บ้านเกิด เพื่อนเก่า: Corman


เคยถูกความฝันทำร้ายบ้างไหม ?


นิยายเรื่อง "บ้านเกิด เพื่อนเก่า" โดย Avery Corman ผู้เขียน Kramer VS Kramer และ OH God ที่เคยเอามาเขียนไว้ก่อนหน้านี้แล้ว แปลเป็นไทยโดย เริงศักดิ์ ปานเจริญ

นิยายขนาดเรื่องสั้นขนาดยาว หรือเรื่องยาวแบบปานกลาง ความหนาสามรัอยหน้า ที่อ่านแล้วทำให้ต้องกลับมาคิดถึงตัวเองได้ยกใหญ่เลยทีเดียว

..........


นิยายเปิดเรื่องด้วยชายหนุ่มผู้หนึ่งที่เกิดและเติบโตในย่านบรองซ์ นิวยอร์ค ลูกชายคนเดียวของครอบครัวชาวยิวที่พ่อเป็นพนักงานขายในร้านขายเสื้อผ้า และแม่ที่เป็นแม่บ้านเต็มตัว ในครอบครัวที่ดูเหมือนสงบสุขนี้ พ่อผู้ที่ได้เป็นเพียง "ผู้ช่วยผู้จัดการ" มาตลอดชีวิตการทำงาน แม้ว่าจะเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้วหลายคน ด้วยเหตุผลที่ว่าเขาเป็นคนดีเกินไป ประกอบกับภาวะครอบครัวที่ต้องกินอยู่อย่างประหยัดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้เกิดความตึงเครียดที่ไม่มีใครเอ่ยปากขึ้นในครอบครัว พ่อกับแม่ที่แทบไม่คุยกัน (ในยุคที่การหย่าร้างเป็นเรื่องที่หาได้ยาก-โดยเฉพาะในสังคมชาวยิว) เด็กหนุ่มมีชีวิตตามแบบฉบับเด็กชายอเมริกัน ทำงานล่วงเวลาที่ร้านขายขนม เล่นบาสเกตบอล คบเพื่อน มีแฟน เรียนหนังสือ ...เรียงตามลำดับความสำคัญ

ในภาวะเช่นนั้น เด็กหนุ่มต้องหาทางเดินออกจากชีวิตในย่านที่ไม่เจริญนักแห่งนี้ไปสู่โลกภายนอก ความหวังเรื่องการเล่นบาสเกตบอลถูกหยุดไว้เพียงมีชื่อติดในทีมรวมดาราระดับมัธยมเนื่องจากข้อจำกัดเรื่องความสูง (6 ฟุต-สูงเกินมาตรฐานคนไทยแต่ยังไม่พอสำหรับการเปล่งประกายในสนามใหญ่) เขาเข้าเรียนในระดับวิทยาลัย เขาจบการศึกษาและได้งานทำในฐานะนักเขียนคำโฆษณาในแคลิฟอร์เนีย... คนละฝั่งทะเลกับบ้านเกิด ด้วยเหตุผลที่ว่าเขามีความเป็นคนนิวยอร์คอย่างเต็มตัว

จากนั้นเขาก้าวหน้าในอาชีพงานโฆษณา ได้เงินเดือนสูงขึ้น งานประสบความสำเร็จ จากนั้นได้แต่งงานกับบัณฑิต "ประวัติศาสตร์ศิลป์" ลูกสาวของครอบครัวผู้มีฐานะครอบครัวหนึ่งในแคลิฟอร์เนีย... แม่ของเขาเสียชีวิต ส่วนพ่อก็แต่งงานใหม่กับแม่หม้ายที่อยู่อพาร์ตเม้นหลังเดียวกันนั่นเอง ก่อนจะย้ายไปอยู่ฟลอริดาในที่สุด ภรรยาของเขาผลิตลูกสาวน่ารักออกมาสองคน จากนั้นก็เปิดโรงเรียนสอนศิลปะที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เรื่องน่าจะจบลงด้วยดี จนกระทั่งเขาได้รับการติดต่อให้ไปทำงานที่นิวยอร์ค ด้วยเหตุผลที่ว่า เขามีความเป็นคนแคลิฟอร์เนียอย่างเต็มตัว

เขาย้ายกลับมาทำงานในนิวยอร์ค ซื้อบ้านที่ลองไอร์แลนส์ ไม่เหยียบย่างเข้าเขตบรองซ์อีกเลย งานโฆษณาของเขาประสบความสำเร็จ เขาร่วมหุ้นกับเพื่อนเปิดบริษัทโฆษณาของตัวเอง ภรรยาประสบความสำเร็จในโรงเรียนศิลปะแห่งใหม่ที่ย้ายมาเปิดในฝั่งตะวันออก

ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อทั้งเขาและภรรยาประสบความสำเร็จมากเกินไป...

..........


ความสำเร็จที่ทุกคนได้มาย่อมต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน แต่ละคนต้องจ่ายสิ่งแลกเปลี่ยนทั้งสิ่งของที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ และด้วยอะไรหลาย ๆ อย่างที่ไม่สามารถมองเห็นหรือจับต้องได้ แต่สามารถรู้สึกได้ เจ็บปวดได้ และที่สำคัญก็คือมันสามารถกลับมาทำร้ายเราได้ในภายหลัง หลายคนอาจต้องจ่ายสิ่งแลกเปลี่ยนเป็นความอบอุ่นของครอบครัว เป็นความฝันวัยเด็กที่ต้องถูกซุกไว้ลึกสุดในจิตสำนึก เป็นสุขภาพที่ไม่อาจวัดได้ด้วยระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด

บางสิ่งอาจแลกคืนมาได้ แม้มันจะไม่เหมือนครั้งที่เราได้สูญเสียมันไป แต่อย่างน้อยก็ยังมีคนที่พร้อมจะแลกความสำเร็จเหล่านี้กับสิ่งที่เขาสามารถแลกคืนมาได้นั้น ขึ้นอยู่กับว่าเรากล้าจะหยิบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในชีวิตของเราออกมาแลกกับความฝันวัยเยาว์ที่แตกหักเสียหายจนไม่รู้ว่าจะซ่อมแซมได้อีกหรือเปล่าหรือไม่

..........


ลองคิดถึงตัวเอกในเรื่อง ถ้าใครสักคนประสบความสำเร็จในชีวิตมากถึงระดับนี้แล้วเขาพร้อมจะเสียสละมันไปหรือไม่... เมื่อแม่ของเขาตาย พ่อที่ไม่เคยร้องทุกข์กับความล้มเหลวของครอบครัวที่ไม่สามารถหาทางออกได้ก็ได้แต่งงานใหม่ และใช้ชีวิตท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่าง ๆ กับภรรยาคนใหม่ โดยที่เขาไม่เคยคิดเสียใจกับความเป็นคน "ดีเกินไป" สำหรับอาชีพพนักงานขาย ในขณะที่ตัวเอกของเรื่องเป็นคนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับการแข่งขันและคำโกหกหลอกลวงอยู่ตลอดเวลา (เพราะมันคือโฆษณา-คุณดื่มความสุขไม่ได้/ซุปสกัดในขวดแก้วไม่ทำให้คนฉลาดขึ้น) ในเมื่อมันไม่สามารถให้ความสุขกับชีวิตของเขาได้ มิหนำซ้ำเขาต้องเอาความสุขในชีวิตไปแลกกับความสำเร็จ แล้วทำไมคนอย่างเขาถึงจะไม่ยอมและมันกับความฝันของเขาเอง แม้ว่าความฝันที่เขาแลกมาจะถูกฝุ่นจับหนาจนเลอะเลือน แต่มันก็ยังน่าจะให้ความสุขกับชีวิตของเขาได้

อ่านเรื่องนี้แล้วก็ได้มองย้อนกลับมาถึงชีวิตตัวเองว่าทุกวันนี้เรามีความสุขกับชีวิต หรือมีความสุขกับการทำงาน หรือมีความสุขกับครอบครัวมากกว่ากัน แน่นอนว่าถ้าไม่ทำงานก็คงมีชีวิตไม่ได้ มีครอบครัวไม่ได้ แต่ถ้ามีแต่งานแล้วชีวิตต้องแตกสลาย (ทั้งทางกายภาพและทางจิต) ครอบครัวล้มเหลวก็คงไม่ใช่สิ่งที่ดี หรือมีแต่ครอบครัว ไม่มีชีวิต ไม่มีงาน นั่นก็คงไม่ทำให้มีความสุข

อย่าให้ความฝันทำร้ายตัวเราเอง จงซื่อสัตย์กับความฝัน ความฝันเองก็จะต้องตอบคำถามของความจริงได้

..........


คอร์แมนเขียนเรื่องนี้ได้ดี ตัวละครแต่ละตัวสามารถจับต้องได้ มีมิติและความรู้สึกนึกคิดเป็นคนธรรมดาที่เราสามารถพบเจอได้ในชีวิตประจำวัน เนื้อหาไม่หลุดไปจากชีวิตของใครหลาย ๆ คน ทำให้เมื่ออ่านเรื่องนี้จบแล้วสามารถกลับมาคิดถึงตัวเองได้โดยไม่ยากนัก ไม่มีเรื่องที่อ่านแล้วเกินจริง แต่ก็สามารถทำให้ผู้อ่านติดตามเรื่องด้วยความรู้สึกเป็นห่วงและเอาใจช่วยตัวละครในเรื่องได้ตลอด

คงต้องตามหา Kramer VS Kramer มาอ่านเสียแล้ว



Create Date : 20 ตุลาคม 2550
Last Update : 20 ตุลาคม 2550 22:30:23 น.
Counter : 1118 Pageviews.

2 comments
  
อ่านถึงคำว่า
"อย่าให้ความฝันทำร้ายตัวเราเอง จงซื่อสัตย์กับความฝัน ความฝันเองก็จะต้องตอบคำถามของความจริงได้" แล้ว

อยากอ่านเล่มนี้ค่ะ
โดย: แพนด้ามหาภัย IP: 125.25.197.10 วันที่: 20 ตุลาคม 2550 เวลา:23:32:58 น.
  
หนังสือเก่ามากแล้วครับ ไม่ได้บอกปีที่พิมพ์ไว้ แต่คาดว่าคงสิบกว่าปีแล้วครับ กำลังหา Kramer มาอ่านอยู่เหมือนกันครับ เพิ่งเห็นหนังสือของ corman เมื่อปีที่แล้วนี่เอง อ่านแล้วน่าสนใจครับ เขาเขียนเรื่องไม่ยาวนัก ใช้คำไม่เยิ่นเย้อ แสดงความคิดตัวละครได้ชัดเจนดีครับ
โดย: Zhivago วันที่: 21 ตุลาคม 2550 เวลา:0:45:15 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Zhivago.BlogGang.com

Zhivago
Location :
นครศรีธรรมราช  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]

บทความทั้งหมด