bloggang.com mainmenu search
นั่งคุยกับตัวเอง : บาดแผลซึ่งยากจะลบเลือน
เขียนโดย : สิงห์โตหมอบ
31 มีนาคม 2550




ผมนั่งเฝ้ามองดูเขา
ผู้ซึ่งกำลังเกลียดชังโลกและด่าทอทุกสิ่งรอบตัวด้วยถ้อยคำหยาบคาย
อารมณ์โกรธอันพวยพุ่ง ร้อนแรง
แต่แฝงด้วยความน้อยอกน้อยใจ ความเกลียดชังคลั่งแค้น
ปัญหามีอยู่ว่า….
คุณไม่อาจแสดงออกซึ่งอารมณ์อันเกรี้ยวกราดเกินเลยได้
โดยเฉพาะ “เขา” อาจเป็นคนซึ่งคุณไม่อาจเกลียดได้


.....................................



ช่วงเริ่มต้นในการทำงาน
ผมมีปัญหาในการปรับตัวปรับความรู้สึกเป็นอย่างยิ่ง
แน่นอนในความหนุ่ม
เรามีชุดความเชื่อที่ไม่อาจให้ใครมาบั่นทอนได้
เชื่อในสิ่งที่เราคิดว่าดี ว่าถูกต้อง
แต่นั่นไม่อาจตอบ “ความพึงพอใจ” ของเจ้านายได้
เขามีประสบการณ์มากกว่า เขาผ่านงานมามากกว่า
เคยล้มเหลวมาก่อน เคยประสบความสำเร็จมาก่อน
เขาเริ่มต้นการต่อสู้ชีวิต
ตั้งแต่เรายังเป็นวุ้นที่ไม่มีตัวตนอยู่บนโลกนี้ด้วยซ้ำ


มุมมองที่หล่อหลอมในชีวิต
แน่นอน...ย่อมหมายความว่าเราต่างโตมาไม่เหมือนกัน
ผ่านสนามรบชีวิตมาคนละสมรภูมิ คนละรูปแบบ

ครั้งหนึ่งผมเคยสติแตก เหมือนคนบ้า
เมื่อความน้อยเนื้อต่ำใจพุ่งสู่ขีดสุด
ความโกรธ ความเบื่อหน่าย ความเซ็ง
ผมชกกำแพงห้อง ถีบเก้าอี้ ร้องไห้ฟูมฟาย
แล้วก็พาตัวเองออกจากสถานที่ทำงาน
คนรอบข้างทำได้แต่ตกตะลึงและตกใจ........


เหมือนกับสะสมความเครียดในการทำงานมายาวนาน
ทั้งโดนตำหนิ ทั้งการตัดสินใจผิดพลาด
ทั้งเหนื่อยหน่ายในบรรยากาศการทำงานที่หนักหน่วง
ผมจำได้ดี...สองปีแรกของการทำงาน
ผมไม่เคยได้หยุดงานแม้แต่วันเดียว
มีพักไปสองวันนั่นคือ ท้องเสียจนไม่อาจลุกขึ้นจากเตียงเพื่อไปทำงานได้
ผมพบผ่านเจอะเจอผู้คนมากหน้าหลายตา
ต้องรองรับทุกอารมณ์ที่ทุกคนโยนเข้าใส่
ผิดก็โดนด่า ถูกก็โดนต่อว่า
ในตอนนั้นผมเบื่อหน่ายชีวิตเป็นอย่างยิ่ง
ร้องไห้ไม่รู้กี่หน...
คับแค้นใจ ท้อใจ เหนื่อยหน่ายคลายอารมณ์
ชีวิตมันช่างอึดอัด หดหู่........
ผมเขียนไว้ในบันทึกด้วยซ้ำว่า
เบื่อหน่ายกับสภาวะที่ตนเองต้องเผชิญอยู่มากแค่ไหน
กะเอาไว้ว่าจะทำอีกปีสองปี
ก็จะลากชีวิตของตัวเองไปให้พ้นจากสภาพแบบนี้เสียที


........................................



ปีนี้เป็นปีที่ 10 ของการทำงานที่นี่
ทุกวันนี้ผมมีความสุขในการทำงานมาก
และผมตัดสินใจแล้วว่าจะใช้เวลาที่เหลือในชีวิตอย่างมีความสุขที่สุดเท่าที่มันจะเป็นไปได้
อาการ “หลุด” ที่ผมเป็น นั่นเป็นครั้งเดียวที่เกิดขึ้น
และเป็นสิ่งที่ผมคิดว่ามันจะเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวและคงเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของผม....

อะไรทำให้ผมพบคำตอบในชีวิตนะหรือ ?

หลังจากวันที่ผมรู้สึกเลวร้ายที่สุดผ่านไป
วันรุ่งขึ้นผมกลับไปทำงานต่อ
และผมพบคำตอบที่ว่า
สำหรับบางคน...เราไม่อาจเปลี่ยนแปลงเขาได้เลย
เขาเป็นของเขามาแบบนี้ตลอดทั้งชีวิต

คุณเปลี่ยนพ่อผู้ทำงานหนักมาตลอดชีวิต
พ่อผู้เคร่งเครียดจริงจังกับงาน
ให้เป็นพ่อผู้อ่อนโยนใจดีได้ภายในวันเดียวไหม ?
คุณเปลี่ยนเจ้านายให้คล้อยตามและทำตามความคิดของคุณภายในวันเดียวได้ไหม ?
คุณเปลี่ยนลูกน้องให้กลายเป็นคนใหม่ เป็นคนเก่งทำงานได้อย่างที่คุณต้องการภายในวันเดียวได้ไหม ?

อย่าว่าแต่วันเดียวเลย
ทั้งชั่วชีวิตของคุณก็อาจไม่มีวันนั้น.......

ก็เขาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร
คุณเป็นใครจะไปเปลี่ยนเขา
แต่มีสิ่งหนึ่งที่จริงแท้แน่นอน
คือคุณเปลี่ยนทัศนะคติของคุณที่มีต่อตัวเขาได้แน่ๆ
และง่ายกว่ามาก…

มองให้ออกว่าคุณกำลังโกรธอะไร
คุณอาจเกลียด “ความไม่ให้เกียรติ” ที่เจ้านายมีต่อคุณ
แต่คุณไม่ได้เกลียดเขา
คุณอาจเกลียด “ความเห็นแก่ตัว” ของลูกน้อง
แต่คุณก็ไม่ได้เกลียดตัวเขา
แยกแยะให้ออก....ว่าคุณกำลังไม่พอใจสิ่งใด
ไม่ชอบ “ความรู้สึก” หรือกำลังชิงชังที่ “ตัวบุคคล”
ผมเชื่อว่าส่วนใหญ่เราทุกข์เพราะความรู้สึกแรก
นั่นคือทุกข์ที่ “ความรู้สึก” ไม่ใช่ที่ “ตัวบุคคล”


....................................


ไม่ง่ายเลยกว่าผมจะคิดได้แบบนี้
บาดแผลมากมายยังคงทิ้งร่องรอยไว้ในความทรงจำ
เพียงแต่ผมไม่คิดกลับไปเป็นคนเดิมในวันนั้นอีกแล้ว
คนที่ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล เหยียบย่ำความถูกต้อง
ไม่สนความถูกใจ หรือแม้แต่เชื่อมั่นในความดีงาม
“อาการหลุด” แบบนั้น ผมปล่อยให้มันเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในชีวิต
มันไม่มีทางหวนกลับมามีอำนาจเหนือตัวผมได้อีกแล้ว
ไม่มีทาง.....

ชีวิตผมเหลือไม่มาก และผมไม่อยากใช้วันเวลาที่เหลือ
เพื่อไปเกลียดชังใครอีกแล้ว
หากผม “ให้อภัย” ตัวเองไม่ได้....
ผมย่อมไม่มีวันปลดปล่อยตัวเองจากกองเพลิงแห่งความโกรธ
กองทุกข์ที่แผดเผาไหม้หัวใจตัวเองตลอดเวลา


........................................


ผมหวังว่าวันหนึ่งเขาจะผ่านอารมณ์แห่งความทดท้อนี้ไปได้
ผมบอกเล่าสิ่งที่ผมเคยเจอ เคยพบ เคยผ่าน
หวังว่าเขาจะเรียนรู้และเข้าใจตัวเองมากขึ้น
หลังได้ปลดปล่อยอารมณ์ขุ่นมัวที่อยู่ในใจออกมา
ส่วนการประคับประคองอารมณ์นั้น
เขาต้องจัดการกับมันด้วยตัวเอง
เพราะเรื่องแบบนี้ทำแทนกันไม่ได้
เขาคงต้องเรียนรู้ เปิดใจ ให้อภัย
มองทุกอย่างด้วยความเข้าใจ
มองโลกอย่างที่มันเป็น ไม่ใช่อย่างที่เขาอยากให้เป็น
เลิกด่าทอ และหยาบคายต่อคนเองและกับสิ่งรอบตัว
เมื่อนั้น...ความทุกข์ในใจคงถูกผ่องถ่ายออกไปจากชีวิตได้บ้าง
มิใช่เก็บกด ซ่อนงำมันไว้ใต้พรมแห่งความรู้สึก
แล้วก็นับเวลาถอยหลังรอวันระเบิดทำลายล้างความสัมพันธ์ที่มีระหว่างกัน

ผมหวัง....ว่าสักวันเขาจะหามันเจอ.






Create Date :31 มีนาคม 2550 Last Update :31 มีนาคม 2550 7:42:31 น. Counter : Pageviews. Comments :22