ขนมหวานแม่เอ๊ย..
สมัยก่อนตอนเรายังเด็ก (นานโขแล้วแหละค่า) ตอนเย็น ๆ ถ้าอยากกินขนม เดินออกไปทางตลาดแถวบ้านจะมีแม่ค้าขายขนมหวาน ใส่หม้อใบโต ๆ เรียงเป็นแถว มีให้เลือกมากมายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นขนมที่มีกะทิ อย่างกล้วยบวดชี สาคูเปียกถั่วดำ ที่อาจมีข้าวเหนียวมาเป็นออฟชั่น ฟักทองแกงบวด ข้าวเหนียวดำเปียกใส่เผือก หรือขนมที่ไม่มีกะทิอย่างถั่วเขียวต้มน้ำตาล และขนมที่ต้องมาใส่aท้อปปิ้งกะทิทีหลังอย่าง เต้าส่วน หรือบัวแก้ว เด็ก ๆ สมัยนี้จะรู้จักไหม เป็นขนมที่มีส่วนประกอบหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นแป้งกรอบ ๆ เหมือนโบกเกี่ย ลูกบัว กับอะไรอีกสองสามอย่างในน้ำที่ใส่แป้งให้ข้น เวลากินจะราดหัวกะทิข้น ๆ เค็ม ๆ ซึ่งเราไม่ค่อยจะชอบกินเท่าไหร่
สังเกตุดูว่า แม่ค้าขายขนมสมัยก่อน จะแยกชัดเจนด้วยประเภทของขนม
แม่ค้าขายข้าวเหนียวสังขยา จะไม่ค่อยขายขนมแบบเป็นหม้อ ๆ แบบนี้ แต่จะมีพวกขนมต้ม ข้าวต้มจิ้ม(เหมือนข้าวต้มมัด แต่จืด เวลากินโรยน้ำตาลทรายผสมงากับมะพร้าวขูด) ขายขนมเรไร หรือเล็บมือนาง ขายข้าวเม่าคลุกถ้าอยู่ในฤดูกาลของมัน
แม่ค้าที่ขายขนมพวกถาด ๆ อย่างข้าวเหนียวตัด สังขยา วุ้นกะทิ หม้อแกง ข้าวเหนียวแดง ขนมเปียกปูน ก็จะแยกออกไปอีกสกุลช่างหนึ่งไปเลย แต่จะมีขนมตระกูลทอง ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง เม็ดขนุนมาเป็นโพรดักส์นำ เป็นต้น
ไม่รู้เหตุผลที่แท้จริง แต่รู้สึกว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ
ในบรรดาขนมเหล่านี้ทั้งหมด ที่เราชอบกินที่สุดคือครองแครงกะทิ ตัวครองแครงอยู่ในน้ำกะทิ เวลาเสิร์ฟจะมีงาขาวคั่วหอม ๆ โรยมาให้ด้วย
สาเหตุที่เราชอบเจ้าครองแครงในน้ำกะทินี้ วิเคราะห์ตัวเองออกมาได้ว่า ถ้าเป็นขนมอื่น ๆ ที่ทำมาจากผลิตภัณฑ์ที่ไม่ต้องแปรรูปเยอะ อย่างกล้วยบวดชี ฟักทองแกงบวด ถั่วเขียวต้มน้ำตาล ที่บ้านเราคงทำกินเองได้อยู่แล้ว เพราะมันไม่มีกระบวนการเยอะ ทำง่าย ๆ เดี๋ยวเดียวก็ได้ขนมหม้อเบ้อเริ่มสำหรับเด็ก ๆ ในครอบครัวพี่น้องหลายคนแบบบ้านเรา
แต่ถ้าเป็นขนมที่ต้องมาประดิษฐ์ประดอย หรือมีขั้นตอนมากขึ้นหน่อย แม่เรา หรือบรรดาพี่สาวคงไม่มีเวลามานั่งทำ อาจจะเป็นสาเหตุนี้ เลยให้รู้สึกว่ามันพิเศษสำหรับเราก็ได้
ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วมันก็คือแป้งและกะทิ น้ำตาล เป็นหลักแค่นั้นเอง
ถึงชอบกินขนาดไหน สำหรับเราก็กินได้ไม่เกินหนึ่งถ้วย ในระยะหนึ่งปี เลยไม่มีความคิดที่จะริทำกินเอง
จนมาได้เห็นสาวสมัยใหม่คนหนึ่ง ที่โปรดปรานขนมไทย อาหารไทย มาทำโน่นนี่ให้เห็นทุกบ่อย
เกิดเป็นกิเลส อยากทำ อยากมี ตามไปด้วย
ตามไปดูกันเอาเอง ที่บ้านสาวสวยมากความสามารถคนนั้นนะคะ เธอทำอะไร ๆ หลายอย่างสวยงามน่ากินไปหมดแหละ
ขอบอกไว้ก่อนว่า เราเป็นคนที่ทำขนมไทย และอาหารไทยได้อ่อนหัดมาก
เพราะไม่ค่อยชอบกินเป็นพื้นฐาน และที่บ้านซึ่งเป็นคนจีน 100% ไม่ค่อยมีใครทำอาหารไทยเก่งๆ
(ทำอย่างกะเธอทำอาหารชาติอื่นเก่งงั้นแหละ แฮ่..)
หน้าตาตอนสำเร็จแล้ว ดูไม่ค่อยจืดเลย หางาขาวไม่เจอ เลยใช้งาดำมาคั่วแทน แปลก ๆ นะคะ
ส่วนผสมค่ะ
เราใช้ส่วนผสมแบบน้องหนึ่งเป็นหลักนะค้า ขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยค่า
แป้งข้าวจ้าว 2 ถ้วย
แป้งมัน 1/4 ถ้วย
น้ำ 1 1/2 ถ้วย
ใบเตย 3-4 ใบ(เล็ก ๆ)
ดอกอัญชันแห้ง 8-10 ดอก
กะทิ 4 ถ้วย (เราใช้กะทิกล่อง)
น้ำตาลโตนด ตามชอบ ใช้ชิมเอา
ดอกเกลือ หยิบมือ หรือใช้วิธีชิมเหมือนกัน
ออฟชั่นเสริม
ข้าวโพดฝานเอาแต่เมล็ด
แห้วหั่นชิ้นเล็ก ๆ
งาคั่ว (งาขาวจะสวยกว่าค่ะ)
วิธีทำ
เราแบ่งส่วนผสมออกเป็นสามส่วนเท่า ๆ กันนะคะ เพราะจะทำเป็นสีเขียว สีฟ้าและขาว
- ในชามผสม 3 ใบ แบ่งแป้งข้าวจ้าวและแป้งมันออกเป็นสามส่วนเท่า ๆ กัน
- แช่ดอกอัญชันแห้งในน้ำอุ่น 1/2 ถ้วย ให้ออกสีที่ต้องการ แล้วกรองเอาแต่น้ำ
- ปั่นใบเตยกับน้ำเปล่า กรองให้ได้ 1/2 ถ้วย
- ผสมแป้งแต่ละส่วนกับน้ำเปล่า น้ำดอกอัญชัน และน้ำใบเตย คนให้เข้ากัน
- นำส่วนผสมแต่ละส่วนตั้งไฟอ่อน กวนจนแป้งไม่ติดหม้อ พักให้พออุ่น
- นวดแป้งที่ได้ ใช้แป้งมันเป็นนวล จนได้แป้งเนียนนุ่มไม่ติดมือ
- แบ่งแป้งที่ได้เป็นก้อนเล็ก ๆ กดด้วยที่กดครองแครงให้ขึ้นลาย
- ตั้งน้ำในกระทะใบใหญ่ให้เดือด ใส่ใบเตยลงไปด้วยสองสามใบ เตรียมกาละมังใส่น้ำเย็นไว้ด้วยค่ะ
- ในหม้ออีกใบ ใช้กะทิผสมน้ำเปล่าครึ่งต่อครึ่ง ตั้งไฟกลาง พร้อมด้วยใบเตย
- พอกะทิเดือด ใส่ข้าวโพดฝานและแห้วลงต้มก่อนให้สุก ตั้งไฟอ่อนอย่าให้กะทิ
แตกมัน พอทั้งสองอย่างสุกดีแล้วจึงเติมน้ำตาลโตนด และเกลือ ชิมรสตามชอบ
- แบ่งกะทิไว้เล็กน้อย เอาไว้สำหรับราดหน้าขนม โดยการผสมแป้งข้าวจ้าวนิดหน่อยกับกะทิ เติมเกลือ ตั้งไฟอ่อน ๆ จนกะทิสุก คอยคนอย่าให้เป็นลูก
- ลวกตัวครองแครงในน้ำเดือด พอแป้งลอยขึ้นสักครู่ ตักขึ้นใส่น้ำเย็น ล้างให้แป้งใสและหยุดสุกจากความร้อน
- ตักตัวครองแครงที่สุกแล้วใส่ลงในน้ำกะทิที่ตั้งไฟอยู่ ให้เดือดอ่อน ๆ อีกครั้งแล้วปิดไฟ
- ก่อนเสิร์ฟ ราดหัวกะทิ และโรยงาคั่วบนขนม เสิร์ฟร้อน ๆ
ฟังดูเหมือนจะเยอะ แต่ที่จริงไม่มีอะไรยุ่งยากค่ะ
รวมแป้งทั้งสองอย่างในชามเดียวกัน คนให้เข้ากันดี
แช่ดอกอัญชันแห้งในน้ำอุ่น ๆ ทิ้งไว้ให้ออกสีที่ต้องการ
ใบเตยเล็ก ๆ จากต้นเตยหอมที่น่าสงสารของเรา ปลูกเอาไว้หลายกอ แทรกไว้ตามโคนต้นพุด ที่จะงอกรากยังไม่ค่อยจะมีเพราะมันแออัดมาก เธองอกใบเล็ก ๆ ออกมาให้ด้วยความจำใจ
ผสมน้ำดอกอัณชันกับแป้งส่วนที่หนึ่ง
คนให้เข้ากันดี ตรงนี้คุณอาจารย์โอ มหัศจรรย์สาวแห่งบ้านเนินน้ำเคยอรรถาธิบายว่า ควรจะต้องนวดให้แป้งเข้ากันดีด้วย จึงจะได้ขนมเนื้อเหนียวกินอร่อย ซึ่งเราไม่เคยรู้เลย เห็นว่ามันผสมน้ำแล้วก็ละลายไป ไม่น่าจะต้องนวด
ขนมไทย ดูง่ายแต่ต้องมีเทคนิคนะคะ
ตานี้ถึงน้ำใบเตยบ้าง
คนให้เข้ากัน และนวดสักพักค่ะ
สีน้องใบเตยเล็ก ๆ เธอเขียวมาก อาจจะเป็นการทดแทนที่ใบเล็กเหลือเกิน อัดคลอโรฟิลมาให้เต็มที่
ส่วนของแป้งที่จะเป็นสีขาววิธีเดียวกันค่ะ
ข้ามขั้นตอนของการกวนแป้งบนไฟอ่อนไปนะคะ เพราะมันชุลมุน ไม่มีมือจะเก็บภาพแล้ว เพราะต้องกวนตลอดเวลาในหม้อใบเล็ก ๆ ที่ไม่ยอมอยู่นิ่ง ๆ ด้วย
ได้ส่วนผสมสีฟ้าอ่อนออกมาแบบนี้ ที่เห็นคือนวดเสร็จแล้ว
ส่วนผสมสีเขียวจากน้ำใบเตย
อันนี้เป็นแป้งสีขาว ไม่ได้ใส่สีอะไร
แล้วก็มาถึงขั้นตอนที่เรารอคอย การปั้นเป็นตัวครองแครงค่ะ
แบ่งแป้งเป็นก้อนเล็ก ๆ โดยวิธีปั้นแป้งให้เป็นเส้นยาว ๆ แล้วใช้มีดตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ดูจะเป็นวิธีที่ง่ายสุดค่ะ แล้วใช้แป้งมันเป็นนวล กดแป้งกับพิมพ์กดครองแครงให้เป็นริ้ว ๆ
สนุกที่สุด เพลิดเพลินและเลอะเทอะมาก
พักส่วนที่ทำเสร็จแล้ว อย่าลืมโรยแป้งนวลกันติดกันด้วยนะคะ
เหลือน้ำดอกอัญชัน เอามาแช่แห้วให้เป็นสีด้วย
กะทิตั้งไฟอ่อน พร้อมด้วยใบเตย
ส่วนหม้อที่จะใช้ลวกตัวครองแครง ตั้งน้ำให้เดือด ใส่ใบเตยลงไปสองสามใบ
พอกะทิเดือด ใส่แห้วกับเมล็ดข้าวโพดฝานลงไปต้มก่อน มองเห็นไหมเนี่ยคะ
ให้ดูอะไรเนี่ย แต่จะบอกว่าต้มทั้งสองอย่างให้สุกก่อนค่อยใส่น้ำตาล เกลือนะคะ
เริ่มใส่ตัวครองแครงลงไปต้ม ลดไฟลงอย่าให้แรงเกิน พอสุก ตัวครองแครงจะลอยขึ้นมา ทิ้งไว้ให้ลอยตัวสักพักนะคะค่อยตักขึ้น
ช้อนตัวครองแครงที่สุกแล้วขึ้นล้างในน้ำเย็น ครองแครงเราตัวใหญ่ไปหรือเปล่านะ
รู้สึกว่ามันจะตัวโตขึ้นเมื่อสุกแล้ว
พักครองครองทั้งสามสีเอาไว้ ที่จริงไม่เห็นต้องแยกกันเลยตอนต้ม เพราะยังไงมันก็ต้องลงไปรวมกันอยู่ดีเนอะ
ใส่ตัวครองแครงลงในน้ำกะทิที่ปรุงเรียบร้อย ตั้งไฟให้เดือดสักครู่ ปิดไฟ ยกลงเตรียมเสิร์ฟได้เลยค่ะ
แล้วก็ช้อนเอาใบเตยออกไปจากหม้อด้วย เพราะมันจะพาลทำให้น้องครองแครงของเราเละได้นะคะ
พอโรยงาดำคั่วลงไป หน้าตาเปลี่ยนไป ไม่เหมือนครองแครงกะทิที่เรารู้จักเลย
เราว่าขนมแบบนี้ ใช้กะทิสดจากมะพร้าวคั้นอร่อยกว่ามาก ๆ
แต่ก็พอแก้ขัดได้ ยามที่อยากจะทำขนมแต่ขี้เกียจไปตลาด
ไหน ๆ ก็ทำแล้ว กินเป็นของหวานหลังอาหารเย็น กินเป็นอาหารเช้ายังได้เลย
สามารถค่ะ ทุกอย่างจับมากินเป็นอาหารเช้าได้หมด ไม่มีข้อจำกัดสำหรับบ้านนี้
สรุปว่า เราได้ทำครองแครงกะทิสมใจอยาก(ปั้น)
ให้แอบสงสัยตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมถึงชอบทำขนม หรืออาหารอะไรที่มันต้องมีขั้นตอนแบบนี้ ห่อปั้นขลิบ ปั้นกุ้ยช่าย หรือทำคุ้กกี้ตัวหนอน
อาจจะ เก็บกด(อีกแล้ว) ว่าสมัยเรียนหนังสือ วิชาศิลปะแขนงหนึ่งที่ต้องเรียนคือประติมากรรม พื้นฐานก็ต้องหัดปั้นรูปคน ขึ้นโครงเหล็ก ปั้นดินเป็นหน้าคน อะไรทำนองนี้ เราทำได้ไม่ดีเลย ทั้ง ๆ ที่เคยอยากเรียนสาขาประติมากรรมด้วยซ้ำไป เข้าใจว่าตัวเองล่ำสันแข็งแรง ข้อลำดี เหมาะสมกับงานแขนงนี้ พอทำได้ห่วยมากก็พาลไม่อยากทำ
เลยมาออกอาการอีกทีตอนเห็นขนมอะไรที่มันต้องปั้น ๆ พวกนี้
เจอเป็นไม่ได้ อยากทำ ทำแล้วดีไม่ดีก็ยังมีความสุข เพราะเราไม่ได้คาดหวังกับมันมากอีกต่อไปแล้ว เรียกว่าไม่มีแรงกดดัน
เริ่มต้นเรื่องหนึ่ง แล้วมาจบอีกเรื่องหนึ่ง ประจำเลย
เอารูปนายฟรายเดย์ แมววันศุกร์มาฝากค่ะ
ไม่ได้มาเล่าเรื่องนายคนนี้พักใหญ่แล้ว เขาโตเป็นหนุ่มอายุหนึ่งขวบที่ตัวใหญ่บึ้ม เป็นแมวกล้ามใหญ่ที่สุดในบ้าน
แต่ยังนิสัยเหมือนเด็ก มีความไร้เดียงสาแฝงมากับความแสบซนในสัดส่วนที่พอ ๆ กัน มีช่วงเวลาที่อยากแจ๋ว ก็ไล่ขู่คนอื่นที่จำได้ว่าร้ายกับผมตอนยังเด็ก ให้เข้าไปอยู่ในมุมห้อง นอนเฝ้าไว้ไม่ให้ออกไปไหน ทำได้เพราะตอนนี้ผมตัวโตกว่าแยะแล้ว
แต่บางเวลา หลังจากตื่นนอน จะยังเอาหัวเข้าไปซุกใต้ท้องแมวพี่ใหญ่ใจดีอย่างนายหมอกเงิน ผู้ซึ่ง (จำใจ)ให้อาศัยดูดนมแก้คิดถึงแม่เมื่อครั้งนายคนนี้ยังเด็กมาก
ท่านอนประจำของนายคนนี้ หงายเก๋งได้ทุกที่
กลางบ้าน บนโซฟา และอื่น ๆ ที่ไม่น่าจะไปนอนได้ แต่นายนี่ สามารถ
เวลาตื่นนอนใหม่ๆ จะมีหน้าตาแบบนี้
แต่ถ้าอยู่ในโหมดสนใจนกบนหลังคาบ้าน จะไม่สนใจอะไรอื่น แถมยังทำเสียงเรียกนกด้วยนะ
ตลกมาก
นาย Friday น่ารักมากกก
ครองแครงพี่โส่ยน่ากินนะคะ
สีอ่อนๆจากธรรมชาติ
ชอบตรงมีแห้วด้วย