ก็องดิดด์: Voltaire


ผู้อาสาสร้างพระเจ้า


อ่านเรื่องนี้จบได้ไม่นานครับ พอดีช่วงนี้คุยเรื่องพระเรื่องเจ้า รวมทั้งเรื่องพระเจ้ากับเพื่อนสมัยเรียนกันอยู่ เลยหยิบยกมุมมองของฝรั่งโบราณคนหนึ่งให้ลองอ่านกัน เผื่อจะเป็นแนวทางให้คนที่ไม่ว่าจะยึดตัวกูของกู หรือไม่ยึดตัวกูของกู เป็นตัวอย่างให้ลองอ่านกัน

หนังสือชื่อ ก็องดิดด์ (Candide) ของวอลแตร์ (Voltaire) หลายคนยกให้เป็นหนึ่งในหนังสือที่มีอิทธิพลต่อโลกยุคใหม่มากเป็นอันดับต้น ๆ เขียนเป็นนิยาย ความยาวประมาณ 300 หน้ากระดาษพ็อคเก็ตบุ๊ค เล่มนี้แปลเป็นไทยโดย วัลยา วิวัฒน์ศร สำนักพิมพ์ผีเสื้อ พิมพ์ครั้งที่สอง (ปกอ่อน) เดือนกันยายน พ.ศ. 2538

วอลแตร์เป็นนักคิดนักเขียนคนหนึ่งในยุคคริสศตวรรษที่สิบแปด เป็นคนฝรั่งเศส เกิดเมื่วันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 1694 เสียชีวิตเมื่อ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1778

.....หากให้เีทียบกันแล้ว วอลแตร์ ก็คงคล้ายกับ ศ.ศิวลักษณ์ ซึ่งเป็นนักคิดนักเขียนคนสำคัญของสังคมไทย ...จำได้ว่าครั้งหนึ่ง สโมสรนักศึกษาคณะแพทย์ฯ เคยเชิญ ลุงแก่ ๆ ใส่เสื้อบาง ๆ นุ่งผ้าแพร สะพายย่าม คนนี้มาบรรยายด้วย หัวข้อ "ฉีกหน้ากากแพทย์ไทย"

งานเขียนของวอลแตร์นั้นมีอิทธิพลอย่างสูงต่อการปฏิวัติฝรั่งเศส เขาเป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มความคิด "จงทำงาน" อันเป็นแนวคิดที่สวนทางกับการใช้ชีวิตภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสในเวลานั้น วอลแตร์ปฏิบัติตนเป็น "คนนอก" เป็นผู้ต่อต้านสังคม โดยเฉพาะสังคมชั้นสูงของฝรั่งเศสและปฏิเสธอิทธิพลของคริสตศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยึดถือตนเองเป็นเสมือนสื่อกลางระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าของศาสนจักร ซึ่งเสมือนการผูกขาดและยกตัวเองให้อยู่เหนือมนุษย์ทั่วไปของศาสนจักร

แต่หากมองย้อนกลับไปถึงชีวิตในวัยเด็ก โรงเรียนที่เขาเรียนเป็นของพระนิกายเยซูอิต ซึ่งถือวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัดมาก แล้วทำไมวอลแตร์ถึงได้ต่อต้านศาสนจักร ? วอลแตร์ไม่เชื่อในเรื่อง "พระบิดา พระบุตร พระจิต" เพราะถือว่าไม่ใช่พระเจ้าองค์เดียว วอลแตร์เชื่อมั่นในพระเจ้าเพียงพระองค์เดียว นอกจากความเชื่ออันสูงส่งแล้ว วอลแตร์ยังแทบจะอาสาสร้างพระเจ้าขึ้นมาด้วยซ้ำ (ในกรณีจำเป็นที่ไม่มีพระเจ้าอยู่จริง)

"If God did not exist, it would be necessary to invent him."

ในยุคนั้น ศาสนจักรมีอิทธิพลสูงต่อทั้งการเมือง การปกครอง การศาล(อ)ยุติธรรม นั่นจึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้วอลแตร์ออกมาต่อต้าน (เฉพาะศาสนจักร ไม่ใช่ต่อต้านพระเจ้า) เริ่มเขียนหนังสือครั้งแรกเมื่ออายุ 20 ปี หลังจากทำงานเป็นทนาย เขาติดคุกครั้งแรกเมื่ออายุ 23 ปี เนื่องจากเขียนกลอนล้อเลียนผู้สำเร็จราชการแทนพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ระหว่างติดคุกก็ไม่วายเว้นเขียนบทละครล้อเลียนศาสนจักรจนมีคนนำไปแสดงและส่งให้ชื่อเสียงของวอลแตร์โด่งดังขึ้น

เมื่ออายุ 32 วอลแตร์ไปทะเลาะกับขุนนางคนหนึ่ง จึงต้องกลับไปติดคุกอีกครั้ง จากนั้นถูกเนรเทศไปอังกฤษ อยู่อังกฤษประมาณสามปี ระหว่างนั้นฝึกฝนภาษาอังกฤษจนคล่องแคล่ว ตราบจน ฝัน คิด พูด และเขียน เป็นภาษาอังกฤษได้จึงกลับฝรั่งเศส ได้รับอิทธิพลแนวคิดและแนวเขียนของนักเขียนอังกฤษมาพอสมควร

ในยุคนั้น ความเชื่อเรื่อง "ลัทธิสุทรรศนิยม" ของ ไลบ์นิซ (Leibnitz) นักปราชญ์ชาวเยอรมัน นั้นเป็นที่ยอมรับในความคิดนี้เชื่อว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าสร้างขึ้นมานั้นเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว และทุกสิ่งทุกอย่างที่ดำเนินไปนั้นเป็นไปเพื่อสิ่งที่ดีกว่าเสมอ ! แต่วอลแตร์ไม่คิดอย่างนั้น เขามีความคิดสนับสนุนการกระทำ อันจะเห็นได้จากการที่เขาเป็นสมาชิกในสมาคมคณิตศาสตร์ เขาสนับสนุนแนวคิดของนิวตันที่เชื่อว่าความจริงทั้งหลายนั้นต้องได้มาจากการพิสูจน์และทดลอง (ไม่ได้มาจากสูตรสำเร็จ)

กลับมาฝรั่งเศสก็ "มือคัน" เขียนวิจารณ์ศาสนจักรอีกครั้งเนื่องจากไม่ยอมทำพิธีทางศาสนาให้นักแสดงคคนหนึ่งที่แสดงละคอนที่เขาเขียน จากนั้นเขาก็เป็นไม่เบื่อไม้เมากับศาสนจักรมาโดยตลอด นั่นอาจเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้วอลแตร์ "ไม่เอา" ศาสนจักร รับไว้ก็แต่เพียงพระเจ้าเพียงพระองค์เดียว

อาจเนื่องด้วยการถูกบีบจากทางศาสนจักรโรมันคาธอลิก วอลแตร์ระหกระเหเร่ร่อนไปหลายแคว้นหลายเมือง กระนั้นตอนอายุ 51 ก็ยังได้รับแต่งตั้งเป็นนักประวัติศาสตร์ของชาติ อีกปีหนึ่งก็ได้เป็นราชบัณฑิตของฝรั่งเศส

เมื่ออายุ 64 ปี วอลแตร์เขียนนิยายเรื่อง "ก็องดิดด์" ที่สะท้อนแนวคิดของเขาที่มีต่อสังคมและศาสนา อันเป็นที่มาของความสงสัยและนำไปสู่การต่อสู้เพื่อปฏิวัติฝรั่งเศสในที่สุด... วอลแตร์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1778 เมื่ออายุ 84 ปี ...ศาสนจักรไม่ทำพิธีศพให้

อีกสิบเอ็ดปีต่อมา (ค.ศ. 1789) เกิดการปฏิวัติฝรั่งเศส อีกสองปีต่อมาจึงมีผู้นำอัฐิของเขาไปไว้ในวิหารแห่งหนึ่งในฐานะที่ทำคุณประโยชน์อย่างสูงให้กับประเทศชาติ

..........


วอลแตร์แต่งให้ "ก็องดิดด์" เป็นชายหนุ่มผู้หนึ่งที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า โผล่ขึ้นมาก็รู้ว่าตัวเองเดินเพ่นพ่านอยู่ในปราสาทแห่งหนึ่งโดยมีเจ้านายอยู่คนหนึ่งซึ่งมีลูกสาวสวยมาก มีอาจารย์ท่านหนึ่งเฝ้าสั่งสอนว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าสร้างสรรขึ้นมานั้นเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว (ตัวแทนสุทรรศนิยม) ทุกอย่างดำเนินไปเพื่อสิ่งที่ดีกว่าเสมอ แต่วันหนึ่งเขาถูกไล่เตะออกจากปราสาทเพราะดันไปจับมือลูกสาวท่านขุนนางเข้าง จากนั้นก็จับพลัดจับผลูไปเป็นพลทหารในกองทัพปรัสเซีย สุดท้ายก็หนีทหารไป ระหกระเหเร่ร่อนจนไปถึงโปรตุเกส จากนั้นก็นั่งเรือข้ามไป "โลกใหม่" ที่อเมริกาใต้

ระหว่างที่ก็องดิดด์ร่อนเร่อยู่ในยุโรปนั้นก็ได้เห็นทั้งความอยุติธรรม ไม่ว่าจะทางศาสนา ทางสังคม ทางชนชั้น อาทิเช่นแผ่นดินไหวในโปรตุเกส ศาสนจักรท่านก็ให้เอาคนมาเผา (ด้วยไฟอ่อน ๆ) ทั้งเป็นเพื่อเป็นบัดพลี เพื่อที่ว่าพระเจ้าจะได้ไม่อนุมัติให้เกิดแผ่นดินไหวอีก หรือไม่ก็สั่งประหารคนยิวที่กินไก่โดยลอกหนังออก โทษฐานที่ไม่ทิ้งศาสนาเดิม (ยิวไม่กินไขมัน) ทั้งหมดนี้ตรงข้ามกับที่อาจารย์เขาได้สั่งสอนมา ก่อให้เกิดคำถามในใจก็องดิดด์ว่านั่นเป็นไปเพื่อสิ่งที่ดีจริงละหรือ ?

จนกระทั่งก็องดิดด์เข้ามาพบโลกใหม่ ได้เดินทางเร่ร่อนไปทั่วอเมริกาใต้ พบกับดินแดนแห่งอุดมคติ "เอลโลราโด" ดินแดนที่มีแต่ทองคำและเพชรพลอย อยู่กลางหุบเขา ไม่มีสงคราม ไม่มีศาสนา ทุกคนสามารถสื่อสารกับพระเจ้าได้ด้วยการสวดมนต์ ไม่มีการปกครองโดยศาสนจักร ผู้คนเป็นมิตร ทุกคนอยู่กันอย่างเสมอภาค เป็นตัวแทนของโลกในความคิดของวอลแตร์ที่ไม่ต้องมีศาสนจักรและชนชั้นสูงมาคอยเป็นคอขวดกั้นระหว่างคนกับพระเจ้า

อันที่จริงถ้าวอลแตร์จบเรื่องแต่เพียงเท่านี้ก็จะเป็นการดี เหมือนตัวละคอนได้ทางออกที่เหมาะสม หนีจากโลกที่เลวร้าย ที่ตรงข้ามกับไลบ์นิซบอกไว้ไปสู่โลกแห่งอุดมคติ แต่วอลแตร์ก็ลากให้ก็องดิดด์กลับมายุโรปอีกครั้งเพื่อค้นหาคนรักที่พลัดพรากจากกันตั้งแต่อยู่อเมริกาใต้

ก็องดิดด์กลับมาในฐานะผู้กระทำ เขาถูกโกงทรัพย์สินที่แบกมาจากเอลโลราโด แต่เพชรพลอยที่เหลืออยู่ก็มากพอที่จะทำให้ก็องดิดด์มีอำนาจต่อรอง สุดท้ายเขาได้พบกับอาจารย์ที่เคยสอนเขาว่าโลกทั้งโลกเป็นไปเพื่อสิ่งที่ดีกว่า ได้พบกับคนรักที่เปลี่ยนจากหญิงงามเป็นหญิงอัปลักษณ์ (แต่เขาก็แต่งงานด้วย) และรวบรวมคนที่ใกล้ชิดสนิทสนมสร้างครอบครัวขึ้นมาใหม่ที่เมืองคอนสแตนติโนเปิล ภายใต้ปรัชญา "จงทำงาน"

..........


ด้วยวัย 64 ปี วอลแตร์มองโลกในแง่มุมของความเป็นจริงมากกว่าจะมองโลกอย่างเพ้อฝัน เขาเลือกที่จะไม่จบนิยายเรื่องนี้ในแบบนิยายในฝัน แต่เลือกจะจบนิยายเรื่องนี้ในแบบของโลกที่เป็นจริง ผู้คนต้องดิ้นรนขนขวายให้ชีวิตดำเนินไปได้ เขาเลือกให้ตัวละคอนทั้งหลายในเรื่องที่ก็องดิดด์รวบรวมขึ้นมาเป็นครอบครัวใหม่ต้องทำงานเพื่อแลกกับการมีชีวิตอยู่โดยไม่หวังพึ่งแต่เพียงการสวดอ้อนวอนพระเจ้าหรือนั่งล้อมวงวิเคราะห์การเมือง (ทำจริง ๆ ในนิยาย) นั่นเหมือนการจบแบบผู้ใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเคยเชื่อในสิ่งใดมาก ๆ แล้วเมื่อถึงวัยหนึ่งต้องกลับมานั่งคิดว่าสิ่งที่เราเชื่อนั้นเป็นจริง-มีจริง หรือเปล่า ถ้าไม่มีก็ขอประนีประนอมกันบ้างสักเล็กน้อย

โลกอันโหดร้ายนั้นมีอยู่จริง และโลกในอุดมคตินั้นก็ไม่มีอยู่จริง แล้วทำไมถึงไม่ผสมผสานโลกสองโลกนี้เข้าด้วยกันล่ะ ?? ...เป็นเรื่องน่าสนใจในวิธีการเขียนของวอลแตร์ที่ไม่ปฏิเสธแนวคิดที่ว่าโลกเป็นไปเพื่อสิ่งที่ดีกว่าเสียทั้งหมด และไม่ปฏิเสธสังคมอุดมคติที่เขาคิดว่ามีไปด้วยเช่นกัน

อ่านนิยายเรื่องนี้นั้นนอกจากจะได้แนวคิดของนักคิดฝรั่งนอกคอกสมัยเมื่อสองร้อยกว่าปีก่อนแล้ว ยังได้อารมณ์ขันแบบเสียดสีชนิดที่อยากด่าใครหรืออยากประชดประชันใครก็เอาชื่อมาใส่บ้าง เอาชื่อมาดัดแปลงบ้าง ใส่เข้าไปในนิยายให้คนอ่านได้คิดตามไป ถ้าเป็นคนร่วมสมัยในยุคนั้นอ่านแล้วคงหัวเราะคิกคักตามกันไปแน่ แต่ถ้าใครมีชื่ออยู่ในหนังสือเล่มนี้แล้วก็คงถึงขนาดพลัดตกเก้าอี้ไปเลยทีเดียว

..........


อ่านจบแล้วก็เหมือนกับว่าวอลแตร์นั้นแม้จะไม่ปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระเจ้า แต่ก็เหมือนเอาขึ้นไว้บนหิ้งบูชา กราบไหว้ตอนเช้า ๆ แล้วก็ออกไปทำงาน หยาดเหงื่อแรงงานแลกอาหารและปัจจัยสี่กันต่อไป ...แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ย่อมมาก่อนพระเจ้าแน่




Create Date : 20 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 20 พฤศจิกายน 2550 21:27:49 น.
Counter : 6568 Pageviews.

1 comments
  
สาวใหมออกเสียง Candide ว่าแคนดิ๊ดนะค่ะ
เป็นหนังสือหนึ่งที่อยากได้และอยากอ่านมากทีเดียว(หาเวลาว่างก่อน)
โดย: สาวใหม วันที่: 21 พฤศจิกายน 2550 เวลา:4:47:07 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Zhivago.BlogGang.com

Zhivago
Location :
นครศรีธรรมราช  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]

บทความทั้งหมด