีเรียนำไปใช้ แล้วสร้างก๊าซขึ้น ทำให้ท้องอืด ปวดท้อง และอุจจาระร่วงได้ ซึ่งแพทย์วินิจฉัยได้โดยการให้รับประทานน้ำตาลนม และวัดผลจากเลือด

การรับอาหารบางชนิดไม่ได้อีกแบบหนึ่งที่เจอคือการมีปฏิกิริยาต่อสารที่ใส่ใน อาหารเพื่อปรับแต่งรส กลิ่น หรือป้องกันการเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย เช่น สีผสมอาหารเบอร์ 5 ทำให้เกิดอาการหอบ หรือผงชูรส ที่ทำให้เกิดอาการร้อนซู่ซ่า ปวดศีรษะ เจ็บหน้าอก อ่อนแรง หรือหงุดหงิดได้ในบางคน ซึ่งเกิดจากการรับประทานผงชูรสในปริมาณมาก

สารซัลไฟต์ เป็นสารที่พบได้ในอาหารหรือได้ถูกใส่เข้าไปในอาหารเพื่อทำให้กรอบหรือ ป้องกันเชื้อรา หากมีปริมาณมากอาจทำให้บางคนมีอาการหอบหืดได้ เนื่องจากสารนี้ทำให้เกิดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ซึ่งคนที่เป็นหอบหืดสูดดม เข้าไประหว่างรับประทานอาหาร ทำให้เกิดอาการระคายเคืองปอดและเกิดการหดตัวของหลอดลมจึงหอบได้

บางคนมีอาการรับอาหารบางชนิดไม่ได้ด้วยสาเหตุทางจิต เช่น ในช่วงวัยเด็กเกิดความรู้สึกไม่ชอบหรือต่อต้านอาหารบางชนิดจนฝังใจ เมื่อกินเข้าไปก็จะเกิดปฏิกิริยาในลักษณะเดียวกับการแพ้อาหาร ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการประเมินและบำบัดทางจิตเวชถึงประสบการณ์เลวร้ายที่ ผ่านมา

นอกจากนี้แล้วก็ยังมีโรคอื่นๆ ที่มีอาการแบบเดียวกับการแพ้อาหาร เช่น แผลและมะเร็งในทางเดินอาหาร ทำให้อาเจียน อุจจาระร่วง หรือปวดท้องเมื่อรับประทานอาหาร หรือบางคนมีการแพ้อาหารเพราะถูกกระตุ้นจากการออกกำลังกาย คือ คนที่แพ้มักจะรับประทานอาหารมาก่อนที่จะออกกำลังกาย เมื่อออกกำลังกายจนความร้อนของร่างกายเพิ่มมากขึ้น ก็จะเริ่มมีอาการคัน รู้สึกเบาศีรษะ แล้วเกิดอาการแพ้ เช่น หอบ และอาจรุนแรงได้ถึงแก่ความตายได้ วิธีแก้ง่ายๆ ก็คืออย่ารับประทานอาหาร 2 ชั่วโมงก่อนออกกำลังกาย

การรักษาการแพ้อาหาร
การรักษาการแพ้อาหารเมื่อวินิจฉัยได้ว่าแพ้ อาหารชนิดใด ก็ควรงดอาหารที่แพ้ชนิดนั้น และก่อนที่จะเลือกซื้ออาหารควรอ่านรายละเอียดส่วนผสมที่ฉลากอาหารก่อนว่ามี สิ่งที่ตัวเองแพ้ผสมอยู่หรือไม่ เช่น ถ้าแพ้นมต้องดูว่าในส่วนผสมมีผลิตภัณฑ์นมผสมอยู่ด้วยไหม หรือถ้าแพ้ไข่ ต้องดูว่าน้ำสลัดที่เลือกมานั้นมีส่วนผสมของไข่หรือไม่ หรือถ้าแพ้ผงชูรสก็พยายามหลีกเลี่ยงการกินอาหารที่ใส่ผงชูรส เป็นต้น

ในคนที่มีอาการแพ้มากแม้ว่าได้รับสารอาหารที่แพ้เพียงเล็กน้อย ก็สามารถเกิดอาการแพ้ได้ แต่คนที่มีอาการแพ้น้อย อาจทนทานต่อสารอาหารได้หากได้รับในจำนวนน้อยๆ

คนที่มีอาการแพ้ อย่างรุนแรง ควรมีการเตรียมพร้อมเมื่ออาการแพ้เสมอ เพราะแม้ว่าจะคอยระวังเรื่องอาหารแล้วก็ตาม แต่ก็อาจเกิดความผิดพลาดได้เหมือนกัน ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันในคนที่มีอาการแพ้รุนแรงนี้ ก็ควรพกพายาแก้แพ้ติดตัว หรือห้อยเป็นสายสร้อยเพื่อใช้ในยามฉุกเฉิน หรืออาจพกยาอะดรินาลีน ไว้ฉีดยามฉุกเฉิน และควรรีบไปโรงพยาบาลทันที เพราะในคนที่แพ้รุนแรงอาการช็อคอาจเกิดได้แม้ว่าจะเริ่มต้นด้วยอาการเพียง เล็กน้อย เช่น แค่คันที่ปากและคอ หรือไม่สบายท้องเท่านั้น

ทางที่ดีที่สุดคือเมื่อเราทราบแล้วว่าแพ้อาหารชนิดใด ก็คงต้องระมัดระวังการเลือกอาหารให้ดี ควรเลี่ยงและงดสิ่งที่แพ้คือเป็นวิธีที่ดีที่สุด

ที่มา: นิตยสาร Health Today



Create Date : 27 พฤษภาคม 2553
Last Update : 27 พฤษภาคม 2553 22:11:03 น. 0 comments
Counter : 492 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

quosego
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add quosego's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.