กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
 
ธันวาคม 2567
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
space
space
4 ธันวาคม 2567
space
space
space

พุทธศาสนาเป็นศูนย์รวมจิตใจ ทำให้เกิดความสามัคคีในหมู่ชนชาวไทย



- ๓ -


- พระพุทธศาสนาเป็นศูนย์รวมจิตใจ ทำให้เกิดความสามัคคีในหมู่ชนชาวไทย
 

     ตามปกติ  คนทั้งหลายจะอยู่ร่วมกันได้ดี   มีความพร้อมเพรียง  ต่อเมื่อมีหลักความเชื่อ หรือเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจอย่างหนึ่งอย่างเดียวกัน  เป็นเหมือนแกนหรือสายเชือกที่ร้อยประสานกันไว้ ในบรรดาหลักความเชื่อ หรือเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจทั้งหลายนั้น กล่าวได้ว่า  ศาสนาเป็นหลักความเชื่อที่มีกำลังมากที่สุด และเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจที่เหนียวแน่นลึกซึ้งที่สุด  ดังนั้น ในประเทศชาติใด ประชาชนทั้งหมด หรือคนส่วนใหญ่นับถือศาสนาเดียวกัน  ก็ต้องนับว่าประเทศชาตินั้นมีโชคดีอย่างยิ่ง ที่จะไม่ต้องประสบความยากลำบาก ในการที่จะทำให้ประชาชนมีจิตใจประสานรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และมั่นใจได้ว่าจะสามารถสร้างเสริมความพร้อมเพรียงสามัคคีขึ้นได้โดยง่าย
 
     อย่างไรก็ดี   ในกรณีที่พลเมืองส่วนใหญ่นับถือศาสนาเดียวกัน แม้ว่าจะมีความสามัคคีในระหว่างชนส่วนใหญ่นั้นแล้วก็ตาม   แต่ก็ยังไม่เป็นการแน่นอนว่าประชาชนทั้งชาติจะมีความสามัคคีกันด้วยดีอย่างแท้จริง  ทั้งนี้เพราะว่า  ถ้าความสามัคคีของชนส่วนใหญ่นั้นไม่เป็นไปโดยชอบ ก็จะเกิดปัญหาระหว่างประชากรส่วนใหญ่กับชนส่วนน้อยที่นับถือศาสนาต่างกัน และแทนที่จะเกิดความสามัคคีในชาติ  ก็จะกลายเป็นการแตกแยกขัดแย่งเบียดเบียนกัน โดยที่ชนส่วนใหญ่จะบีบคั้นข่มเหงคนกลุ่มน้อย  ถ้าอย่างนี้ก็ต้องนับว่า ความมีโชคดีกลับกลายเป็นเคราะห์ร้าย  เหมือนมีร่มอยู่ในมือ   แทนที่จะใช้กางคุ้มฝนกันแดด กลับใช้อย่างเป็นท่อนเหล็กท่อนไม้สำหรับไล่ตีไล่แทงกัน  แต่ถ้าเป็นความสามัคคีโดยชอบธรรม  นอกจากทำให้รวมกำลังพร้อมเพรียงกันในหมู่ผู้ที่ถือศาสนาเดียวกันแล้ว  ก็จะไม่เป็นเหตุแบ่งแยกถือพวกถือหมู่กีดกั้นคนพวกอื่นด้วย  แต่ตรงข้ามจะแผ่ไมตรีจิตมิตรภาพแก่ศาสนิกพวกอื่นด้วย ในฐานะที่ว่าแม้จะนับถือศาสนาต่างกัน แต่ก็เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน จึงไม่ทำให้เสียสามัคคีในชาติ
 
     ศาสนิกชนในบางลัทธิศาสนา ไม่เพียงแต่จะแบ่งแยกเบียดเบียน ยอมรับหรืออยู่ร่วมกันไม่ได้กับศาสนิกชนที่นับถือศาสนาอื่นเท่านั้น  แม้แต่กับศาสนิกชนของศาสนาเดียวกัน แต่ต่างนิกายกับตน  ก็ทนกันไม่ได้  ต้องยกเอาความถือต่างทางศาสนานั้น  เป็นเหตุวิวาทขัดแย้ง หรือถึงกับพิฆาตเข่นฆ่ากัน  ในกรณีเช่นนี้  การยกศาสนาใดศาสนาหนึ่งขึ้นเป็นศาสนาประจำชาติ ย่อมหมายถึงการยกนิกายใดนิกายหนึ่งขึ้นสู่ฐานะนั้น และการปฏิบัติเช่นนั้น ย่อมไม่มีทางทำให้เกิดความสามัคคีที่แท้จริงของคนทั้งชาติ  จะมีได้ก็แต่เพียงความสามัคคีของคนกลุ่มหนึ่ง  เพื่อจะปะทะกันกับคนอีกกลุ่มหนึ่ง  ที่มีความสามัคคีในแบบเดียวกัน หรือความสามัคคีของคนกลุ่มใหญ่ ที่จะเข้าบีบคั้นครอบงำ หรือทำลายคนกลุ่มน้อย  ตลอดจนความสามัคคีในแต่ละกลุ่มของคนมากมายหลายกลุ่ม ที่แก่งแย่งช่วงชิงอำนาจ และผลประโยชน์ซึ่งกันและกันลบหลู่ดูหมิ่นกัน หรือวิวาทขัดแย้งกันในเรื่องหลักความเชื่อ และข้อปฏิบัติทางศาสนาโดยใช้วิธีรุนแรง
 
     ประโยชน์สำคัญอย่างหนึ่ง  ที่รัฐทั้งหลายคาดหวังจากศาสนา ก็คือ การทำให้เกิดความสามัคคีในชาติ และรัฐเหล่านั้นก็แสวงหา และใช้วิธีการต่าง ๆ กันที่จะให้สำเร็จผลตามความมุ่งหวังนี้ บางรัฐยกศาสนาหนึ่งขึ้นเป็นศาสนาประจำชาติแล้ว  ก็สร้างความสามัคคีได้สำเร็จ  บางรัฐทำเช่นนั้นแล้ว ก็ทำให้เกิดปัญหาคนส่วนใหญ่กับชนส่วนน้อยเบียดเบียนบีบคั้นข่มเหงกัน  บางรัฐก็ยกศาสนาที่เป็นสถาบันรูปธรรมขึ้นเป็นศาสนาประจำชาติ  บางรัฐก็ยกเอาศาสนาในด้านนามธรรมขึ้นเป็นศาสนาประจำชาติ
 
     บางรัฐก็จำเป็นต้องรักษาสามัคคีด้วยการไม่ให้มีศาสนาประจำชาติ   ยกตัวอย่างเช่น  ประเทศสหรัฐอเมริกา  ทั้งที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาเดียวกัน  แต่เมื่อประกาศอิสรภาพตั้งเป็นประเทศในปี พ.ศ. ๒๓๑๙ (ค.ศ. 1776) แล้วต่อมาก็ได้ตราบทบัญญัติ ในรัฐธรรมนูญว่า  ไม่ให้ยก (สถาบัน) ศาสนาใด ขึ้นเป็นศาสนาที่รัฐสถาปนา คือ ไม่มีสถาบันศาสนาใดเป็นศาสนาประจำชาติ  ซึ่งตีความตามกันมาว่า ให้รัฐกับศาสนาแยกต่างหากจากกัน  หรือรัฐกับสถาบันสงฆ์อยู่คนละส่วน  (เรียกว่า separation of Church and State)    
 
     สาเหตุสำคัญที่ประเทศอเมริกาไม่ให้ยกศาสนาใดศาสนาหนึ่งขึ้นเป็นศาสนาประจำรัฐ  ก็เพราะว่า คนอเมริกันได้ผ่านประสบการณ์อันขมขื่นทางศาสนามาจากทวีปยุโรป  กล่าวคือ  ชาวอเมริกันจำนวนมาก เป็นผู้ประสบภัยจากการกดขี่ข่มเหงระหว่างศาสนิกในศาสนาเดียวกันแต่ต่างนิกายในทวีปยุโรป  จึงอพยพหลบหนีเอาชีวิตรอด   มาตั้งถิ่นฐานใหม่ในทวีปอเมริกา   แม้กระนั้น  เมื่อตั้งประเทศใหม่ของตนขึ้นได้แล้ว  ศาสนิกทั้งหลายในศาสนาเดียวกันนั้น  ซึ่งมีหลายนิกาย   ต่างก็หวาดกลัวกันว่า  ถ้านิกายอื่นได้รับการสถาปนาจากรัฐ   นิกายของตัวจะประสบฐานะต้อยต่ำ หรือต้องเผชิญชะตากรรมที่เดือดร้อนลำบาก  ดังบทเรียนที่ได้ประสบมาแล้วในทวีปยุโรปก่อนอพยพ   จึงต่างก็พยายามเกี่ยงแย่งไม่ยอมกัน  สาเหตุระหว่างศาสนาเดียวกันแต่ต่างนิกายนี้  มีถึง ๓ ข้อ  และมีเหตุผลอื่นอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งก็เป็นบทเรียนทางศาสนาจากยุโรปเช่นเดียวกัน คือ ความตื่นตัวทางปัญญาจากการที่วิทยาศาสตร์เจริญขึ้น ได้บั่นทอนความเชื่อแบบบังคับศรัทธา  ที่ต้องยอมตามคำบงการจากสวรรค์ให้เสื่อมคลายลง  ชนชาติใหม่ที่นิยมอิสรเสรีภาพ จึงมองเห็นเหตุผล และโอกาสอันสมควรที่จะปลดเปลื้องกิจการของรัฐจากอิทธิพลครอบงำของศาสนจักร
 
     สรุปว่า  ประเทศสหรัฐอเมริกาไม่มีศาสนาประจำชาติ  เพราะไม่มีเอกภาพทางศาสนา   ถ้าจะให้มีศาสนาประจำชาติ  ก็ต้องยกนิกายใดนิกายหนึ่งขึ้นเป็นใหญ่   เมื่อยกนิกายหนึ่งขึ้นเป็นใหญ่ ก็จะเกิดแตกสามัคคีกันขึ้น การมีศาสนาประจำชาติ  ก็จะกลายเป็นการทำให้เกิดความไม่สามัคคี   ดังนั้น  จึงจำเป็นต้องเลี่ยง โดยรักษาความสามัคคีด้วยการไม่มีศาสนาประจำชาติ
 
     อย่างไรก็ตาม  ประเทศสหรัฐอเมริกาก็ยังคงต้องการให้ศาสนา ซึ่งเป็นหลักยึดเหนี่ยวทางจิตใจ  ช่วยทำให้เกิดความสามัคคีอยู่นั่นเอง   ในเมื่อศาสนิกชนแบ่งแยกเป็นหลายนิกายนัก   จะอาศัยศาสนาที่เป็นสถาบันอย่างรูปธรรมช่วยสร้างความสามัคคีนั้นก็ไม่ได้ จึงต้องหาวิธีอย่างอื่น  ในที่สุด  สหรัฐอเมริกาก็หาทางออกได้โดยยกเอาตัวศาสนาที่เป็นนามธรรมขึ้นมาสถาปนาเป็นหลักของชาติ  ทำนองยกเป็นศาสนาประจำชาติกลายๆ กล่าวคือ  ในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ (ค.ศ. 1954) รัฐสภาอเมริกัน ได้มีมติให้เพิ่ม คำว่า under God เข้าต่อท้ายคำว่า one nation ในคำปฏิญาณธงของอเมริกาเป็น one nation under God (ประเทศอเมริกา  เป็นประชาชาติอันหนึ่งอันเดียวภายใต้องค์พระผู้เป็นเจ้า) และต่อมาในปี ๒๔๙๙ (ค.ศ. 1956) รัฐสภาอเมริกัน ก็ได้มีมติยกข้อความ In God We Trust  (เรามอบชีวิตฝากจิตใจไว้ในองค์พระผู้เป็นเจ้า)  ขึ้นเป็นคำขวัญของชาติ (national motto)  
 
     ในประเทศไทยนี้  พระพุทธศาสนาได้พิสูจน์ตัวเองมาแล้วตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานว่า พุทธศาสนิกชน  นอกจากมีหลักยึดเหนี่ยวจิตใจเป็นอันเดียวกันในหมู่พวกตนแล้ว  ก็ยังอยู่ร่วมกันด้วยดีกับศาสนิกชนในศาสนาอื่นๆ  โดยมีไมตรีจิตมิตรภาพตามฐานะที่เป็นเพื่อนมนุษย์ผู้ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน ไม่เคยมีการเบียดเบียนข่มเหงศาสนา  หรือศาสนิกชนพวกอื่น  ไม่ต้องพูดถึงศาสนิกชนต่างนิกายในพระพุทธศาสนาด้วยกัน ซึ่งมีแต่ไมตรีและความสัมพันธ์ในทางช่วยเหลือเกื้อกูล  ไม่เคยมีปัญหาความขัดแย้งใดๆ เลย  นอกจากข้อเห็นแย้งทางปัญญา ซึ่งก็แก้ไขไปตามวิธีการแห่งปัญญาที่เป็นทางแห่งสันติโดยแท้
 
     ด้วยเหตุนี้   การที่ประเทศไทยมีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ  จึงเป็นการสร้างความสามัคคีในหมู่ประชาชนชาวไทยทั่วทั้งหมด  โดยก่อให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในประดาคนส่วนใหญ่  พร้อมทั้งไม่เสียสามัคคีต่อคนกลุ่มน้อย  มีแต่ไมตรีจิตมิตรภาพ และความมีน้ำใจที่แผ่ออกไปกว้างขวางทั่วผืนแผ่นดิน
 
 
 




 

Create Date : 04 ธันวาคม 2567
0 comments
Last Update : 4 ธันวาคม 2567 9:17:59 น.
Counter : 240 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space