กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
 
ธันวาคม 2567
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
space
space
5 ธันวาคม 2567
space
space
space

พุทธศาสนาเป็นหลักการที่ช่วยดำรงรักษาเสรีภาพในการนับถือศาสนา


- ๔ –
 
- พระพุทธศาสนาเป็นหลักการที่ช่วยดำรงรักษาเสรีภาพในการนับถือศาสนา
 
 
     ในสังคมไทย  ตลอดประวัติศาสตร์ของการนับถือพระพุทธศาสนา เสรีภาพทางศาสนาเป็นสิ่งที่มีมาเอง เป็นไปเอง เป็นลักษณะของสังคมที่ถ่ายทอดกันมาโดยไม่ต้องรู้ตัว  สืบเนื่องจากหลักการของพระพุทธศาสนา ที่เชิดชูเสรีภาพในการใช้ปัญญา  โดยไม่มีการบังคับศรัทธา  เพราะฉะนั้น  ในประวัติของชนชาติไทย  จึงไม่ต้องมีการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งเสรีภาพในการนับถือศาสนา  (freedom of religion)  อย่างที่ได้เกิดขึ้นเป็นเรื่องรุนแรงมากในหลายประเทศ
 
     นอกจากชาวพุทธจะอยู่ร่วมด้วยดีกับศาสนิกชนของศาสนาอื่นๆ  ที่มีอยู่แล้ว  แม้เมื่อมีลัทธิศาสนาใหม่ๆ เข้ามาจากภายนอก   ก็ได้พบการต้อนรับอย่างดี และเปิดโอกาสหรือถึงกับช่วยเอื้อเฟื้อให้มีการเผยแพร่โดยสะดวกด้วยซ้ำ
 
 
     ในหลายสังคม แม้เพียงขันติธรรม  (tolerance) ต่อกันระหว่างศาสนา ก็เป็นสิ่งที่ได้มาแสนยาก แต่สำหรับสังคมไทย ชาวพุทธมิใช่มีเพียงขันติธรรม (tolerance) เป็นปกติธรรมดาเท่านั้น แต่ยังมีความสัมพันธ์เชิงบวก คือถึงกับช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเกื้อกูล หรือประสานร่วมมือ ด้วยเมตตากรุณาเลยทีเดียว ดังนั้น เมื่อพระพุทธศาสนาแพร่หลายอยู่เป็นศาสนาของคนส่วนใหญ่ จึงกลายเป็นปัจจัยและเป็นสื่อที่ช่วยให้ศาสนาต่างๆ ที่แตกต่างหลากหลาย สามารถอยู่ร่วมกันได้ด้วยดีอย่างมีสันติ (peaceful coexistence)
 
     มองในแง่นี้  ถ้าไม่มีพระพุทธศาสนาคอยเอื้ออยู่ หรือไม่มีพระพุทธศาสนาเป็นบรรยากาศทั่วไปของสังคมที่คอยช่วยประสานไว้  ความขัดแย้งระหว่างศาสนาต่างๆ จะมีโอกาสเกิดได้มากขึ้นๆ เพราะฉะนั้น  การที่พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาของประชาชนส่วนใหญ่  จึงเป็นเครื่องช่วยรักษาเสรีภาพทางศาสนา และช่วยส่งเสริมให้ศาสนาต่างๆอยู่ร่วมกันด้วยดี
 
     เรื่องที่สังคมชาวพุทธไทยมีใจกว้าง  เอื้อโอกาสแก่ลัทธิศาสนาทั้งหลาย   ทั้งที่มีอยู่แล้วภายใน และที่เข้ามาใหม่จากภายนอกนี้  เป็นที่ทราบชัดกันเป็นอย่างดีแก่คนต่างชาติโดยเฉพาะนักเผยแพร่ศาสนาจากตะวันตก   ตั้งแต่ก่อนที่ประเทศเหล่านั้นจะได้รู้จักเสรีภาพทางศาสนา  ดังจะเห็นว่า  ฝรั่งที่เข้ามาเมืองไทย  จะเป็นราชทูตบาทหลวง พ่อค้า หรือทหารก็ตาม  ไม่ว่าในสมัยอยุธยาก็ตาม  ในสมัยรัตนโกสินทร์ก็ตาม   ต่างออกปากแสดงความชื่นชมหรือประทับใจในเรื่องนี้ไว้
 
     ในที่นี้จะไม่ยกคำพูดของคนไทยที่กล่าวถึงตนเองมาอ้างเลย  แต่จะนำเอาคำพูดหรือบันทึกเรื่องราวต่างๆ ที่บาทหลวง มิชชันนารีและคนชาติตะวันตกอื่น ๆ ได้พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้มาแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่าง
 
     ในจดหมายเหตุการณ์เดินทางของพระสังฆราชแห่งเบริธประมุขมิสซัง สู่อาณาจักรโคจินจีน (กรมศิลปากร,๒๕๓๐;เบริธ/Berythe)  ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  แห่งสมัยอยุธยา  บาทหลวง ฌอง เดอ บูรซ์ (Jean de Bourges)  ได้บันทึกไว้ตอนหนึ่ง (หน้า ๕๒) ว่า
 
         “ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าจะมีประเทศใดในโลก ที่มีศาสนาอยู่มากมาย และแต่ละศาสนาสามารถปฏิบัติพิธีการของตนได้อย่างเสรีเท่ากับประเทศสยาม”
 
     และอีกตอนหนึ่งว่า (หน้า ๕๒)
 
        “ความคิดของชาวสยามที่ว่าทุกศาสนาดี   ดังนั้น  พวกเขาจึงไม่แสดงตนเป็นปฏิปักษ์ ต่อศาสนาอื่นใดหากศาสนานั้นๆ  สามารถยืนหยัดอยู่ได้ภายในกฎหมายของรัฐ”
 
     ในสมัยรัตนโกสินทร์  ก็เช่นกัน  ในหนังสือบันทึกเรื่องมิสซัง แห่งกรุงสยาม (กรมศิลปากร. ๒๕๒๔) โดย มุขนายก ฌอง แบปติสต์ ปาลเลอกัวซ์  (Bishop Jean-Baptiste Pallegoix) ก็ได้เขียนไว้ว่า
 
         “นับแต่โบราณกาล   ผู้ปกครองของไทยมีเจตนารมณ์  อันดีงามที่จะปล่อยให้แต่ละชาติปฏิบัติ พิธีการทางศาสนาของตนได้อย่างเสรี”
 
     และท่านยังได้เล่าตัวอย่างเหตุการณ์ประกอบไว้ด้วย อันแสดงถึง freedom of religion ที่มีอยู่เป็นปกติธรรมดาว่า
 
        “…นี่เองคือเสรีภาพในส่วนที่เกี่ยวกับการนับถือศาสนา อันเป็นสิ่งที่คนทั้งหลายได้ชื่นชมกันอยู่ในราชอาณาจักรแห่งนี้” 
 
     น่าสังเกตว่า เมื่อมองกลับเข้าไปที่จิตใจของบาทหลวง หรือนักเผยแพร่ศาสนาจากตะวันตกเหล่านี้  เขากลับมีความรู้สึกที่ตรงข้ามกับคนไทย  คือ เขาเดินทางเข้ามาพร้อมด้วยความรู้สึกไม่ดีไม่งามที่ตั้งไว้ก่อนแล้วต่อพระพุทธศาสนาโดยจะพูดถึงด้วยถ้อยคำเรียก หรือเอ่ยอ้างอย่างดูถูกดูหมิ่น เช่น ในหนังสือ รวมเรื่องแปลหนังสือ และเอกสารทางประวัติศาสตร์  ชุดที่ ๒  (กรมศิลปากร, ๒๕๓๕) หน้า ๓๑ คณะบาทหลวงเยซูอิต  (Jesuits) ซึ่งเดินทางมา โดยพระราชโองการของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔  (Louis XIV)  ใน พ.ศ. ๒๒๒๙ กล่าวถึงพระพุทธศาสนา โดยใช้คำเรียกว่า “ศาสนาป่าเถื่อน”  (กรมศิลปากร, ๒๕๓๕)  ในหนังสือชุดเดียวกันนั้น  ชุดที่ ๑ หน้า ๖๖ ศาสนาจารย์ คาร์ล  ฟรีดริค  กุตสลาฟฟ์  (Karl Friedrich August Gützlaff)  ซึ่งเข้ามาเผยแพร่ศาสนาในราว พ. ศ. ๒๓๗๑ ก็จัดพระพุทธศาสนาเข้าในคำเรียกว่า “ศาสนาจอมปลอม”
 
     เรื่องความรู้สึกที่ดีของคนไทยต่อศาสนาอื่นนั้นเป็นเรื่องที่ฝรั่งนักเผยแพร่ศาสนาทราบกันดีและพูดถึงบ่อยมาก ขอยกตัวอย่างมาอีก เช่น ในประชุมพงศาวดาร เล่ม ๑๙ ภาคที่ ๓๒ (คุรุสภา, ๒๕๐๘) มีบันทึกของบาทหลวง เดอ ชัวซี  ตอนหนึ่ง (หน้า  ๒๔๙) ว่า
 
        “จริงอยู่ จนถึงเวลาปัจจุบันนี้  พวกมิชชันนารียังไม่ได้ทำการใหญ่โตในเมืองไทยอย่างใด  พวกไทยมีนิสัยอ่อนน้อม   ไม่ชอบการโต้เถียง และโดยมากเชื่อเสียว่า  ศาสนาทุกศาสนาเป็นคำสั่งสอนที่ดีทั้งนั้น”
 
     ทั้งที่มองเห็นความรู้สึกที่ดีของคนไทย   แต่นักเผยแพร่ศาสนาเหล่านั้น ก็หาได้มองดีตอบต่อพุทธศาสนาไม่ และมักพูดแสดงความรู้สึกที่ไม่ดี   อย่างที่หนังสือรวมเรื่องแปลหนังสือและเอกสารทางประวัติศาสตร์  ชุดที่ ๑  (กรมศีลปากร, ๒๕๓๒)  หน้า ๖๗  ศาสนาจารย์  กุตสลาฟฟ์  (สมัย ร. ๓)  เขียนไว้อีกว่า
 
        “ถึงแม้ว่าจริงๆ แล้ว ประเทศสยามเปิดโอกาสให้กับทุกๆ ศาสนา แต่ศาสนาพุทธก็ยังคงเป็นศาสนาประจำชาติ และสถาบันของรัฐทั้งหมดได้ให้การสนับสนุนความเชื่อที่ผิดๆ นี้ … พวกเราได้รับอนุญาตให้ไปแสดงธรรมที่วัดในพุทธศาสนา…”
 
     นอกจากความตั้งความรู้สึกไม่ดีมาแล้ว  ฝรั่งเหล่านี้  ก็ยังตั้งเจตนาไม่ดีในการที่จะปฏิบัติต่อไปด้วย คือคิดหาทางทำลายพระพุทธศาสนาเสียเลย ดังใน ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๒๓ ภาคที่ ๔๐ (คุรุสภา, ๒๕๑๑) หน้า ๒๒๗ พิมพ์บันทึกจดหมายเหตุของคณะพ่อค้าฝรั่งเศสไว้ว่า
 
        “ถ้าพระเจ้าหลุยส์ ที่ ๑๔ ได้ทรงชักชวนแล้ว  สมเด็จพระนารายณ์ก็คงจะหันเข้าหาศาสนาโรมันคาทอลิก เป็นแน่ ถ้าการเป็นได้เช่นนี้ จริงแล้วจะเป็นพระเกียรติยศแก่พระเจ้าหลุยส์สักเพียงไร   เพราะในเวลาพระองค์ได้ทรงจัดการศาสนาในพระราชอาณาเขตของพระองค์  ยังได้ทรงจัดการทำลายศาสนาอันไม่ดีในแผ่นดินฝ่ายตะวันออก ซึ่งนับว่าเป็นประเทศที่เจริญที่สุดอยู่แล้ว”
 
      แม้ว่าทางฝ่ายศาสนาที่เข้ามาเผยแพร่นี้  จะตั้งความรู้สึกที่ไม่ดีไว้ และมีเจตนาร้ายต่อพระพุทธศาสนาอย่างนี้  ถ้าไม่ถึงกับแสดงออกเป็นเหตุการณ์ร้าย  คนไทยก็ไม่ตั้งจิตคิดร้ายตอบ และคงเอื้อเฟื้อต่อไปตามปกติ
 
     ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  บาทหลวงได้รับการอุปถัมภ์ในการเผยแพร่ศาสนาอย่างเต็มที่  ดังจะเห็นตัวอย่าง เช่นที่บันทึกไว้ใน  ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๑๖ ภาคที่ ๒๗ (คุรุสภา, ๒๕๐๗) หน้า ๒๖–๒๗ ว่า
 
        “ … อนุญาตให้บาทหลวง  มิชชันนารีเทศน์สั่งสอนศาสนาได้โดยไม่ต้องมีใครห้ามปรามขัดขวางอย่างใด และอนุญาตให้พวกมิชชันนารีได้สอนหนังสือ  รักษาพยาบาลโรคต่างๆ และรับคนเข้ารีตได้ ทั่วพระราชอาณาจักร โดยอยู่ในความปกครองและอุดหนุนของพระเจ้าแผ่นดิน  การที่ได้อนุญาตเช่นนี้  มีแต่ข้อห้ามอย่างเดียวเท่านั้น คือ ห้ามมิให้บาทหลวง มิชชันนารีสอนการอย่างใด อันจะทำให้ราษฎรพลเมืองกลับใจทรยศ หรือคิดร้ายต่อรัฐบาล และกฎหมายของบ้านเมือง…”
 
     ความที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราช  ทรงใกล้ชิดและเอื้อเฟื้อต่อคณะบาทหลวงนั้น เป็นเหมือนที่บาทหลวง เดอ ชัวซี  (Abbé de Choisy)  บันทึกไว้ปรากฏในประชุมพงศาวดาร   เล่ม ๑๙ ภาคที่  ๓๒ (คุรุสภา, ๒๕๐๘) หน้า ๒๕๑ ว่า
 
        “พระเจ้ากรุงสยามโปรดให้สร้างโบสถ์ และจะโปรดพระราชทานสิทธิพิเศษให้แก่ศาสนา  ในพระที่นั่งที่ประทับมีไม้กางเขนอันหนึ่ง และทรงอ่านคัมภีร์ของศาสนาที่  มองซิเออร์ เดอเมเต โล โปลิศ  ได้แปล ความเป็นภาษาไทย”
 
     ความมีเมตตาการุณย์เอาพระทัยใส่ทะนุบำรุงกิจการของคณะผู้เผยแพร่ศาสนาคริสต์ และสนพระทัยศึกษาหลักศาสนา  ของพระมหากษัตริย์ไทยอย่างนี้   ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดสำหรับพระพุทธศาสนา และไม่มีหลักการทางพระพุทธศาสนาห้ามปรามขัดขวาง   กลายเป็นเรื่องแปลกสำหรับบาทหลวงทั้งหลาย  ซึ่งทำให้ท่านเหล่านั้นเข้าใจเองว่า สมเด็จพระนารายณ์มหาราช   ทรงมีพระทัยเอนเอียงไปในทางที่จะนับถือคริสต์ศาสนา
 
     ในวงการบาทหลวง และข้าราชการฝรั่งเศสที่เข้ามาเมืองไทยสมัยนั้น  ย่อมทราบกันดีว่า   การที่พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ เจริญพระราชไมตรีกับกรุงศรีอยุธยานั้น  ทรงมีวัตถุประสงค์ยิ่งใหญ่อยู่ที่การเผยแพร่คริสต์ศาสนา ดังในประชุมพงศาวดาร เล่ม ๑๖ ภาคที่ ๒๗ (คุรุสภา, ๒๕๐๗)  หน้า ๗๔–๗๙  กล่าวถึง  คำสั่งที่เสนาบดีฝรั่งเศสมอบไว้แก่  มองซิเออร์  เดฟาช์  (le Général Desfarges)  ผู้ได้รับหน้าที่เป็นจอมพลผู้บังคับการค่าย  และกองทัพบก ซึ่งบอกชัดเจนในความประสงค์ ๒ ข้อของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ว่า
 
        “…และการทั้งหลายทั้งปวง  จะเป็นการสำเร็จตามพระราชดำริของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส ก็ด้วยผลการค้าขายได้ตั้งเป็นหลักเป็นฐานแล้วก็จริงอยู่  แต่มองซิเออร์ เดฟาช์  ก็ควรจะทราบไว้ว่า  ข้อสำคัญที่ทำให้พระเจ้ากรุงฝรั่งเศส  ทรงพระราชดำริจะให้ชาวฝรั่งเศสไปอยู่โดยมั่นคงถาวรในเมืองไทยนั้น  ก็เพราะมีพระราชประสงค์จะให้การศาสนา  ได้แพร่หลายเจริญยิ่งขึ้นไปด้วย”
 
     เสนาบดีฝรั่งเศสได้มีคำสั่งเนื้อความคล้ายกันนี้แก่มองซิเออร์ ลาลูแบร์  (De la Loubère)  ซึ่งเป็นอัครราชทูตมีหน้าที่ไปพูดทางโปลิติก และไปจัดการทางศาสนา และแก่ มองซิเออร์ เซเบเรต์  (Cébérét) หัวหน้าราชทูตอีกคนหนึ่ง ซึ่งมีหน้าที่โดยเฉพาะที่จะไปจัดในเรื่องค้าขาย โดยให้ทั้งสองท่าน
 
        “เป็นธุระตรวจตราดำริว่า  จะจัดการอย่างใด  จึงจะเหมาะเพื่อให้สมพระราชประสงค์ของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส ที่ทรงดำริไว้ในข้อสำคัญ ๒ ข้อ กล่าวคือให้ศาสนาคริสต์เตียนได้แพร่หลายไปทั่วทิศฝ่ายตะวันออก และให้ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินของพระองค์์ได้ทำการค้าขายในฝ่ายทิศตะวันออกทั่วไปด้วย”
 
     การที่บรรดาบาทหลวงฝรั่งเศสมั่นใจว่า  พระมหากษัตริย์ไทยทรงมีพระทัยพร้อมที่จะรับนับถือคริสต์ศาสนานี้  ก็ได้เป็นเหตุให้พระเจ้าหลุยส์ ที่ ๑๔ ส่งราชทูต เดอโชมองต์  (Chevalier de Chaumont) นำพระราชสาสน์มากราบทูลอัญเชิญให้ทรงเข้ารีต  ดังที่ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๑๙ ภาคที่ ๓๒  (คุรุสภา, ๒๕๐๘) หน้า ๒๐๒ แสดงจดหมายเหตุเขียนโดยบาทหลวงเดอชัวซี  (Abbé de Choisy) ว่า
 
        “ต่อได้อ่านพระราชสาสน์ ของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสแล้ว  พระเจ้ากรุงสยามจึงได้ทรงทราบว่า ที่ได้แต่งราชทูตมาใหญ่โตในครั้งนี้  ไม่มีความประสงค์อย่างใด  นอกจากจะต้องการให้พระเจ้ากรุงสยามได้กลับนับถือศาสนาคริสต์เตียนเท่านั้น”
 
     แม้จะไม่ได้มีพระราชประสงค์อย่างที่ฝ่ายฝรั่งเศสเข้าใจ  แต่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชก็ไม่ได้ทรงตอบปฏิเสธโดยตรง   แต่ทรงตอบด้วยพระราชปรีชาญาณ   โดยอ้างหลักการของคริสต์ศาสนานั้นเองว่า   พระเป็นเจ้าทรงสร้างสรรค์บันดาลสิ่งทั้งหลายและการทั่วปวง  การที่มีความนับถือศาสนาต่างกันอยู่นี้   คงจะเป็นพระประสงค์ขององค์พระเป็นเจ้า   ฉะนั้น   การที่พระองค์จะเข้ารีตนั้น   ก็มอบถวายสุดแต่องค์พระเป็นเจ้าจะตัดสินจัดสรรให้เป็นไป และมิได้ขัดเคืองพระราชหฤทัยในเรื่องนี้  และได้ทรงอุปถัมภ์บำรุงคณะนักเผยแพร่ศาสนาคริสต์มากขึ้นต่อไป
 
     ในประชุมพงศาวดาร เล่ม ๑๙ ภาค ๓๒ นั้นเอง หน้า ๑๔๙ ได้กล่าวถึงข้อเขียนที่มองซิเออร์ วาเช (Father Bénigne Vachet) รวบรวมไว้  ตอนหนึ่งว่า
 
        “พระสังฆราชฝรั่งเศส ซึ่งได้ประสาทพรพระเป็นเจ้า  ก็ได้เอาเมืองไทยเป็นท่ามกลางสำหรับคณะบาทหลวงทั่วไป และได้พยายามแผ่พระธรรมของพระเยซูเจ้าได้แพร่หลายทั่วไป”
 
     มองซิเออร์  ลาลูแบร์ ได้เขียนไว้ในหนังสือของตน ซึ่งประชุมพงศาวดาร เล่ม ๑๖ ภาคที่ ๒๗ หน้า ๖๒ ได้นำมาพิมพ์เป็นเชิงอรรถไว้ว่า
 
        “…เหตุใดเราจึงอุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลตั้ง ๖,๐๐๐ ไมล์สำหรับจะไปชักชวนประเทศอินเดีย ประเทศสยาม ประเทศจีน และญี่ปุ่น  ให้ถือศาสนาคริสต์เตียนเล่า … บางทีพวกไทยก็ฟังคำสั่งสอนพวกบาทหลวงก็มีเป็นบางครั้งบางคราว และอนุญาตให้พวกบาทหลวงสร้างวัด และสอนศาสนาตามหน้าที่ของเขาได้  ความจริงจะว่าใครใจดี  เขาหรือเรา”
 
     ในเรื่องนี้ นายพล ฟอร์บัง ได้เขียนบันทึกความจำไว้ปรากฏในประชุมพงศาวดาร เล่ม ๕๐ ภาคที่ ๘๐ (คุรุสภา, ๒๕๒๗) หน้า ๙๔ ว่า
 
        “ความจริงพระนารายณ์มหาราช  ไม่เคยมีพระราชดำริเช่นนั้นเลย  พระเจ้าอยู่หัวของเราทรงเชื่อว่า  พระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทยทรงมีพระราชศรัทธาที่จะทรงเข้ารีตจริง  จึงทรงแต่งตั้งเชวาลิเอร์  เดอะ  โชมองต์  เป็นราชทูต  มาเชื่อมทางพระราชไมตรีกับพระนารายณ์มหาราช”
 
     เชวาลิเอร์ เดอ ฟอร์บัง นี้เป็นนายทหารฝรั่งเศสที่เข้ามากรุงศรีอยุธยา  ในคณะของราชทูตเดอ โชมองต์ และได้อยู่รับราชการในเมืองไทย  ได้รับพระราชทานยศเป็นนายพลเรือ และผู้บัญชาการทหารบก  มีบรรดาศักดิ์เป็นออกพระศักดิสงคราม และได้ไปเป็นผู้บัญชาการทหารที่ป้อมเมืองบางกอก  ต่อมา  หลังเดินทางกลับไปรับราชการอยู่ในประเทศฝรั่งเศส เชวาลิเอร์ เดอ ฟอร์บัง  ได้เขียนบันทึกความจำไว้เป็น  “จดหมายเหตุฟอร์บัง” อยู่ในประชุมพงศาวดาร เล่ม ๕๐ ภาคที่ ๘๐  (คุรุสภา, ๒๕๒๗)  เมื่อกลับไปฝรั่งเศสแล้ว ครั้งหนึ่ง พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ได้โปรดเกล้า ฯ ให้เล่าเรื่องศาสนาของประเทศไทย และได้รับสั่งถามว่า คณะผู้สอนศาสนาทำการได้ผลมากเพียงไร และชักชวนคนไทยเข้ารีตได้มากเท่าไร (หน้า ๑๙๓) ซึ่งฟอร์บัง ได้กราบทูลว่า
 
        “ผู้สั่งสอนศาสนาชักชวนคนไทยเข้ารีตไม่ได้สักคนเดียว”
 
     ต่อมา ฟอร์บัง ได้ไปสนทนากับแปร์ เดอะ ลาเชส (Père de La Chaise เป็นบาทหลวงใหญ่ผู้ทำหน้าที่รับสารภาพบาปประจำพระองค์ของพระเจ้าหลุยส์ ที่ ๑๔)  ซึ่งก็ได้ถามว่าผู้สั่งสอนศาสนาได้ทำกิจการสำเร็จผลเพียงไร ฟอร์บัง ได้เล่าความตามที่ได้กราบทูลพระเจ้าหลุยส์ ที่ ๑๔ และเติมความว่า (หน้า ๑๙๗–๒๐๐)
 
        “ที่ทำให้คริสต์ศาสนาแผ่ไพศาลไปไม่ได้เร็วนั้น  ต้องโทษจรรยาวัตรของพระภิกษุสงฆ์  ซึ่งมีความอดทนและเคร่งครัดมาก พระภิกษุสงฆ์เหล่านี้ไม่เสพสุราเมรัย ฉันแต่ของที่คนใจบุญถวายเป็นวันๆ ไปเท่านั้น ของที่ได้มากเกินความจำเป็น ก็บริจาคแก่คนจน ไม่เก็บไว้สำหรับวันรุ่งขึ้นเลย…
 
        “…ตามปรกติใจความของพระธรรมเทศนานั้นแนะนำให้คนทำบุญ  จึงทั่วพระราชอาณาจักรนั้นมีคนใจบุญมากมาย เพราะฉะนั้น เราจะไม่แลเห็นคนที่จนต้องขออาหารมารับประทาน
 
        “…ธรรมจรรยาของเขาเลิศกว่าของเรามาก  เขาหานับถือผู้สั่งสอนศาสนาของเราไม่ เพราะว่าผู้สั่งสอนศาสนาไม่เคร่งครัดเท่าพระภิกษุสงฆ์
 
        “เมื่อผู้สั่งสอนศาสนาของเราแสดงคริสต์ธรรม  คนไทยซึ่งเป็นคนว่านอนสอนง่าย  นั่งฟังธรรมปริยายนั้นเหมือนฟังคนเล่านิทานให้เด็กฟัง   ความพอใจของเขานั้น  ไม่ว่าจะสอนศาสนาใดก็ชอบฟังทั้งนั้น…
 
        “พระภิกษุสงฆ์ไม่เถียงเรื่องศาสนากับผู้หนึ่งผู้ใดเลย   เมื่อมีคนยกคริสต์ศาสนาหรือศาสนาใด ๆ มาพูดกับท่าน  ท่านก็เห็นว่าดีทั้งนั้น  ถ้ามีคนมาปรักปรำพระพุทธศาสนา  ท่านก็ตอบอย่างเย็นใจว่า   เมื่ออาตมภาพเห็นว่าศาสนาของท่านเป็นศาสนาที่ดี  เหตุไรท่านจึงไม่เห็นว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ดีเหมือนกันเล่า…”
 
 
     ในประเทศไทยนี้  แม้จะเคยมีผู้พยายามยกตัวอย่างกรณีที่ดูเหมือนว่าเป็นการบีบคั้นข่มขี่ศาสนิกชนในศาสนาอื่นขึ้นมาเอ่ยอ้าง  แต่เมื่อพิจารณาโดยใกล้ชิด  ก็จะเห็นชัดว่าเป็นกรณีที่เกิดขึ้นเนื่องจากปัญหาการเมืองการปกครอง  ที่กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ  เป็นการละเมิดข้ออนุญาตอย่างที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงกำหนดไว้  ดังที่อ้างแล้วข้างต้น  (ความที่อ้างคือ “อนุญาตให้บาทหลวง  มิชชันนารีเทศน์สั่งสอนศาสนาได้โดยไม่ต้องมีใครห้ามปรามขัดขวางอย่างใด … มีแต่ข้อห้ามอย่างเดียวเท่านั้น  คือห้ามมิให้ … สอนการอย่างใด อันจะทำให้ราษฎรพลเมืองกลับใจทรยศ หรือคิดร้ายต่อรัฐบาล และกฎหมายของบ้านเมือง”)   ถ้ามิฉะนั้น  ก็เป็นการฝ่าฝืนละเมิด  ต่อองค์พระมหากษัตริย์  (ขอให้พิจารณาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยพระเพทราชา ท้ายแผ่นดินพระเจ้าตากสิน  และปลายสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า)  โดยที่ในบางครั้งก็มีกรณีที่นักเผยแพร่ศาสนาได้ติเตียนกล่าวร้ายต่อพระพุทธศาสนาไว้ก่อน  มาเป็นข้อผสม  ซึ่งคงต้องยกให้เป็นเรื่องวิสัยของจิตใจปุถุชน  ที่มีความยึดมั่นรักใคร่หวงแหนในสิ่งที่ยึดถือว่าเป็นของตน ซึ่งแสดงออกมาบ้างเป็นบางครั้งบางคราว
 
     อย่างไรก็ดีข้อที่สำคัญก็คือ ไม่มีหลักคำสอนใดๆ ในพระพุทธศาสนาที่จะยกขึ้นอ้างอิงเป็นหลักฐานสนับสนุนให้เกิดการเบียดเบียนขึ้นได้ไม่ว่าในกรณีใด ๆ  อีกทั้งเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับกรณีร้ายแรง   ซึ่งเกิดขึ้นในที่มากมายหลายแห่งในประเทศชาติศาสนาอื่นๆ  ที่ศาสนิกชนอ้างหลักศาสนาขึ้นมารบราฆ่าฟันทำร้ายกันอย่างรุนแรง  เป็นสงครามใหญ่ก็มีหลายครั้ง ไม่ว่าระหว่างศาสนิกต่างศาสนา หรือศาสนิกในศาสนาเดียวกันแต่ต่างนิกายก็ตาม  ก็จะเห็นได้ว่า กรณีขัดแย้งบีบคั้น ที่มีเพียงประปรายในประเทศไทยนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างไม่อาจยกขึ้นมาเปรียบเทียบกับเขาได้เลย
 
     ปัจจุบัน ทั่วโลกติดต่อถึงกันง่ายดายเหมือนเป็นชุมชนอันเดียว  ในสภาพเช่นนี้ ถ้าศาสนาต่าง ๆ ยังมีท่าทีความรู้สึก และพฤติการณ์ดูหมิ่นดูแคลนเป็นปฏิปักษ์ต่อกันและกัน และมีหลักการแห่งการบังคับศรัทธาเป็นพื้นฐาน  ก็ย่อมจะมีการกีดกั้นเบียดเบียนบีบคั้น ตลอดจนกำจัดกันระหว่างศาสนาอยู่ต่อไป และในสภาพเช่นนั้น  พระพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาที่ไม่มีความรุนแรง ก็ยากที่จะดำรงรอดอยู่ได้  โลกจึงต้องการศาสนาที่มีลักษณะเชื่อมประสาน และมีหลักการที่เอื้อต่อเสรีภาพ
 
     ปรากฏว่า โลกทุกวันนี้ยังเต็มไปด้วยปัญหาความขัดแย้งรบราฆ่าฟันกันระหว่างหมู่ชนที่นับถือศาสนาต่างกัน โลกจึงนับวันจะต้องการศาสนาที่มีลักษณะเชื่อมประสานอย่างนั้นมากยิ่งขึ้น เพื่อให้สันติสุขของโลกดำรงอยู่ได้
 
     พระพุทธศาสนามีท่าทีความรู้สึกที่ดี และได้แสดงความเอื้อเฟื้อต่อศาสนาอื่นทุกศาสนาตลอดมา จนกระทั่งแม้แต่นักเผยแพร่ศาสนาอื่น  ที่มีท่าทีไม่เป็นมิตร  ก็ยังยอมรับ  ทั้งเป็นศาสนาที่ยึดถือหลักการแห่งเสรีภาพในการใช้ปัญญาอีกด้วย  ดังนั้น  การที่พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ จึงทำให้มั่นใจได้ว่า นอกจากพระพุทธศาสนาเองจะดำรงอยู่ได้แล้ว  ก็จะช่วยให้ศาสนาอื่นๆ ทั้งหลายอยู่ร่วมกันได้ด้วยดีในบรรยากาศแห่งความมีเสรีภาพทางศาสนาด้วย
 
     โดยนัยดังกล่าวมา  การที่ประเทศไทยมีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ จึงเท่ากับเป็นการยกหลักการแห่งเสรีภาพในการนับถือศาสนาขึ้นมาสถาปนาไว้  ซึ่งเป็นฐานที่ค้ำจุนช่วยให้ไม่มีการเบียดเบียนกันทางศาสนา และเสริมสร้างบรรยากาศที่เอื้ออำนวยให้ศาสนาต่างๆ ทั้งหลายดำรงอยู่และดำเนินกิจการกันไปได้ด้วยดีโดยสงบสุข
 
 
 


Create Date : 05 ธันวาคม 2567
Last Update : 5 ธันวาคม 2567 21:09:57 น. 0 comments
Counter : 216 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space