เธอคือชีวิต: Chukovski


มนุษย์ เข้มแข็งกว่าที่ตนเองคิดเสมอ


หลังจากผมโดนคุณป้า Jean M. Auel น็อคเอ้าท์ในยกที่สามจาก "นักล่าแมมมอธ" ที่หนาพันสองร้อยกว่าหน้า (ยกแรก-ตำนานมนุษย์ถ้า เจ็ดร้อยหน้า และยกที่สอง-หุบเขาม้าทุ่ง เก้าร้อยหน้า จบลงอย่างสนุกสนาน) ก็เลยต้องมานั่งพักสายตาและสมอง หยิบ "เล่มบาง" หลายเล่มที่เคยอ่านไว้เมื่อหลายปีก่อนมาอ่านเพื่อผ่อนคลายสมองเสียหน่อย

การมีเล่มบางในดวงใจสักสองสามเล่มไว้ใกล้ตัวนั้นเป็นการดีสำหรับเลือกหยิบมาอ่านเมื่อต้องการความรู้สึกเดิม ๆ ...ถ้าอยากฮึกเหิมและต้องการพลังก็คงต้องพึ่งผู้เฒ่าซานติเอโกในท้องทะเลแห่งเกียรติยศ หากต้องการมิตรภาพจริงแท้ก็ต้องหันไปหาฝูงอสุภาพบุรุษผู้เป็นตัวแทนของโลกียชนทั้งปวงในทอร์ทิลา แฟลต เป็นต้น

แต่ถ้าหากต้องการกำลังใจสำหรับฝ่าฟันอุปสรรค "เธอคือชีวิต" เล่มนี้ก็พร้อมจะมอบกำลังใจให้กับผมอยู่เสมอ เธอเป็นหนึ่งเล่มบางที่อ่านจบในครึ่งคืนได้โดยไม่ยากนัก

ยังจำได้ว่าอ่านครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2532 แต่พอปี พ.ศ. 2533 ก็มอบให้ใครคนหนึ่งไปด้วยหวังว่ากำลังใจจากเธอผู้คือความหมายแห่งชีวิตนี้จะช่วยเหลือให้คนคนนั้นได้ต่อสู้กับอุปสรรคที่ขวางหน้าไปได้ เมื่อปีที่แล้ว (พ.ศ. 2549) ผมเห็นหนังสือเล่มนี้อีกครั้งในร้านมือสอง online ร้านหนึ่ง ..ในที่สุดเธอผู้จากผมไปสิบหกปีก็กลับมาหาผมอีกครั้ง

วันที่แกะกล่องพัสดุไปรษณีย์ ยังต้องลุนแทบแย่ว่าจะเป็นเล่มเดียวกันหรือเปล่า !

..........


นิยายโดย นิโคไล ชูคอฟสกี้ นักเขียนรัสเซียผู้มีชีวิตช่วงหนึ่งท่ามกลางการปิดล้อมโดยทหารเยอรมันที่กระทำต่อเมืองเลนินกราดในช่วงเวลาอันยาวนานของสงครามโลกครั้งที่สอง แปลเป็นไทยโดยวิทยากร เชียงกูล (ผู้ประพันธ์ "ฉันจึงมาหาความหมาย")

ชูคอฟสกี้เขียนเรื่องนี้เมื่อปี 1964 หนึ่งปีก่อนเสียชีวิต เกือบยี่สิบปีหลังสงครามสิ้นสุด ช่วงเวลายี่สิบปีนั้นนานพอที่จะทำให้ผู้ถูกกระทำในสงครามอันโหดเหี้ยมนั้นหันกลับไปมองมันในอีกแง่มุมหนึ่งได้

เกิดอะไรขึ้นในการปิดล้อมเลนินกราดในครั้งนั้น ?

..........


22 มิถุนายน ค.ศ. 1941 เยอรมันเปิดยุทธการบาร์บารอสซา ส่งทหารบุกรัสเซียอย่างสายฟ้าแลบเพื่อหวังยึดครองภาคพื้นยุโรปตะวันออก กองทัพส่วนหนึ่งได้รับมอบหมายให้ยึดครองพื้นที่แถบทะเลบอลติกให้ได้ทั้งหมด ในเดือนสิงหาคม กองทัพเยอรมันเดินทางมาถึงเมืองเลนินกราด (เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก) ด้วยการต่อต้านอย่างถวายชีวิตทำให้เยอรมันไม่สามารถบุกเข้ายึดเมืองได้ จึงเปลี่ยนไปใช้วิธีปิดล้อมเมืองให้คนในเมืองอดตาย พร้อมกับโจมตีทางอากาศและปืนใหญ่อย่างต่อเนื่อง

...มุมหนึ่งของเมืองที่หนาวเหน็บและอดอยาก มีคนเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในชุดผ้าคลุมสีขาวเหมือนนางฟ้าอยู่ในตึกหลังหนึ่ง แม้ผ้าคลุมผืนนั้นจะไม่ขาวนัก แต่ก็เพียงพอจะดึงดูดผู้คนในบริเวณนั้นให้คิดถึงเธอได้เสมอ ...วันหนึ่งในระหว่างการโจมตีทางอากาศ ใครต่อใครต่างลงไปอุดอู้อยู่ในที่หลบภัยใต้ดิน เธอผู้นี้กลับประกาศว่าให้ขึ้นไปที่ดาดฟ้ากันเถอะ เครื่องบินไปไกลจนแทบไม่ได้ยินเสียงแล้ว... บรรณาธิการหนังสือพิมพ์คนหนึ่งตามเธอขึ้นไป

เด็กหญิงผู้เป็นเสมือนสีขาวบริสุทธิ์ยิ่งกว่าหิมะแห่งเมืองเลนินกราดที่ถูกปิดล้อมโดยกองทัพที่หวังจะขยี้พวกเขาให้แหลกเหลวไปด้วยระเบิดและปืนใหญ่ หรือไม่ก็ทำให้คนเหล่านี้อดตายเพราะขาดอาหาร แต่เด็กผู้หญิงคนที่ "ดูแล้วไม่น่าจะอายุเกินสิบห้า" ผู้นี้กลับมีชีวิตรอดอยู่ได้และคอยเป็นเสมือนแสงสว่างส่องให้ผู้คนที่หมดหวังและซูบผอมลงทุกวันกลับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง

เธอผู้นี้เป็นคนที่คอยดูแลและช่วยเหลือผู้อื่น คอยให้กำลังใจกับคนที่หมดหวังอยู่เสมอ แม้ทุกคนรวมทั้งเธอด้วยจะต้องตกอยู่ในสภาวะที่แค่เดินไปรับขนมปังแข็ง ๆ ปันส่วนก้อนหนึ่งก็แทบจะไปไม่ถึงแล้ว แต่เธอกลับแสดงสิ่งที่เกือบเป็นปาฏิหาริย์ให้ผู้คนรอบข้างได้ประหลาดใจอยู่เสมอ

แต่ถึงอย่างไรเธอก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง สิ่งที่มนุย์พยายามนั้นไม่จำเป็นต้องประสบความสำเร็จเสมอไป เพียงแต่หลายคนเลือกที่จะพยายามทำมันเท่านั้นเอง และเด็กผู้หญิงคนนี้ก็เลือกที่จะทำอย่างนั้น เธอวิ่งขึ้นลงตามห้องพัก ติดเตาให้ความอบอุ่น ต้มน้ำดื่ม ชักชวนคนที่หมดหวังในชีวิตให้กลับมาพูดคุยและลุกขึ้นก้าวเดินต่อไปในความเป็นจริงอันแสนเจ็บปวดของมหาสงครามครั้งนี้

บรรณาธิการหนุ่มผู้ที่ได้เรียนรู้จากเด็กผู้หญิงว่าทำไมคนเราถึงต้องมีชีวิตอยู่กลางสงครามอันโหดร้าย ทำไมผู้คนถึงต้องมีชีวิตอยู่ในเมื่อคนรอบข้างต่างล้มตายไปทีละคนสองคน แม้จะไม่ได้จากกระสุนปืนนัดไหนก็ตาม ..ความตายจากความหิวและความหนาวเย็นก็ยังนำมาซึ่งความหดหู่รันทดและสิ้นหวังได้เสมอ แต่เด็กหญิงก็ยังคงประคับประคองจิตวิญญาณของผู้คนในหมู่อาคารที่เธอพักอาศัยอยู่ได้ด้วยความหวังและความเข้มแข็ง... ความเข้มแข็งที่เธอได้บอกกับบรรณาธิการหนุ่มว่า "มนุษย์ เข้มแข็งกว่าที่ตัวเองคิดไว้เสมอ"

ความหวังทำให้มนุษย์ผู้ผุกร่อนและเจ็บป่วยที่ฝังตัวเองลงไปใต้ผ้าห่มผืนเก่ากลับลุกขึ้นเดินไปเบื้องหน้าเพื่อต่อสู้ให้มาตุภูมิและยืนหยัดมีชีวิตอยู่เพื่อบอกให้โลกรู้ว่ายังมีคนไม่ยอมแพ้อยู่ในเมืองที่ถูกปิดล้อมและสิ้นหวังลงทุกวันแห่งนี้

..........


การปิดล้อมเมืองเลนินกราดดำเนินไปประมาณ 900 วัน เป็นเวลาสองปีเศษที่ยาวนานและขมขื่น ผู้คนจำนวนมากล้มตาย ทั้งทหารและพลเรือน ทั้งเยอรมันและรัสเซีย การปิดล้อมสิ้นสุดเมื่อกำลังช่วยเหลือจากทหารรัสเซียมาถึงและกองทัพเยอรมันล่าถอยกลับไปพร้อมกับความปราชัยอย่างย่อยยับ

สงครามสร้างวีรบุรุษและวีรสตรีขึ้นมากมาย แต่เรื่องราวของคนหลายคนที่แม้ได้รับการจดจำแต่ก็ไม่ได้รับการกล่าวถึง หรือกระทั่งได้รับการกล่าวถึงก็ไม่ได้รับการสดุดี การสดุดีที่ได้รับถ้าหากมีก็เป็นเพียงคำกล่าวไม่กี่คำที่ไม่นานก็ถูกลืมเลือนไป แต่คุณความดีที่ปัจเจกชนผู้หนึ่งได้กระทำต่อเพื่อนมนุษย์อีกผู้หนึ่งนั้น หากเป็นการกระทำด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ เขาหรือเธอผู้นั้นย่อมได้รับการจดจำและยกย่องจากผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือนั้นไปตราบนานเท่านาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเขาหรือเธอเป็นผู้ช่วยเหลือคอยฉุดรั้งชีวิตและจิตวิญญาณของผู้คนที่ชำรุดทรุดโทรมท่ามกลางสงครามอันโหดร้ายและหนาวเหน็บ คุณความดีนั้นย่อมมีคุณค่ามากกว่าในยามปกติหลายเท่านัก

ไม่จำเป็นต้องมีอนุสาวรีย์สำหรับคนเหล่านี้ พวกเขาไม่เคยต้องการมัน

..........


"วิธีเร็วที่สุดสำหรับหยุดสงครามคือยอมแพ้" George Orwell

ด้วยความเคารพ... ไม่ใช่สำหรับเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้



Create Date : 05 ธันวาคม 2550
Last Update : 5 ธันวาคม 2550 0:56:05 น.
Counter : 1633 Pageviews.

5 comments
: กะว่าก๋าแนะนำหนังสือ - ความฝันที่มั่นสุดท้าย : กะว่าก๋า
(26 มิ.ย. 2568 05:04:56 น.)
: กะว่าก๋าแนะนำหนังสือ - หล่นไปในสมมุติ : กะว่าก๋า
(24 มิ.ย. 2568 04:11:57 น.)
: กะว่าก๋าแนะนำหนังสือ - ความรักเท่าที่รู้ : กะว่าก๋า
(23 มิ.ย. 2568 04:26:06 น.)
: กะว่าก๋าแนะนำหนังสือ - ความสุขโดยสังเกต : กะว่าก๋า
(22 มิ.ย. 2568 05:29:20 น.)
  
มนุษย์ เข้มแข็งกว่าที่ตัวเองคิดไว้เสมอ


ชอบคำนี้จังค่ะ
โดย: แพนด้ามหาภัย วันที่: 5 ธันวาคม 2550 เวลา:13:22:05 น.
  
โดย: ความเจ็บปวด วันที่: 5 ธันวาคม 2550 เวลา:18:06:41 น.
  
แน่นอนค่ะ...มนุษย์ เข้มแข็งกว่าที่ตัวเองคิดไว้เสมอ
โดย: แม่ไก่ วันที่: 19 พฤษภาคม 2551 เวลา:9:24:29 น.
  
สวัสดีค่ะคุณหมอ....นึกขึ้นมาได้เหมือนกันค่ะว่าเราก็มี"เธอคือชีวิต"ก็เลยหยิบมาอัพเดทมั่ง...ก็เพิ่งอ่าน"ฝังเธอที่ปลายฟ้า"จบไป ...."หนังสือต้องอ่านทีละตัว ทางเดินต้องเดินทีละสาย"....ที่สุด...หมอซูเหวินเลยยอมละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อตามหาสามี...หมอเคอจุน ที่หายไปในการปฏิบัติการระหว่างจีนและทิเบต ....ทั้งที่ทั้งสองเพิ่งแต่งงานกันได้เพียง 3 สัปดาห์เท่านั้น....อ่านไป...อินไป...ร้องไห้ไปด้วย...โห!!เครียดสุดๆเลยค่ะ
โดย: แตงร่มใบ IP: 125.27.116.26 วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:18:58:07 น.
  
ชอบเล่มนี้มากๆ เช่นกัน อ่านจบสามครั้ง ก็ยังจับความรู้สึกตัวเองไม่ถูก... รู้สึกถึงแต่ความเงียบงัน นิ่ง สงบ ทำอะไรไม่ถูก...แต่ประทับใจอย่างลึกๆ ไม่พลุ่งพล่าน
โดย: อาธร IP: 114.128.60.79 วันที่: 21 มีนาคม 2552 เวลา:19:45:53 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Zhivago.BlogGang.com

Zhivago
Location :
นครศรีธรรมราช  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]

บทความทั้งหมด