bloggang.com mainmenu search





:: ก๋าราณีตอบคำถามพี่อร ::




คุณก๋ามีวิธี ระงับอารมณ์ โกรธ หงุดหงิด
กับควบคุม Tone เสียงให้สงบๆได้ไหมคะ
ที่จริงคุมเสียงเรียบๆทำได้อยู่นะคะ
แต่คุมน้ำเสียงไม่ให้ติดอารมณ์ไปด้วยนี่ยากจริงๆค่ะ
พักนี้คนแก่ขี้หงุดหงิดค่ะ เดี๋ยวเด็กๆจะเตลิดเปิดเปิงกันไปหมด เดี๋ยวตายเดี่ยว อยู่คนเดียวหละแย่เลย

เอาแบบวิธีที่ทำอย่างไรที่เมื่อถอนตะปูออกแล้ว
ผ่าตัดไม่ให้เป็นรอยนะค่ะ
แต่ที่สำคัญกว่าคือทำอย่างไร
เราจะไม่ต้องตอกตะปูต่างหากคะ




คำถามโดย : cengorn
วันที่ : 18 มิถุนายน 2554
เวลา : 0:45:20 น.





















สวัสดีครับพี่อร



ย้อนไปสัก 15 ปีที่แล้ว
ตอนที่ผมเริ่มต้นทำงานใหม่ๆ
ด้วยความที่ตัวเองไม่ได้จบด้านการค้าขายหรือบริหารธุรกิจโดยตรง
แถมยังเป็นการทำงานกับครอบครัวอีก

ทุกอย่างใหม่ทั้งหมดสำหรับผม

ตอนนั้นคิดอยู่อย่างเดียวว่า

ต้องทำทุกอย่างให้ “ดีที่สุด”


เพราะคำว่าดีที่สุดนี่ล่ะมั้งครับ
ทำให้ผมเกิดอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์กับตัวเองและคนรอบข้างเยอะเลย


จำได้ว่าตอนนั้นผมซึ่งกลายเป็นเจ้านายหนุ่มฟ้อไฟแรง
ต้องทะเลาะกับพนักงานไม่เว้นแต่ละวัน

ทุกครั้งที่ผมไม่พอใจ สีหน้าไปก่อน ท่าทางตามมา
แล้วจบด้วยเสียงตวาด

แรงที่สุด คือ เรียกมาด่าที่โต๊ะทำงานในห้อง
ผมด่าดังไปถึงหน้าร้าน ตบโต๊ะแล้วไล่พนักงานออก....















เมื่อมองย้อนกลับไป
ผมมองเห็น “ใคร”...

ใครคนหนึ่ง...ที่ทำงานบนความคาดหวังที่สูงส่ง
ใครคนหนึ่ง...ที่ทำงานแบบเพอร์เฟคชั่นนิสต์
ใครคนหนึ่ง...ที่ไม่มีความสุขในชีวิตตนเอง
แล้วก็เริ่มขว้างปา “ความไม่พึงพอใจ” นี้ใส่คนรอบข้าง














เมื่อผมได้ผ่านจุดที่ “ค้นพบ” ตัวเอง
ผมเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองในทุกๆด้าน
สิ่งหนึ่งที่ผมเปลี่ยนไปมากคือ “ทัศนคติ”

เวลามองผู้คน…
ผมมองคนในมุมที่เขา “เป็นได้”
ไม่ใช่มุมที่ผมต้องการให้ “เขาเป็น”


ผมเคยคาดหวังกับการทำงานของลูกน้องถึง 10 ก้าว
โดยลืมนึกไปว่าเขาก็คน เขามีปัญหาของเขาที่ต้องสะสางแก้ไข
เขามีวันที่ล้า และไม่มีความสุขกับการทำงาน


แน่นอน...ร้านค้าหรือบริษัทย่อมมิใช่ศาลาพักใจของใครคนใด

แต่การมองคนให้เป็นคน
มองลูกน้องให้เป็นลูกน้อง
มองเขาอย่างที่เขาเป็น

อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้เราตัดสินใจสิ่งต่างๆบน “เหตุผล” และ “ความเป็นจริง”
มากกว่าตัดสินใจบน “อารมณ์” “ความคาดหวัง”
และ “ข้อเรียกร้อง” ที่สูงเกินความเป็นจริง



















ตอนนี้เวลาผมจะอธิบายอะไรกับพนักงาน
ผมจะใช้การเรียกเข้ามาคุยด้วยน้ำเสียงปกติ
รับฟังว่าเขารู้สึกอย่างไรก่อน
แล้วค่อยบอกปัญหาที่มีหรือความต้องการของเรา

เสร็จแล้วยื่นคำขาดแนบท้ายไปด้วย
ว่ามาตรฐานงานที่เราต้องการคือเท่านี้
คุณทำได้ไหม
ถ้าทำไม่ได้ก็ยากที่จะทำงานร่วมกัน
คุณอยากพัฒนาตัวเองบ้างไหม


คือใช้วิธีรับฟัง
แล้วคุยไปเรื่อยๆ
ไม่ด่าทอ ไม่ชักสีหน้า ไม่หักหน้าเขาต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน


เมื่อผมมองพนักงานตามที่เขาเป็น
ถึงเขามีความสามารถแค่ 5 ก้าว
แต่ถ้าเขาทำเต็มที่ในส่วน 5 ก้าวที่เขาทำได้
ผมยังพอรับได้....


ดีกว่าการที่เราตั้งธงไว้ที่ 10 ก้าว
แล้วพนักงานต่อต้านหรือทำให้เราได้เพียง 2 หรือ 3 ก้าว...

















“ใจเขา ใจเรา” ไม่ใช่คำเก่าและเชยเลยสำหรับผม
ยิ่งเรารับฟังมากเท่าไหร่ ยิ่งเราทำความเข้าใจคนอื่นมากเท่าไหร่
เราจะรู้สึกเลยว่าการที่เรารู้สึกโมโหอยู่ตลอดเวลานั้น
อาจทำให้ลูกน้อง “เกรงกลัว” เรา
แต่ไม่ได้ “รัก” เราเลย
และเมื่อเขาไม่รักเรา ไม่ศรัทธาเรา
การงานที่เรามอบหมายให้ทำ
ย่อมไม่มีทางจะเกิดประสิทธิภาพอย่างแน่นอน
















อารมณ์โกรธเกิดขึ้นได้กับทุกคน...
เราไม่จำเป็นต้องกดข่มความโกรธหรือความไม่พอใจที่เรามี
ขอแค่เรา “รู้ตัว”
“รู้สึกตัว” ให้เร็วว่าเรากำลังโกรธ
ให้รู้ตัวว่าโกรธ โกรธเพราะอะไร
เรากำลังโกรธคน หรือโกรธงาน

ยิ่งเราเตือนตนให้รู้สึกตัวได้เร็วมากเท่าไหร่
โอกาสที่เราจะโกรธ โมโห ขาดสติก็จะลดน้อยลงไปเรื่อยๆ
















ทุกครั้งที่เราโกรธ เราเดินไปตอกตะปูบนแผ่นไม้
เมื่อเราหายโกรธ เราเดินไปถอนตะปูออกจากแผ่นไม้
ก่อนจะพบว่าแผ่นไม้นั้นเต็มไปด้วยรอยตะปูมากมาย....



สติที่เราค่อยๆฝึกฝนตนเองจะเปลี่ยนแปลงตัวเราได้
การรู้ทันความโกรธของตัวเองนี่ล่ะครับเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุด
เสียงที่เราบอกตัวเองนี่ล่ะครับ จะทำหน้าที่เสมือนสีที่เราคลุกเคล้ากับขี้เลื่อย
เพื่ออุดปะลงไปบนรอยตะปูเหล่านั้น
ก่อนที่เราจะขัดไม้แผ่นนี้ให้เรียบ และทาสีลงไปอีกครั้ง...

















เราไม่ได้ผิดที่โกรธหรือโมโหลูกน้องเวลาที่งานผิดพลาด
แต่อย่างน้อยที่สุดการที่เรามีสติ
จะทำให้เราค้นพบว่าเหตุที่การงานมันล้มเหลว
เป็นเพราะลูกน้องเราไม่มีความสามารถมากพอ
หรือเราจ่ายงานที่ไม่เหมาะสมให้เขา
หรือเป็นเพราะด้วยสาเหตุอื่น


การรู้ทันความคิด รู้ทันความรู้สึกของตนเอง
จะทำให้เราค้นพบว่าปัญหาที่แท้จริงของการงานนี้อยู่ที่ใด


แน่นอนครับ...มันไม่ง่ายเลยกับการเปลี่ยนแปลงตัวเอง
แต่ผมทดลองกับชีวิตตัวเองมาแล้วว่าทำได้
แม้จะใช้เวลานานหลายปีในการเปลี่ยนแปลงตนเอง
จากคนอารมณ์ร้อนเจ้าอารมณ์
มาเป็นคนใจเย็นและใช้เหตุใช้ผลในการแก้ไขปัญหา

ที่สำคัญ…
ถ้าในเมื่อคนธรรมดาอย่างผมทำได้
ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่คนอื่นจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้เช่นกันใช่ไหมครับพี่











Create Date :04 พฤศจิกายน 2554 Last Update :4 พฤศจิกายน 2554 5:14:18 น. Counter : Pageviews. Comments :85