 |
|
|
|
 |
|
พระพุทธศาสนาสอดคล้องกับลักษณะนิสัยคนไทย ที่รักความเป็นอิสระเสรี |
|
- ๖ –
- พระพุทธศาสนาสอดคล้องกับลักษณะนิสัยของคนไทย ที่รักความเป็นอิสระเสรี
เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป หรืออย่างน้อยคนไทยทั้งหลายก็มีความรู้สึก และพูดหรือเขียนกันเองบ่อยๆว่า ชาวไทยเป็นชาติที่รักความเป็นอิสระเสรี ไม่ยอมและทนไม่ได้ที่จะอยู่ใต้อำนาจบังคับของใคร
ในแง่ส่วนรวมของชาติ ก็หมายถึงความเป็นเอกราช ซึ่งชนชาติไทยก็รักษามาได้โดยตลอด ถ้าพูดถึงอดีตนานไกลก่อนพันปีมาแล้ว เมื่อดินแดนของตนถูกรุกรานหรือครอบครอง ก็ไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจครอบครองนั้น แต่พากันอพยพร่นถอยลงมาตั้งถิ่นฐานใหม่ ถ้าพูดถึงระยะ ๑๐๐-๔๐๐ ปีมานี้ ไทยก็เป็นประเทศหนึ่ง ในจำนวนน้อยประเทศนักในทวีปอาเซีย ที่สามารถรักษาตัวรอดพ้นจากความเป็นเมืองขึ้นของประเทศนักล่าอาณานิคมมาได้
ส่วนในแง่บุคคล หรือชาวไทยแต่ละคน ก็รักความเป็นอิสระส่วนตัว ชอบเป็นตัวของตัวเอง ชอบทำอะไรด้วยตัวเองหรือชอบทำอะไรๆเฉพาะตัวเป็นอิสระ จนมีบ่อยๆ ที่หมิ่นเหม่จะเลยเถิดไปจนกลายเป็นมานะ ซึ่งเป็นกิเลสที่ทำให้ถือตัวเป็นใหญ่ ลงกันไม่ได้ ร่วมมือกันไม่เป็น ตลอดจนช่วงชิงกันเป็นใหญ่ หรือกลายเป็นการทำอะไรๆ ตามใจตัวเอง เอาแต่ใจของตน อย่างที่พูดกันจนเป็นคำล้อเลียนว่า ทำได้ตามชอบใจคือไทยแท้ ถ้าคนไทยสามารถรักษาความรักอิสรเสรีภาพไว้ได้ให้อยู่ในขอบเขตที่แท้จริงของมัน ไม่โตเลยเถิดไปเป็นมานะ และไม่กลายเป็นการเอาแต่ใจของตัว ก็ย่อมเป็นความดีงามและความประเสริฐอันชอบธรรมยิ่ง
กล่าวกันว่า ความเป็นชาติ และเป็นชนที่รักอิสรเสรีภาพของคนไทยนี้ ปรากฏให้เห็นแม้แต่ในคำที่เป็นชื่อเรียกประเทศชาติ และประชาชน คำเรียกชื่อประเทศ และคนไทยนั้น รู้จักกันทั่วไปว่า มี ๒ อย่าง คือไทย กับ สยาม แต่ไม่ว่าจะเรียกว่า ไทย หรือ สยาม ก็ตาม ก็มีความหมายเล็งถึงความเป็นอิสระเสรีเช่นเดียวกัน คำทั้งสองนี้จะมีรากศัพท์ที่แท้จริงมาอย่างไร ในที่นี้จะไม่ขอวิเคราะห์เชิงวิชาการทางนิรุกติศาสตร์ให้เคร่งครัด แต่พูดเพียงเท่าที่อาจเป็นไปได้ หรือน่าจะเป็นไปได้ หรือแม้แต่สวมรับเอา ในเมื่อเห็นว่ามีความหมายเข้ากันได้ดี
คำว่า ไทย อาจจะเป็นคำเดียวกับ ไท หรือมาจาก ไท ในหนังสือเก่าๆ เคยพบเรียกคนไทยว่า ไท ก็มี ไท แปลว่า เป็นใหญ่ในตัว คือเป็นอิสระ ไม่ขึ้นต่อคนอื่น อย่างที่พูดบ่อย ๆ ว่า เป็นไทแก่ตัว ซึ่งก็ตรงกับมีอิสรภาพ หรือเป็นอิสระเสรีนั่นเอง
ส่วนคำว่า สยาม ดูเหมือนจะเลือนลางกว่าในเรื่องที่มาของศัพท์ และถ้าจะให้พบรากศัพท์ที่แท้แน่นอน ก็คงยังต้องเถียงกันอีกมาก แต่ในที่นี้ จะขอใช้วิธีง่ายๆ โดยลากหรือดึงเข้าหาบาลี
ในภาษาบาลีมีคำหนึ่งที่ใกล้เคียงกับ “สยาม” มาก ทั้งโดยรูปศัพท์การออกเสียง และความหมายที่ตรงกับ “ไท” กล่าวคือ คำว่า สยํ เขียนอย่างไทยเป็น สยัง ถ้าเขียนเลียนแบบสันสกฤต ก็เป็น สยมฺ (สยัม) แปลว่า เอง โดยตนเอง ในตัวเอง หรือลำพังตน สยํ หรือ สยมฺ นี้ ที่ใช้ในความหมายตรงกับ “ไท” หรือเป็นอิสระเสรี ก็คือ เมื่อมาในคำว่า สยํวสี (สยมฺวสี หรือ สยัมวสี) แปลว่า มีอำนาจในตัว หรือเป็นตัวของตัวเอง สามารถจะทำอะไรๆได้ตามใจตัว คำว่า สยํวสี (สยมฺวสี หรือ สยัมวสี) นี้ ตามปกติมาร่วมกับเสรีเป็นคำชุดว่า “เสรี สยํวสี” ซึ่งมีความหมายทำนองเดียวกัน หรือเป็นคำเสริมกัน (เช่น ใน ม.ม.๑๓/๒๘๓/๒๗๗) โดยนัยนี้ แม้แต่ว่าตามรูปศัพท์ หรือ คำที่เป็นชื่อเรียก คนไทย หรือ ชาวสยาม ก็หมายถึงคนที่รักความเป็นอิสระเสรี ชอบเป็นตัวของตัวเอง
พระพุทธศาสนานั้น เรียกได้ว่าเป็นศาสนาแห่งอิสรภาพ จุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา เรียกชื่ออย่างหนึ่งว่า “วิมุตติ” แปลว่า ความหลุดพ้น ความปลอดพ้นจากสิ่งผูกรัดบีบคั้นครอบงำจํากัดขัดข้อง ไม่ต้องขึ้นต่ออะไรๆ หรือต่อใคร ๆ ได้แก่ ความเป็นอิสระนั่นเอง
นิพพาน ซึ่งเป็นบรมธรรม คือธรรมสูงสุด มีไวพจน์คือคำพ้องความหมาย ใช้แทนกันได้หลายคำ และไวพจน์ของนิพพานคำหนึ่ง ก็คือ อิสสริยะ หรือ อิสรภาพ ที่แปลว่า ความเป็นอิสระ
การประพฤติปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนานั้น เป็นการดำเนินในแนวทางของความเป็นอิสระ และเพื่อความเป็นอิสระทุกขั้นตอน ดังจะเห็นได้ว่า ศรัทธาจะต้องมีปัญญาควบคุม และจะต้องนำไปสู่ปัญญา เพราะปัญญาทำให้พึ่งตนเองได้ เป็นอิสระ สาวกอาศัยพระศาสดาเป็นกัลยาณมิตร ในฐานะทรงเป็นเพียงผู้ชี้ทางที่จะต้องเดินด้วยตนเอง ศรัทธาจะต้องระวังไม่ให้กลายเป็นความติดในตัวบุคคล และในที่สุดผู้ปฏิบัติจะเห็นแจ้งสัจธรรมรู้ความจริงด้วยตนเอง โดยไม่ต้องขึ้นต่อองค์พระศาสดา และจะมีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา เรียกว่าเป็นผู้พึ่งตนเองได้ ทุกคนจะต้องทำตนให้พึ่งตนได้ ตามหลักการพึ่งตนที่ว่า “ตนแล เป็นที่พึ่งของตน” พุทธพจน์บทหนึ่งแสดงคติของพระพุทธศาสนาว่า
สพฺพํ ปรวสํ ทุกฺขํ สพฺพํ อิสฺสริยํ สุขํ
แปลว่า อยู่ใต้อำนาจคนอื่น เป็นทุกข์ทั้งสิ้น อิสรภาพ เป็นสุขทั้งสิ้น (ขุ.อุ.๒๕/๖๓/๙๙)
ความสัมพันธ์ระหว่างคนไทยผู้รักความเป็นอิสระเสรี กับ พระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาแห่งอิสรเสรีภาพนั้น จะเป็นไปในลักษณะที่ว่า คนไทยนับถือพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาจึงทำให้คนไทยเป็นผู้รักความเป็นอิสระเสรี หรือจะเป็นไปในแนวทางที่ว่า เพราะเหตุที่คนไทยเป็นผู้รักความเป็นอิสระเสรี คนไทยจึงรับนับถือพระพุทธศาสนาที่เป็นศาสนาแห่งอิสรเสรีภาพ ข้อนี้ไม่อาจชี้ชัดหรือตัดสินได้ในที่นี้ แต่อย่างน้อย ย่อมเป็นความจริงที่พูดได้โดยไม่ผิดพลาดว่า การที่คนไทยผู้รักความเป็นอิสระเสรี ยอมรับนับถือพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาแห่งอิสรเสรีภาพนั้น เป็นภาวะที่สอดคล้องกัน และเป็นเครื่องสนับสนุนให้คนไทยมีลักษณะนิสัยเช่นนั้นเข้มข้นเด่นชัดยิ่งขึ้น พูดอีกอย่างหนึ่งว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งอิสรเสรีภาพ สอดคล้องกับลักษณะนิสัยของคนไทยผู้รักความเป็นอิสระเสรี และเป็นเครื่องสนับสนุนให้คนไทยดำรงรักษาคุณลักษณะนั้นไว้ได้อย่างหนักแน่นชัดเจนตลอดมา
ข้อที่จะต้องไม่ประมาทในทางธรรม เพื่อให้ชาติไทยดำรงรักษาอิสรภาพไว้ได้ด้วยดี พร้อมทั้งมีความเจริญรุ่งเรืองด้วยประโยชน์สุขไปด้วยในเวลาเดียวกัน มีอยู่ประการหนึ่ง คือ คนไทยจะต้องประจักษ์ชัดในความหมายของความเป็นอิสระเสรี หรืออิสรภาพ และเสรีภาพอย่างถูกต้องชัดเจน แล้วประพฤติปฏิบัติดำรงชีวิต และดำเนินกิจการอยู่ภายในอิสรภาพ และเสรีภาพที่ถูกต้องตามความหมายนั้น คนไทยต้องมิใช่อิสระเสรีอย่างผิดๆ ชนิดที่เลยเถิดกลายเป็นประมาทพลาดจากอิสรภาพ และเสรีภาพไปกลายเป็นมานะ ที่ทำให้ถือตัวเป็นใหญ่ อยากใหญ่ใฝ่เด่น และแข่งขันช่วงชิงอำนาจกัน ลงกันไม่ได้ ไม่ยอมกันตามเหตุผล ร่วมมือและทำงานด้วยกันไม่ได้ หากแต่เป็นคนไทยที่อิสระเสรีโดยรู้จักพึ่งตนเอง สลัดความเห็นแก่ตัวได้ และช่วยกันทำให้อิสรภาพเป็นเครื่องอำนวยโอกาสเพื่อการสร้างสรรค์ประโยชน์สุขร่วมกัน ถ้าปฏิบัติได้เช่นนี้ พระพุทธศาสนาก็จะสอดคล้องกับลักษณะนิสัยของคนไทยที่รักความเป็นอิสระเสรี และจะเป็นเครื่องสนับสนุนลักษณะนิสัยนั้นให้หนักแน่นมั่นคงอย่างมีคุณค่าได้โดยแท้จริง
Create Date : 06 ธันวาคม 2567 |
Last Update : 6 ธันวาคม 2567 13:46:15 น. |
|
0 comments
|
Counter : 94 Pageviews. |
 |
|
|
|
|
 |
|
|
|