สิทธารถะ: Hesse ![]() นิยายของ Hermann Hesse เล่มแรกที่ผมมีโอกาสได้อ่าน หนึ่งในหนังสือที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาลในมุมมองของผม นับเป็นนิยายเล่มบางที่ทรงพลังอย่างยิ่งเล่มหนึ่ง ซึ่งผมเคยดูแคลนเอาไว้ว่าคงจะอ่านจบในคืนเดียว แต่ก็ต้องยืดออกไปจนเกือบสัปดาห์ เฮสเสเกิดที่เยอรมันนี แต่ไปใช้ชีวิตและเขียนหนังสือที่สวิตเซอร์แลนด์ เคยใช้ชีวิตอยู่ในอินเดียช่วงหนึ่ง ประสบการณ์ที่ได้ ก่อให้เกิดเป็น "สิทธารถะ" ขึ้นมา แปลเป็นไทยโดย "สดใส" ขออนุญาตวิจารณ์และตีความตามความคิดของผู้เขียนแต่เพียงฝ่ายเดียว ผู้รู้และผู้กระจ่างในหลักศาสนาและเนื้อหาของนิยายโปรดให้คำชี้แนะใน comment ได้ครับ นิยายเรื่องนี้กล่าวถึงชีวิตของพราหมณ์ชื่อ "สิทธารถะ" ผู้มีชีวิตคาบเกี่ยวอยู่ในช่วงพุทธกาล เสมือนเป็นการจงใจที่ผู้เขียนตั้งชื่อพราหมณ์ผู้นี้พ้องกับนามของสิทธารถะผู้เป็นโอรสของกษัตริย์พระองค์หนึ่ง ผู้ที่ซึ่งวันหนึ่งข้างหน้าจะได้เป็นศาสดาแห่งพุทธศาสนาและได้เดินทางมาพบกัน สิทธารถะผู้เป็นพราหมณ์ได้ละทิ้งชีวิตของพราหมณ์ออกแสวงหาทางออกของชีวิตให้กับตัวเอง โดยมีเพื่อนรักอีกคนหนึ่งร่วมแสวงหาไปด้วยกัน ทั้งสองฝึกฝนขัดเกลาจิตใจตัวเองจนส่วนหนึ่งอาจนับได้ว่าก้าวพ้นความเป็นปุถุชนไปได้แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นได้ เฉกเช่นพระพุทธเจ้าที่แสวงหาธรรม แสวงหาทางออกให้กับมนุษย์ จนกระทั่งวันหนึ่ง ทั้งคู่ได้โอกาสพบกับองค์ศาสดาแห่งพุทธศาสนา ด้วยความเลื่อมใสที่เกิดขึ้นอย่างล้นพ้น เพื่อนของสิทธารถะได้ปวารณาตัวเข้าเป็นศิษย์แห่งตถาคต แต่ด้วยเหตุผลที่ต่างกัน สิทธารถะตั้งข้อสงสัยกับสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประสบมา สิทธารถะปฏิเสธแนวทางของพระพุทธเจ้าและได้ออกเดินทางค้นหาทางสว่างแห่งปัญญาเพียงลำพัง สิทธารถะได้ผ่านพบประสบการณ์ทางโลกมากมาย คบหาสมาคมกับพ่อค้า หญิงงาม มิตรสหายและข้าทาสบริวาร จากนั้นก็พลิกผันชีวิตตัวเองไปเป็นคนแจวเรือ ที่ริมฝั่งน้ำ สิทธารถะได้พบกับการทดสอบ ความจริง การท้าทาย และประสบการณ์ต่าง ๆ มากมาย แม้กระทั่งสหายที่เคยแยกทางจากกันเมื่อครั้งได้พบกับองค์ศาสดา ทั้งสองยังคงค้นหาสัจธรรมของชีวิตในวิถีทางที่แตกต่างกัน คนหนึ่งอยู่ในทางโลก อีกคนหนึ่งอยู่ในทางธรรม ที่ริมฝั่งน้ำอีกเช่นกัน สิทธารถะได้พบกับบุตรชายที่ไม่เคยได้รู้จักกันมาก่อน ได้เรียนรู้ถึงวิถีชีวิตทางโลกที่ครั้งหนึ่งสิทธารถะเคยเข้าใจและเป็นส่วนหนึ่งของมันมา และได้เรียนรู้ถึงการสูญเสียที่ไม่มีวันเรียกคืนมาได้ กระทั่งวัยชรา สหายทั้งสองผู้ซึ่งมีวิถีทางต่างกันได้มาพบกันอีกครั้งหนึ่ง ณ ที่ริมน้ำแห่งเดิมชายผู้ใช้ชีวิตในทางโลกกลับเสมือนผู้บรรลุแล้ว โดยมีโลกและธรรม (ธรรมชาติ) รอบตัวเป็นผู้ขัดเกลาสั่งสอน แต่สหายทางธรรมผู้ซึ่งแยกทางกันแสวงหาเมื่อหลายปีก่อนก็ยังคงไม่อาจบรรลุธรรมได้ ในการพบกันครั้งสุดท้าย กลับเป็นสิทธารถะผู้ใช้ชีวิตตลอดเวลาในทางโลกเป็นผู้ชี้นำให้สหายซึ่งใช้ชีวิตในทางธรรมได้บรรลุถึงสัจธรรมในชีวิต การกลับกลายเป็นว่า โลกสอนธรรม มิใช่ธรรมสอนโลกดอกหรือ ??? ผู้ใฝ่ศึกษาในธรรมมาเป็นเวลานาน กลับไม่สามารถบรรลุธรรมได้ แต่ผู้แจวเรือข้ามฟากเป็นอาชีพกลับบรรลุธรรมได้ในบั้นปลายชีวิต เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ? ธรรมนั้นเป็นธรรมเดียวกันกับที่ "สิทธารถะ" อีกผู้หนึ่งได้ศึกษาและเผยแพร่หรือไม่ ? คนที่อยู่ในทางโลกเช่นพราหมณ์สิทธารถะนั้นสามารถเข้าถึงแก่นแท้ของชีวิตได้เช่นเดียวกับองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าได้เลยหรือ ? (ถ้าธรรมนั้นเป็นธรรมเดียวกัน) ในศาสนาพุทธบอกว่าผู้บรรลุธรรมเช่นนี้จะไม่สามารถช่วยเหลือให้ผู้อื่นพ้นบ่วงกรรมและหลุดพ้นจากทางโลกได้ แต่เหตุใดสิทธารถะผู้แจวเรือสามารถชี้นำให้สหายเก่า "เห็นธรรม" ได้ ?? กลับเป็นหนังสือเล่มนี้ก่อให้เกิดคำถามแก่ผมมากกว่าจะให้คำตอบ นี่เป็นเหตุหนึ่งที่แทบจะทุกย่อหน้าที่อ่าน แทบจะทุกประโยคที่เฮสเสเขียนขึ้นจะต้องนำมาคิดไตร่ตรองให้ถ้วนถี่ การอ่านพ็อคเก็ตบุคเล่มบางที่มีความหนาไม่ถึงหนึ่งเซนติเมตรจึงต้องใช้เวลานานกว่าที่ควรจะเป็นอยู่มาก แล้วยิ่งอยู่บนพื้นฐานที่ว่าผู้เขียนไม่ใช่ชาวพุทธหรือพราหมณ์ เป็นคนยุโรปที่ "เพียงใช้ชีวิตในอินเดีย" ช่วงหนึ่งเท่านั้น แต่ความนุ่มลึกในความคิดและกระบวนการคิดอันลึกซึ้งทำให้เฮสเสตั้งคำถามให้กับผู้อ่าน (ที่เป็นชาวพุทธ) ได้มากถึงเพียงนี้ ความเห็นส่วนตัว; ถ้าธรรมที่ว่าเป็นธรรมเดียวกัน เฮสเสก็คงจะพยายามบอกว่ามีวิถีทาง (มรรค) มากกว่าหนึ่งที่จะนำเราไปสู่ธรรมนั้นได้ ..เป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะนำไปสู่นิพพานเดียวกัน เป็นการค้นพบมรรคที่สอง (?) ในการเข้าสู่การดับทุกข์อันเดียวกัน แต่ถ้าธรรมที่ว่าเป็นอีกธรรมหนึ่ง การหลุดพ้นที่พราหมณ์สิทธารถะพบก็น่าจะเรียกเป็น "โลกยนิพพาน" คือนิพพานที่ไม่ต้องบวชเรียน นุ่งห่ม หรือถือศีล เป็นนิพพานสายโลก นิพพาน ที่ใครก็ได้สามารถรรลุได้หากได้ศึกษาและเข้าถึงแก่นแท้ของธรรมชาติ (คงต้องยกเว้นบางกลุ่ม/บางคน/บางกรณี) หมายเหตุ; ขอสวนกระแสปลุกระดมให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติด้วยนิยายเรื่องนี้ อยากให้คนที่พยายามผลักดันให้มีบัญญัติในรัฐธรรมนูญได้อ่านหนังสือเล่มนี้สักคนละรอบ แล้วตอบคำถามว่า ธรรมใดที่เราต้องการกันแน่ ? ศรัทธาเป็นเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่ง ที่เมื่อเติบใหญ่ขึ้นจะกลายเป็นลุ่มหลง และในวัยชราจะเปลี่ยนชื่อเป็นงมงาย เป็นหนังสือที่อยากอ่าน แต่ก็ยังไม่อ่านสักที กลัวไม่รู้เรื่องค่ะ
โดย: BoOKend
![]() ชอบความคิดของคุณ Zhivago มากเลยคะ ตรงใจที่สุด ตอนเรียนเลือกเรียนภาษาเยอรมันเป็นวิชาเอก แล้วหัวข้อรายงานที่ต้องทำส่งในวิชาวรรณคดีเยอรมัน ก็เป็นหนังสือเรื่องนี่ละคะ สิทธารถะ ตอนเรียนต้องอ่านจากต้นฉบับภาษาเยอรมัน แล้วก็ได้มาอ่านฉบับแปลของอาจารย์สดใสอีกที ยอดเยี่ยมมากเลยคะ
โดย: ลูกช้าง IP: 202.93.63.250 วันที่: 19 เมษายน 2550 เวลา:13:48:30 น.
เป็ฯหนังสือที่มีคนแนะนำมานานแล้วค่ะ
แต่ยังไม่ได้อ่านซักที ต้องไม่ลืมว่าต้องหาซื้อให้ได้ แหะๆ ![]() โดย: สาวไกด์ใจซื่อ
![]() ![]() ตามคำบอกเล่าของหลายๆคนทำให้รู้สึกว่าไม่ควรพลาดค่ะ
![]() โดย: MagicApple
![]() ผมไม่เคยอ่านเล่มนี้ครับเลยไม่รู้ว่าขนาดไหน
แต่ผมเคยอ่านกฤษณามูรติ หลายเล่ม สุดยอดเหมือนกันครับ โดย: http://enemy222.blogrevo.com IP: 124.120.235.96 วันที่: 24 เมษายน 2550 เวลา:0:19:02 น.
เพื่อนเคยเอามาให้อ่าน เป็นหนังสือเล่มเล็กแต่หนักมากทางความคิด
แต่อ่านแล้วประทับใจมากค่ะ สงสัยเหมือนคุณ Zhivago เช่นกันค่ะว่า เฮสเซ เป็นชาวยุโรปที่ดูจะไม่ใกล้กับองค์สถาคตเลย แต่ไฉนเลยท่านเข้าใจลึกซึ้ง (อาจจะ) มากกว่าเรา ๆ ท่าน ๆ บางคนที่นับถือศาสนาพุทธ (ในบัตรประชาชน) เสียอีก ![]() โดย: ร้อน ๆ หนาว ๆ
![]() ผมได้อ่านหนังสือสิทธารถะเรียบร้อยแล้วครับ ในมุมมองของผมแล้ว ยอมรับว่าเป็นหนังสือที่ยอดเยี่ยมที่สุด (ในโลก) เป็นการถ่ายทอดกระบวนการคิดที่ลึกซึ้งยิ่งที่แฝงลึกอยู่ภายในจิตใจมนุษย์ตลอดเวลา ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นผลงานของคนยุโรปไปได้เลย ยอดเยี่ยมจริงๆ (ใครยังไม่อ่าน ขอให้ลองอ่าน)
โดย: นิรนาม IP: 61.19.220.5 วันที่: 30 พฤษภาคม 2551 เวลา:12:00:50 น.
คุณมาโนช พุตตาล ได้นำแรงบันดาลใจจากหนังสือเล่มนี้
แต่งเป็นเพลงชื่อ ลำธาร ในอัลบั้ม ในทรรศะของข้าพเจ้า ลองหาฟังกันดูครับ มาเพิ่มเติมข้อมูล โดย: คนพเนจร IP: 118.172.116.99 วันที่: 19 มิถุนายน 2551 เวลา:10:52:28 น.
ดูเหมือนว่ารูปพระพุทธรูปนั้นจะกลับด้านกันนะครับ มองแล้วเหมือนว่าเป็นการสะท้อนกระจกเงาของพระพุทธรูป มีความหมายอะไรหรือเปล่าครับนี้
โดย: เส้นใหญ่น้ำ IP: 58.9.188.12 วันที่: 21 มิถุนายน 2551 เวลา:17:17:29 น.
หากศึกษาพระพุทธศาสนามาอย่างถูกต้องตามพุทธประสงค์จะเข้าใจหนังสือเล่มนี้ได้ไม่ยากครับ วิธีการในนิยายเป็นเหตุปัจจุยที่ปรุงขึ้นมาเพื่อความสอดคล้องของเนื้อเรื่องที่ผู้เขียนต้องการให้ดำเนินไป สิทธารถะแท้จริงก็คือการนำพุทธประวัติมากลับด้าน วิถีการบรรลุก็คือวิปัสนา+สมถะที่นำโดยอาโปกสินเป็นหลัก(กสินน้ำ) ซึ่งเป็นเพียง1ใน40วิธีที่พระพุทธองค์เสนอทางเลือกให้เรา สิ่งสำคัญคือตัวเราเองเลือกที่จะเนิ่นช้าหรือไม่ ผู้เขียนยังไม่มีความเข้าใจลึกซึ้งเพียงพอในทางจิตทางธรรมแต่ในด้านความคิดถือว่าฉลาดแยบคายมาก แต่ธรรมแท้เมื่อเข้าไปสู่ความคิดของปุถุชนย่อมกลายเป็นของเทียมไม่สามารถยังตนให้ถึงซึ่งเป้าหมายที่แท้จริงอันหมายถึงพระนิพพานได้ หลักการสูงสุดของพระพุทธศาสนาคือความไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดๆในโลก ทุกคนหันมาบอกดังๆว่า ฉันรู้แล้ว! ... แต่น้อยคนนักที่จะพูดได้เต็มปากว่า ฉันเห็นแล้ว. นั่นเพราะอะไร นั่นคืออัตตาของเราเองใช่ไหม รู้จริงเห็นจริงก็ขออนุโมทนาครับ แต่ใครบอกว่ารู้แต่ไม่เห็นแจ้งแถมยังเอาอัตตาตัวมาข่มยกกิเลสมาโชว์โดยที่ยังไม่ได้ไปศึกษาพิสูจน์มาก่อนอย่างนี้น่าสงสาร... สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมอนันตริยกรรมอีกข้อคือการนับถือลิทธินอกพระพุทธศาสนา! ทำไมจึงพูดเช่นนั้น ก็เพราะศาสนา(ปลอม)เหล่าใดที่ส่งเสริมความมีตัวตน ศาสนานั้นย่อมไม่มีทางส่งให้ผู้นับถือสู้จุดหมายปลายทางที่แท้จริงได้ ... พุทธศาสนานั้นลุ่มลึกเกินกว่าที่จะเอาอะไรมาเปรียบเทียบได้ พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามีมาแล้วนับร้อยนับล้านๆพระองค์และจะมีมาอีกไม่มีที่สิ้นสุด พระธรรมก็คือคำสั่งสอนอันเดียวกันที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสรู้เห็นแจ้งชัดและนำมาสั่งสอนพวกเรา ธรรมแท้มีอยู่คงอยู่ตลอดกาล แต่คนนี่สิวาสนาไม่ถึง คนแท้ๆนั้นเหลือน้อยลงไปทุกทีๆ ห่างไกลจากความเป็นจริงอิงสู่โลกแห่งการหลอกลวงตนเองแลผู้อื่น ... พูดมากบ้าลมไปหน่อยเพราะยังเป็นคนธรรมดามีอัตตาเหมือนกันต้องขออภัย แต่ขอให้ลองศึกษาก่อนเถิดจึงตัดสิน เอวัง.
โดย: พุทธภูมิ IP: 125.26.187.183 วันที่: 29 ตุลาคม 2551 เวลา:15:59:40 น.
เห็นด้วยกับคห.10 (ทุกอย่าง)เราอ่านเรื่องย่อๆแล้ว
เราเป็นแค่เด็กม.ปลาย แต่รู้สึกว่าผู้เขียนยังไม่มีใจเข้าถึงธรรมอย่างแท้จริง เราเรียนพระพุทธศาสนาแค่ท่องจำกัน แต่เราไม่เคยเอามาคิดต่อ เราถึงได้เข้าใจผิวเผิน หรือไม่เข้าใจเลย เราโชคดีมากที่เกิดมาเป็นชาวพุทธ อยากให้ลอกศึกษาด้วยตนเองว่าพุทธศาสนาคืออะไรและมองตามจริง ไม่ต้องนำความคิดชาวต่างชาติมาชี้นำความคิดเรา และไม่ต้องเอาอะไรทั้งสิ้นมาชี้นำ อยากให้คิดและเกิดปัญญากันทุกคน (ปัญญาในทางพุทธศาสนาไม่ได้หมายถึงความฉลาดอย่างที่เข้าใจกันแค่นั้น) โดย: truelife IP: 10.90.4.163, 202.28.181.11 วันที่: 11 สิงหาคม 2552 เวลา:23:03:57 น.
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาร่วมให้ความเห็นและคำแนะนำครับ
ไม่น่าเชื่อว่าสองปีเศษแล้วยังมีคนติดตามอ่านอยู่ ขอบคุณด้วยใจจริงครับ โดย: Zhivago
![]() เราได้อ่านหนังสือเล่มนี้ในวิชาวรรณคดีเยอรมัน อ่านในฉบับเยอรมัน
เราเห็นว่า เรื่องนี้ Hesseต้องการบอกกับผู้อ่านว่า การสอนไม่สามารถทำให้เราบรรลุได้ แต่เราต้องเรียนรู้แสวงหาทางหลุดพ้นด้วยตนเอง และการที่เขาดำเนินเรื่องโดยใช้ฉากเป็นโลกตะวันออกนั้นไม่ได้เป็นการบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับตะวันออก หากแต่เรื่องนี้มีกลิ่นอายของตะวันตกอย่างแท้จริง เห็นได้จากแนวคิดของสิทธารถะ เขาเพียงยืมฉากตะวันออกเท่านั้น แต่แก่นเรื่องที่เขานำเสนอนั้นเป็นความคิดของโลกตะวันตกอย่างแท้จริง โดย: ผู้ที่เคยอ่าน IP: 125.27.220.165 วันที่: 18 สิงหาคม 2552 เวลา:17:49:33 น.
อยากแนะนำเกมส์ลูกแก้วครับ จากมุมปัจเจกสิทธารถะไปสู่มุมส่วนร่วมในเรื่องนี้ครับ
อ่านสิทธารถะครั้งแรกตั้งแต่เป็นนิสิต คิดว่าถึงเวลาต้องอ่านอีกสักรอบ ตอนนั้นประทับใจบทอัศจรรย์ครับเห็นทฤษฏีทางจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์เป็นรูปเป็นภาพเลยครับ โดย: ศรันย์ สมันตรัฐ IP: 10.0.2.112, 58.8.85.184 วันที่: 19 มีนาคม 2554 เวลา:22:49:16 น.
ยินดีที่ร่วมแบ่งปันครับ เกมลูกแก้วเห็นแล้ว "หนักใจ" พอควรเพราะหนามาก แต่คงต้องหามาอ่านให้ได้ครับ
โดย: Zhivago
![]() ขอคารวะมาด้วยหัวใจ แด่ผู้กำลังแสวงหาทุกท่านค่ะ
เพิ่งได้อ่านสิทธารถะไม่นานนี้ แต่งานเขียนฉบับวรรณศิลป์เล่มนี้ก็ปลุกความคิดให้โลดเล่นได้มากมาย เป็นหนังสือเล่มแรกที่ในรอบหลายสิบปีที่มีความสุขทั้งอ่านในใจ และอ่านออกเสียง พบหนังสือเล่มนี้ในรายการพื้นที่ชีวิตทางไทยพีบีเอส ที่คุณสิงห์เล่าให้ฟังได้อย่างน่าสนใจ เมื่อพบฉบับพิมพ์ใหม่ในร้านนายอินทร์ก็เลยหยิบมาแบบไม่ลังเล และพบว่าเป็นหนังสือที่งดงาม เล่มนี้ อ่านรอบเดียวไม่พอค่ะ โดย: อัญชลี IP: 61.91.203.165 วันที่: 19 สิงหาคม 2554 เวลา:15:07:16 น.
ยินดีที่มีคนร่วมอ่านครับ
ขอบคุณสำหรับความเห็นด้วยเช่นกันครับ โดย: Zhivago
![]() ผมว่าเฮสเสไม่ใช่ชาวพุทธนะครับ ไม่เคยนั่งสมาธิ เลยไม่เข้าใจพุทธศาสนาอย่างถ่องแท้ สิทธารถะก็คือตัวเฮสเสเองนั่นแหละครับ คือเขาไม่เชื่อว่าทางสู่นิพพานจะมีได้ทางเดียว เลยคิดทางอื่นที่ตัวเองเลือก ซึ่งจะใช่นิพพานเดียวกันกับของพระพุทธเจ้าหรือเปล่าก็ไม่รู้
โดย: moo IP: 122.155.17.61 วันที่: 25 สิงหาคม 2554 เวลา:15:51:47 น.
โดยส่วนตัวก็คิดว่าเฮสเสไม่ใช่ชาวพุทธครับ สิ่งที่ได้จากการอ่านนั้นไม่ใช่มุมมองที่มีต่อศาสนาพุทธ
แต่เป็นวิธีคิดของเฮสเสที่มีต่อศาสนาพุทธมากกว่าครับ อ่านเรื่องนี้แล้วทำให้ผมมองกว้างขึ้นว่าจริง ๆ แล้วการบรรลุแบพระพุทธอง ค์นั้นเป็นวิธีเดียวที่ศาสนาพุทธมี หรือว่ามีวิธีอื่น(อย่างที่เฮสเสจินตนาการไว้) แล้วทำให้บรรลุได้เช่นกัน (ปล. ที่ว่าบรรลุเช่นกันนั้นอาจไม่ใช่บรรลุธรรมแบบพระพุทธองค์ แต่เป็นการรู้แจ้งในอีกแบบหนึ่งไปเลยก็เป็นได้) ขอบคุณที่เข้ามาร่วมวิจารณ์ครับ โดย: Zhivago
![]() สวัสดีครับคุณ Zhivago
ผมอ่านสิทธารถะสองรอบในปีเดียวกัน แต่สำนวนแปลสองแบบ ทั้งจากคุณสดใสและสีมน แต่ทั้งสองสำนวนไม่มีอะไรที่ทำให้ "แก่น" ของเรื่องนี้ บิดเพี้ยนไปได้เลย ประเด็นเรื่องการแสวงหานิพพานของสองตัวละครเอกในเรื่อง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเสมอ เกิดมาก่อนที่พระพุทธเจ้าท่านจะตรัสรู้ธรรม และเกิดศาสนาพุทธด้วยซ้ำ (อันนี้เป้นทรรศนะของผมนะครับ) การแสวงหาหนทางหลุดพ้นของสิทธารถะ จึงไม่ต่างอะไรกับการที่เรามุ่งมั่นที่จะขับรถจากเชียงใหม่ไปนครศรีธรรมราช วิธีเดินทางมีตั้งแต่นั่งเครื่องบิน ขับรถยนต์ ขี่มอเตอร์ไซด์ หรือแม้แต่เดินไป ที่สุดแล้วถ้าเดินทางอย่าง "ถูกทิศ" สุปลายทางก็จะ "ถูกธรรม" อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเลือกเดินด้วยวิธีใด เป็นหนังสือเล่มหนึ่งในดวงใจของผมเลย ชอบการรีวิวหนังสือของคุณ Zhivago ครับ และเมื่อดูจากรายชื่อหนังสือที่คุณรีวิวไว้ในบล้อก ก็นับว่าคุณเป็นนักอ่านตัวยงเลยครับ โดย: กะว่าก๋า
![]() ![]() ขอบคุณครับที่เข้ามาร่วมวิจารณ์ ยินดีที่ได้ร่วมแลกเปลี่ยนกันครับ
โดย: Zhivago
![]() |
บทความทั้งหมด
|