 |
|
|
|
 |
|
|
สรุป
พระพุทธศาสนาเท่าที่คนไทยเราเกี่ยวข้องอาจแยกได้เป็น ๒ ด้าน คือ ด้านที่เป็น ธรรมวินัย โดยเฉพาะส่วนที่เรียกว่าพุทธธรรมอย่างหนึ่ง และด้านที่เป็นวัฒนธรรม อีกอย่างหนึ่ง อย่างแรกคือ ธรรมวินัย หมายถึงหลักการเดิมแท้ๆล้วนๆ ของพระพุทธศาสนา หรือตัวแท้ตัวจริงของพระพุทธศาสนานั้น ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน หรือทรงแสดงและทรงบัญญัติไว้ ซึ่งปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา และรักษาสืบทอดต่อกันมาด้วยการจารึกจดจำและสื่อสารอ้างอิงพระคัมภีร์เหล่านั้น อย่างหลังคือ วัฒนธรรม หมายถึง พระพุทธศาสนาอย่างที่คนไทยรู้เข้าใจ และประพฤติปฏิบัติสะสมสืบต่อกันมา จนซึมแทรกเข้าไปในชีวิตจิตใจ กลายเป็นส่วนหนึ่งแห่งลักษณะนิสัยและความเป็นอยู่ซึ่งปรากฏออกมาทางวิถีชีวิตของหมู่ชน และอาศัยหมู่ชนที่ดำเนินตามวิถีชีวิตนั้นนั่นแหละเป็นเครื่องรักษาสืบทอดตัวมันเอง พระพุทธศาสนาฝ่ายธรรมวินัย ต้องอาศัยการศึกษาเล่าเรียน และตั้งใจปฏิบัติจึงจะปรากฏตัว และแสดงผลได้ แต่พระพุทธศาสนาฝ่ายวัฒนธรรม ปรากฏตัวและแสดงผลอย่างเป็นไปเองในวิถีชีวิตที่ดำเนินอยู่โดยไม่ต้องรู้ตัว พระพุทธศาสนาฝ่ายธรรมวินัย และพระพุทธศาสนาฝ่ายวัฒนธรรมนั้น ต่างก็สัมพันธ์อิงอาศัยซึ่งกันและกัน กล่าวคือ การที่พระพุทธศาสนาจะกลายเป็นพระพุทธศาสนาของไทย เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไทย หรือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับความเป็นไทยได้ ก็เพราะได้สะสมสืบทอดซึมแทรกเข้าไปในชีวิตจิตใจของคนไทยทั่วไปจนกลายเป็นวัฒนธรรมของไทย แต่ในเวลาเดียวกัน พระพุทธศาสนาฝ่ายธรรมวินัย ก็เป็นหลักกลางหรือเป็นมาตรฐานสำหรับทบทวนตรวจสอบว่า พระพุทธศาสนาฝ่ายวัฒนธรรมเข้าใกล้หรือถอยห่างออกไปจากหลักการที่แท้จริงของพระพุทธศาสนา และเป็นแหล่งซึ่งอำนวยเนื้อหาสาระสำหรับปรับหรือช่วยดึงพระพุทธศาสนาฝ่ายวัฒนธรรมให้เข้าสู่หรือให้ใกล้เข้ามาสู่หลักการที่แท้จริงของพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้นๆ พูดง่ายๆว่า ถ้าไม่กลายเป็นพระพุทธศาสนาฝ่ายวัฒนธรรม พระพุทธศาสนาฝ่ายธรรมวินัยก็ไม่อาจเข้าสู่ความเป็นไทย และถ้าไม่ได้ศึกษาตรวจสอบ และคอยเพิ่มสาระจากพระพุทธศาสนาฝ่ายธรรมวินัย พระพุทธศาสนาฝ่ายวัฒนธรรมก็จะถอยห่าง หรือเคลื่อนคลาดจากหลักการที่แท้จริงของพระพุทธศาสนาออกไปเรื่อยๆ พระพุทธศาสนาฝ่ายธรรมวินัย โดยเฉพาะพุทธธรรมไม่มีการเสื่อม ไม่มีการเจริญ เพราะเป็นความจริงที่ดำรงอยู่ตามธรรมดาของมัน และเป็นหลักการที่เป็นกลางๆ สุดแต่ใครจะศึกษา และนำมาใช้ให้ได้ผลดีเหมาะกับกาลเทศะอย่างไร คำที่พูดว่า พระพุทธศาสนาเจริญหรือเสื่อมนั้น หมายถึง พระพุทธศาสนาฝ่ายวัฒนธรรม หรือพระพุทธศาสนาที่เชื่อถือ และปฏิบัติกันอยู่ในวิถีชีวิตของหมู่ชนนั้นๆ คำว่า “พระพุทธศาสนาเสื่อม” หมายความว่า พระพุทธศาสนาที่หมู่ชนนั้นเชื่อถือและปฏิบัติอยู่ในเวลานั้น เลือนลาง หรือห่างเหินจากหลักการที่แท้จริง คือจากธรรมวินัยไกลออกไปมากขึ้น ความรู้ความเข้าใจและการปฏิบัติตามธรรมวินัย จางคลาย และลดน้อยลงไปจากวิถีชีวิตของหมู่ชนนั้น คำว่า “พระพุทธศาสนาเจริญ” หมายความว่า พระพุทธศาสนาที่หมู่ชนนั้นเชื่อถือและปฏิบัติอยู่ในเวลานั้นหนักแน่นหรือใกล้เคียงมากขึ้นในทางที่เป็นไปตามหลักการที่แท้จริง คือ ธรรมวินัย ความรู้ความเข้าใจและการปฏิบัติตามธรรมวินัยเฟื้องฟูและซึมแทรกเข้าไปอยู่ในวิถีชีวิตของหมู่ชนนั้นมากขึ้น พระพุทธศาสนาในประเทศไทย ได้ผ่านความเปลี่ยนแปลงต่างๆ มามากมายตลอดเวลายาวนานในประวัติศาสตร์ มีทั้งความเสื่อมและความเจริญสลับกันไป มองในแง่หนึ่ง ความเจริญและความเสื่อมเป็นเรื่องธรรมดา เพราะสิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง ตามหลักของความเป็นอนิจจังจะให้คงที่อยู่อย่างเดิม เป็นไปไม่ได้โดยเฉพาะความเสื่อม ย่อมเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าความเจริญ เหมือนล้อเลื่อนที่ตั้งอยู่ ณ จุดหนึ่งบนทางลาด ถ้าปล่อยก็ย่อมเลื่อนไหลในทางที่ต่ำลงไป การที่จะไม่ให้ไหลลง แม้แต่เพียงจะให้ทรงอยู่กับที่ ก็ต้องใช้ความพยายามขืนไว้ไม่ต้องพูดถึงการที่จะให้เลื่อนขึ้นไป ซึ่งจะต้องใช้กำลังมากมายในการขับเคลื่อนหรือผลักดัน ยิ่งถ้าให้ขึ้นบนทางยาวจนถึงจุดสูงสุด ก็ยิ่งยากแทบสุดเข็น ข้อเปรียบเทียบนี้เป็นเพียงเรื่องของวัตถุ ซึ่งไม่มีชีวิตจิตใจ ใช้แต่กำลังเพียรพยายามด้วยแรงกาย ก็ยังยาก ยิ่งวัฒนธรรมนี้ มีองค์ประกอบสลับซับซ้อน และเป็นเรื่องของมนุษย์ที่มีชีวิตจิตใจ การจัดการให้เป็นไปในทางที่มุ่งหมาย ก็ยิ่งยากมากกว่านั้น พระพุทธศาสนาที่ได้กลมกลืนเข้ามาเป็นเนื้อหาของวัฒนธรรมไทย เมื่อผ่านกาลเวลายาวนาน ถ้าไม่เพียรพยายามคอยตรวจสอบเนื้อหานั้นกับหลักการที่แท้คือธรรมวินัย ไม่คอยดึงให้เดินหน้าใกล้เข้ามาสู่หลักการที่แท้นั้นมากขึ้นๆ หรือไม่หมั่นเติมเนื้อหาสาระของธรรมวินัย เข้าไปเสริมไว้เรื่อยๆ ก็ย่อมเสื่อมโทรมและเลอะเลือนไปอย่างแน่นอน สาเหตุซึ่งมักพ่วงมากับความเก่าแก่คร่ำคร่าที่เนื่องจากความล่วงกาลผ่านเวลายาวนาน อันทำให้เกิดความเสื่อมโทรมเลอะเลือนแก่พระพุทธศาสนา มีข้อที่สำคัญ ดังนี้ ก. ภาวะลงร่อง และแข็งทื่อ ซึ่งทำให้จํากัดตัวคับแคบเวียนวนอยู่ในที่เดิม หรือย่ำอยู่กับที่ และยากต่อการแก้ไขรับปรุง ยากที่จะปรับใช้ให้เกิดประโยชน์สบสมัย สบเหตุการณ์ ภาวะนี้มักเกิดขึ้นเพราะเหตุว่า สิ่งที่เชื่อถือและปฏิบัติสืบๆ กันมายาวนาน เมื่อสักว่าทำตามๆ กันไป ก็มักทำให้เกิดการย้ำเน้นเด่นชัดอยู่ในความหมายเพียงแง่หนึ่งแง่เดียวหรือเกิดความซ้ำที่ซ้ำทางตายตัว ตลอดจนเกิดมีรูปแบบขึ้นมาจับตัวแข็งทื่อ และกลายเป็นเครื่องห่อหุ้มคลุมปิดไว้ ข. ภาวะคลาดเคลื่อน และไขว้เขว ซึ่งทำให้วิปริตผิดเพี้ยนห่างไกลออกไปจากหลักการและความหมายที่แท้จริง ตลอดจนหลงพลาดออกไปนอกลู่นอกทาง ภาวะนี้เกิดขึ้น เพราะการแปลความหมายผิดพลาด และปฏิบัติด้วยความประมาท ไม่หมั่นตรวจสอบกับหลักการเดิมแท้ให้ถูกต้องชัดเจนอยู่เสมอ ค. ภาวะเคลือบพอก และปะปน ซึ่งทำให้ลางเลือนและเลอะเลือน มองไม่เห็นของจริง และสับสน จับผิดจับถูกหลงเอาสิ่งที่เคลือบที่พอกหรือปลอมปนอยู่ เป็นตัวแท้ตัวจริง ภาวะนี้เกิดจากการขาดความรู้ความเข้าใจ และปล่อยให้ความเชื่อถือ และข้อปฏิบัติภายนอกเข้ามาหุ้มหอบดบังหรือคลุกเคล้าปนเปกับเนื้อหาสาระที่แท้จริง จนเห็นสิ่งเคลือบพอกเป็นของจริง หรือแยกของจริงไม่ออก ง. ภาวะถดถอย และล้าหลัง ซึ่งทำให้ไม่สามารถก้าวหน้าใกล้เข้าไปสู่หลักการที่แท้ของพระพุทธศาสนา แต่กลายเป็นห่างไกลออกไปจากหลักการที่แท้นั้นมากยิ่งขึ้น ภาวะนี้เกิดจากความขาดการศึกษา ขาดความรู้ความเข้าใจ และปล่อยปละละเลย มัวแต่จมอยู่กับเรื่องราวเก่าๆไม่ปรับปรุงความเชื่อถือ และการปฏิบัติด้วยการคอยดึงให้ใกล้เข้าไปๆ สู่หลักการที่แท้ของพระศาสนา ไม่ศึกษาธรรมวินัยให้รู้เข้าใจ โดยสัมพันธ์กับสภาพความคิดนึกและความเป็นไปต่างๆ ที่เป็นอยู่จริงในเวลานั้นๆ ปัจจุบันนี้ พระพุทธศาสนาในประเทศไทยมีสภาพดังที่ได้กล่าวข้างต้น คือ คนไทยส่วนใหญ่ละเลย หรือทอดทิ้งศิลปวัฒนธรรมของตนที่สืบมาแต่อดีต หันไปตื่นเต้นสนใจรับและลอกเลียนวัฒนธรรมจากประเทศตะวันตก สภาพเช่นนี้ได้เป็นมาตลอดเวลา ๑ ศตวรรษเศษๆ อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาประมาณ ๒ ทศวรรษที่ผ่านมานี้เป็นที่สังเกตว่า ประชาชนทั่วไป รวมทั้งคนรุ่นหนุ่มสาวได้หันมาสนใจศึกษาพระพุทธศาสนากันมากขึ้น โดยเฉพาะคนที่สนใจในการปฏิบัติบำเพ็ญสมาธิ หรือจิตภาวนา นับว่ามีจำนวนมากทีเดียว โดยนัยนี้ สภาพปัจจุบันของพระพุทธศาสนาในสังคมไทย เมื่อพิจารณาตามเกณฑ์แบ่งที่เคยพูดไว้จึงต้องแยกพูดเป็น ๒ ด้าน คือ พระพุทธศาสนาฝ่ายธรรมวินัยกำลังได้รับความสนใจ ตื่นตัวศึกษาปฏิบัติกันแพร่หลาย แต่พระพุทธศาสนาฝ่ายวัฒนธรรมกำลังเสื่อมถอย เลอะเลือน และถูกละเลย ภาวะที่แบ่งออกเป็น ๒ ด้านนี้ จะบังเกิดเป็นผลดี ก็ต่อเมื่อมันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นแห่งการที่จะกลับเข้าประสานกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันต่อไป การที่พระพุทธศาสนาฝ่ายวัฒนธรรม เสื่อมถอย เลอะเลือน และถูกละเลย ย่อมเกิดจากสาเหตุสำคัญ ๒ ประการ คือ ประการแรก คนไทยปล่อยให้ศิลปวัฒนธรรมของตนตกอยู่ในภาวะลงร่อง แข็งทื่อ ภาวะคลาดเคลื่อน ไขว้เขว ภาวะเคลือบพอก แฝง ปะปน และภาวะถดถอย ล้าหลัง ประการที่สอง คนไทยหันไปตื่นเต้นกับความเจริญทางวัตถุและระบบการต่างๆ ที่เข้ามาใหม่จากภายนอก จนมองข้าม ดูถูก ไม่เห็นคุณค่า และความสำคัญของศิลปวัฒนธรรมของตน สาเหตุเหล่านี้เป็นปัจจัยหนุนแก่กันและกันเองด้วย กล่าวคือ เมื่อวัฒนธรรมของตนถูกปล่อยให้ตกอยู่ในภาวะลงร่องแข็งทื่อ ตลอดจนล้าหลังแล้ว ก็ย่อมชวนให้เบื่อหน่าย ไม่น่าสนใจ คนก็ยิ่งหันไปชื่นชมวัฒนธรรมจากภายนอกมากขึ้น เมื่อคนหันไปเอาใจใส่เพลิดเพลินกับวัฒนธรรมจากภายนอก วัฒนธรรมของตนเองก็ยิ่งถูกปล่อยให้อยู่ในภาวะแข็งทื่อ เป็นต้น ตลอดจนล้าหลังยิ่งขึ้น ผลรวมก็คือ ความเสื่อมโทรม เลอะเลือน และถูกละเลยแห่งวัฒนธรรมของตนเองมากยิ่งๆ ขึ้นไป ความจริง ความเสื่อมโทรม เลอะเลือน และถูกละเลยแห่งวัฒนธรรมของตน พร้อมกับการหลั่งไหลเข้ามาของวัฒนธรรมจากภายนอกนั้น นับว่าเป็นการประสบสถานการณ์ร้าย และความกระทบกระเทือน ซึ่งถ้าวางท่าทีให้ถูกต้อง ก็จะทำให้เกิดผลดี คือเป็นเหมือนสัญญาณปลุกที่ทำให้เกิดความรู้ตัว ตื่นตัว และลุกขึ้นมาแก้ไขปรับปรุง อย่างน้อยก็จะได้เกิดความตระหนักรู้เท่าทันธรรมดาที่ว่า พระพุทธศาสนาฝ่ายวัฒนธรรมที่ถูกปล่อยให้เป็นไปเรื่อยๆ เฉื่อยๆ จะตกอยู่ในภาวะแข็งทื่อ คลาดเคลื่อน ถูกปะปน และล้าหลัง เมื่อรู้ตระหนักอย่างนี้แล้ว ก็จะได้รีบเร่งดำเนินการตรวจสอบทบทวนตัวเอง ทำการชำระสะสาง เคาะขูดสนิม ล้างสิ่งที่พอก ลอกสิ่งที่เคลือบ ร่อนกรองสิ่งปลอมปนทิ้งไป และจัดปรับใหม่ให้เข้าที่เข้าทาง กระปรี้กระเปร่า พร้อมที่จะเคลื่อนไหวอย่างคล่องตัวต่อไป ยิ่งมาประจวบพอดีว่า ขณะนี้คนไทยหันมาสนใจศึกษาปฏิบัติพระพุทธศาสนาฝ่ายธรรมวินัยมากขึ้น ก็เท่ากับเป็นโอกาสเหมาะที่สุด ทั้งนี้ด้วยเหตุผลดังได้กล่าวมาแล้วว่า ความเสื่อมโทรมเลอะเลือนของพระพุทธศาสนาฝ่ายวัฒนธรรม จะแก้ไขได้ก็ด้วยการตรวจสอบกับหลักการที่แท้ในพระพุทธศาสนาฝ่ายธรรมวินัย และคอยนำเอาเนื้อหาสาระในพระพุทธศาสนาฝ่ายธรรมวินัยมาเติมใส่อยู่เสมอๆ เพื่อไม่ให้จางเลือน และเพื่อดึงให้เดินหน้าเข้าไปหาหลักการที่แท้นั้นมากยิ่งขึ้นๆ เมื่อคนหันมาสนใจศึกษาปฏิบัติตามธรรมวินัยกันแล้ว ก็เท่ากับได้เครื่องตรวจสอบและเนื้อหาสาระที่ต้องการใช้แก้ไขปรับปรุงนั้นมา โดยไม่ต้องรอหรือหนักแรงกับการทำเรื่องนี้อีก ในเวลาเดียวกัน แม้ว่าจะเป็นการดีที่คนไทยหันมาสนใจศึกษาปฏิบัติตามพระพุทธศาสนาฝ่ายธรรมวินัยกันมากขึ้น แต่ผู้ที่เห็นแก่ประโยชน์สุขของประเทศชาติอย่างแท้จริง ก็ไม่ควรพอใจเพียงเท่านั้น พึงตระหนักในหลักการที่กล่าวมาแล้วว่า พระพุทธศาสนาฝ่ายธรรมวินัยจะกลายเป็นพระพุทธศาสนาของไทย ก็ต่อเมื่อได้ซึมซาบกลมกลืนเข้าไปอยู่ในวิถีชีวิตของคนไทย จนกลายเป็นพระพุทธศาสนาฝ่ายวัฒนธรรม ถ้าตระหนักดังนี้แล้ว การที่คนไทยหันมาสนใจศึกษาปฏิบัติพระพุทธศาสนาฝ่ายธรรมวินัย ก็เท่ากับเป็นการย่างเข้าสู่ขั้นตอนที่สำคัญของการพื้นฟูพระพุทธศาสนาฝ่ายวัฒนธรรมให้กลับเจริญรุ่งเรืองขึ้นใหม่ และก้าวหน้าต่อไปได้อีก รวมความว่า การศึกษาและปฏิบัติตามพระพุทธศาสนาฝ่ายธรรมวินัย เป็นปัจจัยที่ขาดไม่ได้สำหรับการดำรงรักษาและพัฒนาพระพุทธศาสนาฝ่ายวัฒนธรรม ดังนั้น ในสภาพปัจจุบัน แม้ว่าพระพุทธศาสนาฝ่ายวัฒนธรรมจะเสื่อมโทรม เลือนลาง และถูกละเลย แต่เมื่อคนหันมาสนใจศึกษา และปฏิบัติตามพระพุทธศาสนาฝ่ายธรรมวินัยกันมากขึ้น ก็จึงเป็นนิมิตดีว่า พระพุทธศาสนาฝ่ายวัฒนธรรมจะกลับมีชีวิตชีวารุ่งเรืองเฟื้องฟูขึ้นได้อีก แต่การจะเป็นอย่างนี้ได้ จะต้องเป็นการกระทำด้วยความสำนึกตระหนักในเป็นหมาย และตั้งใจโน้มการปฏิบัติให้ส่งผลมายังเป้าหมายนั้น คือให้การศึกษาและปฏิบัติตามหลักการแห่งพระธรรมวินัย ส่งผลต่อพระพุทธศาสนาฝ่ายวัฒนธรรม ด้วยการประสานกลมกลืนเนื้อหาสาระแห่งพระธรรมวินัยนั้นให้ซึมซาบเข้าไปในกระแสความรู้ความเข้าใจ และการประพฤติปฏิบัติที่เป็นวิถีชีวิตของหมู่ชน ถ้าการศึกษาและปฏิบัติตามพระพุทธศาสนาฝ่ายธรรมวินัย กับการรักษาสืบทอดพระพุทธศาสนาฝ่ายวัฒนธรรม ยังดำเนินอยู่คู่เคียงกัน โดยมีความสัมพันธ์ในทางที่อิงอาศัยเกื้อกูลกันดังได้กล่าวมา พระพุทธศาสนาของชาวไทยก็จะยังเจริญมั่นคงอยู่ในประเทศไทย เพื่อประโยชน์สุขโดยตรงแก่ชนชาติไทย และโดยอ้อมแก่มวลชนชาวโลก ตลอดกาลนาน พุทธมณฑล คือ พื้นที่ภายในขอบเขตพิเศษที่ได้อุทิศถวายแด่พระพุทธเจ้า หรือบริเวณที่อุทิศให้เป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนา ซึ่งได้จัดสร้างขึ้นเพื่อแสดงถึงความสำคัญของพระพุทธศาสนาในฐานะศาสนาประจำชาติ เป็นหลักฐานและเป็นที่ประกาศยืนยันความจริงที่ว่า พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาของประชากรส่วนใหญ่ของประเทศไทย เป็นรากฐานสำคัญของวัฒนธรรมไทย เป็นศูนย์รวมจิตใจให้ชนชาวไทยตั้งอยู่ในสามัคคี เป็นหลักการแห่งเสรีภาพในการนับถือศาสนา เป็นสถาบันที่ดำรงยืนยงมาคู่ชาติไทย เป็นหลักคำสอนสอดคล้องกับลักษณะนิสัยของคนไทยที่รักความเป็นอิสระเสรี เป็นแหล่งสำคัญที่หล่อหลอมเอกลักษณ์ของชาติไทย เป็นมรดกและเป็นคลังสมบัติอันล้ำค่าของชนชาติไทย เป็นหลักนำทางในการพัฒนาชาติไทย และเป็นแหล่งของดีมีค่าที่ชนชาติไทยมอบให้แก่อารยธรรมของโลก ศูนย์กลางของศาสนาประจำชาตินี้ พึงเป็นจุดรวมพลังชีวิตของพระพุทธศาสนา ดุจหัวใจเป็นศูนย์รวมพลังชีวิตของบุคคล เป็นแหล่งแพร่กระจายหลักการที่แท้ของพระพุทธศาสนาออกไปหล่อเลี้ยงวัดวาอาราม และองค์กรที่เผยแพร่พระธรรมวินัย ดุจหัวใจเป็นแหล่งสูบฉีดโลหิตไปหล่อเลี้ยงอวัยวะทั้งปวงทั่วร่างกาย พุทธมณฑล ในอุดมคติพึงเป็นศูนย์กลางที่ประมวลรักษา และเผยแพร่พระพุทธศาสนาฝ่ายธรรมวินัย เป็นที่ทบทวนตรวจสอบพระพุทธศาสนาฝ่ายวัฒนธรรมที่เชื่อถือและประพฤติปฏิบัติกันมาในสังคมไทย ให้คงอยู่และคืนเข้าสู่มาตรฐานและครรลองที่ถูกต้อง พร้อมทั้งแพร่กระจายเนื้อหาสาระของพระธรรมวินัยออกไปผสมผสานซึมซาบเข้าสู่วิถีชีวิตของประชาชน ให้พระพุทธศาสนาฝ่ายวัฒนธรรมมีกำลังมั่นคง และเจริญก้าวหน้าตามแนวทางแห่งหลักการที่แท้ของพระพุทธศาสนา ถ้าการณ์เป็นไปได้เช่นนี้ พุทธมณฑลที่ร่มรื่นด้วยสวนป่าอันงอกงามน่ารื่นรมย์ ก็จะเป็นสัญลักษณ์แห่งความเจริญงอกงามของพุทธธรรมที่แพร่หลายออกไป อำนวยสันติสุข และความร่มเย็นเบิกบานแก่ประชาราษฎร์ทั่วทั้งสังคม
Create Date : 09 ธันวาคม 2567 |
Last Update : 9 ธันวาคม 2567 9:48:35 น. |
|
0 comments
|
Counter : 114 Pageviews. |
 |
|
|
|
|
 |
|
|
|