จินตนาการสำคัญกว่าความรู้
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2557
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
9 มิถุนายน 2557
 
All Blogs
 
ภมรดอกงิ้ว ๑๙ (สุดทางสวรรค์) จบ

                วันนี้ผมว่างทั้งวัน  กิจธุระที่มีในตอนเช้าคือ ทำวัตรเช้าพร้อมกับคุณลุงคุณป้าจบสิ้นไปแล้ว การงานต่อจากนี้ไปไม่มีอะไรมากแค่เก็บกวาดใบไม้กิ่งไม้รอบบริเวณวัด เดินไปตัดหญ้าที่ยาวเป็นอันเสร็จสิ้น

                หลวงพี่บุญธรรมมาบอกให้ไปช่วยดูคอมพิวเตอร์ให้ที่กุฎิ .. ผมเดินไปดูจนแก้ซ่อมจนเสร็จใช้การได้ถึงเดินออกมาในระหว่างนั้นหลวงพี่บอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย .. ผมจึงนั่งรอสักครู่ จึงได้พูดคุยกัน

          “ มีอะไรครับหลวงพี่.. ” ผมเอ่ยถามออกไปด้วยความแปลกใจที่โดนรั้งไว้

             “ ไม่มีอะไรหรอกโยมยอด ก็เรื่องที่จะบวชนั่นแหละ ..”

“ คือ .. หลวงพี่จะถามว่าเคยบวชมาก่อนหรือเปล่า..”

“ ไม่เคยครับ” ผมตอบไป หลวงพี่จึงถามต่อว่า “ แล้วนี่ได้บอกญาติมางานบวชไหม..”

             “ ไม่มีใครมาหรอกครับ นอกจากพี่สาวกับกับลูกชายเท่านั้นครับหลวงพี่”

            “ งั้นดีแล้ว งานบวชจะได้ไม่วังเวงเกินไป”

             “ ครับ ครับ เอ่อ ผมอยากทราบว่าทำไมหลวงพี่ถึงถามแบบนี้ มีเรื่องจะให้ญาติของผมรับรู้หรือครับ”

              หลวงพี่บุญธรรมยิ้มๆ อธิบายว่า“ ไม่มีอะไรหรอก .. เหรียญก็มีสองด้าน คือ ด้านดีกับด้านไม่ดี อาตมาพูดรวมๆ เพราะเห็นโยมยอดหน่วยก้านดีมีแววมุ่งมั่น ตั้งใจจะมาทางนี้ ก็เลยตั้งใจสอนพระวินัยให้บรรลุผล ..เพราะคนหนุ่มๆส่วนมากที่มาที่นี่เพราะชีวิตมีปัญหาทั้งนั้น ถ้าโยมตั้งใจก็นับเป็นเรื่องดี”

              “ก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะมาเข้าอยู่วัดแค่อาทิตย์เดียว แต่ ไปๆมามาเลยก็อยากจะบวชให้กับลูกสาวและลุงวิชัยรัตน์ตามที่ตั้งใจไว้ครับ”

               หลวงพี่บุญธรรมหัวเราะลั่นตอบผมว่า “ มีหลายคนก็คิดคล้ายๆกับโยมที่กลัวจิตสุดท้ายจะตกไปที่อบายภูมิตกนรกหมกไหม้ไม่ได้ผุดได้เกิด หรือกลัวบาปกรรรมจนตัวสั่น .. ต้องการปิดอบายให้ได้ในชาตินี้ .. พวกนั้นขอบวชกับหลวงพี่หลวงพ่อเพื่อตัดกรรม มุ่งทำความดีแต่เนิ่นๆ เรียนรู้พระพุทธศาสนาเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตข้างหน้าพร้อมสอนสั่งผู้ที่ยังเป็นบัวใต้น้ำสืบทอด ดำรงพุทธศาสนาต่อไป หลวงพี่ว่าโยมเดินมาถูกทางแล้วนะไม่ต้องกลัวลำบาก .. ใครหลายคนก็ผ่านมันไปได้ทำไมเราจะทำไม่ได้เนอะ..”

             ผมฟังแล้วโล่งใจความทุกข์กังวลคลายไปมาก .. เชื่อมั่นว่าเส้นทางบุญนี้ดีแน่นอน

            และก็เป็นค่ำวันนั้นเองที่ผมได้บวชครั้งแรกในชีวิต

                พิธีการทำขึ้นง่ายๆ ตามแบบการบวชแบบวัดป่า .. ผมนิ่งสงบในจีวรสีเหลืองสุกดูเบาหวิว และรับรู้ตลอดเวลาว่าต่อไปนี้จะต้องเจอกับอะไรอีกมากมายอย่างที่ไม่พบมาก่อนตลอดชีวิต

           และทุกอย่างก็เป็นจริงอย่างที่คิด

          หลวงพี่บุญธรรมแยกให้ผมจำวัดอยู่ที่กุฎิเดี่ยวไกลออกไปบนเนินเขา

           กุฎิหลังนี้ไม่ทาสีใดใดปล่อยให้ปูนเปลือยปกติ .. สูงชั้นเดียวมุงกระเบื้องสร้างแบบง่ายๆภายในเป็นห้องโล่งๆ ไม่มีตู้เย็นหรือโทรทัศน์ มีเพียงมุ้ง 1 หลังกับหมอนใบเล็กและสื่อน้ำมัน พร้อมผ้าห่มผื่นเล็กๆบางๆกันความหนาวเย็นในตอนกลางคืน .. รับรู้ได้ทันทีเลยว่านี่เป็นอีกอุปสรรคหนึ่งที่จะทำให้ผมไม่สำเร็จในสิ่งที่ตั้งใจไว้

           ต้องใช้ความอดทนขั้นสูง .. มองทุกอย่างเป็นอนิจจังให้หมด เกิดขึ้นตั้งอยู่ ดับไป เป็นสัจธรรม

           กิจวัตรแรกของพระบวชใหม่อย่างผมในวันนี้ก็คือต้องตื่นนอนตอนตีหนึ่ง จากนั้นเริ่มเดินจงกรมไปมาตามถนนโรยกรวดเท้าเหยียบใบไม้กิ่งไม้ที่มีหนามแหลมคม จนต้องยกเท้าขึ้นแทบทุกครั้งเวลาที่เดิน สมาธิแทบจะไม่เกิด เพราะปวดระบมเท้าไปหมด

              พอเดินเสร็จทุกอย่างเหมือนได้ขึ้นสวรรค์.. เสร็จสิ้นความทรมารทรกรรมกันเสียที

            ต่อจากนั้นหลวงพี่ได้เรียกพระใหม่ทั้งหมด10 รูปให้ไปรวมกันที่โบสถ์เพื่อนั่ งสมาธิต่ออีกสองชั่วโมง

             ผมลืมตาขึ้นมาก็มองเห็นบรรดาญาติโยมจำนวนหนึ่งเข้ามานั่งรอบตัวเพื่อเตรียมทำวัตรเช้าเรื่อยไปจนถึงเวลาตีห้าถึงออกไปเดินบิณฑบาตปกติประจำวัน

             พอเดินออกไปรับบาตร ความรู้สึกง่วงยังไม่หายไป เดินไปหาวไป เท้าที่เหยียบไปบนผิวถนนที่มีกรวดหินแหลมคมก็เริ่มคุ้นชิน.. มันจะเจ็บจะปวดยังไงก็ช่าง เพราะชีวิตที่ผ่านมาปวดปร่ามากกว่านี้หลายเท่านัก

            ชาวบ้านเดินมารอใส่บาตรเป็นแถวเป็นแนวตามถนนด้วยสีหน้าที่อิ่มเอิบยิ้มแย้ม มีความสุขในบุญที่ได้ทำ .. นี่แหละเขาเรียกว่าการทำบุญสามารถมองเห็นด้วยตาตัวเอง

           พระใหม่กลับมาถึงวัดในสภาพย่ำแย่กันทุกรูป.. หลวงพี่บุญธรรมบอกให้ไปสรงน้ำ พร้อมเปลี่ยนจีวรให้เรียบร้อย ก่อนจะมาฉันท์ข้าวในเวลาแปดโมงซึ่งเป็นมื้อเดียวและครั้งเดียวของวันนี้

           ผมแปลกใจอีกครั้งที่เห็นอาหารทุกอย่างทั้งคาวหวานถูกนำมาใส่ในบาตรรวมกันหมด แล้วพระใหม่ก็ลงมือฉันท์ในทันทีเพราะความหิวที่กลั้นเอาไว้ไม่อยู่

          กิจกรรมต่อจากนั้นเป็นการกวาดลานวัดและตามร่มไม้ต่อด้วยเดินจงกรม นั่งสมาธิต่อเป็นเวลาสามชั่วโมง .. หลวงพี่บุญธรรมบอกปล่อยให้พระใหม่กลับกุฎิได้กำชับว่าให้กลับมาทำวัตรเย็นในตอนค่ำ เดินจงกรม นั่งสมาธิกลับไปจำวัดในเวลาสี่ทุ่ม เป็นอันเสร็จภารกิจพระใหม่ในวันแรกวันนี้

            ผมเดินกลับกุฎิตามทางเดินรายรอบด้วยเสียงนกเสียงแมลงกลางคืน .. ลมพัดต้นไผ่หวีดหวิวคล้ายเสียงประหลาดพาให้หวาดหวั่นใจหวิวหวิว รอบๆตัวมีแต่ความมืด แสงสว่างจากเสาไฟฟ้าแต่ละต้นก็อยู่ห่างกันเหลือเกิน .. ผมรุดเร่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเมื่อนกหรือค้างคาวบินโฉบไปมาอยู่ข้างหลังแทบประชิดตัว มันวังเวงจนสมองคิดไปเรื่องเลวร้ายต่างๆมากมาย

           พอถึงกุฎิรีบเดินเข้าไปข้างในทันทีพร้อมปิดประตูกดลูกบิดให้แน่นสนิท เหงื่อกาฬไหลอาบไปทั้งตัวจนน่าแปลกใจ จนรู้สึกปลอดภัยดีแล้ว เพิ่งรู้ว่าตัวว่าตนเองกลัวสิ่งที่มองไม่เห็นมากถึงขนาดนี้ คืนนี้ต้องสวดมนต์เพิ่มอีกรอบสองรอบเป็นอย่างน้อยก่อนจำวัด อาจจะช่วยให้หลับสนิทดียิ่งขึ้น .. แล้วก็เป็นอย่างที่คิด พอสวดมนต์ได้สองรอบล้มตัวลงนอน ตาก็ปรือแล้วหลับสนิทไปโดยไม่รู้ตัวในทันที

                                                     -----------------------------------

                 หลังจากหลับสนิทไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวด้วยความเหนื่อยและไม่คุ้นชินกับการปฏิบัติตนของพระภิกษุใหม่ในกิจกรรมวันแรก ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงระฆังระรัวถี่อีกครั้งจึงรีบทำภารกิจส่วนตัวให้แล้วเสร็จลงไปรวมตัวกันที่ลานวัดด้านล่างของเนินเขาห่างไกลออกไปเป็นระยะทางเกือบสามร้อยเมตร พอไปถึงก็เห็นว่าภิกษุใหม่รูปอื่นยืนรอพร้อมเดินจงกรมกันทุกคนแล้ว

                   “อ้าวมาทันเวลาพอดีเลยพระยอด ..”

                หลวงพี่บุญธรรมเอ่ยทักผมพร้อมรอยยิ้มและคำพูดที่เปี่ยมด้วยความเมตตาเป็นมิตรและศรัทธาต่อเพื่อนร่วมบุญแท้จริง ผมเดินเข้ารวมไปในแถวหลังสุด สำรวจจีวรให้เรียบร้อยก่อนจะฟังหลวงพี่บอกกล่าวกิจกรรมพิเศษที่จะมีขึ้นในวันนี้ หนังตาที่ปรืออยู่แทบจะปิดสนิทลงทันทีที่เผลอ เหม่อลอยหรือคิดอะไรไปนอกเรื่องไปมากมาย แต่ก็ไม่แปลกใจที่เวลา                 ในตอนนี้เพิ่งผ่านตีหนึ่งไปเพียงห้านาทีเท่านั้น

                “ เราทั้งหมดได้มาบวชจำพรรษาปิดอุบายในครั้งนี้สามเดือนเต็มนับว่าโชคดีแล้ว ซึ่งถ้าใครประสงค์จะบวชต่อไปอีกหลายพรรษาก็ไม่มีใครห้าม เพราะศรัทธาเป็นเรื่องความเชื่อส่วนตัว แต่ถ้าใครรู้สึกสงบไม่อยากรับรู้ทางโลกชั่วขณะ อยากเรียนรู้วิถีแห่งพระพุทธองค์ เข้าถึงแก่นพระธรรมคำสอน .. หลวงพี่ขอแนะนำว่าให้บวชเรื่อยไปจนกว่าจะพร้อมเป็นคนใหม่มีชีวิตใหม่ พรั่งพร้อมสมบูรณ์ด้วยความสุขตลอดไป เรียนรู้ที่จะเข้าใจคนอื่นชำระล้างกิเลสให้เบาบางลง ขอพระใหม่ทุกรูปจงรู้ว่า .. ความทุกข์บนโลกนี้เกิดขึ้นมาแค่ชั่วคราวมันตั้งอยู่ได้ไม่นาน พอถึงระยะเวลาที่เหมาะสมมันก็จะดับสลายสูญไปเอง เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรได้ นอกเสียจากจะปล่อยให้เป็นไปตามวาระเท่านั้น นี่แหละเคล็ดลับง่ายๆของการหลุดพ้นความทุกข์ เอาล่ะเริ่มเดินจงกรม สงบจิตระลึกรู้ทุกลมหายใจเข้าออกเลยนะ ..”

            เดินจงกรมเสร็จสิ้นหนึ่งชั่วโมงเต็ม .. ผมมีความรู้สึกเลยว่าตัวเองไม่เจ็บเท้าแล้ว ความง่วงหาวนอนเมื่อก่อนหายไปเป็นปลิดทิ้ง ความสงบสงัดทุกลมหายใจเข้าออกเข้ามาแทน อากาศรอบตัวผะผ่าวเย็นลมหนาวพัดวูบมา ร่างกายก็ฝืนสู้ผ่านไปเป็นภาวะปกติ.. นี่คงเป็นนิมิตรหมายที่ดีสำหรับทางสายใหม่ที่ผมเลือกโดยไม่คิดว่าจะได้ผลที่คุ้มค่ามากเท่านี้มาก่อน

               กิจกรรมทุกอย่างผ่านไปจนถึงเวลาพักในช่วงบ่าย ผมเดินลงมาจากกุฏิเพื่อไปบอกหลวงพี่อีกรูปหนึ่งที่ประจำอยู่ศูนย์อำนวยการอบรมช่วยแจ้งญาติคนหนึ่งคือ พี่วิภารัตน์ ให้ทราบว่าตอนนี้ได้เข้าสู่ร่มกาสาวพักตร์แล้ว

              พี่วิภารัตน์รับรู้และจะเดินทางมาที่นี่ในอีกอาทิตย์ต่อไป ผมเอ่ยขอบคุณหลวงพี่อีกครั้งก่อนจะเดินกลับกุฏิในระหว่างทางนั่นเองผมก็เห็นว่ามีฆราวาสคนหนึ่งมานั่งยองๆ ดักรอพบตรงถนนที่กำลังเดินผ่านพอหันไปมองก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นลุงปฐมพงษ์นั่นเอง

             “ เป็นยังไงบ้างพอไหวไหมครับ..”

           ผมหยุดเดินแล้วมองหาที่นั่ง จนเห็นว่ามีม้าหินอ่อนสองตัวอยู่ใกล้ๆ จึงตรงไปนั่งทันที

           “ ก็สบายดีไม่ลำบากอะไร สามวันที่ผ่านไปทุกอย่างไปได้ดี ใจสงบกว่าที่คิดไว้ ..”

            “ ดีแล้ว ..เพื่อนผมจะได้ไม่ต้องห่วงอะไรอีกนี่หลวงพี่ก็ยังแปลกใจที่พระเข้าถึงพระธรรมคำสอนได้ไวกว่าคนอื่น ดูสงบนิ่งจนเหมือนเป็นคนอีกคนไปเลย ลุงว่าพระอยู่ที่นี่สักระยะดีกว่าไหม พอเวลาผ่านไปสักหน่อยค่อยคิดว่าจะทำยังไงต่อไปกับชีวิตที่เหลือ..”

             “ จะพยายาม ไม่ต้องเป็นห่วงครับ..”

.             “ ผมขออนุโมทนาสาธุกับพระด้วย ลุงดีใจที่มองไม่ผิด พระจะทำอะไรก็ต้องทำสำเร็จ.. ตั้งใจต่อไปขอเอาใจช่วย ไม่มีอะไรยากเกินกว่าลงมือทำ พอฝึกฝนมาดี รู้เท่าทันความทุกข์กิเลสทั้งมวลก็จะหายแพ้พ่ายไปเอง ..” ลุงปฐมพงษ์พูดจบพร้อมกับยกมือไหว้ที่เหนือหัว ผมพนมมือขึ้นที่หว่างอก

            “ ก็ค่อยเป็นค่อยไปการบวชครั้งนี้ถือว่ามีกำไร ได้รับรู้ว่าความสุขแท้จริงและรู้วิธีแก้กิเลสที่เกิดขึ้นตลอดเวลาได้ยังไง ต่อไปวิตที่เหลือได้สบายมากครับ ”

             “ ดีมากมาก งั้นไม่รบกวนแล้วพระจะได้พักผ่อนแล้วลุงขอตัวไปกวาดใบไม้ก่อน ..”

              ผมลุกยืนขึ้น ลุงปฐมพงษ์ลุกขึ้นตาม เราจึงแยกย้ายกันไปตามหน้าที่ที่ได้รับมา

                                                        ----------------------------

              พี่วิภารัตน์กับลูกออดมาหาที่วัดในอีกอาทิตย์ต่อมา .. ทั้งสองสวมชุดขาวห่มขาวเหมือนมาปฏิบัติธรรมพอเจอหน้ากันลูกออดวิ่งถลามาหาพร้อมทั้งน้ำตา ปากพร่ำบอกความคิดถึงที่ปะเดปะดังมากมาย

               “ หลวงพ่อรู้ไหมว่าออดคิดถึงม้ากมากทำไมหลวงพ่อถึงบวช เราอยู่กันสองคนก็ได้นี่ครับ..”

                ผมโอบกอดลูกไว้แน่นความรู้สึกมันตื้นตันไปหมด คิดถึงก็คิดถึง แต่ก็เกรงว่าจะเกิดอาบัดปราชิกแสดงอารมณ์ปุถุชนคนธรรมดาออกไป .

                 “ ออดไม่ต้องเป็นห่วงนะลูกพ่อมาบวชสามเดือน แล้วก็กลับบ้านไปอยู่ด้วยกัน”

                “ หลวงพ่อจะบวชทำไม ..ในเมื่อพ่อก็มีออด มีป้าวิภารัตน์เป็นเพื่อนอยู่แล้วนี่นา ..”

                  ผมเพิ่งเข้าใจความหมายของการบวชในสายตาของลูกออดก็คือการออกมาหาเพื่อน มาอบรมสัมมนาอย่างที่ผมเคยไปอยู่บ่อยๆ เมื่อแต่ก่อน

               “ พ่อไม่ได้มาหาเพื่อนนะครับ พ่อมาบวชให้จิตใจสงบและสร้างบุญกุศลส่งไปให้พี่ลูกกบบนสวรรค์ไงล่ะลูก ..” ผมอธิบายไป พร้อมกับปล่อยให้ลูกออดยืนนิ่งฟัง “ อ้าว งั้นพ่อบวชต่อไปเยอะๆเลยพี่กบจะได้อยู่บนสวรรค์ไปนานๆ แล้วคราวหลังลูกออดจะแวะมาหาพ่อบ่อยๆ เดือนละครั้งก็ดีนะครับป้าวิ..”

                ลูกออดกระตุกแขนป้าวิขอความเห็นด้วย เธอยิ้มจางๆ ถอนหายใจออกมาเบาๆ ตอบว่า “ ได้สิครับป้าวิจะพาเรามาทุกเดือนเลย คุณพ่อจะได้ดีใจไง ..”

               ลูกออดดีใจกอดแน่นอีกรอบหนึ่ง.. ผมได้พูดคุยกับพี่วิภารัตน์อยู่ไม่กี่ประโยคเสียงระฆังก็ดังขึ้นได้เวลาเดินจงกรมและรับฟังเทศนาจากกพระอาจารย์ชื่อดังที่โรงธรรมใหญ่แล้ว

              ผมกอดลูกอีกครั้งแล้วสั่งว่าต้องเป็นเด็กดีอย่าดื้อให้ตั้งใจเรียน แล้วพ่อจะกลับไปเป็นพ่อคนเดิมอีกไม่นาน ลูดออดพยักหน้าแล้วก้มกราบไปที่พื้นอีกครั้ง ผมเบือนหน้าหนีแล้วรีบเดินจากมา แต่ก็ยังได้ยินเสียงสะอื้นของลูกออดตะโกนเสียงแหบเสียงแห้งว่า“ ออดรักพ่อครับ ..” ดังแว่วอยู่

             การเดินจงกรมในวันนี้แทบจะไม่ประสบความสำเร็จเหมือนทุกครั้ง เพราะสมองของผมมีแต่ใบหน้าเจ้าลูกชายวนเวียนไปมาตลอดเวลา เดินก้าวย่างนับผิดนับถูกจนหลวงพี่บุญธรรมกระแอมออกมาอยู่หลายครั้ง แต่ก็ผ่านไปจนได้แบบทุลักทุเลที่สุด

             พอเดินกลับกุฎิตอนดึกลุงปฐมพงษ์บอกว่าพี่วิภารัตน์กับลูกออดกลับไปแล้วตั้งแต่หัวค่ำและได้ฝากของใช้ที่จำเป็นหลายอย่างไว้คุณลุงเอาไปวางไว้ให้ที่กุฏิแล้ว ผมขอบคุณแล้วเดินไปกุฎิด้วยความรู้สึกเหงาในหัวอกอย่างบอกไม่ถูก

            เมื่อสำรวจข้าวของที่เพิ่มเติมเข้ามาในห้องจนครบ จัดเรียงไปตามความจำเป็น ก่อนจะมานั่งจดความรู้สึกทั้งหมดในวันนี้ลงในสมุดบันทึกชีวิต กางมุ้งเตรียมตัวจำวัดในคืนนี้ แต่จะขอนั่งสมาธิให้จิตใจให้สงบนิ่งก่อนสักชั่วโมงแล้วเข้าสู่ห้วงนิทราในอีกไม่นาทีต่อจากนั้น

                                                  ----------------------------------------------

             กิจวัตรของพระภิกษุใหม่ในแต่ละวันเหมือนโปรแกรมที่ตั้งไว้ .. ผมคุ้นชินและปฏิบัติเจริญสติได้อย่างคล่องแคล่ว ความมัวหมองไม่มีเกิดขึ้นในจิตใจแล้ว ความทุกข์แวะเวียนมาก็หายจากไปอย่างรวดเร็วเหมือนเวลาชั่วสามเดือนที่เคลื่อนคล้อยไปเหมือนเวลาเพียงสามวัน

              ผมบวชครบสามเดือนตามกำหนดพอเปลี่ยนเสื้อผ้ามาเป็นคนปกติผมถึงกับทำตัวไม่ถูก มันดูแปลกๆที่ต้องสวมกางเกงและเสื้อผ้าแทนทีจะนั่งห่มสบงจีวรเหมือนสามเดือนที่ผ่านมา

              หลวงพี่บุญธรรมเดินมาส่งที่กุฏิอีกครั้ง ผมจึงเดินลงไปก้มกราบและคุกเข่าฟังคำสอนอีกครั้งก่อนจะออกไปสู่โลกภายนอก

               “ เฮ้อ ..เวลาผ่านไปไวจริงเลยนะพระยอด อ้าวไม่ใช่สิ โยมยอด เผลอแป๊บเดียวเจ้าเวลาก็วิ่งไวเร็วจี่นี่ก็ยังไม่ได้ศึกษาพระธรรมถ่องแท้ลึกซึ้งอะไรเท่าไหร่ แตะๆแต่เปลือกนอกเท่านั้น ..ธรรมะที่แท้จริงยังไม่สักกะพีกเสี้ยว เหมือนใบไม้กำมือเดียว หาใช้ใบไม้ทั้งป่า ..”

             ผมพนมมือเอ่ยแทรกออกไปว่า“ แค่นี้ก็มากพอจะเปลี่ยนผมเป็นอีกคนได้แล้วล่ะครับ ถ้าไม่มาบวชก็ไม่รู้อะไรเลยหลงงมงายกับสิ่งไร้สาระ คลำหาทางสะเปะสะปะไปทั่วเหมือนคนตาบอด ..พอพบแสงสว่างก็ตะบปตะโปมเหมือนหิวกระหายความดียังไงไม่รู้ .. ผมว่าผมไม่สายที่จะเริ่มต้นใช่ไหมครับหลวงพี่”

              “ โอ๊ย .. ไม่สายหรอก .. โยมน่ะเก่งกว่าเพื่อนพระทั้งเก้ารูปเลยนะ รับรู้เร็ว และตั่งมั่นเข้าสู่การละอัตตาได้ก่อนใครแถมมีสติปัญญาที่เฉลียวฉลาด คิดไวทำไว .. ธรรมะจึงก้าวหน้าไปไกลรวดเร็วพร้อมจะออกไปสู่ภายนอกได้ คิดๆไปไม่น่าเชื่อวาโยมจะเปลี่ยนเป็นคนอีกคนได้ไม่น่าเชื่อเลย ..”

            ผมหัวเราะเบาๆ“ตอนนั้น .. ผมดูแย่ขนาดนั้นเลยหรอครับหลวงพี่ ..”

           “ ไม่ใช่ๆแค่แตกต่างกันตรงแววตา กิริยาท่าทาง ความหมกหม่นครุ่นคิดและดูมีราศีผ่องแผ้วมากกกวาจะดูเป็นคนที่ค้นพบสาระของชีวิตแล้ว ..”

            (ยังมีต่อ)






Create Date : 09 มิถุนายน 2557
Last Update : 9 มิถุนายน 2557 14:11:23 น. 1 comments
Counter : 1200 Pageviews.

 
(ต่อ)

“ ขอบพระคุณครับ ผมขอรับปากว่าจะนำเอาหลักคิดที่ได้ทั้งหมดไปใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ละทิ้งสิ่งที่หลวงพี่สั่งสอนและเน้นย้ำเสมอ ... อดีตที่ผ่านมาผมทำตัวเลวทราม จึงสูญเสียและล่มสลาย ต่อไปถ้ายังมีโอกาสจะขอทำทุกๆอย่างให้ดีที่สุดครับ ..”
หลวงพี่บุญธรรมยิ้มนิ่งดูอ่อนโยน ก่อนจะโบกมือไล่ให้ไปเก็บของไปได้แล้ว ผมก้มกราบหลวงพี่อีกครั้งแล้วเดินออกมา
ลุงปฐมพงษ์นุ่งขาวห่มขาวเดินมาส่งที่รถแล้วอวยพรให้อายุมั่นขวัญยืน อยู่เย็นเป็นสุข ผมก้มกราบแล้วสวมกอดไว้แน่น ไม่รู้จะพุดอะไรออกมาอีกแล้ว มันรู้สึกตื้อไปหมดm6dvpjk’.o9voouh
“ โชคดีนะยอด ..”
“ ครับ .. รักษาสุขภาพด้วยนะครับคุณลุง ..”
ผมโบกมือให้ลุงปฐมพงษ์พร้อมกับแล่นรถออกจากวัด ผ่านถนนลูกรังสลับกับถนนลาดยาง ผ่านป่าผืนใหญ่และป่าโปร่ง ผ่านทุ่งนาสลับกับบ้านเรือนผู้คน ตึกรามบ้านช่อง ผ่านชุมชนที่มีผู้คนขวักไขว่ ทำหน้าที่ของมนุษย์อย่างแข็งขัน เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูก เป็นคุณปู่คุณย่า เป็นคุณตา คุณยา เป็นคุณน้าคุณอา คุณลุงคุณป้าที่สมบูรณ์ สร้างครอบครัวที่แข็งแรง ปกป้องโพยภัยจากภยันตรายภายนอกได้อย่างถาวร
นี่แหละคือสิ่งที่ควรจะเป็นสำหรับชีวิตของผม .. เมื่อก่อนหน้านี้
ผมเร่งความเร็วรถไปข้างหน้าอย่างมีความหวัง .. ใจจดจ่อกับการพบเจอคนที่รักผมอย่างที่สุด ซึ่งเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก เจ้าลูกชายจอมดื้อนั่นเอง
รถยนต์แล่นชะลอรถเข้าไปในหมู่บ้าน เลี้ยวเข้าซอยสามอย่างคุ้นชิน เพราะวิ่งอยู่เป็นประจำ ก่อนจะหยุดรถตรงบ้านเลขที่ 51 ซึ่งเป็นบ้านของพี่วิภารัตน์ที่ผมพักอยู่ด้วยมาเป็นระยะหนึ่ง แต่พอจะก้าวเข้าบ้านก็ต้องตกใจ เมื่อมองเห็นบ้านทั้งหลังโล่ง ว่าง ไม่มีสิ่งของหรือเฟอร์นิเจอร์อะไรอยู่ในบ้านแม้แต่ชิ้นเดียว
ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะพบเจออะไรแบบนี้ แล้วนี่ทุกคนหายไปไหนหมด พี่วิภารัตน์ ลูกออด แม้แต่พี่เลี้ยงลูกออดอย่างลำดวนก็ไม่เห็น
บ้านทั้งหลังว่างเปล่า
ผมเดินย้อนไปข้างหน้าก็เห็นป้ายประกาศเล็กๆ ติดข้างรั้วแทบจะมองไม่เห็น เขียนไว้ว่า ประกาศขายบ้าน .. ด่วนติดต่อที่เบอร์โทรศัพท์ .. ผมรีบกดโทรศัพท์หาพี่วิภารัตน์ทัน แต่ไม่มีสัญญาณตอบรับจากปลายสาย จึงนั่งเซ็งอยู่ที่ม้าหินอ่อนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนท้องฟ้ามืดสีดำสนิท
ผมเผลองีบหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ สะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อมีเสียงร้องเรียกอยู่ริมรั้ว
“ คุณ คุณ คุณยอดใช่ไหมนั่น ..”
เสียงป้าระเบียบข้างบ้านนั่นเอง หากเวลาปกติผมจะเลี่ยงการพูดคุยกับป้ามหาภัยคนนี้เสมอ เพราะแกมักจะมีแต่เรื่องชาวบ้านที่มีพฤติกรรมไม่ดีไม่งาม ไม่ถูกใจมาเล่าให้ฟังอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆที่ทางที่ดีควรควรจะมองตัวเองมากกว่าคอยจ้องจับผิดคนอื่น
“ มีอะไรครับป้า ..”
“ ป้าจะบอกคุณว่าคุณวิภารัตน์ขายบ้านนี้เป็นอาทิตย์แล้ว พรุ่งนี้จะมีคนมาเข้ามาอยู่แทนแล้ว และนี่เขาก็เพิ่งขนข้าวของไปอยู่บ้านหลังใหม่เสร็จเมื่อค่ำวานนี้เอง ..”
“ พี่วิภารัตน์ย้ายบ้าน ย้ายทำไม .. ย้ายไปที่ไหน ..”
“ แกย้ายไปไหนฉันไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนี้พักชั่วคราวอยู่บ้านคุณเชวง ถัดไปจากซอยนี้อีกสามซอย ”
“ ครับขอบพระคุณมากครับป้า ..”
ผมรีบปิดรั้วบ้านแล้วออกวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต จนกระทั่งมาถึงบ้านหลังใหญ่กึ่งคฤหาสน์หย่อมๆ บนเนื้อที่เกือบ 30 ไร่ มีรั้วรอบขอบชิด มีป้อมยามรักษาความปลอดภัยแน่นหนา ดูสงบร่มเย็นเพราะมีต้นไม้ใหญ่ปลูกเป็นแนวไว้เกือบรอบบ้าน
ผมแว่วยินเสียงลูกออดกำลังเล่นอยู่ใกล้ป้อมยาม ผมจำเสียงเล็กๆเสียงนี้ได้ดี
จึงบอกยามว่าจะขอเข้าไปข้างในเพื่อพบกับคุณเชวงและคุณวิภารัตน์ ยามสำรวจมองอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเปิดประตูให้เข้าไปได้ ผมรีบวิ่งตรงไปยังสนามหญ้าทันที
เด็กชายตัวอ้วนเห็นผมก่อน จึงทักทายออกมาว่า ..
“ นั่น .. ใครมา ..”
ลูกออดหันตามเสียงมามองผม แล้ววิ่งกระโจนใส่เราล้มไปในสนามหญ้าทั้งสองคน
“ คุณพ่อของออด ...”
ผมกอดลูกชายไว้แน่นเหมือนกับว่ากลัวเขาจะหลุดหายไปไหนอีก .. พูดปลอบขวัญลูกออดอยู่นาน จนหยุดร้องไห้
“ อย่าร้องไห้สิลูกพ่ออยู่นี่ไงครับ .. ต่อไปจะไม่ไปไหนอีกแล้ว .. พ่อสัญญานะครับ ..”
“ จริงๆนะครับ พ่อต้องอยู่กับออดไปจนออดโตเป็นผู้ใหญ่ เป็นทหาร เป็นหมอเลยนะครับ ..”
“ ได้ครับลูก .. พ่อจะอยู่รอจนถึงวันนั้น ..”
ผมกอดเขาอีกครั้ง คราวนี้นานกว่าเดิม เหลียวมองดูเด็กสองคนปรากฏว่าได้วิ่งหายไปในบ้านใหญ่หลังไปแล้ว
พี่วิภารัตน์เดินออกมาพร้อมกับนายเชวง ว่าที่สามีคนใหม่ .. ผมสังเกตดูสีหน้าของเธอ ดูไม่เครียดและมีความสงบสุขมากขึ้น วัยวุฒิของนายคนนี้ก็ดูจะเหมาะสมกันกับพี่วิภารัตน์ ทุกอย่าง
ช่างแตกต่างกันผมซึ่งดูเหมือนเป็นพี่กับน้องมากกว่าจะเป็นคนรัก .. พี่วิภารัตน์ยิ้มๆทักมาว่า ..
“ อ้าวสึกแล้วหรือยอด ไม่เห็นส่งข่าวมาบอกกันเลย .. พี่ตั้งใจจะไปรับที่วัดอยู่แล้วเชียว ..”
“ ไม่ต้องลำบากหรอกครับ .. ผมบวชและสึกอย่างเรียบง่าย ไม่ได้ต้องการรบกวนใคร .. ” ผมตอบไปตามความจริง นายเชวงกำลังจ้องมองมาอย่างพินิจพิเคราะห์ .. นี่พี่วิภารัตน์คงเล่าเรื่องชีวิตผมให้ลุงคนนี้ฟังแล้วแน่นอน
ผมกำลังอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก พี่วิภารัตน์เอ่ยแทรกขึ้นมาว่า “ ยอดจ๊ะนี่พี่เชวง .. คุณตาของใยบัวกับข้าวปิ้ง เจ้าของบ้านหลังนี้ ที่พี่เคยเล่าให้ฟังไง ตอนนี้บ้านหลังโน้นพี่ขายไปเมื่อวันก่อน เพราะปลวกมันขึ้นหนักบ้านหลายจุด ดูท่าทางจะเอาไม่อยู่แล้ว .. พี่เลยขายทิ้งตามคำแนะนำของพี่เชวง ไว้รอหาบ้านใหม่เหมาะๆค่อยย้าย ตอนนี้อาศัยโรงรถหลังบ้านของที่นี่เก็บของของพี่กับยอดไปก่อน .. ขอโทษนะที่ไม่ได้บอกล่วงหน้า ..”
ผมเกือบโกรธพี่วิภารัตน์ไปแล้วเมื่อได้ยินเรื่องไม่พึงประสงค์ แต่ก้ได้ใช้สติ พิจารณาความจริง ปัจจุบันขณะ ปัญหาความยุ่งยากที่จะเกิดขึ้นค่อยมลายหายไปในทันที “ ขอบคุณพี่ที่กรุณา แต่คงรบกวนฝากของไว้ไม่เกินสองวัน ผมกับลูกออดก็จะย้ายของทั้งหมดออกไปให้เร็วที่สุด ..”
“ อ้าวเฮ้ย .. ทำไมไม่อยู่ด้วยกันที่นี่ ไหนจะให้พี่ดูแลลูกออดไงล่ะ ..”
ผมพยุงลูกออดให้ลุกยืนขึ้น หันมาเผชิญหน้ากับพี่วิภารัตน์และนายเชวงด้วยท่าทีที่มั่นใจกว่าทุกครั้ง
“ ต้องขอโทษด้วยที่เปลี่ยนใจ .. ลูกชายคนเดียวผมเลี้ยงได้ และคิดว่าคงไม่มีใครเข้าใจเขาได้ดีไปกว่าผมอีกแล้ว ขอบคุณความเมตตาที่พี่มีให้เราสองคนตลอดมา ผมจะไม่ลืมมันเด็ดขาด ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวกลับ คืนนี้ขอฝากลำดวนไว้ที่นี่ก่อน ถ้าหากหาบ้านได้แล้วจะรีบกลับมารับ ขอให้พี่มีความสุขกับสิ่งที่ทำ .. หวังว่าคงได้พบกันอีก ”
ผมก้มกราบคนทั้งสอง ก่อนจะเดินจูงลูกออดเข้าไปในบ้านเพื่อพบเจอลำดวน พี่เลี้ยงลูกออด นัดหมายวันที่จะมารับไปอยู่บ้านใหม่ ที่เธอจะเป็นกำลังสำคัญต้องดูแลบ้านช่องและลูกออด ไปอีกนาน
ลำดวนดีใจจนน้ำหูน้ำตาไหลที่ผมกลับมาและไม่ทอดทิ้งกัน
ผมตบหัวเธอเบาๆ บอกไปว่าเราก็เหมือนญาติ เหมือนพี่เหมือนน้อง ถึงครอบครัวของเราจะเหลือสามคนก็เพียงพอที่จะมีความสุขแล้ว เธอพยักหน้ายื่นกระเป๋าใบหย่อมใส่เสื้อผ้าลูกออดสองสามชุดมาให้ ผมรับมาก่อนที่จะเดินออกมาบ้านหลังนั้นด้วยความโล่งอกและเชื่อมั่นว่า .. หนทางข้างหน้าของเราสามคนจะต้องสดใส เปี่ยมด้วยความหวังใหม่อย่างแน่นอน
-------------------------------------------
ประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนว่าทุกการกระทำที่เกิดขึ้น .. ผิดที่เรา
หาใช่คนอื่นมาบงการให้เป็นอะไรตามที่เขาอยากให้เราเป็น เพราะตัวเราแท้ๆที่ตัดสินใจโดยอิสระที่จะเลือกทางเดินที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ หรือ หนทางขรุขระเต็มไปด้วยขวากหนาม คอยทิ่มแทงรอบตัวสารพัด
เมื่อเลือกผิดแล้วคิดกลับตัวใหม่ทุกอย่างก็ไม่มีคำว่าสาย .. แต่อาจใช้เวลาเยียวยาอยู่บ้างแต่ก็ไม่นานนัก เพราะชีวิตคนเราไม่ได้ยืนยาวขนาดนั้น
ชีวิตเหลวแหลกของผมที่ผ่านมา เปรียบเหมือนเรือที่ขาดหางเสือ ล่องลอยไปในกระแสชีวิต ขาดทิศทางควบคุม ไปข้างหน้าอย่างสะเปะสะปะไร้ทิศทางที่มุ่งไปสู้จุดหมาย สุดท้ายนาวาชีวิตก็ถึงกาลล่มอับปางไปอย่างคาดไม่ถึง แต่ยังโชคดีที่มองเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์เกือบนาทีสุดท้าย นับว่าเตชะบุญยังมีให้สืบสานพระศาสนาและดำรงชีวิตต่อไปอย่างไม่ประมาท
พระพุทธองค์ทรงสอนสั่งพวกเราให้พ้นจากความทุกข์ ละซึ่งกิเลส สะสมบุญบารมีด้วยความดีประจำวัน ถ้าใครปฏิบัติได้เฉกเช่นนี้แล้ว ชีวิตข้างหน้าจะเป็นชีวิตที่เจริญแน่นอน
วันนี้เป็นวันแรกที่ลูกออดขึ้นชั้นประถมปีที่ 1 เขาสวมชุดเครื่องแบบเสื้อสีขาวกางเกงสีน้ำเงิน ถือกระเป๋านักเรียนสีดำ หวีผมเรียบแปล้ ไปยืนรอผมที่หน้าประตูทางเข้าของโรงเรียนเคียงข้างคุณครูประจำชั้นสาวสวยท่าทางใจดี ใบหน้าแต้มด้วยรอยยิ้ม มีเมตตา ขณะที่เดินไปส่งลูกออดเข้าห้องเรียนเป็นวันแรกของการเปิดเทอมในวันนี้
“ พ่อ .. นี่คุณครูนิภาอร .. ครูประจำชั้น ของออดครับ ” ลูกชายตัวยุ่งแนะนำคุณครูคนสวยให้ผม พร้อมแววตาวิบวับ จนผมเดาใจตัวแสบได้เลยว่าคนนี้แหละที่เหมาะจะเป็นแม่เลี้ยงคนใหม่ที่สุดแล้ว
ผมยิ้มเปี่ยมมิตรไมตรีส่งไปให้คุณครู แต่ก็ไม่ได้ทอดสายตาสานสัมพันธ์อะไรต่อจากนั้น
“ สวัสดีครับคุณครู ผมชื่อ ยอดชาย เป็นพ่อของลูกออด ฝากลูกชายด้วย .. เขาดื้อ ซน น่าดู”
“ คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วง .. ดิฉันกับครูพี่เลี้ยงจะดูแลเด็กๆเป็นอย่างดี สบายใจได้ค่ะ ..”
เธอยิ้มอายๆ เหมือนกำลังเขินที่ผมจดจ้องอย่างเอาจริงเอาจัง
“ ไป .. ลูกออดเข้าไปเก็บของก่อนนะลูก เดี๋ยวจะออกมาเคารพธงชาติไม่ทันเวลา .. ผมฝากลูกไว้ตรงนี้เลยนะครับ ..”
“ ค่ะ ค่ะ เชิญตามสบาย ..”
ลูกออดโผมากอดและหอมแก้มผมสองข้างอีกครั้งก่อนจะรีบจูงมือคุณครูคนสวยเดินเข้าไปในโรง
เรียนอย่างอารมณ์ดี ผมยืนมองลูกจนลับตาเข้าไปในกลุ่มนักเรียน ก่อนหายใจอย่างโล่งใจอีกครั้งที่ทุกอย่างกำลังไปได้สวย อย่างที่ได้วางแผนเอาไว้
พอมาถึงลานจอดรถผมก็ลืมเรื่องคุณครูสาวสวยไปทันที แต่นึกถึงเรื่องการกลับเข้าไปทำงานใหม่ในที่ทำงานเดิมมากกว่า คิดจะฝ่าด่านมรสุมคำนินทา เยาะเย้ยถากถางไปได้โดยละมุนละม่อมได้ยังไงมากกว่า แต่ผมก็ได้เตรียมใจไว้แล้วสำหรับเรื่องนี้ ถ้าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ต้องเกิด ถือเสียว่าเป็นเรื่องควบคุมไม่ได้ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ แค่ผมจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับวันแห่งการเริ่มต้นในวันนี้
และแล้วการทำงานวันแรกได้ผ่านไปอย่างราบรื่น แต่ก็ยังมีสายตาหลายคู่มองมาอย่างเคลือบแคลงสงสัยว่าผมเป็นอะไรไปถึงเปลี่ยนแปลงไปได้ขนาดนี้
ผมไม่โกรธที่ถูกมองเหมือนตัวประหลาด แต่กลับยิ้มแย้มแจ่มใส ทำตัวเหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้น ตั้งใจทำงานที่หัวหน้ามอบหมายมาให้อย่างเต็มที่ ไม่เกี่ยงงอนที่เพื่อนร่วมงานอื่นจะใช้หรือไหว้วาน สมาธิเพ่งเล็งไปที่งานอย่างเดียว ได้ปริมาณงานมากกว่าทุกครั้งตั้งแต่ทำงานเลยทีเดียว
ช่วงพักเที่ยงผมเหลียวมองไปรอบตัว เห็นเพื่อนร่วมงานหลายคนกำลังเปิดคอมพิวเตอร์ หน้าจอภาพปรากฏโปรแกรม social network ที่ชื่อ face-noet อยู่แทบทุกคน ไม่มีการพูดจากันแม้จะนั่งติดชิดกัน
บางคนก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ บางคนก็นั่งหน้าเศร้าจมความทุกข์เหมือนกำลังผิดหวังกับจอสี่เหลี่ยมตรงหน้า บางคนมีสีหน้าเฉยชาไม่รับรู้ทางโลก .. หลากสีหน้าที่ได้เห็นล้วนแต่เกิดขึ้นกับตัวผมมาแล้วทั้งสิ้น
ถ้าผมทำได้ในตอนนี้อยากจะบอกทุกคนว่าให้ปิดคอมพิวเตอร์ ปิดเจ้าโปรแกรมทำลายชีวิตพวกเขาเสีย แล้วหันกลับมามองหน้ากันมาพูดคุยกัน มาปฏิสัมพันธ์กันแบบคนตัวเป็นๆ ไม่ใช้โลกที่สร้างภาพว่าตัวเองดูดีดูสวยงาม หลอกกันไปหลอกกันมา จนกว่าจะรู้สึกตัวก็สายไปเสียแล้ว
ผมเดินออกมาเพราะตัวเองก็ทำได้แค่คิด
ประสบการณ์ที่แลกด้วยน้ำตาแทบเป็นสายเลือดนั่นเป็นหลักฐาน
ชีวิตแต่ละคนก็ต้องเดินไป พบเจอเรื่องราวที่แปลกใหม่น่าค้นหา แล้วเก็บไว้เป็นรอยจารึกในความทรงจำที่ดีที่เลวต่อไปในวันข้างหน้า
หม่นเศร้า ร่ำร้อง โอดครวญ ท้อแท้ สิ้นหวัง หดหู่ หมดกำลังใจ เหล่านี้จะเดินเข้ามาทุกครั้งที่เจอความสูญเสีย .. ใครโชคดีมีบุญคุ้ม อาจจะกลับตัวเป็นคนดีได้เมื่อสุดปลายทางแห่งสวรรค์ .. ใครโชคร้ายก็ต้องก้มหน้ารับกรรมที่ตัวเองได้ก่อไว้อีกนานเท่านาน จนกว่าเบื้องบนจะเมตตาให้พบเจอแสงสว่าง
สำหรับตัวผมในตอนนี้ ทุกอย่างลงตัวหมดแล้ว .. ชีวิตที่เหลือของทำหน้าที่พ่อที่ดี อบรมส่งเสียลูกชายสุดที่รักสุดกำลังความสามารถ จนกว่าเขาจะไปถึงฝั่งฝัน ถึงเวลานั้นชีวิตที่เหลือทั้งหมดผมจะขออุทิศตัวเองในกายผ้าเหลืองเพื่อดำรงพระศาสนาตลอดชีวิต ไม่ให้เสียชาติเกิดได้ว่า ..
เกิดมาชาติหนึ่งโชคดีแค่ไหนแล้วที่ได้พบพุทธศาสนา ได้ตามรอยพระศาสดา ปฏิบัติตามคำสอน เผยแผ่สิ่งล้ำค่าไปยังคนหมู่มาก โดยไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน นอกจากความสงบจิตใจภายใน
ผมกำพวงมาลัยแน่นอีกครั้งเมื่อเลี้ยวเข้าที่จอดรถของโรงเรียนตาออด ปิดประตูรถให้สนิทแล้วเดินตรงไปข้างหน้าอย่างมีพลังพิเศษของความเป็นพ่อที่จะปกป้องภยันตรายกับสายเลือด .. เท่าชีวิต
ลูกชายที่รักโบกมือให้อยู่ไหวๆ ผมเร่งฝีเท้าไปหาเขาด้วยใจลิงโลด กำมือสองข้างไว้แน่น .. จ้องมองไปข้างหน้าอย่างมีความหวัง .. เพราะชีวิตคือความหวัง เราจึงมีหวัง ไม่ให้หมดหวัง
นี่แหละครับชีวิตของผม .. ต่อไปจากนี้

จบบริบูรณ์


ติดตามบทส่งท้ายนิยายภมรดอกงิ้ว ในตอนหน้าอีกตอนนะครับ ทุกอย่างจะเฉลยแล้วว่าความคิดของหญิงสาวแต่ละคนจะเป็นอย่างไงต่อไป

ห้ามพลาดนะครับผม

ขอบคุณครับ ---- เมฆฃรา


โดย: เมฆชรา วันที่: 9 มิถุนายน 2557 เวลา:13:38:51 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เมฆชรา
Location :
นครราชสีมา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?]




เข้าสู่ปีที่ 8
Friends' blogs
[Add เมฆชรา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.