กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
 
ธันวาคม 2567
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
space
space
2 ธันวาคม 2567
space
space
space

พุทธศาสนาเป็นศาสนาของประชากร ส่วนใหญ่ของประเทศไทย

- ๑ -
 
- พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาของประชากร ส่วนใหญ่ของประเทศไทย
 

     ในจำนวนประชากรของประเทศไทย  ปัจจุบันประมาณ ๕๓ ล้านคน  (จำนวนประชากรตอนนั้น) มีพลเมืองที่นับถือพระพุทธศาสนาประมาณร้อยละ ๙๕ (ตัวเลขตอนนั้น) หรือพูดได้ว่า  คนไทยเกือบทุกคนเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา  เมื่อพูดอย่างกว้างๆ หรือเอาส่วนใหญ่เป็นหลัก โดยไม่ต้องประกาศอย่างเป็นทางการ  ก็ถือได้ว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติของประเทศไทย
 
     อาจมีผู้ตั้งข้อสงสัยว่า   ถึงแม้พระพุทธศาสนาจะเป็นศาสนาของประชากรส่วนใหญ่ก็จริง   แต่การถือว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติจะกลายเป็นการไม่ยอมรับ หรือไม่ให้ความสำคัญ  ตลอดจนเป็นการกีดกั้นข่มขี่ศาสนาของคนส่วนน้อยทั้งหลายไปหรือไม่
 
     ข้อสงสัยนี้  ตอบได้ว่า   ลักษณะการนับถือศาสนาโดยทั่วไป แยกได้เป็น ๒ แบบ คือ
 
     การนับถือศาสนาอย่างหนึ่ง   เป็นแบบยึดติดถือมั่นว่าข้อที่พวกตนถือปฏิบัติเท่านั้นจึงจะถูกต้อง ใครถืออย่างอื่นเป็นผิดทั้งสิ้น  อาจถือถึงขนาดที่ว่า  ความเชื่อถือปฏิบัติหรือศาสนาอื่นเป็นบาป เป็นมารร้ายที่จะต้องใช้กำลังกำจัดกวาดล้างให้หมดสิ้นไป  อย่างน้อยก็ถืออย่างเป็นเหตุให้แบ่งพวกแบ่งหมู่ ในลักษณะที่เป็นปฏิปักษ์กัน  เข้ากันไม่ได้  นี้แบบหนึ่ง
 
     การถือศาสนาแบบนี้   ถ้าพวกที่ถือเป็นคนส่วนใหญ่   ก็จะต้องไม่ยอมรับและจะต้องกีดกั้นข่มขี่ หรือถึงกับเบียดเบียนกำจัดกวาดล้างลัทธิศาสนาของพวกคนส่วนน้อยอย่างแน่นอน  อย่าว่าแต่พวกที่ถือต่างกันจะเป็นคนส่วนใหญ่กับคนส่วนน้อยเลย    แม้แต่จะเป็นกลุ่มเป็นหมู่ที่ใหญ่เท่าๆ กันใกล้เคียงกัน หรือเป็นกลุ่มเป็นหมู่เล็กๆ ด้วยกัน  ก็ต้องมีการขัดแย้งกัน มีการกระทบกระทั่งรุนแรง หรือรบราฆ่าฟันกัน   ไม่ว่าจะมีศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นศาสนาประจำชาติหรือไม่ก็ตาม ดังปรากฏให้เห็นอยู่เด่นชัดในหลายประเทศในปัจจุบัน
 
     ส่วนการนับถือศาสนาอีกแบบหนึ่ง  เป็นการดำเนินไปตามหลักธรรมดาที่ว่า  การที่จะมีชีวิตที่ดีงามนั้น  สำหรับสามัญชน   ก็จะต้องมีหลักความเชื่อถือและระบบความประพฤติปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแบบแผน หรือเป็นแนวนำ  จึงเลือกรับหรือรับช่วงสืบทอดเอาศาสนาอย่างหนึ่งมานับถือ โดยเลื่อมใสศรัทธาและได้พิจารณาเห็นว่า คำสอนและข้อปฏิบัติของศาสนานั้นดีงามเป็นคุณประโยชน์เหมาะสมที่จะนำทางชีวิตของตน และเป็นความจริงแท้เท่าที่ตรองเห็นด้วยสติปัญญาแล้วว่ามีคุณค่า ซึ่งจะไม่พาไปสู่ความหลงผิด
 
     การนับถือแบบที่สองนี้    มีแต่การเห็นคุณค่าและความดีงามที่มองเห็นตระหนักแก่ตน โดยไม่ต้องมีการรังเกียจเดียดฉันท์หรือเพ่งโทษความเชื่อถือปฏิบัติที่เรียกว่า ศาสนาของคนอื่นพวกอื่น ไม่เป็นเหตุแบ่งแยก ขัดแย้งหรือเบียดเบียนกับใครๆ แต่อยู่ร่วม และยอมรับกันได้ มองคนอื่นโดยเห็นว่าเป็นสิทธิ หรือเป็นความเหมาะกันกับตัวเขาที่จะเชื่อถือปฏิบัติอย่างนั้น  แม้นถ้าหากจะเห็นว่าความเชื่อถือปฏิบัติของคนอื่นนั้นผิด  ก็ย่อมคิดที่จะช่วยแก้ไขด้วยความรักใคร่ปรารถนาดีโดยท่าทีแห่งความการุณย์ต่อมิตร และด้วยวิธีการแห่งปัญญาเพียงอย่างเดียว  คือทำให้เขามองเห็น  รู้เข้าใจและยอมรับด้วยตนเองเท่านั้น  ไม่มีการบีบบังคับล่อเอาหรือยัดเยียดให้
 
     โดยนัยนี้   ถ้าผู้นับถือศาสนาแบบหลังเป็นคนส่วนใหญ่  การที่ศาสนาของคนเหล่านั้นได้เป็นศาสนาประจำชาติ  ย่อมจะไม่เป็นเหตุให้มีการกีดกั้นข่มเหงต่อศาสนาของชนส่วนน้อยแต่ประการใด  แต่ในทางตรงข้าม  หมู่ชนส่วนน้อยที่นับถือศาสนาอื่น  จะกลับพลอยร่วมได้รับประโยชน์และผลดีตามไปด้วย  ดังจะเห็นได้จากความที่จะกล่าวต่อไป
 
     อย่างไรก็ตาม   มีข้อสังเกตว่า  หมู่ชนที่นับถือศาสนาแบบหลังนี้  ไม่ว่าจะเป็นชนส่วนใหญ่หรือชนส่วนน้อยก็ตาม   แม้ถึงจะเป็นเจ้าของศาสนาประจำชาติ   แต่ถ้าอยู่ร่วมด้วยกับหมู่ชนที่นับถือศาสนาแบบแรก  ก็มักจะตกอยู่ในฐานะเสียเปรียบ  โดยถูกรุกไล่เบียดเบียนจากผู้ถือศาสนาแบบแรกแม้ที่เป็นชนกลุ่มย่อย  กลายเป็นฝ่ายตั้งรับ  ร่นถอยและร่อยหรอลงไปเรื่อย ๆ
 
     ในการเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับศาสนานั้น รัฐต่างๆ มีวิธีปฏิบัติที่แยกได้อย่างง่ายๆ เป็น ๒ ประเภท  คือ สัมพันธ์แบบให้ความสำคัญ  ตลอดจนช่วยโอบอุ้มอุปถัมภ์  กับสัมพันธ์แบบวางเฉยไม่เกี่ยวข้อง  ตลอดจนปฏิบัติอย่างเป็นปฏิปักษ์  แต่ไม่ว่าจะสัมพันธ์แบบใด ก็ล้วนเป็นการปฏิบัติเพื่อประโยชน์แก่รัฐทั้งสิ้น  กล่าวคือเป็นเรื่องของการปกครอง  ซึ่งดำเนินการในวิถีทางต่างๆ ที่จะทำให้ศาสนาอำนวยประโยชน์แก่รัฐ หรือรักษาผลประโยชน์ของรัฐไว้ไม่ให้ถูกกระทบกระเทือนจากฝ่ายศาสนา ประเภทแรกเป็นความสัมพันธ์ในทางบวก  ประเภทหลังเป็นความสัมพันธ์ในทางลบ
 
     รัฐที่มีความสัมพันธ์กับศาสนาในทางลบ  ก็เพราะเห็นว่า  ความสัมพันธ์กับศาสนาในทางบวกจะก่อให้เกิดปัญหาแก่รัฐ  เช่น ในประเทศที่มีผู้นับถือลัทธิศาสนาต่างกันมากหลาย และลัทธิศาสนาเหล่านั้นมีลักษณะการนับถือแบบยึดติดแบ่งพวกแบ่งหมู่  ไม่ยอมรับกัน  มีความขัดแย้งสูง การเกี่ยวข้องกับลัทธิศาสนาเหล่านั้น  มีแต่จะก่อให้เกิดปัญหาความกระทบกระทั่ง แก่งแย่งกัน ตลอดจนความรุนแรงต่างๆ มากขึ้น  รัฐก็จะวางเฉยไม่เกี่ยวข้องกับลัทธิศาสนาใดๆ โดยตรง ในบางประเทศที่รัฐปกครองด้วยลัทธินิยม ซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับศาสนา  ลัทธินิยมนั้นก็เสมือนเป็นศาสนาผูกขาดของรัฐนั้น  รัฐนั้นจึงอาจปฏิบัติในลักษณะที่เป็นปฏิปักษ์ต่อศาสนาอื่นๆ  เช่น ไม่ให้เสรีภาพในการเผยแผ่ศาสนา  แต่ให้เสรีภาพในการโจมตีศาสนา  ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ศาสนาอื่นมาชักจูงประชาชนให้หันเหออกไปจากลัทธินิยมประจำรัฐของตน หรือในบางกรณี ถ้าเป็นไปได้ก็อาจถึงกับให้นักบวชในศาสนาอื่นเป็นสื่อเผยแพร่ลัทธินิยมนั้นเสียเลย
 
     ในประเทศที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาเดียวกัน และศาสนานั้นมีลักษณะการนับถือแบบไม่ผูกขาด  ไม่รังเกียจเดียดฉันท์ผู้นับถือศาสนาอื่นๆ ไม่แบ่งพวกแยกหมู่  ย่อมเป็นการสมควรที่รัฐจะยอมรับให้เป็นที่ปรากฏชัดว่าศาสนานั้นเป็นศาสนาประจำชาติ  ดังเช่นในกรณีของพระพุทธศาสนาที่เป็นศาสนาประจำชาติของประเทศไทย  ทั้งนี้เพื่อจะได้เกิดความสะดวกหรือคล่องตัว  ในการที่รัฐ หรือสังคมจะเกี่ยวข้องสัมพันธ์ และปฏิบัติต่อศาสนา และองค์ประกอบของศาสนานั้นได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และได้ผลดีโดยสมบูรณ์เฉพาะอย่างยิ่ง ในแง่ที่จะถือเอาประโยชน์จากศาสนานั้นได้อย่างเต็มที่  เช่น  ในการส่งเสริมสนับสนุนให้ศาสนานั้นมีกำลังความสามารถที่จะอำนวยประโยชน์สุขอย่างสูงสุดแก่รัฐและแก่สังคม เป็นต้น
 
     อนึ่ง   ในการปฏิบัติเช่นนี้ผลดีย่อมเกิดขึ้นแก่ศาสนาต่างๆของชนกลุ่มน้อยทั้งหลายด้วย  เพราะการที่ศาสนาของคนส่วนใหญ่ปรากฏตัวเด่นชัดขึ้นมา  ย่อมทำให้ศาสนาอื่นๆของชนกลุ่มน้อยทั้งหลายพลอยปรากฏตัวเด่นชัดขึ้นมาด้วย  เช่น  ทำให้รัฐ และสังคมรู้เห็นเข้าใจว่า ศาสนาอื่นที่คนในประเทศเดียวกับตนนับถือยังมีศาสนาอะไรอีกบ้าง  ศาสนาใดมีชนกลุ่มน้อยพวกไหนนับถือ  มีจำนวนเท่าใด  มีข้อแตกต่างในธรรมเนียมปฏิบัติ และการที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างไรเป็นต้น ซึ่งในเมื่อไม่มีการแบ่งแยกกีดกั้นข่มเหงกันดังกล่าวแล้ว  ความปรากฏตัวเด่นชัดนี้ก็จะช่วยให้เกิดความสะดวกหรือคล่องตัวในการที่จะเกี่ยวข้องปฏิบัติต่อศาสนานั้นๆ ในแนวทางของการส่งเสริมสนับสนุนเช่นเดียวกัน ตามสัดส่วนที่เหมาะสม
 
     ควรทำความเข้าใจให้ชัดเจนเกี่ยวกับคำพูดที่ว่า  รัฐพึงเกี่ยวข้องสัมพันธ์ และถือเอาประโยชน์จากศาสนา เพราะถ้าตีความคำพูดนี้ไม่ถูกต้อง  อาจเข้าใจความหมายผิดพลาดและเห็นไปในทางตรงข้ามตามที่มีผู้ถือว่า การที่รัฐถือเอาประโยชน์จากศาสนาเป็นความชั่วร้าย ความจริง การที่รัฐถือเอาประโยชน์จากศาสนา หรือช่วยให้ศาสนาอำนวยประโยชน์แก่รัฐนั้น เป็นหลักธรรมดาของการปกครองทีเดียว ในทางตรงข้าม  ถ้ารัฐไม่ถือเอาประโยชน์จากศาสนานั้นแหละ จะเป็นการผิดวิสัยของการปกครองและเป็นความบกพร่องของการปกครองนั้นด้วย  ปัญหามีเพียงว่า การถือเอาประโยชน์จากศาสนานั้นเป็นไปโดยชอบธรรมหรือไม่
 
     การปกครองที่ถือเอาประโยชน์จากศาสนาโดยชอบธรรม  หมายถึง  การช่วยส่งเสริมสนับสนุนร่วมมือ หรือเอื้ออำนวยโอกาสให้ศาสนาสามารถบำเพ็ญกิจหน้าที่เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน  ทำให้ประชาชนเป็นคนดีมีศีลธรรมอยู่ร่วมกันอย่างร่มเย็น  เป็นสังคมที่มีสันติสุขซึ่งเป็นจุดหมายร่วมกันทั้งของการปกครองของรัฐและของศาสนา  แต่ถ้าผู้ปกครองใช้ศาสนาหรือองค์ประกอบของศาสนาเป็นเครื่องมือเสริมอำนาจ หรือความมั่นคงแห่งสถานะของตน หรือแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวอย่างหนึ่งอย่างใด  ก็เรียกว่า  เป็นการถือเอาประโยชน์จากศาสนาโดยไม่ชอบธรรม
 
     เป็นธรรมดาว่า  ในการปกครองนั้น ไม่ว่าจะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ที่จะยังผลกระทบต่อประโยชน์สุขของประชาชนรัฐ หรือผู้ปกครองจะต้องสนใจเกี่ยวข้อง และปฏิบัติต่อสิ่งนั้นในทางที่จะบังเกิดผลดีต่อประชาชน ศาสนาเป็นสถาบันที่สำคัญยิ่ง และมีอิทธิพลอย่างมากมายต่อชีวิตจิตใจและความเป็นอยู่ของประชาชน ถ้าศาสนามีกำลังทำกิจหน้าที่อย่างถูกต้อง ก็จะเป็นปัจจัยสำคัญที่นำประโยชน์สุขมาให้แก่ประชาชน    แต่ถ้าศาสนาอ่อนแอหรือถูกนำมาปฏิบัติอย่างผิดพลาดคลาดเคลื่อน ก็อาจทำให้เกิดความสูญเสียประโยชน์หรือก่อโทษแก่สังคมได้อย่างกว้างขวางลึกซึ้ง ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ที่รัฐหรือผู้ปกครองจะต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับศาสนา และช่วยให้ศาสนาก่อประโยชน์อย่างถูกต้อง เพียงแต่ว่าจะต้องระวังให้เป็นการถือเอาประโยชน์จากศาสนา หรือทำให้ศาสนาอำนวยประโยชน์แก่รัฐโดยชอบธรรม อย่างที่กล่าวแล้วข้างต้น
 
     การปกครองนั้น มีหลักการที่จะสร้างสรรค์ประโยชน์สุขแก่ประชาชนทั่วทั้งหมด และในทางปฏิบัติ ย่อมเป็นการสมควรที่รัฐจะดำเนินการให้ประโยชน์สุขนั้นเกิดขึ้นแก่ประชาชนจำนวนมากที่สุด ในเวลาอันรวดเร็วที่สุด
 
     ดังนั้น ในกรณีที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาเดียวกันอยู่แล้ว การเกี่ยวข้องสัมพันธ์ด้วยดีหรือการส่งเสริมสนับสนุนศาสนานั้น ก็เท่ากับเป็นการสร้างสรรค์อำนวยประโยชน์สุขแก่ประชาชนแทบทั้งประเทศได้พร้อมกันทั้งหมดในคราวเดียว
 
     ปัญหามีเพียงว่า  ถ้าคนส่วนใหญ่ที่นับถือศาสนาเดียวกันนั้น  มีลักษณะการนับถือแบบใจแคบ รังเกียจเดียดฉันท์กีดกั้นศาสนาอื่น  การส่งเสริมศาสนาของคนส่วนใหญ่นั้น  ก็จะกลายเป็นการสนับสนุนให้คนส่วนใหญ่มีกำลังมากขึ้นในการที่จะข่มเหงรังแก หรือเบียดเบียนคนส่วนน้อย และการมีศาสนาประจำชาติในกรณีอย่างนี้   ก็ย่อมมีความหมายเป็นการกีดกั้นตัดรอน  ตลอดจนทำลายชนกลุ่มน้อยทั้งหลายที่นับถือศาสนาอื่นๆ  แต่ถ้าศาสนาของคนส่วนใหญ่มีลักษณะการนับถือแบบใจกว้าง  มีความเข้าใจ และไมตรีต่อคนที่นับถือศาสนาอื่นในฐานะเพื่อนมนุษย์เสมอกัน  มิใช่เห็นเป็นคนบาป หรือพวกมารร้าย  การยกศาสนานั้นขึ้นเป็นศาสนาประจำชาติ  ย่อมกลายเป็นหนทางลัดในการที่จะสร้างสรรค์ประโยชน์สุขแก่ประชาชนทั้งชาติได้ในเวลาอันรวดเร็วที่สุด  โดยก้าวแรกขั้นเดียวก็ครอบคลุมคนส่วนใหญ่ทั้งหมด  แล้วก้าวต่อไปเพียงอีกนิดน้อย  ก็แผ่ประโยชน์สุขไปให้ทั่วถึงแก่คนกลุ่มย่อย ๆ ที่เหลืออยู่ได้อย่างง่ายดาย
 
135

บามิยัน อัฟกานิสถาน ตาลีบันทำลายพระพุทธรูปพังทลายหมดแต่มาเสียดายอะไรก่อน | Bamiyan, Afghanistan EP2

 


Create Date : 02 ธันวาคม 2567
Last Update : 3 ธันวาคม 2567 4:47:34 น. 0 comments
Counter : 205 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space