พระเจ้าเพื่อนรัก: Corman หนังสือเล่มบาง ๆ ของ Avery Corman ( คนเขียนเรื่อง Kramer vs Kramer เรื่องนี้แปลเป็นไทยใช้ชื่อว่า "พ่อ" ) นิยายเรื่อง OH God นี้เป็นเรื่องแรกของผู้เขียนคนนี้ (เขียนเมื่อปี 1977: สามสิบปีมาแล้ว) แปลโดย สุวิทย์ ขาวปลอด นักแปลอันดับต้น ๆ ที่ยังมีผลงานต่อเนื่องมาโดยตลอด เรื่องนี้เป็นเรื่องแรก ๆ ของลุงสุวิทย์ ฉบับนี้เป็นฉบับที่นำมาพิมพ์ใหม่ เพิ่งจะอ่านจบเมื่อสองสามวันที่ผ่านมา เนื้อหาของนิยายกล่าวถึงโลกในยุคที่ผู้คนเริ่มเสื่อมศรัทธาต่อพระเจ้าและหันไปหาสิ่งบันเทิงเริงรมย์ต่าง ๆ ผู้คนเริ่มตั้งคำถามว่าแท้จริงแล้วเราเกิดมาโดยพระเจ้าจริงหรือ ??? กระทั่งหลายคนถึงกับบอกว่าพระเจ้าตาย (ดับสูญ) หรือเกษียณอายุไปแล้วก็มี จนอยู่มาวันหนึ่ง นักเขียนอิสระคนหนึ่งได้รับสาส์นจากพระเจ้า ส่งมาเป็นจดหมายน้อยสอดเข้าใต้ประตูเรียกให้ไปสัมภาษณ์พระเจ้า... โดยผ่านอินเตอร์คอมเครื่องหนึ่ง !! พระเจ้าอยากให้มีใครสักคนเอาเรื่องหนักอกของพระเจ้าไปตีพิมพ์และออกตามสื่อต่าง ๆ ...โทรทัศน์เป็นสื่อหนึ่งที่พระเจ้าพูดถึง (ตั้งแต่เมื่อ 30 ปีก่อน โทรทัศน์ก็เริ่มมีอิทธิพลเหนือมนุษย์แล้ว) โดยเลือกนักเขียนคนนี้จากการที่เขาเคยตีพิมพ์บทสัมภาษณ์นักร้องเพลงร็อค The Rolling Stone ได้อย่างถึงพริกถึงขิงมาแล้ว เป็นตัวแทนในการให้สัมภาษณ์ บทความที่นักเขียนคนนี้เขียนได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือใต้ดิน (ที่วางแผงขายใกล้กับหนังสือโป๊) จำนวนหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดกระแสใด ๆ ขึ้นในสังคม จนกระทั่งมีคนเอาไปพูดในรายการโทรทัศน์ว่ามีบทความเรื่องการสัมภาษณ์พระเจ้าตีพิมพ์อยู่ เรื่องจึงโด่งดังเป็นกระแสขึ้นมา สิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เกิดขึ้นคือความศรัทธาและการเชื่อในพระเจ้า... แต่กาลกลับตาลปัตรเป็นผู้คน (และสื่อ) ตั้งข้อสังเกตถึงความน่าเชื่อถือของนักเขียนผู้นี้ แน่ละ ให้สัมภาษณ์ทั้งที ดันไปคุยกับนักเขียนขาร็อค แทนที่จะเลือกอาร์คบิชอบสักคน หรือไม่ก็สันตปาปา ...ไม่งั้นก็หมดเรื่องไปแล้ว คนเขียนบทสัมภาษณ์ก็เลยต้องทำอาชีพแพะแบบ part time โดยการระเห็จไปนอนในโรงพยาบาลบ้าอยู่พักหนึ่งจนกระทั่งมีคนออกมาบอกว่ามีหลักฐานที่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ ซึ่งเรื่องของเรื่องก็คือเจ้าหนุ่มนักเขียนของเราได้รับเชิญไปงานประชุมวิชาการทางศาสนาครั้งหนึ่ง แล้วมีคนเอาแบบสอบถามมาให้ทำโดยตั้งโจทย์หลายข้อเป็นภาษาโบราณที่สาบสูญไปนานแล้ว แล้วให้เวลาหนึ่งคืนไปหาคำตอบ ก็ได้พระเจ้านี่แหละที่ปลอมตัวเป็นเด็กเสริ์ฟมาช่วยตอบปัญหาให้ เลยมีหลักฐานอยู่บ้างว่าไม่ได้มั่ว หากไม่คิดอะไรมาก พระเจ้าในเรื่องถึงกับบอกว่า ศาสดาในศาสนาทั้งหลายทั้งปวงนั้นเป็นผลิตผลจากพระเจ้าทั้งสิ้น (ในเรื่องเอ่ยชื่อเรียงกันไปเลย แต่ขอละไว้) ...สุดท้าย องค์กรทางศาสนาทั้งหลายก็จัดประชุมกันแล้วลงมติกันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับนักเขียนผู้นี้เป็น "ปาฏิหาริย์" จริงหรือไม่ !!! พระเจ้าผู้ซึ่งตอนต้นเรื่องเคยบอกว่าเขาอยู่ทุกหนทุกแห่งที่มีคนเอ่ยนาม "พระเจ้า" แต่ในการประชุมครั้งนี้พระเจ้าเข้าไม่ได้ !!! ต้องปลอมตัวเป็นคนขายไอติมอยู่หน้าที่ประชุม คอยเลียบเคียงถามคนโน้นคนนี้ว่าเขาพูดกันว่าอะไรบ้าง ...แสดงว่าที่ประชุมนี่ไม่ได้เอ่ยอ้างถึงพระเจ้าเลยอย่างนั้นหรือ ??? สุดท้ายที่ประชุมมีมติว่า "ปาฏิหาริย์ไม่มีจริง" พระเจ้าก็เลยคอตก หลีกลี้หนีหน้าไปเสียนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ซึ่งอันที่จริงพระเจ้าก็บอกกับเจ้าหนุ่มนักเขียนของเราตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วว่าเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้นพระเจ้าไม่ยุ่ง อาทิเช่นเรื่องคะแนนโหวต ...เอ๊ย ไม่ใช่ ...เช่นเรื่องในครอบครัว เรื่องฟุตบอลแมนซิตี้... เอ๊ย ไม่ใช่ ...เรื่องฝนฟ้าไม่ตก เรื่องคะแนนสอบ ส่วนเรื่องใหญ่ ๆ นั้นท่านก็ปล่อยให้เป็นไปตามครรลองของโลกที่เป็นไปเองอยู่แล้ว ท่านถึงกับบอกว่าไอ้เรื่องอนาคตของคมช. ...เอ๊ย ดึก ๆ นี่พิมพ์ผิดบ่อยจัง ...อนาคตของโลกใบนี้ท่านก็ไม่รู้ ท่านไม่อยากเข้าไปยุ่ง พออ่านถึงตอนนี้ก็กลับมาคิดว่า แล้วถ้างั้นจะมีพระเจ้าไปทำไม (คงสมควรแล้วที่ที่ประชุมเขาไม่เอาปาฏิหาริย์ที่ท่านมาให้สัมภาษณ์กับนักเขียนมาเป็นสรณะ) แต่หนังสือก็บอกเป็นนัยอยู่พอสมควรเหมือนกันว่าคนที่ยึดมั่นและศรัทธาด้วยใจจริงนั้น ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังคงศรัทธา (ในพระเจ้า) อยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย แม้บางทีมันจะออกแนวลุ่มหลงหรืองมงายเสียมากกว่า พูดถึงเรื่อง ศรัทธา-ลุ่มหลง-งมงาย นี่ผมว่าบางทีมันก็แยกยากเหมือนกันว่าอะไรคืออะไร บางครั้งมันกลืนกันไปเสียหมด สับสนปนเปกันไปจนไม่รู้ว่าระดับไหนจะเรียกว่าอะไร น้อยเกินไปก็ไม่ศรัทธา มากเกินไปก็ลุ่มหลงงมงาย พรรคมัชฌิมา... เอ๊ย ทางสายกลางก็ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน ยิ่งอยู่ก็ยิ่งมั่วจริง ๆ น่าลองหามาอ่านนะ ผมว่าเรื่องนี้อ่านแล้วได้อะไรกลับมาคิดอีกมากเลย ในเมื่อพระเจ้าไม่ได้ตอบสนองต่อมนุษย์ แล้วทำไมมนุษย์ถึงต้อง respect ในตัวพระเจ้าด้วย (แม้ท่านมิอาจให้อะไรเลย วานนิ่งเฉยอย่าบ่นอย่าโวยวาย; เพลงเถื่อนแห่งสถาบัน วิทยากร เชียงกูล) If God did not exist, it would be necessary to invent him. ; วอลแตร์ ...คำพูดนี้ยังเอามาใช้ได้เสมอ |
บทความทั้งหมด
|
ซื้อเล่มที่แปลจากเรื่องKramer vs Kramer มาสองเล่มค่ะ
เพราะเพิ่งได้ดูหนังออสการ์เรื่องนี้สุดยอดมาก
พ่อ ภูริภัทรแปล
แครมเมอร์ กับแครมเมอร์ เริงศักดิ์ ปานเจริญ แปล
แต่อยากได้เล่มภาษาอังกฤษมากหาไม่ได้เลย
เล่มนี้อ่านรีวิวแล้วน่าสนใจค่ะ