ไม่อยากเชื่อเลยว่า ณ จุดที่สูงสุดแบบนี้จะมีต้นสนขึ้นอยู่เต็มไปหมดพร้อมดอกไม้นานาพันธุ์ เรียกว่าเวลาหนึ่งวันหมดไปกับการเดินถ่ายรูป วิวที่นี่สวยมากๆ สีฟ้าตัดกับสีเขียวของต้นสน ขอบอกว่าค่อยคุ้มกับการตะกายขึ้นมาสูงขนาดนี้
พวกเราเดินกันมาได้ครึ่งรอบแล้วล่ะ ยังเหลืออีกครึ่งรอบก็เดินกันไปเรื่อยๆ เวลาพวกเรามีเหลือเฟือเดินไปหยุดไปรอกันไปก็สนุกไปอีกแบบ
เดินไปก็ไปเจอป้ายของโครงการคืนป่าของมูลนิธิบลูแพนเน็ตก็เลยขอแบกป้ายกันหน่อย จากนั้นก็เดินต่อไปจนเจอหลุมหลบภัยสมรภูมิร่มเกล้าล่ะ
ว่ากันว่าท่ามกลางความสงบเงียบและทะเลดอกไม้แห่งนี้ในอดีตมีเรื่องราวแห่งการสู้รบเกิดขึ้นที่นี่ ร่องรอยหลุมบังเกอร์และหลุมหลบภัยที่กระจัดกระจายอยู่บริเวณนี้ เป็นเครื่องยืนยันว่า ในปี พ.ศ. ๒๕๓๐ พื้นที่แห่งนี้คือสมรภูมิที่เต็มไปด้วยเสียงปืน และควันไฟจากการสู้รบที่เรารู้จักในนามของ "สมรภูมิร่มเกล้า" ล่ะ
และนอกจากพื้นที่แห่งนี้จะมีสนสามใบแล้ว ไม้ป่าที่ดอกมีกลิ่นหอมสีชมพูแดงแกมม่วง และชื่อแสนจะไพเราะว่า "มณฑาดอย" เป็นไม้เฉพาะถิ่นของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สำหรับประเทศไทยจะพบเฉพาะทางภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มีความสูงระหว่าง ๑,๐๐๐ - ๑,๘๐๐ เมตร จึงทำให้ไม้ป่าชนิดนี้ จัดเป็นไม้หายากและปัจจุบันอยู่ในสภาพใกล้สูญพันธุ์
จากนั้นพวกเราเดินต่อไปยังจุดชมวิวอีกจุดที่สวยที่สุดในภูสอยดาว ตอนแรกก็แปลกใจทำไมมีคนขึ้นไปแล้วเดินกลับลงมาเร็วจัง ที่ไหนได้พอเห็นทางขึ้นแล้วก็เดินลงกันมาเป็นแถว แต่หารู้ไม่ว่า "พลาดสิ่งที่สวยที่สุด" ไปแล้วล่ะ
ณ จุดนี้จะมองเห็นทิวเขาที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาทั้งสองฝั่งของลานสนสองใบ งานนี้ขอโดดมันทั้งแคบๆ นี่แหละ เอากะเค้าสิไม่ได้มีกลัวตกเขาเอาเสียเลย
พอชื่นชมกับความงามและกระโดดกันเสร็จพวกเราก็เดินลงไปเจอกับเพื่อนๆ ที่นั่งรอเพราะไม่อยากเดินขึ้นเขา แต่ระหว่างทางลงเจอดอกไม้แปลกๆ ด้วยล่ะ
คนก็ซูมกันใหญ่เลย ตอนแรกเราก็นึกว่าเค้าเจออะไรกันมุงกันซะน่าสนใจเชียวเลยขอเก็บภาพมาให้ชมกะเค้ามั้ง
จากนั้นพวกเราก็เดินทางกลับระหว่างทางผ่านผา GSM ด้วยล่ะ ที่เค้าเรียกว่า ผาจีเอ็สเอ็มก็เพราะจุดนี้เป็นจุดเดียวที่มีสัญญาณคลื่น GSM ฝั่งประเทศไทยล่ะ แหมขนาดบนนี้ยังรับสัญญาณแยกค่ายกันเลย
ระหว่างทางก็ผ่านทุ่งดอกหงอนนาค ซึ่งเป็นพืชล้มลุกที่ขึ้นอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ และเจริญได้ดีบนภูเขาสูงที่อากาศหนาวเย็นและชุ่มชื้น ทำให้พื้นลานสนแห่งนี้กลายเป็นทะเลดอกไม้สีม่วง ภูสอยดาวได้ขึ้นชื่อว่าเป็นทุ่งดอกหงอนนาคที่กว้างใหญ่และสวยงามที่สุดในประเทศ ส่วนล่างของดอกเหมือนมีหยดน้ำค้างติดอยู่ให้เห็นทุกดอก จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า "น้ำค้างกลางเที่ยง"
ไม่นานนักพวกเราก็เดินมาถึงเต็นท์จนได้ ภารกิจแรกของพวกเราในเย็นวันนี้คือผลาญอาหารการกินที่ขนขึ้นมาบานตะไทให้หมดสิ้นภายในคืนนี้ แหมยังกะทุบหม้อข้าวไปตีเมืองจันทบุรีเลยทีเดียว
พวกเราทำกับข้าวกันตั้งแต่ห้าโมงเย็นยันสี่ทุ่ม สารพัดเมนูประมาณเกือบสิบสี่อย่างก็วางตรงหน้า ถึงกับกินไม่ลงกันเลยทีเดียวเนื่องจากเยอะจัด แต่ที่เด็ดสุดเห็นจะเป็นข้าวปั้นของอีน้าเหี่ยวนี่ล่ะ ที่หุงข้างปกติกลายมาเป็นข้าวญี่ปุ่นเป็นก้อนๆ ได้ซะงั้น หลังจากที่อิ่มกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเราก็พบว่ากับข้าวเหลือเยอะมากมายเดินแจกเต็นท์ข้างๆ ก็แล้ว ให้เจ้าหน้าที่ก็แล้วก็ยังไม่สามารถกำจัดได้หมด ก็ไว้กินตอนเช้าล่ะกัน ระหว่างนี้ก็ก๊งวอดก้ากันดีกว่า
จากห้าทุ่มกว่าจนตีสองสมาชิกก็หายกันไปทีละคนสองคนจนเหลืออยู่สี่คน และแล้วเหตุการณ์อันไม่น่าจะเกิดก็เกิดขึ้น อีน้าขี้แตกต้องแหวกหญ้าแถวๆ นั้นทำภารกิจเล่นเอาฮากระจายกันเป็นแถบ แล้วท้ายที่สุดอีน้าก็นอนนอกเต็นท์แต่เพียงผู้เดียวเพราะหมดเรี่ยวแรง เฮ้อ ..น่าสงสาร เพราะตืนเช้ามาอีกน้าขาลายเพราะโดนยุงรุมกินเลือดนั่นเอง ... ค่ำคืนสุดท้าย ณ ภูสอยดาวก็ผ่านพ้นไป แต่เรื่องของ The Gang เรายังไม่จบแต่เพียงเท่านี้ เพราะระหว่างที่ทุกคนนอนหลับไหลกันอยู่นั้น หาได้รู้ไม่เลยว่าพรุ่งนี้เราจะเจอกับศึกหนัก ไว้จะมาเล่าต่อตอนหน้านะคะ ..
Photo and Story By
Patthanid C.
www.patthanid.bloggang.com
หากมี ทริปดีดี อย่างนี้อีก อยากไปด้วยกันแบบนี้อีกจังเลย
คิดถึง ในทุก ๆ อย่าง ยกเว้น ข้าวกลายพันธ์